“สเต็กเนื้อวัว สลัดผักผักโขมอบชีสแล้วก็ไวน์แดง” เขาบรรยายเมนูอาหารของค่ำนี้ “หรูพอไหมครับ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ “ระดับประธานโจวลงมือทำให้กินนี่ก็เรียกว่าหรูแล้ว”
“ผมทำอาหารได้ไม่กี่อย่าง” เขายอมรับ “ถ้าคุณไม่โอเค. เราสั่งอย่างอื่นมาได้นะ”
“ก็บอกแล้วไงคะ ว่าหมิวกินง่ายอยู่ง่าย หรือไม่ก็...คราวหน้าให้หมิวทำกับข้าวให้คุณกิน”
“คุณพูดเองนะ” เขาพูดยิ้มๆ แล้วยกจานสเต็กมาวางบนโต๊ะอาหาร
“ถึงหมิวจะเป็นหมอในห้องแล็บแต่ก็ถนัดใช้มีดนะคะ” เธอฉีกยิ้มใส่ “อ้อ! แต่หมิวทำเป็นแต่เมนูง่ายๆ นะ ตอนอยู่บ้านเด็กกำพร้าก็ต้องช่วยแม่ครัวทำอาหารอยู่บ่อยๆ”
“ขอแค่คุณทำให้ผมกิน ผมกินได้ทั้งนั้น” เขาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่งแล้วเดินไปหยิบแก้วมารินไวน์สองแก้ว
“คุณ...จะไม่ใส่เสื้อหน่อยเหรอ”
“ผมขี้ร้อน” เขายิ้มกริ่ม
“ใส่เสื้อเถอะคะ หมิวไม่มีสมาธิกินข้าว” เธอย่นจมูกใส่ เขาหัวเราะแล้วเดินหายไปไม่กี่นาทีกลับมาพร้อมร่างสูงโปร่งที่สวมเสื้อยืดคอวีสีเข้ม เขาเดินอ้อมมาด้านหลังแล้วรวบผมเธอเป็นมวยใช้ดินสอแทนปิ่นปักผมให้เธอ
“ห้องผมไม่มผ้ารัดผม คราวหน้าผมจะหาไว้ให้” เขาพูดหลังจากรวบผมให้เธอแล้วเพราะเกรงว่าเธอจะกินไม่สะดวก แต่ผมเธอยาวนุ่มลื่นมือจนอยากสัมผัสไปทั้งชีวิต
“หมิวมีสำรองในกระเป๋าค่ะ” เธอขอบคุณเขาอีกครั้ง จริงๆ เธอไม่ได้อยากไว้ผมยาวสลวยอะไรนักแต่เพราะไม่ค่อยมีเวลาจัดการผมตัวเอง ถ้ารู้สึกว่ายาวมากก็แค่คว้ากรรไกรมาตัดเอง เป็นครั้งแรกที่มีคนมารวบผมให้แบบนี้ รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน
“เพิ่มรสชาติครับ” มือใหญ่รินไวน์ใส่แก้วสองใบแล้วส่งให้หญิงสาว
“ปกติหมิวไม่ค่อยดื่มนะคะ” เธอรับมาจิบเล็กน้อยและเริ่มลงมือกินสเต็กอย่างหิวโหย คงเพราะใช้พลังงานไปมากเลยหิวขนาดนี้
“วันนั้นคุณยังดื่มเลย”
“ก็...วันนั้นอกหัก”
“หือ? ใครกล้าหักอกคุณ”
เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ หั่นสเต็กเป็นชิ้นพอดีคำแล้วละเลียดกินช้าๆ สายตามองหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามอย่างเอ็นดู เธอตัวเล็กแต่กินจุ เขาชอบผู้หญิงที่กินแบบไม่หวงว่าจะอ้วนหรือผอมหรือต้องคำนวนแคลอรี่ตลอดเวลา เธอไม่ได้กินแบบตะกละตะกราม แต่กินได้น่าอร่อยจนเขาคิดว่าฝีมือตัวเองต้องระดับเชฟมิชลินสตาร์แน่ๆ
“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้” เธอเบ้ปากใส่ อาหารอร่อยทำให้อารมณ์ดีจริงๆ
