“รู้แล้วนะ เจอกันวันงานแต่งพี่หมอนั้นนะ”
“ทำไมต้องเรียกพี่หมอก้องแบบนั้นนะ” เธอส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เข้าใจ ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อยแล้วธีรยาก็ขอตัวกลับ
ประตูห้องปิดลงแล้ว ปกป้องเดินไปที่หยิบโน้ตบุ๊คมาเปิดขึ้นทันทีแล้วเสิร์ซชื่อผู้ชายที่ธีรยากำลังคบหาดูใจอยู่ อ่านข่าวมาเยอะ ได้ยินมาแยะ อย่าว่าเขาอคติเลย แต่เขาไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้นเลยจริงๆ.
..
หญิงสาวอยู่ในชุดเดรสไหล่กว้างอวดไหล่สวย กระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กน้อยรับกับรองเท้าส้นสูงที่นานๆ จะสวมสักครั้ง ผมยาวถูกดัดเป็นลอนสวยแปลกตา ใบหน้าหวานแต้มแต่งสีสันอย่างพอดี ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีส้มอมชมพูและวันนี้เธอใส่คอนแทคเลนส์แทนแว่นสายตากรอบหนาที่สวมเป็นประจำ เจ้าของร่างเล็กสูง 155 เซนติเมตร หมุนตัวหน้ากระจกบานใหญ่ตรงหน้าไม่คิดว่าจะได้เห็นตัวเอง ‘สวย’ ขนาดนี้
ธีรยามองเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก เห็นโจวเจียอีหยุดมองเธออยู่ก็หมุนตัวกลับไปส่งยิ้มให้เขาพลางยกมือขึ้นแตะเรือนผมอย่างเก้อเขิน
“คุณมาแล้วเหรอ”
“ขอโทษที่มาช้าไปหน่อย”
โจวเจียอีตื่นจากภวังค์แล้วเดินเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นหอมละมุนจากหญิงสาว เขาไม่รู้ว่าควรเรียกว่ากลิ่นอะไร เหมือนเป็นกลิ่นหอมจางๆ กลิ่นที่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของธีรยาและดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคน ‘ตัวหอม’
“ไม่ช้าหรอกค่ะ หมิวเพิ่งแต่งหน้าเสร็จ ช่างแต่งหน้าที่คุณจ้างมาเก่งจริงๆ ทำให้หมิวสวยขนาดนี้”
“คุณสวยอยู่แล้ว” เขาเอ่ยชม เพราะตัวเองติดงานทำให้เดินทางล่าช้าแต่ก็ให้เจสันไปรับธีรยามาที่ร้านจัดการแปลงโฉมคุณหมอในห้องแล็บให้กลายเป็นเจ้าหญิงแสนสวย ส่วนเขาใช้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เปลี่ยนเสื้อไม่นานนัก แต่เมื่อเดินออกมาก็เป็นจังหวะที่หญิงสาวแปลงโฉมเสร็จพอดี
“คุณก็...ไม่เลวเลยค่ะ”
“จะชมว่าหล่อก็ได้” เขาหัวเราะอารมณ์ดีแล้วล้วงมือหยิบสร้อยคอจากกระเป๋าเสื้อมาสวมให้เธอ “คอคุณโล่งไปนะ ใส่สร้อยสักเส้นกำลังดี”
“ปกติหมิวไม่ค่อยใส่เครื่องประดับ”
แม้ไม่มีกฎห้ามแต่เพราะทำงานในห้องแล็บเธอชินกับไม่ใส่เครื่องประดับแม้กระทั่งต่างหู และเธอเองก็ไม่มีความรู้เรื่องอัญมณีของมีค่าเหล่านี้ แต่ที่แน่ๆ สร้อยคอรูปดอกไม้เล็กๆ สลับกับผีเสื้อตัวน้อยไม่ใหญ่โตสะดุดตาถูกใจเธอมาก ราวกับรู้ว่าเธอชอบของชิ้นเล็กๆ แบบนี้
“ผมลืมต่างหูของคุณ” โจวเจียอีหัวเราะเก้อๆ
