Share

Chapter 29. เรียกแม่สิ

            “คุณท่านให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียดดีกว่านะคะ ถ้าผิดปกติอะไรจะได้รักษาได้ทันเวลา”  เธอพูดไปตามตรง

            “เรียกคุณทงคุณท่านอะไรห่างเหินจริงๆ” คุณกานดาส่ายหน้าไปมา “เรียกแม่สิ”

            “เอ่อ..” เธออึกอักเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเบา “คุณแม่...”

            “อื้ม ฟังแล้วรื่นหูดีจริง เอาตามที่หนูหมิวคิดว่าดีเถอะนะ แม่นะยังไงก็ได้”

            “ค่ะ”  เธอยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปคุยกับคุณหมอ ไม่กี่นาทีทั้งคุณหมอและพยาบาลก็ออกไป เธอจึงหันมาทางคุณกานดาแล้วประคองท่านลงนอนที่เตียง

            “นี่ถ้าไม่มีหนูหมิวอยู่ใกล้ๆ แม่ต้องลำบากแน่ๆ”  คุณกานดายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบแก้มนุ่มของอีกฝ่าย “คบกันแล้วก็ไม่ต้องเขินอายอะไร มากินข้าวบ้านแม่บ้าง ทั้งคู่นั้นแหละ” 

            “คือ...หนูเพิ่งคบกับอีริคค่ะก็เลย...” 

            “แม่เข้าใจ”  นางหัวเราะแต่เสียงแหบแห้ง วันนี้อาการไม่ค่อยดีทั้งวันแต่ก็คิดว่าไม่มีอะไร พอค่ำมาเกิดบ้านหมุนล้มลง คนรับใช้กับแม่บ้านแตกตื่นรีบเรียกรถพยาบาล เธอจึงได้มานอนอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษแบบนี้  ที่จริงนางก็ไม่รู้หรอกว่าโจวเจียอีคบกับธีรยาถึงขั้นไหนแค่ได้ยินลูกชายพูดว่ากำลังศึกษาดูใจกันอยู่  นี่แม่บ้านคงโทรบอกลูกชายนางที่อยู่ต่างประเทศ และโจวเจียอีคงให้ธีรยาที่บังเอิญทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกันมาดูแลนางเป็นแน่

            “ทำงานทั้งโรงพยาบาลทั้งเอกชนไม่เหนื่อยแย่หรือลูก” 

            หญิงสาวยิ้มน้อยๆ แล้วรินน้ำดื่มให้คุณกานดา “ถ้าพูดว่าไม่เหนื่อยก็เหมือนกับโกหกแต่เป็นงานที่ชอบก็เลยไม่รู้สึกเหนื่อยค่ะ”  

            โทรศัพท์มือถือของหญิงสาวสั่นเพราะมีสายโทรเข้า เวลาทำงานเธอจะปิดเสียงและเปิดระบบสั่นไว้ มือเรียวหยิบโทรศัพท์ออกมาเห็นเบอร์โทรที่คุ้นเคยและโทรเข้ามาหลายครั้ง เธอจึงรีบรับสาย

            “คุณแม่เป็นยังไงบ้าง”  ปลายสายถามอย่างร้อนรน “ผมหากำลังหาเที่ยวบินกลับเมืองไทย”

            “คุณแม่คุณปลอดภัยค่ะ ตอนนี้หมิวอยู่กับท่าน” ธีรยาอธิบายอาการอย่างคราวๆ “ไม่ต้องรีบร้อนค่ะ คุณหมอให้คุณแม่อยู่ดูอาการที่โรงพยาบาล”

            “ผมฝากเรื่องคุณแม่ด้วยนะครับ”  เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ขอบคุณมาก”

            “คุณจะคุยกับท่านไหมคะ “ หญิงสาวถามแต่เมื่อหันไปก็เห็นว่าคุณกานดาปิดเปลือกตาแล้ว “เอ่อ...สงสัยท่านหลับไปแล้วค่ะ 

            “ให้ท่านพักผ่อนเถอะครับ ผมฝากดูคุณแม่ด้วยอนุญาตให้คุณตัดสินใจในการรักษาได้ ผมจะรีบไปให้เร็วที่สุด”

            “อีริคค่ะ คุณแม่ไม่ได้เป็นอะไรมาก คุณไม่ต้องพูดจาแบบนั้นก็ได้ ยังไงทางนี้หมิวช่วยดูแลให้ค่ะ”

            “ขอบคุณครับ”

            ปลายสายตัดสายไปแล้วเธอจึงเก็บโทรศัพท์ หันมาอีกทีเห็นคุณกานดาลืมตามองเธอด้วยรอยยิ้มเอ็นดู

            “หนูไม่รู้ว่าคุณแม่ตื่นอยู่ เมื่อครู่อีริคโทรมาค่ะ”

            “แม่ได้ยินแล้ว”  นางกวักมือเรียกรอจนหญิงสาวเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ริมเตียงคนป่วยแล้วจึงเอ่ยต่อ “ดีใจที่หนูหมิวคบกับลูกชายแม่นะ”

            ธีรยาเม้มริมฝีปากครุ่นคิดก่อนตัดสินใจพูดออกไป

“คุณแม่ไม่รังเกียจหมิวหรือคะ  หมิวเป็นเด็กกำพร้า ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าและยังฐานะและการเงินก็ไม่ดีเท่าไหร่ อยู่คนละชั้นคนละสังคมกับอีริคเลย”