“ผู้ชายตาไม่ถึงกับยัยหอยทาก” เขาโคลงศีรษะไปมาแล้วรินไวน์เติมให้แก้วของเธอ
“คุณพูดเล่นกับหมิวก็พูดได้นะ แต่พูดแบบนี้ให้คนอื่นได้ยิน พี่หมอก้องจะเสียหายเอา” เธอเตือนเขา ตัวเธอไม่มีอะไรอยู่แล้ว แต่พี่หมอก้องกำลังจะแต่งงาน ถ้าว่าที่ภรรยาได้ยินเข้าคงไม่สบายใจแน่นอน
“ผู้ชายที่ทำให้คุณอกหักคือหมอก้องอะไรนั้นจริงๆสินะ”
“อืม” หญิงสาวพยักหน้ารับ “หมิวไม่ปิดบังคุณ เพราะคุณจริงใจกับหมิว แต่เรื่องนั้นเป็นความรู้สึกที่หมิวมีต่อพี่หมอก้องอยู่ฝ่ายเดียวค่ะ”
“คุณไม่เคยบอกเขาเหรอ” โจวเจียอีเลื่อนจานสลัดผักให้หญิงสาว
“ไม่ค่ะ”
“ทำไม?”
“ก็...” เธอจิ้มมะเขือเทศแล้วส่งเข้าปาก สบตากับดวงตาคมคู่นั้นแล้วหลุบตาลง
“คุณคิดว่าตัวเองเป็นโตมาในบ้านเด็กกำพร้าไม่เหมาะสมคู่ควรกับผู้ชายคนนั้นสินะ” เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เหมือนกับที่คุณปิดกั้นไม่ยอมให้ผมเข้าใกล้”
“คุณเข้าใกล้หมิวมากที่สุดแล้ว” เธอแย้งแล้วกินผักโขม อบชีส “อันนี้ก็อร่อย”
“ทำไมคุณด้อยค่าตัวเองขนาดนี้นะ” เขาส่ายหน้าไปมา
“เจียมตัวต่างหากไม่ใช่ด้อยค่า” มือเรียวยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม
“คุณไม่ควรรู้สึกแบบนั้น”
“หมิวต้องรู้สึกสิ ต้องสำเหนียกตลอดเวลา คนอื่นมาชี้นิ้วจิ้มหัวจะได้ไม่รู้สึกรู้สาอะไร”
“หมิว” เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ผมไม่รู้ว่าคุณเจออะไรมา แต่คุณผ่านมันมาแล้ว ตอนนี้คุณมีหน้าที่การงานที่ดี ผมเองได้ยินเรื่องของคุณบ่อยๆ จนคิดว่าคุณเป็นลูกสาวแท้ๆ ของคุณน้าเพ็ญนภาด้วยซ้ำไป แม้คุณเติบโตมาในบ้านเด็กกำพร้าแต่คุณใช้ชีวิตที่ได้ดี บางคนที่เกิดมาในครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมแต่ยังมีใช้ชีวิตไม่ดีเท่าคุณเลย”
“คุณคิดแบบนั้นเหรอคะ? คุณคบกับหมิว คุณจะไม่อายเหรอคะ ถ้าคนอื่นถามถึง”
“ไม่” เขายืนยัน “คุณมาถึงจุดนี้ได้ด้วยตัวเอง นั้นคือสิ่งที่ควรภาคภูมิใจต่างหาก พูดแล้วจะหาว่าคุย ผมเจอคนมาเยอะ ลูกเศรษฐีใช้ชีวิตไม่เป็น ใช้เงินเป็นน้ำ สร้างเรื่องสร้างภาระมาให้พ่อแม่ต้องตามล้างตามเช็ด คิดดูสิ เทียบกับคุณแล้ว ชีวิตคุณดีกว่าพวกเขาหลายสิบเท่านัก”
“คุณก็พูดให้หมิวดีใจ”
“ผมพูดจากใจ ผู้หญิงที่ผมถูกใจย่อมดีที่สุดเสมอ”
