“คุณท่านให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียดดีกว่านะคะ ถ้าผิดปกติอะไรจะได้รักษาได้ทันเวลา” เธอพูดไปตามตรง
“เรียกคุณทงคุณท่านอะไรห่างเหินจริงๆ” คุณกานดาส่ายหน้าไปมา “เรียกแม่สิ”
“เอ่อ..” เธออึกอักเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเบา “คุณแม่...”
“อื้ม ฟังแล้วรื่นหูดีจริง เอาตามที่หนูหมิวคิดว่าดีเถอะนะ แม่นะยังไงก็ได้”
“ค่ะ” เธอยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปคุยกับคุณหมอ ไม่กี่นาทีทั้งคุณหมอและพยาบาลก็ออกไป เธอจึงหันมาทางคุณกานดาแล้วประคองท่านลงนอนที่เตียง
“นี่ถ้าไม่มีหนูหมิวอยู่ใกล้ๆ แม่ต้องลำบากแน่ๆ” คุณกานดายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบแก้มนุ่มของอีกฝ่าย “คบกันแล้วก็ไม่ต้องเขินอายอะไร มากินข้าวบ้านแม่บ้าง ทั้งคู่นั้นแหละ”
“คือ...หนูเพิ่งคบกับอีริคค่ะก็เลย...”
“แม่เข้าใจ” นางหัวเราะแต่เสียงแหบแห้ง วันนี้อาการไม่ค่อยดีทั้งวันแต่ก็คิดว่าไม่มีอะไร พอค่ำมาเกิดบ้านหมุนล้มลง คนรับใช้กับแม่บ้านแตกตื่นรีบเรียกรถพยาบาล เธอจึงได้มานอนอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษแบบนี้ ที่จริงนางก็ไม่รู้หรอกว่าโจวเจียอีคบกับธีรยาถึงขั้นไหนแค่ได้ยินลูกชายพูดว่ากำลังศึกษาดูใจกันอยู่ นี่แม่บ้านคงโทรบอกลูกชายนางที่อยู่ต่างประเทศ และโจวเจียอีคงให้ธีรยาที่บังเอิญทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกันมาดูแลนางเป็นแน่
“ทำงานทั้งโรงพยาบาลทั้งเอกชนไม่เหนื่อยแย่หรือลูก”
หญิงสาวยิ้มน้อยๆ แล้วรินน้ำดื่มให้คุณกานดา “ถ้าพูดว่าไม่เหนื่อยก็เหมือนกับโกหกแต่เป็นงานที่ชอบก็เลยไม่รู้สึกเหนื่อยค่ะ”
โทรศัพท์มือถือของหญิงสาวสั่นเพราะมีสายโทรเข้า เวลาทำงานเธอจะปิดเสียงและเปิดระบบสั่นไว้ มือเรียวหยิบโทรศัพท์ออกมาเห็นเบอร์โทรที่คุ้นเคยและโทรเข้ามาหลายครั้ง เธอจึงรีบรับสาย
“คุณแม่เป็นยังไงบ้าง” ปลายสายถามอย่างร้อนรน “ผมหากำลังหาเที่ยวบินกลับเมืองไทย”
“คุณแม่คุณปลอดภัยค่ะ ตอนนี้หมิวอยู่กับท่าน” ธีรยาอธิบายอาการอย่างคราวๆ “ไม่ต้องรีบร้อนค่ะ คุณหมอให้คุณแม่อยู่ดูอาการที่โรงพยาบาล”
“ผมฝากเรื่องคุณแม่ด้วยนะครับ” เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ขอบคุณมาก”
“คุณจะคุยกับท่านไหมคะ “ หญิงสาวถามแต่เมื่อหันไปก็เห็นว่าคุณกานดาปิดเปลือกตาแล้ว “เอ่อ...สงสัยท่านหลับไปแล้วค่ะ
“ให้ท่านพักผ่อนเถอะครับ ผมฝากดูคุณแม่ด้วยอนุญาตให้คุณตัดสินใจในการรักษาได้ ผมจะรีบไปให้เร็วที่สุด”
