ธีรยามองแผ่นหลังของก้องภพอย่างงุนงง สีหน้าเขาดูแปลกๆ และเมื่อครู่เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดออกมา ปกติเขาเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาและเป็นกันเอง พอเห็นสีหน้านิ่งขรึมแล้วเธอก็อดเป็นกังวลไม่ได้ หรือเขามีเรื่องไม่สบายแต่ไม่กล้าพูด หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วกลับไปทำงานของตนเองพร้อมถุงขนมจากผู้ชายช่างตื้อคนนั้น
‘ผมกลับไปดูงานที่ไต้หวัน ผมให้ลูกน้องไปส่งดอกไม้และขนมให้คุณ คุณจะได้ไม่ต้องกลัวเจอคนแปลกหน้าหรือคิดว่าเป็นพวกมิจฉาชีพ’
‘ไม่เห็นต้องส่งของอะไรพวกนี้มาเลย’
‘ก็ผมจีบคุณอยู่ไง’
ธีรยาจำได้ว่าพูดตอบเขาไปทางโทรศัพท์ แม้ปากพูดไปแบบนั้นแต่ช่อดอกกุหลาบสีชมพูหวานสวยก็เล่นเอาใจเธอละลายได้เหมือนกัน จากดอกไม้ก็เป็นขนม ต่อไปเขาจะส่งอะไรให้เธออีกนะ
ไม่เอาสิธีรยา! อย่าทำเหมือนรอคอยให้เขาส่งของมาให้แบบนี้สิ!
ก้องภพรู้สึกแปลกๆ เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้ว่ามีผู้ชายมาจีบธีรยา แต่หญิงสาวเป็นคนหัวอ่อน ไม่สิ เรียกว่าความรู้สึกช้าน่าจะถูก กว่าจะรู้ว่าผู้ชายคนนั้นมาจีบ ผู้ชายคนนั้นถอนใจจากเด็กเนิร์ดอย่างเธอไปแล้ว แต่ดูเหมือนที่ผ่านมาธีรยาก็ไม่เคยแสดงท่าทีเดือดร้อนใจที่ตัวเองยังเป็นโสด เขาเองก็เห็นเธอเป็นน้องสาวมานาน รู้ดีว่าธีรยานิสัยเป็นอย่างไร แต่ครั้งนี้มีผู้ชายสายเปย์มาจีบชัดเจนอย่างนี้ ทำให้เขาอดเป็นกังวลไม่ได้
“ทำหน้าเครียดจัง” เขมิกาเอ่ยทักเมื่อเห็นคนรักทำหน้าตาเคร่งเครียดคิ้วขมวดยุ่ง “เจอเคสหนักหรือคะ”
“อ้าว เข็ม มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ก้องภพทักทายคู่หมั้นสาว
“มาถึงได้สักห้านาทีแล้วค่ะ แต่พี่ก้องใจลอยไปถึงก็ไม่รู้ มีเรื่องกลุ้มใจหรือคะ หรือว่าเครียดเรื่องงานแต่งงานของเรา”
“ไม่มีอะไรหรอก พี่คิดเรื่องยัยหมิวนะ”
ก้องภพยิ้มแล้วหันไปจัดการเอกสารบนโต๊ะ หมดเวรของเขาแล้ว เกือบลืมไปเสียสนิทว่านัดเขมิกาไปแจกการ์ดให้ผู้หลักผู้ใหญ่ทางฝั่งว่าที่ภรรยา ตัวเขาเองไม่อยากแจกการ์ดงานแต่งอะไรเลย เกรงใจคนรับการ์ดจะคิดว่าเขาอยากได้เงินใส่ซอง แต่เขมิกาอยากให้จัดเป็นไปตามพิธี ครอบครัวทั้งสองฝั่งก็เห็นดีด้วย เขาก็เข้าใจว่าผู้หญิงย่อมอยากให้วันแต่งงานเป็นวันพิเศษสุด เขาจึงไม่อยากขัดใจเธอ เขารู้จักเขมิกามาหลายปี ครอบครัวทั้งสองฝ่ายสนิทสนมกันและต้องการให้ลูกๆ ได้แต่งงานกัน แรกทีเดียวเขาก็ไม่ได้อยากแต่งงานนัก แต่ทนการรบเร้าของมารดาไม่ไหว อีกอย่างเขมิกาเป็นผู้หญิงนิสัยดี เธอเข้าใจการทำงานที่ไม่เป็นเวลาของเขาและไม่สามารถพาเธอไปเที่ยวหรือออกเดตได้บ่อยอย่างคู่รักคู่อื่นๆ นานวันเข้าก็รู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่ง จึงตัดสินใจคบหาดูใจกัน แต่เมื่อผู้ใหญ่รู้เข้าก็จัดการกำหนดวันหมั้นหมายและแต่งงานกันอย่างรวดเร็ว
