ธีรยามาถึงโรงพยาบาลเอกชนที่คุณกานดาพักรักษาตัวและเป็นที่ทำงานที่สองของเธอด้วย เจ้าของร่างเล็กมาที่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็พบโจวเจียอียืนคุยกับคุณหมอเจ้าของไข้อยู่ก่อนแล้ว เธอยืนรออยู่ไม่กี่นาทีทั้งหมดก็สนทนากันเสร็จ คุณหมอกับพยาบาลออกไปแล้วเธอจึงขยับเท้าเข้าไปไกล
“หนูหมิวมาแล้ว” คุณกานดาร้องทักทำให้โจวเจียอีหันไปมอง สีหน้าเขาอิดโรยไม่น้อยแต่ยังฝืนยิ้มให้
“แม่ก็บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว”
“ครับ”
“ลูกทำให้แม่รู้สึกแย่นะ” คุณกานดาดุลูกชายไม่จริงจังนัก
“แม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ”
“ก็เราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว แม่เข้าใจว่าลูกต้องดูแลธุรกิจการงานต่างๆ แต่แม่ก็อยากอยู่เมืองไทย แม่เตรียมใจไว้แล้วว่าลูกอาจไม่ได้อยู่ใกล้ๆแม่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอย่าโกรธตัวเองแบบนี้”
“ผมเปล่า...”
“อย่ามาเถียง แม่เป็นแม่นะ เลี้ยงมากับมือทำไมจะไม่รู้จักนิสัยลูกตัวเอง” คุณกานดาหัวเราะออกมาแล้วส่งยิ้มให้ธีรยา “ยังดีที่ลูกมีคนรักที่ดี มีหนูหมิวอยู่ดูแลลูก แม่ก็สบายใจ”
ธีรยาขยับแว่นสายตาแก้เขิน ระหว่างที่คุณกานดาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เธอก็พยายามปลีกตัวมาคอยอยู่เป็นเพื่อน โจวเจียอีไม่สามารถเดินทางมาได้ทันทีที่รู้ข่าวกว่าจะมาถึงเมืองไทยก็ผ่านไปหนึ่งวัน แต่เพราะอาการของคุณกานดาไม่หนักหนาและตรวจร่างอย่างละเอียดแล้วไม่พบโรคแทรกซ้อน อาการบ้านหมุนเกิดได้หลายปัจจัย แม้ตอนนี้ไม่ตรวจไม่แต่ถ้าไม่ดูแลสุขภาพให้ดีก็อาจเกิดอาการเช่นนี้ได้อีก
“หมอก็บอกแล้วว่าพรุ่งนี้แม่กลับบ้านได้แล้ว เลิกทำหน้าเครียดเสียที” คุณกานดาอดบ่นลูกชายไม่ได้ แต่กระนั้นนางก็ดีใจที่ลูกชายมาหา “ดูท่าทางยังไม่ได้กินข้าวกินปลามาเลยสินะ หนูหมิวพาลูกชายหัวดื้อของแม่ไปกินข้าวหน่อยสิ”
“ได้ค่ะคุณแม่”
“แต่ผมเพิ่งมาถึงนะครับ”
“ก็ดูสภาพตัวเองก่อน หนักกว่าคนป่วยอย่างแม่อีก ไปๆ ไปกินข้าวก่อนค่อยมาหาแม่ แม่ไม่หนีไปไหนหรอก ประเดี๋ยวพยาบาลก็เข้ามาแล้ว”
โจวเจียอียอมเดินออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ เขาสั่งให้เจสันคอยดูอยู่ใกล้ๆ แล้วถอนหายใจเบาๆ หญิงสาวยื่นมือไปจับฝ่ามือของเขามากุมไว้ ไออุ่นจากมือเรียวเล็กทำให้ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าเธอมีตัวตนจริงๆ ไม่ใช่เพียงภาพฝัน
“อิริค?” ธีรยาเรียกเขาด้วยความแปลกใจในสายตาที่จ้องมองและนาทีต่อมาเขาก็รวบร่างอ่อนนุ่มเข้ามากอด ซบหน้าลงกับบ่าของเธอ
“เอ่อ...ไม่เป็นไรนะคะ คุณแม่คุณปลอดภัยแล้ว”
“ขอบคุณครับ”
เขาพูดแล้วกอดเธอแน่นขึ้น
หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆ เธอก็ไม่เคย ‘ปลอบใจ’ ใครเหมือนกัน ยามที่ตัวเองเจอเรื่องทุกข์ใจก็มักนั่งกอดเข่าจมกับตัวเองปล่อยให้ทุกอย่างค่อยๆ เลือนหายไปเองแม้ในความจริงมันอาจไม่ได้จางไปจากเธอเลยก็ตาม
“ดีจริงๆ ที่มีคุณอยู่ตรงนี้” เขาเงยหน้าขึ้นแล้วจูบแก้มนุ่มแผ่วเบา สูดเอากลิ่นอายที่คุ้นเคยทำให้หัวใจของเขาเต้นเป็นปกติ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีผู้หญิงคนไหนที่ทำให้เขารู้สึกอย่างนี้ในชีวิตได้ เป็นความอบอุ่นสบายใจและหวงแหนจนแทบคลั่ง
“อย่าคิดมากสิคะ คุณแม่ของคุณก็เป็นผู้มีพระคุณของหมิวด้วย ท่านช่วยเรื่องทุนการศึกษาของหมิว เรื่องอะไรที่หมิวทำเพื่อตอบแทนท่านได้ หมิวก็ยินดีทำให้ค่ะ”
เธอผลักเขาออกเบาๆ แล้วกวาดตามองรอบตัว มีคนของเขายืนอยู่หลายคนจนเธอแปลกใจ
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมคุณพาบอร์ดี้การ์ดมาเยอะจัง”
“ไม่มี” เขารวดเร็วเหมือนไม่ต้องคิดและยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกเสียวสันหลังมากกว่า “ผมยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน”
“ชั้นล่างมีร้านสะดวกซื้อ ถ้าคุณกินได้เราไปหาอะไรรองท้องกินหน่อยดีไหมคะ” เธอชินกับรอยยิ้มของเขาและไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ากลัวเลย แต่กลับทำให้เขาดูมีเสน่ห์มายิ่งขึ้น
ให้ตายสิ! นี่เธอกำลังหลงแฟนตัวเองใช่ไหมเนี้ย!
“ทำไมคุณคิดว่าผมกินไม่ได้ล่ะ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปผมก็กินเป็นนะ” โจวเจียอีอารมณ์ดีขึ้นแล้วโอบไหล่คนรักเดินเข้าลิฟต์เพื่อลงไปชั้นล่าง
“กินให้ดูก่อนแล้วจะเชื่อ” เธอแลบลิ้นใส่ ได้ยินเสียงเขาหัวเราะในลำคอ แต่แค่นี้ก็ทำให้เธอสบายใจ แม้ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยผูกพันกับใคร ถ้าคุณแม่เพ็ญนภาเป็นลมล้มป่วย เธอก็ต้องเป็นทุกข์ร้อนกังวลใจไม่ต่างจากเขาที่เป็นอยู่ตอนนี้
“ผมไม่อยากให้คุณคิดว่า ผมคบกับคุณเพื่อต้องการให้คุณมาดูแลแม่ของผม”
เขาพูดไปตามจริงแล้วปล่อยให้หญิงสาวจูงมือเขาออกไปที่ร้านสะดวกซื้อที่อยู่บริเวณชั้นล่างของโรงพยาบาล ด้านหน้าของร้านที่ติดกับกระจกใสเป็นที่สำหรับนั่งดื่มกาแฟหรือนั่งกินอาหารได้ เธอหยุดที่ตู้ขายอาหารแช่เย็นแล้วหันไปส่งยิ้มให้เขา
“เลือกได้เลยค่ะ มื้อนี้หมิวเลี้ยงเอง”
“หมิวครับ”
“ค่ะๆ หมิวเข้าใจ ก็เหมือนที่หมิวอยากให้คุณรู้ว่าหมิวคบกับคุณไม่ได้หวังเงินทองของคุณ”
“คุณจะหวังก็ได้นะ ผมอยากให้คุณใช้เงินในบัญชีผมเหมือนเป็นเงินของคุณ”
“อีริคนี่เหมือนอย่างที่นายป้องว่าหมิวเลย คุณจะทำให้ หมิวเสียนิสัยแล้ว” เธอหัวเราะแล้วเลือกเกี๊ยวน้ำสองกล่องแล้วยื่นให้พนักงานเพื่ออุ่นร้อนให้ แล้วชิงจ่ายเงินก่อนเขา
“แล้วถ้าวันหนึ่งเราเลิกกันล่ะคะ”
“ผมยังไม่เห็นเหตุผลให้เราเลิกกัน” น้ำเสียงเขาเคร่งเครียดแล้วขยับปมเนคไทให้เลื่อนลงเล็กน้อยคล้ายระบายความอึดอัดที่สะสมมานาน “หรือคุณอยากเลิกกับผมแล้ว”