“แค่นี้ก็มากพอแล้วค่ะ” เธอส่งยิ้มแล้วกวาดตามอง ไม่มีใครสนใจมองมาทางเธอและเขา ทำให้ธีรยาทำใจกล้าเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบริมฝีปากของเขาเร็วๆ ไปทีหนึ่งก่อนพูดเสียงแผ่วเบาปนเขินอาย
“ขอบคุณค่ะ”
โจวเจียอียืนนิ่งไปชั่วขณะ เพราะปกติผู้หญิงคนนี้ขี้อายไม่คอยแสดงออกว่ารู้สึกยังไง แต่เมื่อครู่เธอเป็นฝ่าย ‘จูบ’ เขาก่อน แม้เป็นจูบเร็วๆ ที่ไม่น่าจะเรียกจูบได้เลย แต่อย่างน้อย ยัยหอยทากน้อยของเขาก็มีพัฒนาการขึ้นมาแล้ว
“อิริค...” เธอเขินจนหน้าแดงเหมือนคนเป็นไข้แล้ว
“ครับ” เขายิ้มกริ่มดวงตาพราวระยับแล้วโอบเอวแล้วเดินนำออกมาด้านนอก “เดินทางเถอะ เดี๋ยวไม่ทันงานรอบเช้า”
“อื้ม” เธอยิ้มแล้วเกาะแขนกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
งานแต่งงานของก้องภพจัดขึ้นที่บ้านเจ้าสาวซึ่งอยู่ชานเมืองใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก แม้เจ้าสาวเอ่ยย้ำว่าเป็นงานเล็กๆ แต่เมื่อมาถึงก็ดูว่าไม่ได้งานเล็กอย่างที่คิด ทั้งสองมาถึงงานทันเวลาแห่ขันหมากพอดี เจ้าบ่าวอยู่ในชุดไทยประยุกต์เสื้อสูทสีชมพูนุ่งโจงกระเบนสีขาวไข่มุก แม้ใบหน้ายิ้มแย้มแต่ดูเหนื่อยล้าอยู่บ้าง เจ้าบ่าวมองไปยังแขกที่เข้ามาใหม่ หญิงสาวในชุดกระโปรงสีหวานก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและมีชายหนุ่มสวมสูทสีเทาอยู่เคียงข้าง ดูขัดหูขัดตาเขานักแต่ก็ยังต้องฝืนยิ้มให้ แวบหนึ่งก้องภพเผลอคิดไปว่า หากเวลานี้เจ้าสาวของเขาคือธีรยา เขาจะมีความสุขมากขนาดไหน
“ยินดีด้วยค่ะพี่หมอก้อง” ธีรยาเอ่ยจากใจจริง
ถ้อยคำของธีรยาเรียกสติของก้องภพให้ตื่นจากภวังค์ เขาแค่พยักหน้ารับแล้วตวัดสายตามองทางโจวเจียอีก่อนหันไปสนใจกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าวในกลุ่มขบวนแห่ขันหมาก
“คุณเคยมางานแบบนี้ไหมคะ” ธีรยาหันไปถามโจวเจียอี คว้ามือเขาแล้วพามาตรงทางเข้าบ้านเจ้าสาวซึ่งมีการกั้นประตูเงินประตูทอง
“นี่เป็นครั้งแรกที่มางานแบบนี้” โจวเจียอีกลัวหญิงสาวจะร้อนจึงยกมือขึ้นบังแดดให้ “ผมเคยไปแต่งานกินเลี้ยง”
“ถือว่ามาเปิดหูเปิดตานะ” เธอหัวเราะเสียงใส
“อืม ผมจะถือว่ามาเรียนรู้งาน” เขาก้มมองสบตากับหญิงสาว “ผมพร้อมแต่งแล้วนะ”
หญิงสาวเขินหน้าแดง “เราเพิ่งคบกันนะคะ”
“แต่คุณคือคนที่ผมรอมานาน”
ท่าทางหยอกล้อของคู่รักอยู่ในสายตาเจ้าบ่าวทำให้เขายิ่งหงุดหงิดรำคาญใจ แต่ก้องภพก็ต้องทำเป็นมองไม่เห็นเพราะเขาคือเจ้าบ่าวและไม่ต้องการทำให้ใครต่อใครเสียใจหากเขาคิดจะล้มเลิกงานในตอนนี้
งานแต่งพิธีเช้าเต็มรูปแบบ ทั้งขบวนแห่งใหญ่โตทำให้ญาติทางฝั่งเจ้าสาวยิ้มปลื้ม พิธีสงฆ์ก็ถูกต้องตามพิธีแสดงให้เห็นว่าเจ้าสาวที่เป็นฝ่ายตระเตรียมงานทำได้ดียิ่ง สินสอดทองหมั้นถูกวางไว้เบื้องหน้าพ่อแม่ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทั้งเงินสดเครื่องประดับทองและเพชรละลานตา ใครจะรู้ว่าหมอก้องภพที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายขับรถเก๋งมือสองจะมีทรัพย์สินมากถึงเพียงนี้ และที่สำคัญเจ้าสาวสวยมาก
