“ถามเพื่อนคุณหรือยังว่าอยากสนิทกับผมหรือเปล่า” เขาหัวเราะในลำคอแล้วจัดการเกี๊ยวน้ำในถ้วยของตัวเอง ธีรยายิ้มขำแล้วกินอาหารตรงหน้า เธอนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย
“สบายใจขึ้นบ้างไหมคะ หมิวก็...ปลอบใจคนไม่เก่ง อาการของคุณแม่คุณไม่น่าเป็นห่วงจริงๆค่ะ”
“ครับ ขอบคุณอีกครั้ง”
ธีรยามองเสี้ยวหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอกินเสร็จแล้วก็ลุกไปหยิบผ้าเย็นจากชั้นจ่ายเงินแล้วเดินเร็วๆ กลับมาหาเขา
“ใช้ผ้าเย็นนี่ค่ะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น”
“ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณบ่อยไปแล้วค่ะ” เธอยิ้มและเมื่อเห็นว่าเขายกน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ช่วยเช็ดหน้าให้ “คุณไม่น่าจะเป็นคนพูดคำว่าขอบคุณเป็นเลยนะ”
“ก็เพราะเป็นคุณไง” เขาเองยังประหลาดใจที่ตัวเองเป็นคนอย่างนี้ได้ “ตอนนั้นพ่อผมป่วยหนักและผมก็กลับมาดูใจท่านไม่ท่าน ท่านจากไปก่อนที่ผมจะไปถึงแค่ไม่กี่นาที ผมเลยกลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก ทั้งที่แม่บอกว่าสิ่งสุดท้ายที่พ่อห่วงคือคือพ่อเป็นห่วงความรู้สึกผม แต่พ่อก็ฝืนทนรอผมไม่ไหว”
“อีริคค่ะ หมิวเสียใจด้วย”
คราวนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงกลัวขนาดนั้น.
…
ปกป้อง : ว่างมั้ย คุยด้วยหน่อย
เสียงข้อความในโปรแกรมไลน์ดังขึ้น ธีรยาที่กำลังเก็บกระเป๋าหลังเลิกงาน เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่านข้อความแล้วพิมพ์ตอบไป
หมอหมิว : คุยได้ เพิ่งเลิกงาน
ปกป้อง : เป็นไงบ้าง ตั้งแต่วันงานแต่หมอก้องก็เงียบไป
หมอหมิว : เราสบายดีไม่เป็นไรหรอก
ธีรยาไม่ได้โกหกเพื่อนสนิท หลังจากเหตุการณ์ที่งานแต่งงานในวันนั้น เธอไม่ได้ติดต่อก้องภพและไม่ได้ไปหาเขาที่แผนกฉุกเฉินอีก ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีสลายไปหมดสิ้น เธอไม่อยากเจอหน้าเขาอีกแล้ว
ปกป้อง : แล้วกับหมอนั้นล่ะ
หมอหมิว : หมอไหน?
ปกป้อง : แฟนเธอ!
หมอหมิว : เรียกแฟนเพื่อนให้ดีๆ หน่อย
หญิงสาวหัวเราะคิกคักแล้วเอนหลังกับเก้าอี้ ได้เวลาเลิกงานแล้ว เธอจะขึ้นไปดูคุณกานดา ดีที่วันนี้เธอเตรียมเสื้อผ้าสำรองมาด้วย คิดว่ายังไงคืนนี้ต้องได้นอนค้างที่นี่แน่ๆ พรุ่งนี้เช้าจะได้มีเสื้อผ้าชุดใหม่ใส่ไปทำงานได้ทันที
ปกป้อง : หมิวจริงจังกับผู้ชายคนนี้จริงๆเหรอ
หมอหมิว : ทำไมถามแบบนั้น
ปกป้อง : รู้จักเขาดีแล้ว?
หมอหมิว : ศึกษาดูใจอยู่
ปกป้อง : ถ้าเกิดเขามีลูกมีเมียอยู่แล้วจะทำไง
หมอหมิว : ……..ปกป้อง : เรารู้ว่ามันอาจก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของหมิว แต่หมิวเป็นเพื่อนซี้เรา เป็นคนที่เราไม่อยากเห็นน้ำตามากที่สุด ลองดูลิงก์ที่เราส่งให้ก็ได้
ธีรยาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกดลิงก์ที่ปกป้องส่งเข้าไปดูคราวๆ มันเป็นภาษาจีนซึ่งเธอไม่เข้าใจ แต่ภาพถ่ายที่เหมือนแอบถ่ายนั้น เป็นรูปโจวเจียอีกับเด็กชายวัยประมาณสิบสองหรือสิบสามปี บางภาพก็มีรูปเขายืนคุยกับผู้หญิงที่เห็นเพียงแผ่นหลังและจูงมือเด็กชายคนนั้นที่ดูไปดูมาก็หน้าตาคล้ายโจวเจียอี
ไม่สิ เธอเคยเจอเด็กชายคนนี้มาก่อน คนที่เจอที่วิลล่าคราวนั้น
ปกป้อง : หมิว อยู่ไหม?