            “นี่มัน พ.ศ.ไหนแล้ว”  คุณกานดาหัวเราะเบาๆ “แค่เป็นคนดีก็พอแล้ว แม่น่ะ ผ่านอะไรมามากผู้คนก็เจอมาทุกรูปแบบแล้ว ชีวิตคนเราก็ทำให้มันเป็นเรื่องยุ่งยากกันไปเอง อยู่ตรงไหนแล้วใจสบายก็อยู่ตรงนั้น ถึงแม่กับเพ็ญนภาจะเชียร์หนูกับอีริคออกนอกหน้า แต่ถ้าสองคนใจไม่ตรงกันก็ไม่มีความหมาย ถ้าหนูหมิวกับอีริคคบกันรักกันจริง อยู่ด้วยกันมีความสุข แค่นี้มันก็พอแล้ว”

            “ขอบคุณค่ะ”  เธอยิ้มอย่างโล่งอก ถึงยังไงเธอก็เจียมตัวเสมอและไม่เคยอายที่ตัวเองเติบโตในบ้านเด็กกำพร้า

            “เอาเถอะ นี่รีบออกมาจากห้องทำงานใช่ไหม จะโดนดุเอาหรือเปล่า ประเดี๋ยวพยาบาลพิเศษคงมาแล้วล่ะ”

            “ไม่เป็นไรคะ หมิวเลิกงานพอดี” แต่เพราะรีบออกมาเลยยังไม่ได้ถอดเสื้อกาวน์ออก “หมิวกลับไปเอากระเป๋าที่ห้องแล้วจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่นะคะ”

            “ไม่เหนื่อยแย่หรือลูก ทำงานสองที่แล้วยังต้องมาดูแลแม่อีก”

            “ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องเล็กน้อย” 

เธอยิ้มแล้วขอตัวเดินกลับไปที่ห้องทำงานเพื่อเอากระเป๋าสะพายที่วางไว้ที่ห้องทำงาน  เจสันกระหืดกระหอบวิ่งมาทางเธอ ใบหน้าชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ธีรยามองอย่างประหลาดใจแล้วอดถามไม่ได้

            “ไปทำอะไรมาอย่างกับตกน้ำมา หรือข้างนอกฝนตก”

            “เปล่าครับ”  เขาโบกมือไปมา แล้วเลี่ยงที่จะตอบคำถาม “คุณนายเป็นยังไงบ้างครับ”

            “คุณหมอให้อยู่ดูอาการค่ะ แต่โดยรวมอาการไม่น่าเป็นห่วงนัก” เธอตอบไปตามตรง “หมิวต้องไปเก็บของที่ห้องทำงาน สักประเดี๋ยวจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณกานดาค่ะ”

            “ครับ บอสเป็นห่วงมาก ผมรีบมาทันทีเลยครับ”

            ธีรยากวาดตามองขึ้นลงแล้วก็พยักหน้า “รีบจริงๆนั้นแหละ เดี๋ยวหมิวยืนยันให้เอง”

            “โธ่! ผมรีบแล้วนะ เพราะมัวแต่วิ่งไล่จับเด็ก อุ๊ย!”

            “วิ่งไล่จับเด็ก? เด็กที่ไหน?”

            “ไม่มีอะไรครับ! เอ่อ ...คือ..”

            “เข้าใจๆ คนเราก็ต้องมีเวลาส่วนตัวกันบ้าง แต่นายไปล้างหน้าเช็ดเหงื่อจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนดีกว่า”

            ถึงอยากรู้แต่ไม่ใช่เรื่องที่ควรถาม แต่ละคนก็ต้องการความเป็นส่วนตัวกันบ้าง 

            เจสันยิ้มเขินยกมือมือเกาท้ายทอยแก้เก้อ

            “เอ่อ...คนที่ชื่อซ่งไห่เทาคนนั้นไม่มีชื่ออังกฤษเหมือนเจสันเหรอ” เธอถามอย่างเพิ่งนึกได้

            “มีครับแต่หมอนั้นมันไม่ชอบ มันชอบให้เรียกชื่อจีนมากกว่า”

            “หมอนั้น-มัน...นี่สนิทกันมากเหรอ” 

            “เอ่อ...ครับ แต่ยังไงบอสก็ใหญ่สุดครับ”

            “อืมๆ” เธอพยักหน้ารับ “แล้วชื่อจีนของเจสันล่ะ” 

            “ผมเหรอครับ...แซ่ไป๋ชื่อห่าวอู๋ครับ”

            “ไป๋-ห่าว-อู๋  อืม... ออกเสียงยากจริงๆ เรียกเจสันเหมือนเดิมดีกว่า”

            “ครับ”

            “นายไปทำจัดการตัวเองก่อนเธอ หมิวก็จะกลับไปที่ห้องทำงานจะได้มาดูคุณกานดา” 

หญิงสาวพูดแล้วเดินจากมา จู่ๆ ก็นึกได้ว่าจะถามเรื่องเด็กที่เจอที่วิลล่าวันนั้น  ทำไมเธอติดใจก็ไม่รู้ หรือเพราะรู้สึกคุ้นหน้า แต่ถ้าเป็นคนของโจวเจียอี เขาต้องแนะนำให้เธอรู้จักเหมือนบรรดาบอดี้การ์ดของเขา  เธอส่ายหน้าไปมาสลัดเรื่องไร้สาระออกจากหัว  คืนนี้คงอีกยาวไกลแต่ไม่เป็นไร เรื่องอดหลับอดนอนเป็นเรื่องขี้เล็บอยู่แล้ว สมัยเรียนยิ่งกว่านี้อีก เฮ้อ!

           

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status