‘ถ้าพี่ก้องลำบากใจ เข็มไปคุยกับพ่อแม่ไหมคะ’
‘เข็มจะไปบอกพ่อกับแม่ว่ายังไงล่ะ’
‘ก็...พี่ก้องไม่พร้อมหรือไม่ก็...พี่ก้องไม่อยากแต่งงานกับเข็ม’
‘มันก็ไม่ใช่แบบนั้น แค่รู้สึกว่าเร็วไปนิด’
‘ถ้าอย่างนั้น เราเลิกกันตอนนี้เลยดีไหมคะ’
‘อ้าว ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ’
‘ถ้าแต่งกันตอนนี้เร็วไป อีกปีสองปีหรือสามปีก็เร็วไปอยู่ดีล่ะค่ะ เพราะงั้นก็เลิกกันตอนนี้ดีกว่า อีกปีสองปีหรือสามปีก็ต้องเลิกกันอยู่ดี’
‘ก็พี่ไม่ได้อยากเลิกกับเข็มนี่’
‘แล้วเราจะทำยังไงละคะ’
‘ก็แต่งงานตามผู้ใหญ่จัดการนั้นแหละ’
‘พี่ก้องจะไม่เสียใจเหรอคะ’
‘อืม ถ้าพี่ไม่ได้แต่งกับเข็ม พี่น่าจะเสียใจมากกว่านะ’
“น้องหมิวเป็นอะไรหรือคะ”
เสียงเขมิกาปลุกก้องภพให้ตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มส่งยิ้มแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยตอบ
“มีคนมาจีบยัยหมิว”
“แล้วไม่ดีหรือคะ พี่ก้องไม่อยากให้น้องหมิวมีแฟนเหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” เขาส่ายหน้าไปมา “พี่เห็นน้องหมิวเป็นน้องสาว ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ถ้าคนมาจีบเป็นคนดีก็ดีไป กลัวแต่จะมาหลอกยัยหมิวให้เสียใจนะสิ”
“เป็นพี่ที่หวงน้องสาวจังเลยนะคะ” เขมิกาหัวเราะเสียงใส ทำให้ก้องภพยิ้มออกมา
“ไม่ได้หวงแค่เป็นห่วง เข็มเข้าใจพี่ใช่ไหม พี่เห็นมาตั้งแต่อยู่ม.ปลาย ทั้งเอ็นดูทั้งเป็นห่วง น้องหมิวก็เจออะไรมามาก พี่ก็อยากให้เขาได้เจอคนที่ดีดูแลได้”
“ค่ะ เข็มเข้าใจไม่คิดมากหรอกค่ะ” หญิงสาวยื่นมือไปแตะหลังมือของคนรัก “แต่ถ้าเราออกไปช้ากว่านี้ เจอรถติดและไปแจกการ์ดช้าแน่นอนค่ะ”
“ครับๆ ไปกันเถอะ”
ก้องภพหัวเราะในลำคอแล้วหันไปคุยกับพยาบาลในแผนก ส่งงานให้คุณหมอที่เข้าเวรแทนแล้วพาคู่หมั้นไปทำธุระที่นัดหมาย ทว่าเขาไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มของเขมิกาคือความรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นเขาให้ความสนิทสนมกับธีรยามากเกินไป มันมากเกินกว่าพี่ชายกับน้องสาว ต่อให้มองด้วยตาข้างเดียวยังรู้เลยว่าก้องภพหึงหวงธีรยาเข้าให้แล้ว.