คราวนี้ธีรยาหัวเราะออกมา “คุณรู้ไหม คนเรามักถูกสัญชาตญาณหรือแรงขับภายในดึงดูดซึ่งกันและกันเสมอ โดยมีฮอร์โมนทางเพศเป็นตัวขับเคลื่อน ในผู้ชายจะมีฮอร์โมนเพศชาย คือ เทสโทสเตอโรนที่มาจากการผลิตของอัณฑะ และในผู้หญิงจะมีฮอร์โมนเพศหญิง คือ เอสโตรเจนที่มาจากการผลิตของรังไข่ ซึ่งทั้งสองมีศูนย์กลางการควบคุมอยู่ในสมองส่วนไฮโปทาลามัส เราเรียกว่าความใคร่ ส่วนความหลงใหล หรือการตกหลุมรัก อาการตกอยู่ในภวังค์แห่งความรัก และอาจทำอะไรโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งการทำงานของสมองจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มสารเคมีที่ชื่อว่า “โมโนเอมีน” ได้แก่ โดปามีน (Dopamine) เป็นสารแห่งความสุขที่จะหลั่งออกมาหลังรู้สึกพึงพอใจ อีพิเนฟริน (Epinehrine) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ อะดรีนาลีน จะกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกตื่นเต้น เขินอายเวลาเจอคนที่ชอบ เซโรโทนิน (Serotonin) จะส่งผลต่อการแสดงออก เมื่อสมองหลั่งสารชนิดนี้ออกมาเราจะเกิดพฤติกรรมบางอย่างโดยที่ไม่รู้ตัว เช่น การเผลอยิ้ม ส่วนความผูกพัน เป็นความสัมพันธ์ในระยะยาว โดยถูกกระตุ้นจากฮอร์โมนสองชนิดคือ ออกซิโตซิน (Oxytocin) เป็นฮอร์โมนด้านความสัมพันธ์ หากคู่รัก หรือคนในครอบครัวมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันบ่อย ๆ จะทำให้สมองหลั่งสารชนิดนี้ออกมามาก วาโสเปรสซิน (Vasopressin) เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทต่อคู่รัก ทำให้เกิดความรู้สึกอยากใช้ชีวิตร่วมกัน”
เธอหยุดพูดแล้วสบตากับเขาที่ตั้งใจฟังอยู่
“ตอนนี้หมิวคิดว่า...หลังจากถูกคุณกระตุ้นให้ถึงจุดออกัสซั่มทำให้หลั่งฮฮร์โมนเอ็นดอร์ฟิน (endorphin )หรือสารแห่งความสุขออกมา ทำให้หมิวคิดว่าตอนนี้...หมิวคงชอบคุณแล้วล่ะค่ะ คุณอีริค”
“เอ่อ...” โจวเจียอีนิ่งงันไปอึดใจ “คุณสารภาพว่าชอบผมใช่ไหม”
“อืม...” เธอสบตากับเขาก่อนหลุบตา “ชอบคุณไปแล้ว และก็กลัวที่จะหลงรักคุณด้วยนะสิ อาการแบบนี้ หมิวยังวินิจฉัยไม่ได้ว่าจะจัดการยังไงดี หรือต้องปรึกษาจิตแพทย์หรือเปล่าก็ไม่รู้”
“คุณนี่ก็...ไม่ใช่หอยทากเสียหน่อย” เขาหัวเราะออกมา “ทำไมต้องกลัวที่จะรักผม ผมเป็นคนอันตรายเหรอ”
“กลัวคุณหักอกฉันต่างหากล่ะ” เธอแลบลิ้นใส่ แล้วแกว่งแก้วไวน์ที่ว่างเปล่า หัวใจของเธอก็ว่างเปล่าเหมือนแก้วใบนี้ที่รอความรู้สึกของใครสักคนมาเติมเต็ม