“อีริคค่ะ คุณแม่ไม่ได้เป็นอะไรมาก คุณไม่ต้องพูดจาแบบนั้นก็ได้ ยังไงทางนี้หมิวช่วยดูแลให้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ปลายสายตัดสายไปแล้วเธอจึงเก็บโทรศัพท์ หันมาอีกทีเห็นคุณกานดาลืมตามองเธอด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
“หนูไม่รู้ว่าคุณแม่ตื่นอยู่ เมื่อครู่อีริคโทรมาค่ะ”
“แม่ได้ยินแล้ว” นางกวักมือเรียกรอจนหญิงสาวเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ริมเตียงคนป่วยแล้วจึงเอ่ยต่อ “ดีใจที่หนูหมิวคบกับลูกชายแม่นะ”
ธีรยาเม้มริมฝีปากครุ่นคิดก่อนตัดสินใจพูดออกไป
“คุณแม่ไม่รังเกียจหมิวหรือคะ หมิวเป็นเด็กกำพร้า ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าและยังฐานะและการเงินก็ไม่ดีเท่าไหร่ อยู่คนละชั้นคนละสังคมกับอีริคเลย”
“นี่มัน พ.ศ.ไหนแล้ว” คุณกานดาหัวเราะเบาๆ “แค่เป็นคนดีก็พอแล้ว แม่น่ะ ผ่านอะไรมามากผู้คนก็เจอมาทุกรูปแบบแล้ว ชีวิตคนเราก็ทำให้มันเป็นเรื่องยุ่งยากกันไปเอง อยู่ตรงไหนแล้วใจสบายก็อยู่ตรงนั้น ถึงแม่กับเพ็ญนภาจะเชียร์หนูกับอีริคออกนอกหน้า แต่ถ้าสองคนใจไม่ตรงกันก็ไม่มีความหมาย ถ้าหนูหมิวกับอีริคคบกันรักกันจริง อยู่ด้วยกันมีความสุข แค่นี้มันก็พอแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มอย่างโล่งอก ถึงยังไงเธอก็เจียมตัวเสมอและไม่เคยอายที่ตัวเองเติบโตในบ้านเด็กกำพร้า
“เอาเถอะ นี่รีบออกมาจากห้องทำงานใช่ไหม จะโดนดุเอาหรือเปล่า ประเดี๋ยวพยาบาลพิเศษคงมาแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไรคะ หมิวเลิกงานพอดี” แต่เพราะรีบออกมาเลยยังไม่ได้ถอดเสื้อกาวน์ออก “หมิวกลับไปเอากระเป๋าที่ห้องแล้วจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่นะคะ”
“ไม่เหนื่อยแย่หรือลูก ทำงานสองที่แล้วยังต้องมาดูแลแม่อีก”
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องเล็กน้อย”
เธอยิ้มแล้วขอตัวเดินกลับไปที่ห้องทำงานเพื่อเอากระเป๋าสะพายที่วางไว้ที่ห้องทำงาน เจสันกระหืดกระหอบวิ่งมาทางเธอ ใบหน้าชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ธีรยามองอย่างประหลาดใจแล้วอดถามไม่ได้
“ไปทำอะไรมาอย่างกับตกน้ำมา หรือข้างนอกฝนตก”
“เปล่าครับ” เขาโบกมือไปมา แล้วเลี่ยงที่จะตอบคำถาม “คุณนายเป็นยังไงบ้างครับ”
“คุณหมอให้อยู่ดูอาการค่ะ แต่โดยรวมอาการไม่น่าเป็นห่วงนัก” เธอตอบไปตามตรง “หมิวต้องไปเก็บของที่ห้องทำงาน สักประเดี๋ยวจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณกานดาค่ะ”
“ครับ บอสเป็นห่วงมาก ผมรีบมาทันทีเลยครับ”
ธีรยากวาดตามองขึ้นลงแล้วก็พยักหน้า “รีบจริงๆนั้นแหละ เดี๋ยวหมิวยืนยันให้เอง”
“โธ่! ผมรีบแล้วนะ เพราะมัวแต่วิ่งไล่จับเด็ก อุ๊ย!”
“วิ่งไล่จับเด็ก? เด็กที่ไหน?”
“ไม่มีอะไรครับ! เอ่อ ...คือ..”