…
“คุณหมอธีรยามีคนมาขอพบค่ะ”
“ค่ะ”
หญิงสาวขานรับขณะที่เก็บข้าวของใส่กระเป๋าสะพาย ได้เวลาเลิกงานพอดี ทำงานในห้องแล็บแบบนี้ทำให้เลิกงานได้ตรงเวลา แต่ก็มีบ้างที่เจอเคสด่วนก็เลิกงานช้าไปบ้าง ธีรยากำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ก็เปลี่ยนใจหยิบตลับแป้งมาเปิดส่องดูหน้าตาตัวเองเล็กน้อย เสียงหัวเราะคิกคักของเพื่อนร่วมงานทำให้เธอสะดุ้งแล้วยิ้มเขิน
“ส่องๆไปเถอะ เป็นผู้หญิงก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา ดีกว่าออกจากห้องทำงานไปสภาพเหมือนซอมบี้ คนอื่นจะได้นึกว่าแผนกนี้ใช้แรงงานคนกลายเป็นศพได้”
ธีรยาหัวเราะน้อยๆ แล้วแอบเติมลิปสติกอีกนิดก่อนสะพายกระเป๋าออกมาด้านนอก ชายหนุ่มส่งยิ้มกว้างและโบกมือให้ทันทีที่เห็นเธอ หญิงสาวเลิกคิ้วประหลาดใจเล็กน้อยก่อนยิ้มตอบแล้วก้าวเข้าไปหา
“ป้องเองเหรอ”
“หมิวรอใครอยู่ล่ะ” ชายหนุ่มผมสั้นเกรียนถามด้วยรอยยิ้ม
“ปะ เปล่า” ธีรยาส่ายหน้าไปมาจนผมที่รวบเป็นหางม้าสั่นไหวไปมา “ไม่ได้เห็นหน้าหลายเดือนแล้วเลยแปลกใจ”
“อีกหน่อยหมิวจะได้เห็นหน้าเราจนเบื่อเลยล่ะ”
“เอ๊ะ? เกิดอะไรขึ้น”
“อย่าทำหน้าตกใจแบบนี้สิ เอาข่าวดีมาบอกเลยนะ บอกหมิวคนแรกด้วย” ชายหนุ่มหัวเราะแล้วคว้ามือหญิงสาวไว้ให้เดินออกมาด้านนอก
เพราะความสนิทสนมที่มีมาตั้งแต่เด็ก ธีรยาจึงไม่คิดอะไรที่ ‘ปกป้อง’ จับมือเธออย่างนี้ เขาเป็นเด็กที่เติบโตมาในบ้านเด็กกำพร้าภายใต้การดูแลของคุณแม่เพ็ญนภาเหมือนกันเธอ และเป็นเด็กที่ไม่มีใครรับอุปการะเหมือนกันด้วย ทั้งสองจึงสนิทสนมกันเป็นทั้งเพื่อนและพี่น้อง เมื่อครั้งยังเยาว์วัย ธีรยาเป็นเด็กตัวเล็กและขี้อาย เวลามีคนมาแจกขนมของเล่นที่บ้านเด็กกำพร้า เธอมักไปรับไม่ทันหรือไม่ก็ถูกเด็กคนอื่นแย่งไป แต่ ‘ปกป้อง’ ที่เรียนไม่ค่อยเก่งและทะเลาะกับเด็กคนอื่นบ่อยๆ กลับคอยช่วยเหลือแย่งเอาขนมของกินมาให้เธออยู่เสมอ แม้จะเติบโตไปบนเส้นทางที่ต่างเลือกเดิน แต่ปกป้องก็ยังติดต่อเธออยู่เสมอไม่ได้หายไปไหน
“เราถูกย้ายมาทำงานที่กรุงเทพฯ แล้ว” “จริงเหรอ แบบนี้ก็ดีเลยสิ” ธีรยายิ้มกว้าง “พักแถวไหนล่ะ แบบนี้ก็ดีเลยนะจะได้กลับไปช่วยงานแม่เพ็ญนภาได้” “อะไรกัน นี่อย่าบอกนะว่าหมิวยังกลับไปที่บ้านนั้นอีกนะ” ปกป้องทำตาโต “ทำไมจะกลับไปไม่ได้ล่ะ ป้องนั้นแหละ ทำไมไม่กลับไปหาแม่เพ็ญนภาบ้าง” “ไม่อยากฟังบ่น” ปกป้องยักไหล่ “เลิกงานแล้วมีนัดที่ไหนไหม