“ตอนนี้ยังค่ะ” เธอยิ้มแล้วดันแว่นสายตาชิดใบหน้า “แต่เผื่อคุณเบื่อหมิวไงคะ”
“คุณไม่ใช่คนน่าเบื่อ” เขาถอนหายใจโล่งอกเพราะใจคิดไปไกลกว่านั้น เขารับถ้วยเกี๊ยวน้ำที่อุ่นแล้วมาถือด้วยตัวเองแล้วพยักหน้าให้เธอไปนั่งรถที่เก้าอี้ทรงสูง หญิงสาวเดินไปหยิบน้ำสองขวดแล้วไปนั่งรอให้เขายกเกี๊ยวน้ำถ้วยเล็กๆ มาวางตรงหน้า ปริมาณในถ้วยไม่ได้ทำให้อิ่มแต่ก็พอช่วยอุ่นกระเพาะของคนที่กำลังเครียดได้อยู่
“จริงสิ หมิวเคยบอกนายป้องว่าจะเลี้ยงเนื้อย่าง เอาไว้วันไหนคุณว่างเราไปกินด้วยกันนะคะ”
“อยู่กับผมคุณก็กล้าพูดถึงผู้ชายคนอื่นนะ” เขาแสร้งทำตาดุใส่แล้วช่วยเป่าเกี๊ยวน้ำให้หญิงสาว
“ปกป้องเป็นเพื่อนสนิทของหมิวนี่ หมิวก็อยากให้คุณเป็นเพื่อนกับเพื่อนของหมิวด้วย”
“ถามเพื่อนคุณหรือยังว่าอยากสนิทกับผมหรือเปล่า” เขาหัวเราะในลำคอแล้วจัดการเกี๊ยวน้ำในถ้วยของตัวเอง ธีรยายิ้มขำแล้วกินอาหารตรงหน้า เธอนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “สบายใจขึ้นบ้างไหมคะ หมิวก็...ปลอบใจคนไม่เก่ง อาการของคุณแม่คุณไม่น่าเป็นห่วงจริงๆค่ะ” “ครับ ขอบคุณอีกครั้ง” ธีรยามองเสี้ยวหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอกินเสร็จแล้วก็ลุกไปหยิบผ้าเย็นจากชั้นจ่ายเงินแล้วเดินเร็วๆ กลับมาหาเขา “ใช้ผ้าเย็นนี่ค่ะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขอบคุณครับ” “ขอบคุณบ่อยไปแล้วค่ะ” เธอยิ้มและเมื่อเห็นว่าเขายกน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ช่วยเช็ดหน้าให้ “คุณไม่น่าจะเป็นคนพูดคำว่าขอบคุณเป็นเลยนะ” “ก็เพราะเป็นคุณไง” เขาเองยังประหลาดใจที่ตัวเองเป็นคนอย่างนี้ได้ “ตอนนั้นพ่อผมป่วยหนักและผมก็กลับมาดูใจท่านไม่ท่าน ท่านจากไปก่อนที่ผมจะไปถึงแค่ไม่กี่นาที ผมเลยกลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก ทั้งที่แม่บอกว่าสิ่งสุดท้ายที่พ่อห่วงคือคือพ่อเป็นห่วงความรู้สึกผม แต่พ่อก็ฝืนทนรอผมไม่ไหว” “อีริคค่ะ หมิวเสียใจด้วย” คราวนี้เธอ
“เอ่อ...” เธออึกอักขึ้นมา ไปอยู่บ้านเดียวกันแบบนั้นไม่เท่ากับว่าสถานะเธอคือ ‘ลูกสะใภ้’ อย่างนั้นเหรอ มันไม่เหมือนเวลาเธอไปค้างที่คอนโดของเขาเป็นครั้งคราว เอ่อ ...หลายครั้งหลายคราวต่างหาก “ขอโทษ ผมทำให้คุณอึดอัดอีกแล้ว” “ไม่ใช่ค่ะหมิวแค่คิดว่ามันเร็วไปไหมคะ คือ...” “ไปในฐานะแขกของท่านก็ได้ครับ” เขายิ้มอย่างเข้าใจ ผู้หญิงคนอื่นอยากกระโจนมานั่งตำแหน่ง ‘สะใภ้ตระกูลโจว’ แต่เธอกลับลังเล กล้าๆ กลัวๆ ที่จะก้าวเข้ามาใกล้เขา แต่จากคนที่ปิดใจและยอมให้เขากุมมือไว้อย่างนี้ก็นับว่า ‘ใกล้’ มากแล้วจริงๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอไม่อาจปฏิเสธผู้มีพระคุณของตัวเองได้ เธอเผลอสบตากับดวงตาสีน้ำตาลของเขาแล้วเรื่องราวที่คุยกับปกป้องก็ผุดขึ้นมาในสมองรบกวนความคิดของเธอ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามเพราะเห็นสีหน้าเธอไม่ดีนัก “คืนนี้ผมอยู่เฝ้าคุณแม่เองได้ คุณกลับไปนอนพักที่คอนโดผมดีกว่าไหม ผมจะให้เจสันไปส่ง” “ไม่เป็นไรคะหมิวอยู่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า ท่าทางคุณก็เหนื่อยเหมือนกัน หมิวขอตัวเข้าห้องน้ำสักประเดี๋ยวนะคะ” ค