“เข้าใจๆ คนเราก็ต้องมีเวลาส่วนตัวกันบ้าง แต่นายไปล้างหน้าเช็ดเหงื่อจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนดีกว่า”
ถึงอยากรู้แต่ไม่ใช่เรื่องที่ควรถาม แต่ละคนก็ต้องการความเป็นส่วนตัวกันบ้าง
เจสันยิ้มเขินยกมือมือเกาท้ายทอยแก้เก้อ
“เอ่อ...คนที่ชื่อซ่งไห่เทาคนนั้นไม่มีชื่ออังกฤษเหมือนเจสันเหรอ” เธอถามอย่างเพิ่งนึกได้
“มีครับแต่หมอนั้นมันไม่ชอบ มันชอบให้เรียกชื่อจีนมากกว่า”
“หมอนั้น-มัน...นี่สนิทกันมากเหรอ”
“เอ่อ...ครับ แต่ยังไงบอสก็ใหญ่สุดครับ”
“อืมๆ” เธอพยักหน้ารับ “แล้วชื่อจีนของเจสันล่ะ”
“ผมเหรอครับ...แซ่ไป๋ชื่อห่าวอู๋ครับ”
“ไป๋-ห่าว-อู๋ อืม... ออกเสียงยากจริงๆ เรียกเจสันเหมือนเดิมดีกว่า”
“ครับ”
“นายไปทำจัดการตัวเองก่อนเธอ หมิวก็จะกลับไปที่ห้องทำงานจะได้มาดูคุณกานดา”
หญิงสาวพูดแล้วเดินจากมา จู่ๆ ก็นึกได้ว่าจะถามเรื่องเด็กที่เจอที่วิลล่าวันนั้น ทำไมเธอติดใจก็ไม่รู้ หรือเพราะรู้สึกคุ้นหน้า แต่ถ้าเป็นคนของโจวเจียอี เขาต้องแนะนำให้เธอรู้จักเหมือนบรรดาบอดี้การ์ดของเขา เธอส่ายหน้าไปมาสลัดเรื่องไร้สาระออกจากหัว คืนนี้คงอีกยาวไกลแต่ไม่เป็นไร เรื่องอดหลับอดนอนเป็นเรื่องขี้เล็บอยู่แล้ว สมัยเรียนยิ่งกว่านี้อีก เฮ้อ!
ธีรยามาถึงโรงพยาบาลเอกชนที่คุณกานดาพักรักษาตัวและเป็นที่ทำงานที่สองของเธอด้วย เจ้าของร่างเล็กมาที่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็พบโจวเจียอียืนคุยกับคุณหมอเจ้าของไข้อยู่ก่อนแล้ว เธอยืนรออยู่ไม่กี่นาทีทั้งหมดก็สนทนากันเสร็จ คุณหมอกับพยาบาลออกไปแล้วเธอจึงขยับเท้าเข้าไปไกล “หนูหมิวมาแล้ว” คุณกานดาร้องทักทำให้โจวเจียอีหันไปมอง สีหน้าเขาอิดโรยไม่น้อยแต่ยังฝืนยิ้มให้ “แม่ก็บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว” “ครับ” “ลูกทำให้แม่รู้สึกแย่นะ” คุณกานดาดุลูกชายไม่จริงจังนัก “แม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ” “ก็เราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว แม่เข้าใจว่าลูกต้องดูแลธุรกิจการงานต่างๆ แต่แม่ก็อยากอยู่เมืองไทย แม่เตรียมใจไว้แล้วว่าลูกอาจไม่ได้อยู่ใกล้ๆแม่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอย่าโกรธตัวเองแบบนี้” “ผมเปล่า...” “อย่ามาเถียง แม่เป็นแม่นะ เลี้ยงมากับมือทำไมจะไม่รู้จักนิสัยลูกตัวเอง” คุณกานดาหัวเราะออกมาแล้วส่งยิ้มให้ธีรยา “ยังดีที่ลูกมีคนรักที่ดี มีหนูหมิวอยู่ดูแลลูก แม่ก็สบายใจ”