ธีรยารวมกลุ่มกับเพื่อนที่ทำงานโรงพยาบาลเดียวกัน บางคนพอจะสลับเวรลางานมางานแต่งงานได้ก็มาร่วมแสดงความยินดี เธอเข้าแถวรอรำน้ำสังข์คู่บ่าวสาว ระหว่างนั้นเธออธิบายพิธีต่างๆ ให้โจวเจียอีกเข้า
“ซ้อมไว้งานตัวเองเหรอหมอหมิว” เพื่อนร่วมงานอดแซวไม่ได้
“ไม่ใช่นะคะ” เธอรีบโบกมือไปมาใบหน้าแดงก่ำ “แค่อธิบายให้เขาเข้าใจ”
“ศึกษาไว้ก็ดีแล้ว” เพื่อนร่วมงานหัวเราะคิกคักแอบขยิบตาให้ชายหนุ่มที่ยืนยิ้มอยู่
“พวกเขาชอบหยอกเล่นเฉยๆ คุณไม่ต้องคิดมากนะคะ” ธีรยาพูดเสียงเบา
“ทำไมล่ะ คุณไม่อยากแต่งงานเหรอ”
‘เท่าที่รู้ผู้หญิงชอบงานแต่งงานนี่นะ’
“หมิวตัวคนเดียวไม่มีใคร ถ้าจัดงานแต่งงานเชิญใครมาเล่า” เธอหัวเราะไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยคิดฝันอยากสวมชุดเจ้าสาวสวยงามแต่เธอแค่ไม่อยากฝันเพ้อจนเกินไป เธอมันเด็กกำพร้านี่นะ ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนมาร่วมแสดงความยินดีอย่างนี้หรอก
“คุณ...อยากตามหาพ่อแม่หรือเปล่า”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมา แต่เมื่อเขาเงียบเธอจึงพูดออกมา
“พูดจริงๆนะ หมิวไม่คิดเรื่องตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงหรอก หากพวกเขาอยากเจอหมิวคงมาตามหาหมิวตั้งนานแล้วละ พวกเขาคงมีครอบครัวใหม่กันไปแล้ว อย่าให้การมีตัวตนของหมิวทำให้พวกเขาเดือนร้อนใจหรือไม่มีความสุขดีกว่า” เธอส่งยิ้มให้เขา“จริงๆ นะคะ” “ครับ” เขาบีบมือเธอ “คุณมีผมอยู่นะ ไม่ได้ตัวคนเดียว ครอบครัวผมก็คือครอบครัวของคุณ” “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเข้าไปรดน้ำสังข์และอวยพรให้คู่บ่าวสาว วันนี้เขมิกาสวยเจิดจ้าสมเป็นเจ้าสาวจริงๆ เห็นแบบนี้ก็แล้วเธอพลอยสบายใจไปด้วย เรื่องบาดหมางเข้าใจผิดคงคลี่คลายในไม่ช้า เขมิกายิ้มรับคำอวยพรพลางปรายตามองเจ้าบ่าวที่นั่งอยู่เคียงข้าง แม้เขายิ้มแต่แววตาตรงข้าม แต่ช่างเถอะ เพราะตอนนี้เขาคือสามีของเธอแล้ว เขาคงไม่กล้าทำร้ายจิตใจเธอและคนในครอบครัวแน่นอน พิธีเช้าดำเนินไปจนเสร็จสิ้นด้วยดี แขกเรื่อเข้ามาถ่ายรูปกับคู่บ่าวสาว ธีรยาคว้ามือโจวเจียอีให้เข้าไปถ่ายรูปด้วยกัน “ขอแสดงความยินดีด้วยครับ” โจวเจียอีกเอ่ยอย่างสุภาพและไม่สนใจสายตาของก้องภพ เขาจับมือผู้หญิงคนตนเองแน่นราวกับตอกย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่มี