ท่าทางของคุณกานดาเหมือนจะเป็นลม ธีรยาเข้าไปประคองให้เอนหลังนอนบนเตียง แต่นางโบกมือห้ามไว้ก่อน “แล้วนี่นึกยังไงถึงมาแสดงตัว หรือเพราะเห็นแม่ใกล้ตายเลยอยากให้มารับส่วนแบ่งมรดกของพ่อแก” “แม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้นครับ ปกติคุณพ่อให้ผมจัดการค่าใช้จ่ายรายเดือนให้คุณน้าเหมยลี่ และในส่วนมรดกที่คุณพ่อแบ่งให้หมิงเจ๋อนั้นก็ไม่ได้แตะต้องส่วนของคุณแม่เลย ที่ผ่านมาคุณพ่อเลี้ยงดูน้าเหมยลี่มาอย่างลับๆ จนกระทั่งถึงคราวที่คุณพ่อเสีย พ่อให้ผมช่วยดูแลหมิงเจ๋อจนกว่าเขาจะบรรลุนิติภาวะ” “แล้วทำไมถึงเสนอหน้ากันมาที่เมืองไทย ก็รู้ว่าแม่อยู่ที่นี่ แม่ไม่ได้อยากรับรู้เรื่องที่พ่อนอกใจแม่หรอกนะ!” “คุณกานดาค่ะ ใจเย็นๆค่ะ” ธีรยาลูบหลังเบาๆ เธอโล่งใจที่ไม่ใช่ลูกของโจวเจียอี ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจเด็ก เธอแค่กลัวว่าตัวเองจะเป็นมือที่สามในชีวีตคนอื่น “เดิมที่ก็ไม่จะให้คุณแม่รู้เรื่องนี้ แต่...หมิงเจ๋อร่างกายไม่แข็งแรง ตับทำงานผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดตอนนี้อาการทรุดลงและต้องปลูกถ่ายตับ...” “อย่าบอกว่าต้องใช้ตับของลูกนะ!” คุณกานดาตวาดเสียงสั่นแล้วตวัดสายตาจ
คนตัวสูงรั้งร่างบอบบางเข้ามากอด“ผมอยากกลับไปห้องของเราจัง” “อย่าดื้อค่ะ” โจวเจียอีเงยหน้าหัวเราะแล้วยกมือสองมือประคองใบหน้าหวานสบตากับดวงตาหลังแว่นตาแสนเชย แต่ภายใต้ดวงตาใสกระจ่างคือความอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน “คราวนี้คุณเชื่อใจผมได้หรือยัง ผมไม่เคยมีใครและไม่เคยซุกเมียเก็บไว้” แน่นอนว่าเขาไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ และไม่อยากเห็นคนที่เขารักต้องทุกข์ใจเช่นที่แม่เขาต้องเผชิญ รัก...เขารู้จักคำนี้จริงๆหรือ? “จะรับไว้พิจารณานะคะ” “โธ่ หมิว...” เขาครางอย่างอ่อนใจ “เอาไว้หมิวหาเวลาเรียนภาษาจีนก่อน เวลาคุณพูดอะไร หมิวจะได้ฟังออกว่าคุณไม่ได้ปิดบังอะไรอีก” “ได้ ผมสอนให้เอง”“ค่าสอนแพงไหมคะ ระดับประธานโจวมาสอนเอง หมิว จะจ่ายไม่ไหวเอานะสิ”“อื้ม...ผมคิดเป็นอย่างอื่นก็แล้วกัน”สายตากรุ้มกริ่มของเขาทำให้หญิงสาวเขินหน้าแดง เธอทุบอกเขาแก้เขินแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย วันนี้เกิดเรื่องมากมาย แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้มีใครอื่นซุกซ่อนไว้จริงๆ.
