“คุณนี่นะเอาใจผู้หญิงไม่เก่ง” เธอทำจมูกย่นใส่เขา
“ผิดแล้วผมเอาใจไม่เก่งแต่เอาเก่งนะ เรื่องนี้ผมมั่นใจ”
“อีริค!” เธอขึงตาใส่ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ
“ให้ตายสิ” เขาพึมพำ “ผมเองก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ คุณร่ายมนตร์ใส่ผมหรือเปล่า”
“คุณเชื่อเรื่องไร้สาระพวกนั้นด้วยหรือคะ?” เธอหัวเราะเสียงใส ความจริงเธอลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้เธอมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ เป็นใครกันแน่ที่ร่ายมนตร์ใส่เธอ
“แต่ก่อนผมไม่เคยเชื่อเรื่องdestiny แต่การได้พบคุณมันอยู่นอกเหนือความคาดหมาย บางทีพรหมลิขิตอาจมีจริงก็ได้”
หญิงสาวได้แต่อมยิ้ม นั้นสิ ผู้หญิงจืดชืดอย่างเธอได้เจอกับผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์อย่างเขาได้ ถ้าวันนั้นก้องภพไม่ประกาศตัวคนรัก เธอคงไม่อกหักจนเสียการควบคุมแล้วได้เจอเขาที่หน้าลิฟต์พอดีอย่างนั้น แถมเจอกันด้วยความบังเอิญอีกด้วย ธีรยาไม่อยากคิดถึงเรื่องของก้องภพอีก คิดเสียว่าทุกอย่างระหว่างเธอกับก้องภพจบลงแล้ว เหลือเพียงความเป็นเพื่อนร่วมงานและรุ่นพี่รุ่นน้องเท่านั้น
เมื่ออีกฝ่ายไม่พูด โจวเจียอีกก็ไม่เซ้าซี้ถาม เขาเป็นคนยึดมั่นกับปัจจุบันมากกว่ารื้อฟื้นเรื่องในอดีต เวลานี้ ‘ใจ’ ของเธออยู่ที่เขาก็พอแล้ว
“อ้อ! นายป้อง เอ๊ย! ปกป้องพูดอะไรไม่ดีกับคุณหรือเปล่า” หญิงสาวถามอย่างเพิ่งนึกได้ “หมอนี่ชอบหาเรื่องคนอื่นอยู่เรื่อย แต่ก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของหมิว คุณอย่าถือสาเขาเลยนะ”
“ก็ไม่มีอะไรนี่” เขายิ้มแล้วยกมือข้างหนึ่งปัดเส้นผมที่เคลียแก้มของเธอออก สายตาเลื่อนไปหยุดที่รอยkiss mark บนลำคอขาวผ่อง เขาอมยิ้มแล้วเดาว่าเธอคงไม่ทันสังเกตเห็นเป็นแน่
“เพื่อนคุณเป็นตำรวจใช่ไหม”
“ค่ะ” ตอบไปแล้วก็หัวเราะออกมา “ใครจะไปคิดว่าเด็กอันธพาลอย่างปกป้องจะโตมาเป็นตำรวจได้”
“เพื่อนคุณเป็นห่วงคุณมาก กลัวว่าผมจะทำให้คุณเสียใจ”
หญิงสาวเอียงคอมองเขาเล็กน้อย “แล้วคุณจะทำให้ฉันเสียใจไหมคะ”
“คำพูดไม่มีความหมายเท่าการกระทำ ผมจะทำให้คุณเชื่อด้วยหัวใจของคุณเอง”
หญิงสาวเขินหน้าแดงแล้วขยับตัวออกห่างเขาเล็กน้อย “ประธานโจวค่ะ นับวันคุณจะพูดจาเหมือนถอดมาจากหนังสือนิยายรักแล้วนะคะ”
“ผมพูดจากความรู้สึกของผมล้วนๆเลยนะ” เขาตัดพ้อแต่หัวเราะออกมา “คุณหิวมากไหม? ประเดี๋ยวผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเราออกเดินทางกัน หาอะไรกินระหว่างทางกลับกรุงเทพฯก็แล้วกัน”
“ก็ได้ค่ะ” เธอพยักหน้ารับ “จริงๆ การมาที่นี่ก็ไม่ได้อยู่ในแผนของเราอยู่แล้ว อย่าบอกว่าคุณมีบ้านพักทุกจังหวัดในประเทศไทยนะ”