ธีรยาไม่รู้ต้องทำอย่างไร หลายปีที่รู้จักก้องภพ เขาไม่เคยทำแบบนี้กับเธอมาก่อนและยิ่งวันนี้ เวลานี้ ผู้หญิงคนเดียวที่เขาจะกอดได้คือเจ้าสาวของเขาซึ่งไม่ใช่เธอ “พี่ก้องปล่อยหมิวนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” “กลัวไอ้หมอนั้นเห็นหรือไง” “พี่หมอก้องช่วยพูดถึงคนรักของหมิวดีๆด้วยค่ะ” หญิงสาวดิ้นขลุกขลักแต่เขากลับกอดรัดแน่นขึ้น “ทำไมถึงเป็นผู้ชายคนนั้น!” เขากัดฟันกรอดด้วยความโมโห “หมิวยั่วให้พี่โกรธใช่ไหม ทำแบบนี้คิดดีแล้วเหรอ” “เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะคะ หมิวจะคบกับใครก็ได้” ก้องภพหัวเราะเย้ยเยาะ “หรือจริงๆ แล้วหมิวก็กระสันอยากได้ผู้ชายรวย ถ้าอยากได้แบบนั้นทำไมไม่บอกพี่แต่แรก ถ้า..” “พี่หมอก้อง! ถ้าพี่ไม่ปล่อยหมิว หมิวจะร้องให้คนช่วย อย่าลืมนะคะว่าพี่หมอก้องแต่งงานแล้ว!” คำว่า ‘แต่งงาน’ เรียกสติของก้องภพได้ วงแขนที่กอดรัดคลายออกอย่างไม่รู้ตัว ธีรยาได้จังหวะรีบสะบัดตัวหลุดออก หญิงสาวจ้องหน้าเขาด้วยความรู้สึกเสียใจ เธอรักและเคารพก้องภพมาก ไม่คิดว่าเขาจะทำเช่นนี้กับเธอ ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีหายไป
“คราวนี้ไม่ได้แล้ว” เขาพูดน้ำเสียงเคร่งเครียดก่อนก้มมองสบตากับคนในอ้อมแขน “คุณทำผมเครื่องร้อนแล้ว” “เอ่อ...” ธีรยาเข้าใจได้ในทันทีเพราะมีบางสิ่งดุนดันอยู่ “หมิวไม่ได้ตั้งใจ” เธอไม่ได้ตั้งใจ แต่เขานะ...ตั้งโด่แล้ว! โจวเจียอีอุ้มร่างนุ่มนิ่มเข้าด้านใน เขาสาวเท้ายาวๆ อุ้มร่างเธอว่างบนเคาน์เตอร์เครื่องดื่มแล้วกดจูบอย่างหิวกระหาย มือใหญ่เลื่อนไปที่แผ่นหลังเพื่อหาซิปซ่อนแล้วจัดการรูดออกอย่างรวดเร็ว “อื้อ...ช้าหน่อยค่ะ” ธีรยาประท้วงเบาๆ เมื่อเขายอมถอนจูบให้เธอได้สูดอากาศหายใจ ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นราวกับลูกไฟที่พร้อมจะหลอมละลายเธอไปด้วยสัมผัสของเขา “ผมทนไม่ไหวแล้ว” เขาพูดเสียงพร่าแล้วขบเม้มติ่งหู “ทะ...ที่นี่...ตรงนี้เหรอคะ...” หญิงสาวถามเสียงสั่นเสื้อผ้าเลื่อนหล่นจากกาย ร่วมรักกันหลายครั้งแต่ก็อยู่ในห้องมิดชิด แต่นี่...กลางบ้านแบบนี้ เธอ... “ไม่มีคนอื่นในบ้านหลังนี้” โจวเจียอีพูดอย่างรู้ทันความคิดของคนขี้อาย “ที่นี่มีแค่คุณกับผม” หญิงสาวลอบมองรอบข้างไม่เห็นมีใครอื่นจริงๆ ยังไม่ทั
มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขาไม่ได้มีเซ็กส์ดุเดือดอย่างนี้มานานแล้ว ที่ผ่านมาเขาควบคุมความต้องการของตัวเองได้อย่างดี และเมื่อมีธีรยาเขาก็มักจะ ‘อ่อนโยน’ กับเธอเสมอ แต่ครั้งนี้ได้ปลดปล่อยตัวเองจนหมดสิ้น และนานแล้วที่เขาไม่ได้มีเซ็กส์แบบไร้เครื่องป้องกันเช่นนี้ แต่เขาไม่คิดว่านี่เป็นลูกไม้ที่เธอจะใช้จับเขา แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้...