“ถ้าไม่มีอะไร เราต้องกลับไปทำงานต่อ” “ยัยหมิว!” “จะเรียกทำไม” เธอขึงตาใส่แล้วพูดอย่างเพิ่งนึกได้ “นายทำเจสันเจ็บ คราวนี้ดูแลเขาด้วย” “อ้าว ทำไมต้องเป็นเราล่ะ” “ได้ ถ้าอย่างนั้นหมิวไปดูแลเอง” “โอ๊ย! ถ้างั้นหมิวไม่ต้องไป เราไปเอง!” เจสันกลั้นยิ้มขำ จะบอกว่าไม่ต้องดูแลเขาก็ได้ ขนาดถูกยิงกระสุนทะลุท้อง เขายังนอนพักฟื้นคนเดียว แต่แค่คิดอยากแกล้งเพื่อนของคุณธีรยาจึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้ “คุณธีรยาใกล้เลิกงานแล้ว ผมรอส่งคุณธีรยาก่อนดีกว่าครับ” “ไม่ต้อง วันนี้หมิวจะไปบ้านคุณแม่” “คุณแม่?” ปกป้องถามอย่างงุนงง “หมายถึงแม่ของอีริคนะ” คราวนี้หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมา “นี่ถึงขั้นไปเจอญาติผู้ใหญ่กันแล้วเหรอ” ปกป้องทำหน้ายุ่งแต่ในใจแอบเจ็บอยู่ไม่น้อย ความหวังให้เธอเป็น ‘แฟน’ ของเขา “ก็...เกี่ยวอะไรกับนายด้วยเล่า เอาล่ะๆ หมิวไปทำงานต่อแล้ว เจสันกลับไปพักผ่อนเถอะ ประเดี๋ยวแผลจะอักเสบเอา” “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมให้บอดี้การ์ดคนอื่นมาดูแลคุณธีรย
“ค่ะ พี่รู้ว่าน้องหมิวไม่ได้คิดอะไร และน้องหมิวเองก็มีแฟนแล้ว แต่พี่เตือนด้วยความหวังดี ยังไงเสียทั้งหมิวและพี่ก้องก็ยังทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน แม้ว่าจะอยู่กันคนละแผนกก็ตาม”“ค่ะ” ขนมที่ว่าอร่อยก็กร่อยจนกลืนไม่ลง ธีรยาคิดหาวิธีออกจากสถานการณ์แสนอึดอัดอย่างนี้ โชคดีที่มีข้อความส่งเข้ามา เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่านดูข้อความเจสัน : วันนี้ผมยังเจ็บแผลอยู่ จะให้ลูกน้องไปรับคุณธีรยานะครับหมอหมิว : ไม่เป็นไรค่ะ หมิวออกมากินกาแฟกับพี่เข็ม...ภรรยาพี่หมอก้องภพค่ะ สักประเดี๋ยวจะเดินทางไปบ้านคุณแม่กานดาแล้วเจสัน : คุณธีรยาส่งโลเคชั่นมาครับ ผมให้ลูกน้องขับรถไปรับหมอหมิว : โอเค.ค่ะเขมิกาจิบกาแฟจนหมดแก้ว แล้วมองธีรยาที่ก้มหน้าก้มตากดส่งข้อความ จะว่าเธอเป็นคนใจร้ายก็ยอม แต่ตอนนี้เธอมีฐานะเป็น ‘ภรรยา’ ของก้องภพอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เธอสามารถทำอะไรที่ควรทำได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งประกาศให้ผู้หญิงตรงหน้ารู้ถึงสถานะของเธอด้วยธีรยาส่งข้อความเรียบร้อยก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น “หมิวขอโทษนะคะ พอดีมีธุระด่วนค่ะ”“ตายจริง นึกว่าเป็นวันหยุดเสียอีก”“วันหยุดค่ะ แต่พอดีมีธุระด่วนต้องไปค