“ผมสัญญา ผมไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน”“อย่าเพิ่งสัญญาอะไรแบบนั้นเลย เราเพิ่งเริ่มต้นกันเอง”“แค่คุณให้โอกาสเริ่มต้น ผมก็ดีใจแล้ว” “ถ้างั้น...เรามาลองคบกันอย่างเป็นทางการดีไหมคะ” “ด้วยความยินดีและเต็มใจยิ่งครับ เติมไวน์อีกไหม?”“คุณจะมอมไวน์หมิวเหรอคะ” “ดื่มฉลองกับผมหน่อย ผมจีบหอยทากน้อยติดเสียที”“อิริค! หมิวไม่ใช่หอยทากน้อยนะ”เสียงหวานใสหัวเราะออกมาทำลายบรรยากาศ ห้องที่อึมครึมเหมือนเจ้าของห้องพลันเปลี่ยนไปทันทีที่มีหญิงสาวเข้ามาในห้องบางที...ไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่ทำลายเปลือกที่ห่อหุ้มตัวเองออก แต่เป็นเขาเช่นกันที่เปิดใจ ‘รัก’ ใครคนหนึ่งจากหัวใจที่แท้จริง.......... หญิงสาวก้าวเร็วๆ จนแทบจะกลายเป็นวิ่งมาที่แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เพียงผลักบานประตูเข้าไปก็กวาดสายตามองหาคนที่ต้องการพบ กำลังอ้าปากจะถามพยาบาลแต่ก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นตาเสียก่อนจึงรีบเดินเข้าไปหา ก้องภพรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้แต่ประสบการณ์ทำให้มีสมาธิจัดการกับแผลตรงหน้าจนเสร็จเรียบร้อย “เป็นยังไงบ้างคะ” ธีรยาเอ่ยปากถามอย่างเป็นกังวล “ไม่เป็นไรไกลหัวใจตั้งเยอะ”
“ไม่มีอะไร” ธีรยาหงุดหงิด แล้วตวัดตามองก้องภพอย่างขุ่นเคือง “ลูกน้องมีเรื่องต่างหาก แต่คุณโจวเป็นหัวหน้ามาไกล่เกลี่ยเสียค่าปรับให้ลูกน้องค่ะ” “ไม่ทันไรก็พูดแก้ต่างแทนกันแล้ว” ก้องภพทำเสียงเหอะในลำคอ “หมิวพูดเรื่องจริงต่างหาก” “เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเถียงพี่สักคำ เดี๋ยวนี้พูดถึงคนนั้นนี่กล้าเถียงแทนเลยเหรอ” “ก็...” “พี่ก้องคะ ผู้ใหญ่รออยู่นะคะ” เขมิกากระตุกแขนเสื้อของก้องภพเบาๆ ทำให้ก้องภพได้สติ เขาลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคว้ามือเรียวของว่าที่เจ้าสาวแล้วกึ่งลากกึ่งจูงออกไป “เกิดอะไรขึ้นเนี้ย” ปกป้องทำหน้างง แต่ที่งงกว่าคือคนที่เขาหมายตามาตั้งแต่เด็กมีแฟนโดยที่เขาไม่รู้!“หมิว...” “ค่อยคุยกันวันหลังก็แล้วกัน” เธอปวดหัวขึ้นมาตุบๆ ขึ้นมา “นายต้องกลับไปที่ทำงานอีกหรือเปล่า ยังไงคืนนี้ต้องระวังมีไข้ กินข้าวแล้วกินยาพักผ่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ โทรหาหมิวแล้วส่งโลเคชั่นมา หมิวจะไปดู เข้าใจนะ” “อืมๆ” ปกป้องอยากคุยกับธีรยามากกว่านี้แต่เขาต้องกลับไปทำรายงานที่เจ็บตัวนี่ก่อน “เดี๋ยวเราโทรนะ”