ไปหาอะไรกินกัน ป้องเลี้ยงเองในฐานะที่ได้ย้ายกลับมาอยู่ใกล้หมิว” “เรื่องกินไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว” หญิงสาวพยักหน้ารับแต่ก็อดกวาดตามองรอบๆไม่ได้ ไม่เอาน่า เธอไม่ได้รอใครเสียหน่อย ทำไมต้องมองหาด้วยเล่า “รอใครหรือเปล่า นัดพี่หมอก้องไว้เหรอ” ปกป้องถามเพราะสังเกตได้ว่าธีรยาเหมือนมองหาใครอยู่ แถมยังแต่งหน้าทาปากอีกด้วย ปกติไม่ค่อยเห็นคนตัวเล็กแต่งหน้าสักเท่าไหร่ “เปล่า” หญิงสาวส่ายหน้ายืนยัน “ไปเถอะ หิวแล้ว ว่าแต่เจ้ามือจะเลือกร้านให้หรือให้หมิวเลือกร้านเอง” “หมิวเลือกเลยสิ อยากกินอะไร ป๋าจ่ายเอง” “อืม เราเห็นร้านบะหมี่ติดแอร์เปิดใหม่ใกล้ๆ โรงพย
“เอาไว้คราวหน้าเรามารับหมิวไปหาอะไรอร่อยๆ กินอีกนะ” “ได้สิ คราวหน้าหมิวเลี้ยงคืนนะ” “ตามใจ” ปกป้องยิ้มแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่งจนธีรยาเอ่ยปากถาม “มีอะไรหรือเปล่า” “เปล่าๆ ไม่มีอะไร หมิวขึ้นห้องเถอะ พรุ่งนี้ต้องทำงานใช่ไหม” “อื้ม ป้องก็เหมือนกัน กลับบ้านดีๆนะ” “งั้นเราไปล่ะ” ธีรยายืนรอจนรถของปกป้องเคลื่อนไปสุดสายตาแล้วเธอจึงเดินเข้ามาในคอนโด เพราะใจลอยคิดเรื่องอื่นอยู่จึงไม่ทันรู้ว่ามีคนก้าวมายืนซ้อนด้านหลัง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดข้อความถึงปกป้อง ‘ถึงห้องแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง’ เพราะฝ่ายนั้นเอาแต่ย้ำหนักหนาว่า ถึงห้องแล้วต้องส่งข้อความมาบอกเขา แต่ขณะที่รอลิฟต์อยู่ก็รู้สึกว่าคนด้านหลังยืนชิดเธอเกินไป ร่างเล็กจึงขยับเท้าตั้งใจหลบให้คนด้านหลังเข้าไปในลิฟต์ก่อน แต่ไหล่ของเธอถูกมือใหญ่จับไว้มั่นแล้วดันเข้าไปด้านในทันทีที่ลิฟต์เปิดประตูออก “อ๊ะ! คุณ...” ธีรยาเอี้ยวตัวหันไปมองจึงรู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังคือ...“อีริค ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่” “ก็คุณอยู่ที่นี่ผมก็อยู่ที่นี่สิ ช
“ได้ ถ้าคุณลืม ผมจะทบทวนว่าเราเป็นอะไรกัน”คนตัวเล็กขยับตัวดิ้นรนทำให้กระโปรงร่นขึ้นเห็นเรียวขาขาวผ่อง โจวเจียอีใช้มือเพียงข้างเดียวก็รวบข้อมือสองข้างของเธอกดไว้เหนือศีรษะแล้วโน้มหน้าลงจูบกลีบปากที่พูดจาแทงใจเขาเหลือเกิน ไอร้อนจากกายเขาผสานกับกลิ่นน้ำหอมเกิดเป็นกลิ่นกายเฉพาะตัว คล้ายปลุกเร้าความทรงจำในค่ำคืนนั้นให้หวนกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวหน้าตาแตกตื่น