“ถามเพื่อนคุณหรือยังว่าอยากสนิทกับผมหรือเปล่า” เขาหัวเราะในลำคอแล้วจัดการเกี๊ยวน้ำในถ้วยของตัวเอง ธีรยายิ้มขำแล้วกินอาหารตรงหน้า เธอนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “สบายใจขึ้นบ้างไหมคะ หมิวก็...ปลอบใจคนไม่เก่ง อาการของคุณแม่คุณไม่น่าเป็นห่วงจริงๆค่ะ” “ครับ ขอบคุณอีกครั้ง” ธีรยามองเสี้ยวหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอกินเสร็จแล้วก็ลุกไปหยิบผ้าเย็นจากชั้นจ่ายเงินแล้วเดินเร็วๆ กลับมาหาเขา “ใช้ผ้าเย็นนี่ค่ะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขอบคุณครับ” “ขอบคุณบ่อยไปแล้วค่ะ” เธอยิ้มและเมื่อเห็นว่าเขายกน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ช่วยเช็ดหน้าให้ “คุณไม่น่าจะเป็นคนพูดคำว่าขอบคุณเป็นเลยนะ” “ก็เพราะเป็นคุณไง” เขาเองยังประหลาดใจที่ตัวเองเป็นคนอย่างนี้ได้ “ตอนนั้นพ่อผมป่วยหนักและผมก็กลับมาดูใจท่านไม่ท่าน ท่านจากไปก่อนที่ผมจะไปถึงแค่ไม่กี่นาที ผมเลยกลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก ทั้งที่แม่บอกว่าสิ่งสุดท้ายที่พ่อห่วงคือคือพ่อเป็นห่วงความรู้สึกผม แต่พ่อก็ฝืนทนรอผมไม่ไหว” “อีริคค่ะ หมิวเสียใจด้วย” คราวนี้เธอ
“เอ่อ...” เธออึกอักขึ้นมา ไปอยู่บ้านเดียวกันแบบนั้นไม่เท่ากับว่าสถานะเธอคือ ‘ลูกสะใภ้’ อย่างนั้นเหรอ มันไม่เหมือนเวลาเธอไปค้างที่คอนโดของเขาเป็นครั้งคราว เอ่อ ...หลายครั้งหลายคราวต่างหาก “ขอโทษ ผมทำให้คุณอึดอัดอีกแล้ว” “ไม่ใช่ค่ะหมิวแค่คิดว่ามันเร็วไปไหมคะ คือ...” “ไปในฐานะแขกของท่านก็ได้ครับ” เขายิ้มอย่างเข้าใจ ผู้หญิงคนอื่นอยากกระโจนมานั่งตำแหน่ง ‘สะใภ้ตระกูลโจว’ แต่เธอกลับลังเล กล้าๆ กลัวๆ ที่จะก้าวเข้ามาใกล้เขา แต่จากคนที่ปิดใจและยอมให้เขากุมมือไว้อย่างนี้ก็นับว่า ‘ใกล้’ มากแล้วจริงๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอไม่อาจปฏิเสธผู้มีพระคุณของตัวเองได้ เธอเผลอสบตากับดวงตาสีน้ำตาลของเขาแล้วเรื่องราวที่คุยกับปกป้องก็ผุดขึ้นมาในสมองรบกวนความคิดของเธอ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามเพราะเห็นสีหน้าเธอไม่ดีนัก “คืนนี้ผมอยู่เฝ้าคุณแม่เองได้ คุณกลับไปนอนพักที่คอนโดผมดีกว่าไหม ผมจะให้เจสันไปส่ง” “ไม่เป็นไรคะหมิวอยู่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า ท่าทางคุณก็เหนื่อยเหมือนกัน หมิวขอตัวเข้าห้องน้ำสักประเดี๋ยวนะคะ” ค
ท่าทางของคุณกานดาเหมือนจะเป็นลม ธีรยาเข้าไปประคองให้เอนหลังนอนบนเตียง แต่นางโบกมือห้ามไว้ก่อน “แล้วนี่นึกยังไงถึงมาแสดงตัว หรือเพราะเห็นแม่ใกล้ตายเลยอยากให้มารับส่วนแบ่งมรดกของพ่อแก” “แม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้นครับ ปกติคุณพ่อให้ผมจัดการค่าใช้จ่ายรายเดือนให้คุณน้าเหมยลี่ และในส่วนมรดกที่คุณพ่อแบ่งให้หมิงเจ๋อนั้นก็ไม่ได้แตะต้องส่วนของคุณแม่เลย ที่ผ่านมาคุณพ่อเลี้ยงดูน้าเหมยลี่มาอย่างลับๆ จนกระทั่งถึงคราวที่คุณพ่อเสีย พ่อให้ผมช่วยดูแลหมิงเจ๋อจนกว่าเขาจะบรรลุนิติภาวะ” “แล้วทำไมถึงเสนอหน้ากันมาที่เมืองไทย ก็รู้ว่าแม่อยู่ที่นี่ แม่ไม่ได้อยากรับรู้เรื่องที่พ่อนอกใจแม่หรอกนะ!” “คุณกานดาค่ะ ใจเย็นๆค่ะ” ธีรยาลูบหลังเบาๆ เธอโล่งใจที่ไม่ใช่ลูกของโจวเจียอี ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจเด็ก เธอแค่กลัวว่าตัวเองจะเป็นมือที่สามในชีวีตคนอื่น “เดิมที่ก็ไม่จะให้คุณแม่รู้เรื่องนี้ แต่...