“สิบสองปีแล้วครับ”“โอ้ว! นานจริง แสดงว่าต้องรู้เรื่องของอีริคบ้างใช่ไหม” เธอเงยหน้ามองบอดี้การ์ดของโจวเจียอีด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง แต่ดวงตาหลังแว่นตากรอบหนาพราวระยับจนคนมองนิ่งงันไปชั่วขณะ“คือหมิวอยากรู้ว่าอีริคชอบกินอะไรบ้าง หรือไม่ชอบอะไร เผื่อหมิวจะทำให้เขาได้บ้าง”“อ้อ! เรื่องนั้นได้เลยครับ ถามผมได้ทุกเรื่องเลยครับ” เจสันรีบพูดขึ้น แบบนี้ถ้าบอสรู้เข้าต้องดีใจแน่ๆ“แล้วบอสของคุณมีผู้หญิงเยอะไหมคะ”“แค่กๆ...เรื่องนั้น””“ช่างเถอะค่ะ ถือว่าหมิวไม่เคยพูดแล้วกัน”เขาอายุสามสิบแล้ว ถ้าเคยมีแฟนมาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ปัจจุบันต่างหากที่เธอต้องสนใจทั้งสองเดินขึ้นบันไดมาที่ชั้นสามตามที่ปกป้องบอกไว้ เจสันเคาะประตูห้องอย่างมีมารยาทไม่กี่วินาทีต่อมาเจ้าของห้องก็เปิดประตูมาพร้อมใบหน้าที่มีรอยช้ำ“เขียวแล้ว” ธีรยาอดเอานิ้วจิ้มที่มุมปากของเขาไม่ได้ “นายนี่มันเหมือนเด็กจริงๆ”“มาเยี่ยมหรือมาบ่น” ปกป้องเบ้ปากแต่เพราะเจ็บปากจึงเผลอร้องซี๊ดออกมา เขาปรายตามองไปยังชายชาวจีนสวมชุดสูทสีเข้มที่ยืนอยู่ด้านข้าง ดูไม่เข้ากับปิ่นโตสีพาสเทลที่ถืออยู่“หมอนั้น...แฟนเธอเหรอ”“ไม่ใช่” ธีรยารีบปฏ
“รู้แล้วนะ เจอกันวันงานแต่งพี่หมอนั้นนะ”“ทำไมต้องเรียกพี่หมอก้องแบบนั้นนะ” เธอส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เข้าใจ ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อยแล้วธีรยาก็ขอตัวกลับประตูห้องปิดลงแล้ว ปกป้องเดินไปที่หยิบโน้ตบุ๊คมาเปิดขึ้นทันทีแล้วเสิร์ซชื่อผู้ชายที่ธีรยากำลังคบหาดูใจอยู่ อ่านข่าวมาเยอะ ได้ยินมาแยะ อย่าว่าเขาอคติเลย แต่เขาไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้นเลยจริงๆ... หญิงสาวอยู่ในชุดเดรสไหล่กว้างอวดไหล่สวย กระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กน้อยรับกับรองเท้าส้นสูงที่นานๆ จะสวมสักครั้ง ผมยาวถูกดัดเป็นลอนสวยแปลกตา ใบหน้าหวานแต้มแต่งสีสันอย่างพอดี ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีส้มอมชมพูและวันนี้เธอใส่คอนแทคเลนส์แทนแว่นสายตากรอบหนาที่สวมเป็นประจำ เจ้าของร่างเล็กสูง 155 เซนติเมตร หมุนตัวหน้ากระจกบานใหญ่ตรงหน้าไม่คิดว่าจะได้เห็นตัวเอง ‘สวย’ ขนาดนี้ ธีรยามองเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก เห็นโจวเจียอีหยุดมองเธออยู่ก็หมุนตัวกลับไปส่งยิ้มให้เขาพลางยกมือขึ้นแตะเรือนผมอย่างเก้อเขิน “คุณมาแล้วเหรอ” “ขอโทษที่มาช้าไปหน่อย”โจวเจียอีตื่นจากภวังค์แล้วเดินเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นหอมละมุนจากหญิงสาว เขาไม่รู