คราวนี้เธอกลัวเขาขึ้นมาจริงๆ ร่างกายของเธอแข็งเกร็งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ โจวเจียอีรับรู้ได้ว่า การกระทำของตนทำให้เธอตกใจ จึงจำใจผละจากริมฝีปากที่บวมเจ่อเล็กน้อยแล้วถอนหายใจหนักหน่วงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ แต่เพราะเตียงเล็กทำให้เขาต้องดึงเธอมากอดไว้“ขอโทษ...”“คะ?”“คุณกลัวสินะ”“หมิวตกใจค่ะ” เธอสารภาพ “เรา...เราค่อยเป็นค่อยไปได้ไหม”“อื้ม...” เขากอดเธอแน่นขึ้น “ถึงยังไงตอนนี้ผมก็มีอะไรกับคุณไม่ได้”“คะ?” เธอผงกศีรษะขึ้นมองใบหน้าชายหนุ่ม “คุณไม่สบายเหรอ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”โจวเจียอีหัวเราะ ก่อนจูบหน้าผากเธอเบาๆ“เปล่า ผมแต่ไม่ได้เตรียมตัวมามีเซ็กส์กับคุณ”“คุณ...พูดตรงไปหรือเปล่า” คราวนี้เธอหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ“ผมเป็นคนตรงไ
เธอขมวดคิ้วสีหน้ายุ่งเหยิง แอบคิดในใจว่าเขาจะมาแสดงความยินดีที่เธอก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่ทำไมต้องทำหน้าโมโหอย่างนี้ด้วยนะ คราวนี้ก้องภพนิ่งงันไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเขาจะเคยพูดประโยคนี้จริงๆ ทำไมเขาต้องรู้เรื่องนี้จากปากคนอื่น ทั้งที่เวลาเธอมีเรื่องอะไรจะมาปรึกษาเขาเป็นคนแรกเสมอ และเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหัวเสียจนแทบเก็บอาการไม่อยู่แบบนี้ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงทุ่มต่ำดังจากด้านหลัง ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาใกล้แล้วถอดแว่นกันแดดออก ดวงตาสีน้ำตาลหรี่มองอย่างไม่พอใจนัก แต่กระนั้นก็ยังก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างหญิงสาวที่ตนนัดหมายไว้ “ไม่มีอะไรค่ะ” ธีรยาตอบด้วยรอยยิ้ม “มาเร็วจัง” “มาเร็วไม่ดีหรือ?” โจวเจียอีถามแล้วยื่นมือไปช่วยถือกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊คของหญิงสาว เธอย่นจมูกใส่เขาแล้วหันไปแนะนำให้รู้จักกับผู้ชายที่เธอยืนคุยก่อนที่เขาจะมาปรากฏตัว “อีริคค่ะ นี่พี่หมอก้องค่ะ เป็นรุ่นพี่หมิวเอง” เธอแนะนำง่ายๆ แล้วหันไปทางหมอก้องภพ “พี่หมอก้องคะ นี่...” “ผมแซ่โจวชื่อเจียอี ส่วนชื่ออีริคเรียกเฉพาะค