หมิงเจ๋อร่างกายไม่แข็งแรง ตับทำงานผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดตอนนี้อาการทรุดลงและต้องปลูกถ่ายตับ...” “อย่าบอกว่าต้องใช้ตับของลูกนะ!” คุณกานดาตวาดเสียงสั่นแล้วตวัดสายตาจ
คนตัวสูงรั้งร่างบอบบางเข้ามากอด“ผมอยากกลับไปห้องของเราจัง” “อย่าดื้อค่ะ” โจวเจียอีเงยหน้าหัวเราะแล้วยกมือสองมือประคองใบหน้าหวานสบตากับดวงตาหลังแว่นตาแสนเชย แต่ภายใต้ดวงตาใสกระจ่างคือความอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน “คราวนี้คุณเชื่อใจผมได้หรือยัง ผมไม่เคยมีใครและไม่เคยซุกเมียเก็บไว้” แน่นอนว่าเขาไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ และไม่อยากเห็นคนที่เขารักต้องทุกข์ใจเช่นที่แม่เขาต้องเผชิญ รัก...เขารู้จักคำนี้จริงๆหรือ? “จะรับไว้พิจารณานะคะ” “โธ่ หมิว...” เขาครางอย่างอ่อนใจ “เอาไว้หมิวหาเวลาเรียนภาษาจีนก่อน เวลาคุณพูดอะไร หมิวจะได้ฟังออกว่าคุณไม่ได้ปิดบังอะไรอีก” “ได้ ผมสอนให้เอง”“ค่าสอนแพงไหมคะ ระดับประธานโจวมาสอนเอง หมิว จะจ่ายไม่ไหวเอานะสิ”“อื้ม...ผมคิดเป็นอย่างอื่นก็แล้วกัน”สายตากรุ้มกริ่มของเขาทำให้หญิงสาวเขินหน้าแดง เธอทุบอกเขาแก้เขินแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย วันนี้เกิดเรื่องมากมาย แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้มีใครอื่นซุกซ่อนไว้จริงๆ.
“ถ้าไม่มีอะไร เราต้องกลับไปทำงานต่อ” “ยัยหมิว!” “จะเรียกทำไม” เธอขึงตาใส่แล้วพูดอย่างเพิ่งนึกได้ “นายทำเจสันเจ็บ คราวนี้ดูแลเขาด้วย” “อ้าว ทำไมต้องเป็นเราล่ะ” “ได้ ถ้าอย่างนั้นหมิวไปดูแลเอง” “โอ๊ย! ถ้างั้นหมิวไม่ต้องไป เราไปเอง!” เจสันกลั้นยิ้มขำ จะบอกว่าไม่ต้องดูแลเขาก็ได้ ขนาดถูกยิงกระสุนทะลุท้อง เขายังนอนพักฟื้นคนเดียว แต่แค่คิดอยากแกล้งเพื่อนของคุณธีรยาจึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้ “คุณธีรยาใกล้เลิกงานแล้ว ผมรอส่งคุณธีรยาก่อนดีกว่าครับ” “ไม่ต้อง วันนี้หมิวจะไปบ้านคุณแม่” “คุณแม่?” ปกป้องถามอย่างงุนงง “หมายถึงแม่ของอีริคนะ” คราวนี้หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมา “นี่ถึงขั้นไปเจอญาติผู้ใหญ่กันแล้วเหรอ” ปกป้องทำหน้ายุ่งแต่ในใจแอบเจ็บอยู่ไม่น้อย ความหวังให้เธอเป็น ‘แฟน’ ของเขา “ก็...เกี่ยวอะไรกับนายด้วยเล่า เอาล่ะๆ หมิวไปทำงานต่อแล้ว เจสันกลับไปพักผ่อนเถอะ ประเดี๋ยวแผลจะอักเสบเอา” “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมให้บอดี้การ์ดคนอื่นมาดูแลคุณธีรย