“ไม่หรอก” เขาหัวเราะ คนที่มีตารางชีวิตตรงเป๊ะเสมอมาอย่างเขากลับทำอะไรตามใจและนอกเหนือการวางแผนและยากเกินการควบคุม นั้นก็เพราะธีรยาล้วนๆ ผู้หญิงคนนี้เหมือนเกิดมาเพื่อทำให้เขารู้จักตัวเองในมุมที่เขายังไม่อยากยอมรับนัก
“ไปแต่งตัวค่ะ หมิวรอที่นี่นะ”
“ไม่ช่วยผมหน่อยเหรอ” เขาอ้อนแววตาวิบวับ
“ไม่ค่ะ” เธอยืนกรานเสียงแข็ง เพราะรู้ดีว่าถ้าเธออยู่กับเขาสองแบบนั้นคงไม่ได้แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าแน่ๆ
โจวเจียอีหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับขึ้นไปชั้นบน ธีรยาถอนหายใจโล่งอกที่เขาไม่ลากเธอกลับขึ้นห้อง ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องออกไปไหนแน่ หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินเล่น ให้ตายสิ! เขาสปอยล์เธอจนจะเสียนิสัยอยู่แล้วนะ แต่...อีกไม่กี่วันเธอก็จะไปทำงานที่แล็บเอกชนคงไม่มีเวลามาทำตัวเกเรแบบนี้
หญิงสาวมองไปที่ด้านนอกเห็นซุ้มดอกไม้บานสะพรั่ง ตั้งใจเดินไปดูเสียหน่อย เมื่อวานเข้ามาก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงไม่ได้ดูความสวยงามของบ้านเลยสักนิด ทว่าเมื่อเลื่อนประตูเปิดออกร่างของเด็กชายวัยประมาณสิบสองขวบก็ชนเข้าอย่างจัง โชคดีที่เธอคว้าประตูทรงตัวไว้ได้ทันไม่อย่างงั้นคงล้มก้นกระแทกพื้นแล้ว
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เธอถามอย่างกังวล
เด็กชายเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสีน้ำตาลมีแววหวาดกลัวและตื่นตกใจ ยังไม่ทันพูดอะไร ชายหนุ่มสวมแว่นตากรอบเงินก็สาวเท้าเข้ามาแล้วยื่นมือไปจับไหล่เด็กชายไว้ เด็กน้อยหมุนตัวไปหลบอยู่ด้านหลังซ่งไห่เทา ธีรยาไม่รู้ว่าทั้งสองพูดอะไรกันเพราะสนทนาเป็นภาษาจีน เห็นเพียงเด็กน้อยก้มศีรษะให้เล็กน้อยแล้วรีบวิ่งไปทันที
“เอ่อ..” ซ่งไห่เทาหันรีหันขวาง
ธีรยายิ้มให้แล้วโบกให้อีกฝ่ายตามเด็กชายไป
“มีอะไรหรือเปล่า” โจวเจียอีถามขณะที่เดินมาทางหญิงสาว
ธีรยาไม่อยากทำตัวเป็นคนขี้ฟ้อง ก็เพิ่งคุยกับเรื่องลูกน้องของเขาไป เธอจึงยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมาก่อนยื่นมือไปช่วยติดกระดุมเม็ดที่สามให้เขา
“ร้อน” เขายิ้มๆ เจตนาไม่ติดกระดุมเองนั้นแหละ เขาชอบเห็นเธอหวงเขา
“คุณเป็นของหมิวนะ หมิวไม่อยากให้คนอื่นเห็นของๆหมิว” หญิงสาวแลบลิ้นใส่ ก็เธออายรอยบนอกของเขาต่างหากล่ะ
“เอาไว้คราวหน้าค่อยหาวันหยุดมาพักผ่อนกัน”
“ค่ะ” เธอยิ้มรับ
“อื้ม จะดีกว่านี้ถ้าคุณเปลี่ยนใจมาอยู่คอนโดเดียวกับผมนะ”
“จะรับไว้พิจารณาค่ะ” เธอหัวเราะเสียงใสแล้วจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลของเขา
อืม...เด็กคนเมื่อครู่รู้สึกคุ้นหน้ายังไงไม่รู้สิ
หรือจะคิดไปเองนะ.