“พี่ชายที่ไหนจะหึงน้องสาวขนาดนี้” เขาจ้องตาเธอ แต่หญิงสาวส่ายหน้าไปมา“หึง? เข้าใจผิดแล้ว พี่หมอก้องกำลังจะแต่งงาน ก็หมิวเลือกชุดใส่ไปงานแต่งงานก็งานแต่งงานของพี่หมอก้องนี่แหละ”“ผู้ชายด้วยกันเรื่องแค่นี้มองออก แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ยอมปล่อยมือจากคุณเด็ดขาด”เขายืนยันด้วยแววตาในขณะที่ปลายนิ้วแตะต้องที่กางเกงชั้นในตัวน้อยที่ปกปิดเนินเนื้ออวบอิ่ม เธอรีบตะครุบมือเขาไว้แต่มันก็ยังช้าเกินไป เขาแทรกนิ้วกร้านเข้าไปในร่องสาวและขยับนิ้วเป็นจังหวะทำให้เธอต้องกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง แต่นั้นยิ่งทำให้เขาขยับนิ้วหนักหน่วงมากขึ้น“อึก...คุณ...อิริค..อ๊ะ!”ธีรยาเอนหน้าซบกับบ่าแล้วกัดเสื้อของเขาเพื่อกลั้นเสียงครางของตัวเอง แม้รู้ว่ามีกระจกกั้น แต่ไม่รู้ว่าจะเก็บเสียงร้องที่น่าอายนี้ได้หรือไม่ ยิ่งเธอกลั้นเสียงร้องเขาก็ยิ่งสาวนิ้วเร็วขึ้น เธอแอบเห็นสีหน้าพอใจของเขาแล้วก็หงุดหงิดที่ตัวเองไม่เคยต้านทานเขาได้สักครั้ง มือเรียวดึงปกเสื้อเชิ้ตออกเพื่อให้เห็นลำคอของเขาก่อนจะอ้าปากกัดเข้าไป“อา...ยัยหอยทาก คืนนี้คุณไม่ได้นอนแน่”“อ๊ะ..อ๊า” เธอได้แต่ส่งเสียงอู้อี้กับลำคอของเขาพร้อมร่างที่เกร็งกระตุก ถูกเขาส่งใ
เธอช้อนตาขึ้นมองอย่างลังเล แต่เมื่อเห็นแววตาลุ่มลึกคู่นั้นราวกับอนุญาตให้ทำได้ตามใจ เธอจึงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาออก เผยให้เห็นแผงอกกำยำและรอยสักรวมทั้งหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ “อนาโตมี่สวยจริงๆ” เธอพึมพำไม่รู้ตัว “ผมเพิ่งเคยถูกชมแบบนี้เป็นครั้งแรก”เขาครางเสียงต่ำเมื่อปลายนิ้วไล้บนแผ่นอก พระเจ้า! เธอจะรู้ไหมว่าการสัมผัสแผ่วเบาแต่ปลุกเร้าเขามากแค่ไหน เหนือการคาดหมายเมื่อริมฝีปากสวยประทับที่ยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจาง ปลายลิ้นไล้เลียก่อนดูดดึงเบาๆ เสียงครางแผ่วจากลำคอของชายหนุ่มทำให้ธีรยาใจกล้าขึ้น เธอโยนความกลัวทิ้งไปเสื้อผ้าที่เขาปลดเปลื้องออกจนหมด เขาเหมือนขนมหวานราคาแพงที่เธอรู้ว่าไม่อาจได้ลิ้มรส แต่จะคิดมากไปทำไมในเมื่อเวลานี้เธอมีโอกาสกินให้เต็มที่ ทำที่อยากทำ ส่วนวันพรุ่งนี้คือเรื่องที่ยังมาไม่ถึง แต่ถึงจะกล้าแค่ไหน เธอก็ยังเป็นแค่มือใหม่ แค่ปลดซิปกางเกงก็มือไม้สั่น เธอช้อนตาขึ้นมองเพื่อขอความช่วยเหลือ และเขาก็ใจดีไม่หัวเราะเยาะใส่ โจวเจียอีจับมือเรียวให้รูดซิปลงก่อนจะจับมือเธอให้สัมผัสแก่นกายที่อัดแน่นอยู่ใต้กางเกงชั้นใน ขนาด