“ค่ะ พี่รู้ว่าน้องหมิวไม่ได้คิดอะไร และน้องหมิวเองก็มีแฟนแล้ว แต่พี่เตือนด้วยความหวังดี ยังไงเสียทั้งหมิวและพี่ก้องก็ยังทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน แม้ว่าจะอยู่กันคนละแผนกก็ตาม”“ค่ะ” ขนมที่ว่าอร่อยก็กร่อยจนกลืนไม่ลง ธีรยาคิดหาวิธีออกจากสถานการณ์แสนอึดอัดอย่างนี้ โชคดีที่มีข้อความส่งเข้ามา เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่านดูข้อความเจสัน : วันนี้ผมยังเจ็บแผลอยู่ จะให้ลูกน้องไปรับคุณธีรยานะครับหมอหมิว : ไม่เป็นไรค่ะ หมิวออกมากินกาแฟกับพี่เข็ม...ภรรยาพี่หมอก้องภพค่ะ สักประเดี๋ยวจะเดินทางไปบ้านคุณแม่กานดาแล้วเจสัน : คุณธีรยาส่งโลเคชั่นมาครับ ผมให้ลูกน้องขับรถไปรับหมอหมิว : โอเค.ค่ะเขมิกาจิบกาแฟจนหมดแก้ว แล้วมองธีรยาที่ก้มหน้าก้มตากดส่งข้อความ จะว่าเธอเป็นคนใจร้ายก็ยอม แต่ตอนนี้เธอมีฐานะเป็น ‘ภรรยา’ ของก้องภพอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เธอสามารถทำอะไรที่ควรทำได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งประกาศให้ผู้หญิงตรงหน้ารู้ถึงสถานะของเธอด้วยธีรยาส่งข้อความเรียบร้อยก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น “หมิวขอโทษนะคะ พอดีมีธุระด่วนค่ะ”“ตายจริง นึกว่าเป็นวันหยุดเสียอีก”“วันหยุดค่ะ แต่พอดีมีธุระด่วนต้องไปค
“แต่งงานโดยไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงเนี้ยนะ” คุณกานดาเค้นเสียงหัวเราะ “จะทำตัวเหมือนพ่อหรือไง พอเวลาเจอคนที่ตัวเองรักก็แอบเลี้ยงไว้ข้างนอก” “แม่ครับ มันไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่ไม่มั่นใจความรู้สึกตัวเอง ผมรู้แค่ว่าผมชอบเวลาอยู่กับเธอ มีความสุขทุกครั้งที่เห็นเธอยิ้ม และอยากไม่ต้องการให้ใครแตะต้องเธออยากครอบครองเธอเพียงคนเดียว” คุณกานดาฟังแล้วก็พยักหน้า“แม่กับพ่อแต่งงานกันเพราะความเหมาะสมและผลประโยชน์ แต่แม่ก็รักพ่อจากใจจริง ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมจากบ้านเกิดไปอยู่ที่จีน ไปเป็นคนแปลกหน้าที่นั้น ความจริงแม่รู้อยู่แล้วว่าพ่อมีคนที่ชอบอยู่ แต่ต้องแต่งงานกับแม่ แต่เพราะแม่รักพ่อของลูกมากถึงได้หลอกตัวเองว่าพ่อแกรักแม่จริงจัง ทำเป็นไม่รู้เรื่องที่พ่อแกเลี้ยงผู้หญิงไว้นอกบ้าน” “แม่รู้อยู่แล้ว” “อืม...ไม่ใช่ว่าแม่ใจดำไม่อยากช่วยเด็ก แต่เห็นหน้าเด็กคนนั้นก็ตอกย้ำว่าพ่อแกนอกใจแม่ ไม่สิ พ่อแกไม่ได้รักแม่อยู่แล้วจะเรียกว่านอกใจก็ไม่ได้ เพราะเหตุนี้แม่ไม่อยากเห็นผู้หญิงคนไหนต้องมาเจอแบบแม่อีก ลูกอยากช่วยหนูหมิว เป็นเรื่องที่ควรทำแต่ถ้าลูกไม่รักผ