……
หญิงสาวสวมเสื้อกาวน์สีขาวออกจากห้องแล็บกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาที่ห้องผู้ป่วยพิเศษที่อยู่อีกตึก แม้จะเป็นเวลาสามทุ่มแล้วก็ตาม เธอหยุดหน้าห้องเพื่อให้แน่ใจว่าเข้าไปถูกห้อง แต่เพียงยื่นหน้าเข้าไปก็ได้ยินเสียงคุณหมอพูดคุยกับคนไข้บนเตียง
“ขอโทษค่ะ” ธีรยาเอ่ยขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้
“หนูหมิวมาพอดี เข้ามาสิ” คุณกานดากวักมือเรียกและเมื่อหญิงสาวเข้าไปใกล้ก็คว้ามือเรียวเล็กไว้แล้วส่งยิ้ม “คุณหมอมีอะไรก็พูดมาได้เลยค่ะ นี่หนูหมิวเป็นแฟนของลูกชายฉันเอง”
ธีรยาเขินอายขึ้นมา ไม่รู้ว่าเรื่องของเธอกับโจวเจียอีมาถึงหูของคุณกานดาแล้ว คุณหมอกับพยาบาลมองหน้ากันเล็กน้อยเพราะผู้หญิงคนนี้สวมเสื้อกาวน์ที่อกปักโลโก้ของโรงพยาบาลอยู่
“สวัสดีค่ะ ชื่อธีรยาค่ะทำงานอยู่ห้องแล็บ”
หญิงสาวแนะนำตัวเองเพราะเข้าใจสายตาขอทุกคน เธอเพิ่งมาทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนได้ไม่นานและยังเป็นงานในห้องแล็บที่เจอผู้คนน้อยมากอีกด้วย
คุณหมอพยักหน้ารับแล้วอธิบาย “คนไข้มาด้วยอาการบ้านหมุน ตามประวัติที่เคยรักษาที่นี่คนไข้เป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูง หมออยากให้อยู่ดูอาการและทำ MRI ตรวจเรื่องหลอดเลือดที่สมองให้ชัดเจน”
หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วหันมาทางคุณกานดาที่ใบหน้าซีดเซียว
“คุณท่านให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียดดีกว่านะคะ ถ้าผิดปกติอะไรจะได้รักษาได้ทันเวลา” เธอพูดไปตามตรง “เรียกคุณทงคุณท่านอะไรห่างเหินจริงๆ” คุณกานดาส่ายหน้าไปมา “เรียกแม่สิ” “เอ่อ..” เธออึกอักเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเบา “คุณแม่...” “อื้ม ฟังแล้วรื่นหูดีจริง เอาตามที่หนูหมิวคิดว่าดีเถอะนะ แม่นะยังไงก็ได้” “ค่ะ” เธอยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปคุยกับคุณหมอ ไม่กี่นาทีทั้งคุณหมอและพยาบาลก็ออกไป เธอจึงหันมาทางคุณกานดาแล้วประคองท่านลงนอนที่เตียง “นี่ถ้าไม่มีหนูหมิวอยู่ใกล้ๆ แม่ต้องลำบากแน่ๆ” คุณกานดายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบแก้มนุ่มของอีกฝ่าย “คบกันแล้วก็ไม่ต้องเขินอายอะไร มากินข้าวบ้านแม่บ้าง ทั้งคู่นั้นแหละ” “คือ...หนูเพิ่งคบกับอีริคค่ะก็เลย...” “แม่เข้าใจ” นางหัวเราะแต่เสียงแหบแห้ง วันนี้อาการไม่ค่อยดีทั้งวันแต่ก็คิดว่าไม่มีอะไร พอค่ำมาเกิดบ้านหมุนล้มลง คนรับใช้กับแม่บ้านแตกตื่นรีบเรียกรถพยาบาล เธอจึงได้มานอนอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษแบบนี้ ที่จริงนางก็ไม่รู้หรอกว่าโจวเจียอีคบกับธีรยาถึงขั้นไหนแค่ได้ยินลูกชายพูดว่ากำ