เธอใกล้จะหมดแรงแต่เขากลับรัดเอวบางไว้แล้วเป็นฝ่ายเด้งเอวขึ้นสวน ร่างเล็กกระเด็นกระดอนอยู่บนร่างของเขา เธอกอดคอเขาไว้แล้วปล่อยให้เขากระแทกลำเอ็นใส่ เพียงพริบตาเขาก็ประคองแผ่นหลังของเธอนอนราบไปกับที่นอนโดยที่แก่นกายยังสอดใส่อยู่ เธอผวาเฮือกเพราะท่อนเนื้อร้อนระอุนั้นไถลเข้าไปลึกมาก เขาโยกสะโพกช้าลงแต่บดคลึงและสาวลำออกมาเกือบสุดก่อนกดกระแทกกลับเข้าไปใหม่ เสียงหวานครางกระเส่าไม่หยุด เหงื่อเม็ดโตไหลอาบร่างกำยำที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านบน สองขาเรียวโอบรัดเอวสอบอย่างไม่รู้ตัวโจวเจียอีซอยเอวดุดันและดิบเถื่อน เสียงครวญครางของคนใต้ร่างเร่งเร้าให้เขาขยับโยกจนร่างเธอสั่นคลอนตามแรงกระแทก ทรวงอกอวบอิ่มถูกบดเบียดจนแผ่งอกกำยำ ริมฝีปากที่เผยอขึ้นเพื่อหายใจถูกเขาประกบจูบดูดกลีบอย่างเร่าร้อน ช่องทางคับแคบบีบรัดความเป็นชายจนเขาแทบคลั่ง ลมหายใจหอบกระชั้นดังอย่างต่อเนื่อง กลีบเนื้อสาวที่โอบรัดลำเอ็นบวมเป่งทั้งดูดกลืนและบีบรัดแก่นกายที่ขยายใหญ่ เขาไม่อาจต้านทานการตอบรับอย่างซื่อสัตย์ของเธอได้ ความเสียดเสียวที่ได้รับทำให้เขาขยับสะโพกกระแทกเข้าไปอย่างรุนแรงก่อนจะถอนตัวตนออกมาจนเกือบสุดแล้วกระแทกกลั
“สเต็กเนื้อวัว สลัดผักผักโขมอบชีสแล้วก็ไวน์แดง” เขาบรรยายเมนูอาหารของค่ำนี้ “หรูพอไหมครับ” หญิงสาวพยักหน้ารับ “ระดับประธานโจวลงมือทำให้กินนี่ก็เรียกว่าหรูแล้ว” “ผมทำอาหารได้ไม่กี่อย่าง” เขายอมรับ “ถ้าคุณไม่โอเค. เราสั่งอย่างอื่นมาได้นะ” “ก็บอกแล้วไงคะ ว่าหมิวกินง่ายอยู่ง่าย หรือไม่ก็...คราวหน้าให้หมิวทำกับข้าวให้คุณกิน” “คุณพูดเองนะ” เขาพูดยิ้มๆ แล้วยกจานสเต็กมาวางบนโต๊ะอาหาร “ถึงหมิวจะเป็นหมอในห้องแล็บแต่ก็ถนัดใช้มีดนะคะ” เธอฉีกยิ้มใส่ “อ้อ! แต่หมิวทำเป็นแต่เมนูง่ายๆ นะ ตอนอยู่บ้านเด็กกำพร้าก็ต้องช่วยแม่ครัวทำอาหารอยู่บ่อยๆ” “ขอแค่คุณทำให้ผมกิน ผมกินได้ทั้งนั้น” เขาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่งแล้วเดินไปหยิบแก้วมารินไวน์สองแก้ว “คุณ...จะไม่ใส่เสื้อหน่อยเหรอ” “ผมขี้ร้อน” เขายิ้มกริ่ม “ใส่เสื้อเถอะคะ หมิวไม่มีสมาธิกินข้าว” เธอย่นจมูกใส่ เขาหัวเราะแล้วเดินหายไปไม่กี่นาทีกลับมาพร้อมร่างสูงโปร่งที่สวมเสื้อยืดคอวีสีเข้ม เขาเดินอ้อมมาด้านหลังแล้วรวบผมเธอเป็นมวยใช้ดินสอแทนปิ