กับผู้หญิงคนนี้ เขารู้สึกต้องการเธอและอยากทำทุกวิถีทางที่จะครอบครองเธอไว้ หญิงสาวปรับลมหายใจครู่หนึ่งแล้วลืมตามองคนที่เธอนอนหนุนแขน มือใหญ่ยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้มเธอออกเบาๆ เธอรับรู้ได้ถึงของเหลวที่ยังไหลออกมาจากร่องรัก มันน่าอายจนเธอขยับตัวขยุกขยิกพยายามกลั้นไม่ให้มันไหลออกมา “ไม่สบายตัวเหรอ” โจวเจียอีถามพลางยันกายขึ้นมองคนตัวเล็ก “ผมขอโทษ ผมยั้งใจไม่อยู่จริงๆ” “เปล่าคะ ไม่ใช่แบบนั้น” เธอยิ้มเขินๆแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมกายเปลือยเปล่า “หมิวแค่คิดว่าตัวเองทำให้ที่นอนคุณเลอะเทอะ” เขาเลิกคิ้วงุนงงก่อนคลี่ยิ้มออกมา “ไหนๆ ก็ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอน เราทำกันอีกรอบ
“คุณนี่นะเอาใจผู้หญิงไม่เก่ง” เธอทำจมูกย่นใส่เขา“ผิดแล้วผมเอาใจไม่เก่งแต่เอาเก่งนะ เรื่องนี้ผมมั่นใจ”“อีริค!” เธอขึงตาใส่ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ“ให้ตายสิ” เขาพึมพำ “ผมเองก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ คุณร่ายมนตร์ใส่ผมหรือเปล่า”“คุณเชื่อเรื่องไร้สาระพวกนั้นด้วยหรือคะ?” เธอหัวเราะเสียงใส ความจริงเธอลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้เธอมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ เป็นใครกันแน่ที่ร่ายมนตร์ใส่เธอ“แต่ก่อนผมไม่เคยเชื่อเรื่องdestiny แต่การได้พบคุณมันอยู่นอกเหนือความคาดหมาย บางทีพรหมลิขิตอาจมีจริงก็ได้”หญิงสาวได้แต่อมยิ้ม นั้นสิ ผู้หญิงจืดชืดอย่างเธอได้เจอกับผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์อย่างเขาได้ ถ้าวันนั้นก้องภพไม่ประกาศตัวคนรัก เธอคงไม่อกหักจนเสียการควบคุมแล้วได้เจอเขาที่หน้าลิฟต์พอดีอย่างนั้น แถมเจอกันด้วยความบังเอิญอีกด้วย ธีรยาไม่อยากคิดถึงเรื่องของก้องภพอีก คิดเสียว่าทุกอย่างระหว่างเธอกับก้องภพจบลงแล้ว เหลือเพียงความเป็นเพื่อนร่วมงานและรุ่นพี่รุ่นน้องเท่านั้นเมื่ออีกฝ่ายไม่พูด โจวเจียอีกก็ไม่เซ้าซี้ถาม เขาเป็นคนยึดมั่นกับปัจจุบันมากกว่ารื้อฟื้นเรื่องในอดีต เวลานี้ ‘ใจ’ ของเธออยู่ท
“คุณท่านให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียดดีกว่านะคะ ถ้าผิดปกติอะไรจะได้รักษาได้ทันเวลา” เธอพูดไปตามตรง “เรียกคุณทงคุณท่านอะไรห่างเหินจริงๆ” คุณกานดาส่ายหน้าไปมา “เรียกแม่สิ” “เอ่อ..” เธออึกอักเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเบา “คุณแม่...” “อื้ม ฟังแล้วรื่นหูดีจริง เอาตามที่หนูหมิวคิดว่าดีเถอะนะ แม่นะยังไงก็ได้” “ค่ะ” เธอยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปคุยกับคุณหมอ ไม่กี่นาทีทั้งคุณหมอและพยาบาลก็ออกไป เธอจึงหันมาทางคุณกานดาแล้วประคองท่านลงนอนที่เตียง “นี่ถ้าไม่มีหนูหมิวอยู่ใกล้ๆ แม่ต้องลำบากแน่ๆ” คุณกานดายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบแก้มนุ่มของอีกฝ่าย “คบกันแล้วก็ไม่ต้องเขินอายอะไร มากินข้าวบ้านแม่บ้าง ทั้งคู่นั้นแหละ” “คือ...หนูเพิ่งคบกับอีริคค่ะก็เลย...” “แม่เข้าใจ” นางหัวเราะแต่เสียงแหบแห้ง วันนี้อาการไม่ค่อยดีทั้งวันแต่ก็คิดว่าไม่มีอะไร พอค่ำมาเกิดบ้านหมุนล้มลง คนรับใช้กับแม่บ้านแตกตื่นรีบเรียกรถพยาบาล เธอจึงได้มานอนอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษแบบนี้ ที่จริงนางก็ไม่รู้หรอกว่าโจวเจียอีคบกับธีรยาถึงขั้นไหนแค่ได้ยินลูกชายพูดว่ากำ