ธีรยามาถึงโรงพยาบาลเอกชนที่คุณกานดาพักรักษาตัวและเป็นที่ทำงานที่สองของเธอด้วย เจ้าของร่างเล็กมาที่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็พบโจวเจียอียืนคุยกับคุณหมอเจ้าของไข้อยู่ก่อนแล้ว เธอยืนรออยู่ไม่กี่นาทีทั้งหมดก็สนทนากันเสร็จ คุณหมอกับพยาบาลออกไปแล้วเธอจึงขยับเท้าเข้าไปไกล “หนูหมิวมาแล้ว” คุณกานดาร้องทักทำให้โจวเจียอีหันไปมอง สีหน้าเขาอิดโรยไม่น้อยแต่ยังฝืนยิ้มให้ “แม่ก็บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว” “ครับ” “ลูกทำให้แม่รู้สึกแย่นะ” คุณกานดาดุลูกชายไม่จริงจังนัก “แม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ” “ก็เราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว แม่เข้าใจว่าลูกต้องดูแลธุรกิจการงานต่างๆ แต่แม่ก็อยากอยู่เมืองไทย แม่เตรียมใจไว้แล้วว่าลูกอาจไม่ได้อยู่ใกล้ๆแม่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอย่าโกรธตัวเองแบบนี้” “ผมเปล่า...” “อย่ามาเถียง แม่เป็นแม่นะ เลี้ยงมากับมือทำไมจะไม่รู้จักนิสัยลูกตัวเอง” คุณกานดาหัวเราะออกมาแล้วส่งยิ้มให้ธีรยา “ยังดีที่ลูกมีคนรักที่ดี มีหนูหมิวอยู่ดูแลลูก แม่ก็สบายใจ”
“ถามเพื่อนคุณหรือยังว่าอยากสนิทกับผมหรือเปล่า” เขาหัวเราะในลำคอแล้วจัดการเกี๊ยวน้ำในถ้วยของตัวเอง ธีรยายิ้มขำแล้วกินอาหารตรงหน้า เธอนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “สบายใจขึ้นบ้างไหมคะ หมิวก็...ปลอบใจคนไม่เก่ง อาการของคุณแม่คุณไม่น่าเป็นห่วงจริงๆค่ะ” “ครับ ขอบคุณอีกครั้ง” ธีรยามองเสี้ยวหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอกินเสร็จแล้วก็ลุกไปหยิบผ้าเย็นจากชั้นจ่ายเงินแล้วเดินเร็วๆ กลับมาหาเขา “ใช้ผ้าเย็นนี่ค่ะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขอบคุณครับ” “ขอบคุณบ่อยไปแล้วค่ะ” เธอยิ้มและเมื่อเห็นว่าเขายกน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ช่วยเช็ดหน้าให้ “คุณไม่น่าจะเป็นคนพูดคำว่าขอบคุณเป็นเลยนะ” “ก็เพราะเป็นคุณไง” เขาเองยังประหลาดใจที่ตัวเองเป็นคนอย่างนี้ได้ “ตอนนั้นพ่อผมป่วยหนักและผมก็กลับมาดูใจท่านไม่ท่าน ท่านจากไปก่อนที่ผมจะไปถึงแค่ไม่กี่นาที ผมเลยกลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก ทั้งที่แม่บอกว่าสิ่งสุดท้ายที่พ่อห่วงคือคือพ่อเป็นห่วงความรู้สึกผม แต่พ่อก็ฝืนทนรอผมไม่ไหว” “อีริคค่ะ หมิวเสียใจด้วย” คราวนี้เธอ
“เอ่อ...” เธออึกอักขึ้นมา ไปอยู่บ้านเดียวกันแบบนั้นไม่เท่ากับว่าสถานะเธอคือ ‘ลูกสะใภ้’ อย่างนั้นเหรอ มันไม่เหมือนเวลาเธอไปค้างที่คอนโดของเขาเป็นครั้งคราว เอ่อ ...หลายครั้งหลายคราวต่างหาก “ขอโทษ ผมทำให้คุณอึดอัดอีกแล้ว” “ไม่ใช่ค่ะหมิวแค่คิดว่ามันเร็วไปไหมคะ คือ...” “ไปในฐานะแขกของท่านก็ได้ครับ” เขายิ้มอย่างเข้าใจ ผู้หญิงคนอื่นอยากกระโจนมานั่งตำแหน่ง ‘สะใภ้ตระกูลโจว’ แต่เธอกลับลังเล กล้าๆ กลัวๆ ที่จะก้าวเข้ามาใกล้เขา แต่จากคนที่ปิดใจและยอมให้เขากุมมือไว้อย่างนี้ก็นับว่า ‘ใกล้’ มากแล้วจริงๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอไม่อาจปฏิเสธผู้มีพระคุณของตัวเองได้ เธอเผลอสบตากับดวงตาสีน้ำตาลของเขาแล้วเรื่องราวที่คุยกับปกป้องก็ผุดขึ้นมาในสมองรบกวนความคิดของเธอ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามเพราะเห็นสีหน้าเธอไม่ดีนัก “คืนนี้ผมอยู่เฝ้าคุณแม่เองได้ คุณกลับไปนอนพักที่คอนโดผมดีกว่าไหม ผมจะให้เจสันไปส่ง” “ไม่เป็นไรคะหมิวอยู่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า ท่าทางคุณก็เหนื่อยเหมือนกัน หมิวขอตัวเข้าห้องน้ำสักประเดี๋ยวนะคะ” ค
ท่าทางของคุณกานดาเหมือนจะเป็นลม ธีรยาเข้าไปประคองให้เอนหลังนอนบนเตียง แต่นางโบกมือห้ามไว้ก่อน “แล้วนี่นึกยังไงถึงมาแสดงตัว หรือเพราะเห็นแม่ใกล้ตายเลยอยากให้มารับส่วนแบ่งมรดกของพ่อแก” “แม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้นครับ ปกติคุณพ่อให้ผมจัดการค่าใช้จ่ายรายเดือนให้คุณน้าเหมยลี่ และในส่วนมรดกที่คุณพ่อแบ่งให้หมิงเจ๋อนั้นก็ไม่ได้แตะต้องส่วนของคุณแม่เลย ที่ผ่านมาคุณพ่อเลี้ยงดูน้าเหมยลี่มาอย่างลับๆ จนกระทั่งถึงคราวที่คุณพ่อเสีย พ่อให้ผมช่วยดูแลหมิงเจ๋อจนกว่าเขาจะบรรลุนิติภาวะ” “แล้วทำไมถึงเสนอหน้ากันมาที่เมืองไทย ก็รู้ว่าแม่อยู่ที่นี่ แม่ไม่ได้อยากรับรู้เรื่องที่พ่อนอกใจแม่หรอกนะ!” “คุณกานดาค่ะ ใจเย็นๆค่ะ” ธีรยาลูบหลังเบาๆ เธอโล่งใจที่ไม่ใช่ลูกของโจวเจียอี ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจเด็ก เธอแค่กลัวว่าตัวเองจะเป็นมือที่สามในชีวีตคนอื่น “เดิมที่ก็ไม่จะให้คุณแม่รู้เรื่องนี้ แต่...หมิงเจ๋อร่างกายไม่แข็งแรง ตับทำงานผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดตอนนี้อาการทรุดลงและต้องปลูกถ่ายตับ...” “อย่าบอกว่าต้องใช้ตับของลูกนะ!” คุณกานดาตวาดเสียงสั่นแล้วตวัดสายตาจ
คนตัวสูงรั้งร่างบอบบางเข้ามากอด“ผมอยากกลับไปห้องของเราจัง” “อย่าดื้อค่ะ” โจวเจียอีเงยหน้าหัวเราะแล้วยกมือสองมือประคองใบหน้าหวานสบตากับดวงตาหลังแว่นตาแสนเชย แต่ภายใต้ดวงตาใสกระจ่างคือความอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน “คราวนี้คุณเชื่อใจผมได้หรือยัง ผมไม่เคยมีใครและไม่เคยซุกเมียเก็บไว้” แน่นอนว่าเขาไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ และไม่อยากเห็นคนที่เขารักต้องทุกข์ใจเช่นที่แม่เขาต้องเผชิญ รัก...เขารู้จักคำนี้จริงๆหรือ? “จะรับไว้พิจารณานะคะ” “โธ่ หมิว...” เขาครางอย่างอ่อนใจ “เอาไว้หมิวหาเวลาเรียนภาษาจีนก่อน เวลาคุณพูดอะไร หมิวจะได้ฟังออกว่าคุณไม่ได้ปิดบังอะไรอีก” “ได้ ผมสอนให้เอง”“ค่าสอนแพงไหมคะ ระดับประธานโจวมาสอนเอง หมิว จะจ่ายไม่ไหวเอานะสิ”“อื้ม...ผมคิดเป็นอย่างอื่นก็แล้วกัน”สายตากรุ้มกริ่มของเขาทำให้หญิงสาวเขินหน้าแดง เธอทุบอกเขาแก้เขินแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย วันนี้เกิดเรื่องมากมาย แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้มีใครอื่นซุกซ่อนไว้จริงๆ.