“แต่งงานโดยไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงเนี้ยนะ” คุณกานดาเค้นเสียงหัวเราะ “จะทำตัวเหมือนพ่อหรือไง พอเวลาเจอคนที่ตัวเองรักก็แอบเลี้ยงไว้ข้างนอก” “แม่ครับ มันไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่ไม่มั่นใจความรู้สึกตัวเอง ผมรู้แค่ว่าผมชอบเวลาอยู่กับเธอ มีความสุขทุกครั้งที่เห็นเธอยิ้ม และอยากไม่ต้องการให้ใครแตะต้องเธออยากครอบครองเธอเพียงคนเดียว” คุณกานดาฟังแล้วก็พยักหน้า“แม่กับพ่อแต่งงานกันเพราะความเหมาะสมและผลประโยชน์ แต่แม่ก็รักพ่อจากใจจริง ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมจากบ้านเกิดไปอยู่ที่จีน ไปเป็นคนแปลกหน้าที่นั้น ความจริงแม่รู้อยู่แล้วว่าพ่อมีคนที่ชอบอยู่ แต่ต้องแต่งงานกับแม่ แต่เพราะแม่รักพ่อของลูกมากถึงได้หลอกตัวเองว่าพ่อแกรักแม่จริงจัง ทำเป็นไม่รู้เรื่องที่พ่อแกเลี้ยงผู้หญิงไว้นอกบ้าน” “แม่รู้อยู่แล้ว” “อืม...ไม่ใช่ว่าแม่ใจดำไม่อยากช่วยเด็ก แต่เห็นหน้าเด็กคนนั้นก็ตอกย้ำว่าพ่อแกนอกใจแม่ ไม่สิ พ่อแกไม่ได้รักแม่อยู่แล้วจะเรียกว่านอกใจก็ไม่ได้ เพราะเหตุนี้แม่ไม่อยากเห็นผู้หญิงคนไหนต้องมาเจอแบบแม่อีก ลูกอยากช่วยหนูหมิว เป็นเรื่องที่ควรทำแต่ถ้าลูกไม่รักผ
ธีรยากลืนโจ๊กลงคอแล้วก็อดคิดถึงอีริคไม่ได้ เธอมั่นใจว่าเขามาช่วย แต่..เขาช่วยเพราะหน้าที่หรือเพราะเป็นห่วงเธอจริงๆ ผู้ชายที่อยากแต่งงานกับเธอ แต่ไม่เคยบอกรักเธอสักคำ จริงอยู่ว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขามันเกิดจากเซ็กส์ชั่วคืน หากไม่เพราะ ‘บังเอิญ’ พบกันอีก คนที่ทำงานให้ห้องแล็บอย่างเธอก็คงไม่ได้พบนักธุรกิจระดับพันล้านที่แสนเอาแต่ใจจอมเผด็จการคนนั้น เธอยกมือแตะสร้อยที่สวมอยู่ เขาสวมสร้อยเส้นนี้ให้เธอตั้งแต่วันไปงานแต่งงานก้องภพแล้วก็ไม่เอาสร้อยคืน จากคนไม่ใส่เครื่องประดับก็ใส่จนเคยตัว เขาช่างเป็นคนนิสัยแย่ที่สุดที่มาเปลี่ยนชีวิตที่แสนเรียบง่ายของเธอ เหมือนน้ำตาหยดจะร่วงหล่น เธอกลั้นสะอื้นแล้วกลืนอาหารลงคอ อย่างไรก็ต้องดูแลตัวเองไม่ให้เป็นภาระหากต้องหนี เธอก็ต้องมีแรงหนี. ... โจวเจียอีก้าวเข้ามาในคฤหาสน์หลังงามชานเมืองกรุงเทพฯ ดูเหมือนเจ้าของบ้านไม่แปลกใจที่ได้เห็นเขานัก “รวดเร็วสมกับเป็นประธานโจว” เจียงซีฮันเอ่ยแล้วผายมือเชิญให้เขานั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม “อยากเจอผมก็มาเชิญผมสิ