ธีรยามาถึงโรงพยาบาลเอกชนที่คุณกานดาพักรักษาตัวและเป็นที่ทำงานที่สองของเธอด้วย เจ้าของร่างเล็กมาที่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็พบโจวเจียอียืนคุยกับคุณหมอเจ้าของไข้อยู่ก่อนแล้ว เธอยืนรออยู่ไม่กี่นาทีทั้งหมดก็สนทนากันเสร็จ คุณหมอกับพยาบาลออกไปแล้วเธอจึงขยับเท้าเข้าไปไกล “หนูหมิวมาแล้ว” คุณกานดาร้องทักทำให้โจวเจียอีหันไปมอง สีหน้าเขาอิดโรยไม่น้อยแต่ยังฝืนยิ้มให้ “แม่ก็บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว” “ครับ” “ลูกทำให้แม่รู้สึกแย่นะ” คุณกานดาดุลูกชายไม่จริงจังนัก “แม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ” “ก็เราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว แม่เข้าใจว่าลูกต้องดูแลธุรกิจการงานต่างๆ แต่แม่ก็อยากอยู่เมืองไทย แม่เตรียมใจไว้แล้วว่าลูกอาจไม่ได้อยู่ใกล้ๆแม่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอย่าโกรธตัวเองแบบนี้” “ผมเปล่า...” “อย่ามาเถียง แม่เป็นแม่นะ เลี้ยงมากับมือทำไมจะไม่รู้จักนิสัยลูกตัวเอง” คุณกานดาหัวเราะออกมาแล้วส่งยิ้มให้ธีรยา “ยังดีที่ลูกมีคนรักที่ดี มีหนูหมิวอยู่ดูแลลูก แม่ก็สบายใจ”
“ถามเพื่อนคุณหรือยังว่าอยากสนิทกับผมหรือเปล่า” เขาหัวเราะในลำคอแล้วจัดการเกี๊ยวน้ำในถ้วยของตัวเอง ธีรยายิ้มขำแล้วกินอาหารตรงหน้า เธอนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “สบายใจขึ้นบ้างไหมคะ หมิวก็...ปลอบใจคนไม่เก่ง อาการของคุณแม่คุณไม่น่าเป็นห่วงจริงๆค่ะ” “ครับ ขอบคุณอีกครั้ง” ธีรยามองเสี้ยวหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอกินเสร็จแล้วก็ลุกไปหยิบผ้าเย็นจากชั้นจ่ายเงินแล้วเดินเร็วๆ กลับมาหาเขา “ใช้ผ้าเย็นนี่ค่ะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขอบคุณครับ” “ขอบคุณบ่อยไปแล้วค่ะ” เธอยิ้มและเมื่อเห็นว่าเขายกน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ช่วยเช็ดหน้าให้ “คุณไม่น่าจะเป็นคนพูดคำว่าขอบคุณเป็นเลยนะ” “ก็เพราะเป็นคุณไง” เขาเองยังประหลาดใจที่ตัวเองเป็นคนอย่างนี้ได้ “ตอนนั้นพ่อผมป่วยหนักและผมก็กลับมาดูใจท่านไม่ท่าน ท่านจากไปก่อนที่ผมจะไปถึงแค่ไม่กี่นาที ผมเลยกลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก ทั้งที่แม่บอกว่าสิ่งสุดท้ายที่พ่อห่วงคือคือพ่อเป็นห่วงความรู้สึกผม แต่พ่อก็ฝืนทนรอผมไม่ไหว” “อีริคค่ะ หมิวเสียใจด้วย” คราวนี้เธอ