“ถ้าไม่มีอะไร เราต้องกลับไปทำงานต่อ” “ยัยหมิว!” “จะเรียกทำไม” เธอขึงตาใส่แล้วพูดอย่างเพิ่งนึกได้ “นายทำเจสันเจ็บ คราวนี้ดูแลเขาด้วย” “อ้าว ทำไมต้องเป็นเราล่ะ” “ได้ ถ้าอย่างนั้นหมิวไปดูแลเอง” “โอ๊ย! ถ้างั้นหมิวไม่ต้องไป เราไปเอง!” เจสันกลั้นยิ้มขำ จะบอกว่าไม่ต้องดูแลเขาก็ได้ ขนาดถูกยิงกระสุนทะลุท้อง เขายังนอนพักฟื้นคนเดียว แต่แค่คิดอยากแกล้งเพื่อนของคุณธีรยาจึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้ “คุณธีรยาใกล้เลิกงานแล้ว ผมรอส่งคุณธีรยาก่อนดีกว่าครับ” “ไม่ต้อง วันนี้หมิวจะไปบ้านคุณแม่” “คุณแม่?” ปกป้องถามอย่างงุนงง “หมายถึงแม่ของอีริคนะ” คราวนี้หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมา “นี่ถึงขั้นไปเจอญาติผู้ใหญ่กันแล้วเหรอ” ปกป้องทำหน้ายุ่งแต่ในใจแอบเจ็บอยู่ไม่น้อย ความหวังให้เธอเป็น ‘แฟน’ ของเขา “ก็...เกี่ยวอะไรกับนายด้วยเล่า เอาล่ะๆ หมิวไปทำงานต่อแล้ว เจสันกลับไปพักผ่อนเถอะ ประเดี๋ยวแผลจะอักเสบเอา” “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมให้บอดี้การ์ดคนอื่นมาดูแลคุณธีรย
“ค่ะ พี่รู้ว่าน้องหมิวไม่ได้คิดอะไร และน้องหมิวเองก็มีแฟนแล้ว แต่พี่เตือนด้วยความหวังดี ยังไงเสียทั้งหมิวและพี่ก้องก็ยังทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน แม้ว่าจะอยู่กันคนละแผนกก็ตาม”“ค่ะ” ขนมที่ว่าอร่อยก็กร่อยจนกลืนไม่ลง ธีรยาคิดหาวิธีออกจากสถานการณ์แสนอึดอัดอย่างนี้ โชคดีที่มีข้อความส่งเข้ามา เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่านดูข้อความเจสัน : วันนี้ผมยังเจ็บแผลอยู่ จะให้ลูกน้องไปรับคุณธีรยานะครับหมอหมิว : ไม่เป็นไรค่ะ หมิวออกมากินกาแฟกับพี่เข็ม...ภรรยาพี่หมอก้องภพค่ะ สักประเดี๋ยวจะเดินทางไปบ้านคุณแม่กานดาแล้วเจสัน : คุณธีรยาส่งโลเคชั่นมาครับ ผมให้ลูกน้องขับรถไปรับหมอหมิว : โอเค.ค่ะเขมิกาจิบกาแฟจนหมดแก้ว แล้วมองธีรยาที่ก้มหน้าก้มตากดส่งข้อความ จะว่าเธอเป็นคนใจร้ายก็ยอม แต่ตอนนี้เธอมีฐานะเป็น ‘ภรรยา’ ของก้องภพอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เธอสามารถทำอะไรที่ควรทำได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งประกาศให้ผู้หญิงตรงหน้ารู้ถึงสถานะของเธอด้วยธีรยาส่งข้อความเรียบร้อยก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น “หมิวขอโทษนะคะ พอดีมีธุระด่วนค่ะ”“ตายจริง นึกว่าเป็นวันหยุดเสียอีก”“วันหยุดค่ะ แต่พอดีมีธุระด่วนต้องไปค