“พูดจริงๆนะ หมิวไม่คิดเรื่องตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงหรอก หากพวกเขาอยากเจอหมิวคงมาตามหาหมิวตั้งนานแล้วละ พวกเขาคงมีครอบครัวใหม่กันไปแล้ว อย่าให้การมีตัวตนของหมิวทำให้พวกเขาเดือนร้อนใจหรือไม่มีความสุขดีกว่า” เธอส่งยิ้มให้เขา“จริงๆ นะคะ” “ครับ” เขาบีบมือเธอ “คุณมีผมอยู่นะ ไม่ได้ตัวคนเดียว ครอบครัวผมก็คือครอบครัวของคุณ” “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเข้าไปรดน้ำสังข์และอวยพรให้คู่บ่าวสาว วันนี้เขมิกาสวยเจิดจ้าสมเป็นเจ้าสาวจริงๆ เห็นแบบนี้ก็แล้วเธอพลอยสบายใจไปด้วย เรื่องบาดหมางเข้าใจผิดคงคลี่คลายในไม่ช้า เขมิกายิ้มรับคำอวยพรพลางปรายตามองเจ้าบ่าวที่นั่งอยู่เคียงข้าง แม้เขายิ้มแต่แววตาตรงข้าม แต่ช่างเถอะ เพราะตอนนี้เขาคือสามีของเธอแล้ว เขาคงไม่กล้าทำร้ายจิตใจเธอและคนในครอบครัวแน่นอน พิธีเช้าดำเนินไปจนเสร็จสิ้นด้วยดี แขกเรื่อเข้ามาถ่ายรูปกับคู่บ่าวสาว ธีรยาคว้ามือโจวเจียอีให้เข้าไปถ่ายรูปด้วยกัน “ขอแสดงความยินดีด้วยครับ” โจวเจียอีกเอ่ยอย่างสุภาพและไม่สนใจสายตาของก้องภพ เขาจับมือผู้หญิงคนตนเองแน่นราวกับตอกย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่มี
ธีรยาไม่รู้ต้องทำอย่างไร หลายปีที่รู้จักก้องภพ เขาไม่เคยทำแบบนี้กับเธอมาก่อนและยิ่งวันนี้ เวลานี้ ผู้หญิงคนเดียวที่เขาจะกอดได้คือเจ้าสาวของเขาซึ่งไม่ใช่เธอ “พี่ก้องปล่อยหมิวนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” “กลัวไอ้หมอนั้นเห็นหรือไง” “พี่หมอก้องช่วยพูดถึงคนรักของหมิวดีๆด้วยค่ะ” หญิงสาวดิ้นขลุกขลักแต่เขากลับกอดรัดแน่นขึ้น “ทำไมถึงเป็นผู้ชายคนนั้น!” เขากัดฟันกรอดด้วยความโมโห “หมิวยั่วให้พี่โกรธใช่ไหม ทำแบบนี้คิดดีแล้วเหรอ” “เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะคะ หมิวจะคบกับใครก็ได้” ก้องภพหัวเราะเย้ยเยาะ “หรือจริงๆ แล้วหมิวก็กระสันอยากได้ผู้ชายรวย ถ้าอยากได้แบบนั้นทำไมไม่บอกพี่แต่แรก ถ้า..” “พี่หมอก้อง! ถ้าพี่ไม่ปล่อยหมิว หมิวจะร้องให้คนช่วย อย่าลืมนะคะว่าพี่หมอก้องแต่งงานแล้ว!” คำว่า ‘แต่งงาน’ เรียกสติของก้องภพได้ วงแขนที่กอดรัดคลายออกอย่างไม่รู้ตัว ธีรยาได้จังหวะรีบสะบัดตัวหลุดออก หญิงสาวจ้องหน้าเขาด้วยความรู้สึกเสียใจ เธอรักและเคารพก้องภพมาก ไม่คิดว่าเขาจะทำเช่นนี้กับเธอ ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีหายไป
“คราวนี้ไม่ได้แล้ว” เขาพูดน้ำเสียงเคร่งเครียดก่อนก้มมองสบตากับคนในอ้อมแขน “คุณทำผมเครื่องร้อนแล้ว” “เอ่อ...” ธีรยาเข้าใจได้ในทันทีเพราะมีบางสิ่งดุนดันอยู่ “หมิวไม่ได้ตั้งใจ” เธอไม่ได้ตั้งใจ แต่เขานะ...ตั้งโด่แล้ว! โจวเจียอีอุ้มร่างนุ่มนิ่มเข้าด้านใน เขาสาวเท้ายาวๆ อุ้มร่างเธอว่างบนเคาน์เตอร์เครื่องดื่มแล้วกดจูบอย่างหิวกระหาย มือใหญ่เลื่อนไปที่แผ่นหลังเพื่อหาซิปซ่อนแล้วจัดการรูดออกอย่างรวดเร็ว “อื้อ...ช้าหน่อยค่ะ” ธีรยาประท้วงเบาๆ เมื่อเขายอมถอนจูบให้เธอได้สูดอากาศหายใจ ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นราวกับลูกไฟที่พร้อมจะหลอมละลายเธอไปด้วยสัมผัสของเขา “ผมทนไม่ไหวแล้ว” เขาพูดเสียงพร่าแล้วขบเม้มติ่งหู “ทะ...ที่นี่...ตรงนี้เหรอคะ...” หญิงสาวถามเสียงสั่นเสื้อผ้าเลื่อนหล่นจากกาย ร่วมรักกันหลายครั้งแต่ก็อยู่ในห้องมิดชิด แต่นี่...กลางบ้านแบบนี้ เธอ... “ไม่มีคนอื่นในบ้านหลังนี้” โจวเจียอีพูดอย่างรู้ทันความคิดของคนขี้อาย “ที่นี่มีแค่คุณกับผม” หญิงสาวลอบมองรอบข้างไม่เห็นมีใครอื่นจริงๆ ยังไม่ทั
มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขาไม่ได้มีเซ็กส์ดุเดือดอย่างนี้มานานแล้ว ที่ผ่านมาเขาควบคุมความต้องการของตัวเองได้อย่างดี และเมื่อมีธีรยาเขาก็มักจะ ‘อ่อนโยน’ กับเธอเสมอ แต่ครั้งนี้ได้ปลดปล่อยตัวเองจนหมดสิ้น และนานแล้วที่เขาไม่ได้มีเซ็กส์แบบไร้เครื่องป้องกันเช่นนี้ แต่เขาไม่คิดว่านี่เป็นลูกไม้ที่เธอจะใช้จับเขา แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้...กับผู้หญิงคนนี้ เขารู้สึกต้องการเธอและอยากทำทุกวิถีทางที่จะครอบครองเธอไว้ หญิงสาวปรับลมหายใจครู่หนึ่งแล้วลืมตามองคนที่เธอนอนหนุนแขน มือใหญ่ยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้มเธอออกเบาๆ เธอรับรู้ได้ถึงของเหลวที่ยังไหลออกมาจากร่องรัก มันน่าอายจนเธอขยับตัวขยุกขยิกพยายามกลั้นไม่ให้มันไหลออกมา “ไม่สบายตัวเหรอ” โจวเจียอีถามพลางยันกายขึ้นมองคนตัวเล็ก “ผมขอโทษ ผมยั้งใจไม่อยู่จริงๆ” “เปล่าคะ ไม่ใช่แบบนั้น” เธอยิ้มเขินๆแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมกายเปลือยเปล่า “หมิวแค่คิดว่าตัวเองทำให้ที่นอนคุณเลอะเทอะ” เขาเลิกคิ้วงุนงงก่อนคลี่ยิ้มออกมา “ไหนๆ ก็ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอน เราทำกันอีกรอบ