หมอหมิว : อืม
ปกป้อง : ไม่ต้องเชื่อเราก็ได้ เราแค่อยากเตือน แล้วธุรกิจของเขามันก็ออกเทาๆนะ เราเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะหลอกหมิว
หมอหมิว : ขอบใจนะ เราต้องออกจากแผนกแล้ว
ปกป้อง : มีอะไรโทรหาเราได้นะ
หมอหมิว : ขอบใจ
ธีรยารู้สึกมือไม้เย็นไปหมด เรื่องที่เธอกลัวจะเป็นจริงหรือ? แต่ข่าวพวกนี้ก็เป็นภาษาจีน เธอคงต้องใช้กูลเกิ้ลช่วยแปลถึงจะพอเข้าใจเรื่องราวได้ เธอเคยเอาชื่อของโจวเจียอีไปค้นประวัติในอินเตอร์เนทเกี่ยวกับตัวเขาร่วมถึงกิจการของเขา แต่พอถึงหน้าเวบที่เป็นภาษาจีนเธอก็ไม่ได้เข้าไปดูอีก จะเอ่ยปากถามตรงๆ ก็เกรงตัวเธอเองจะไม่เชื่อทุกคำพูดของเขา
หน้าคล้ายกันขนาดนั้น ดวงตาสีน้ำตาล และอายุของเด็กอีก ถ้าบอกเป็นพ่อลูกกันก็น่าเชื่ออยู่หรอก
หญิงสาวถอดแว่นสายตาออกมาเช็ดเลนส์พลางครุ่นคิดเรื่องที่รับรู้มา เธอเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกแม่นำมาทิ้งไว้ที่สถานสงเคราะห์ แน่นอนว่าเธอวาดหวังว่าชีวิตตัวเองจะไม่ต้องเผชิญเรื่องราวอย่างนี้ ไม่ว่าแม่ที่แท้จริงของเธอจะมีเหตุผลใดที่ทอดทิ้งเธอ แต่เธอจะไม่เป็นอย่างนั้น เธอจะไม่ทำร้ายทำลายชีวิตครอบครัวคนอื่นรวมทั้งไม่ทำลายชีวิตตัวเองด้วย
“หมอหมิวยังไม่กลับเหรอครับ”
“กำลังจะกลับค่ะ”
เธอทักทายคนอื่นๆ เล็กน้อย สวมแว่นตาตามเดิมแล้วสะพายกระเป๋าเดินมาที่ลิฟต์ กดหมายเลขชั้นพลางถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องนี้รบกวนจิตใจเธอเหลือเกิน เมื่อออกจากลิฟต์แล้วเดินไปห้องที่คุณกานดาพักอยู่ มือเรียวเคาะประตูห้องสองสามครั้งก่อนค่อยๆ เปิดเข้าไปอย่างเบามือ ในห้องเปิดไฟสลัวไม่รบกวนคนป่วยที่นอนหลับอยู่ ที่มุมหนึ่งของห้องมีโซฟาขนาดใหญ่ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองนั่งอ่านข้อความที่หน้าจอแท็บแล็ตราวกับจมดิ่งไปในนั้น แต่กระนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปเมื่อรู้ว่าคนรักเดินมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ เขา
“เหนื่อยไหมครับ คุณแม่บอกว่าคุณมานอนที่นี่เป็นเพื่อนท่าน เช้ามาก็ไปทำงานที่โรงพยาบาลรัฐ”
ธีรยามองฝ่ามือของเขาแล้ววางมือของตนลงไป เขาออกแรงกระตุกไม่แรงนักแต่ร่างเล็กเสียหลักมานั่งบนตักแกร่ง เธอเกือบหลุดเสียงร้องตกใจรีบยกมือขึ้นปิดปากแล้วมองไปยังเตียงคนป่วยที่หลับสนิท
“อีริค!” เธอทำตาดุใส่ ไม่กล้าส่งเสียงดังนัก “ปล่อยค่ะ แม่คุณนอนอยู่นะ”
“แค่นั่งเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย” เขายิ้มอารมณ์ดีขึ้น สีหน้าแตกต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ เธอยกมือขึ้นแตะผมที่ยังชื้นอยู่อย่างเบามือ
“คุณสระผมเหรอ ทำไมไม่เช็ดให้แห้ง เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกค่ะ”
“พ่อผมชอบพูดว่าผมอึดเหมือนวัว” โจวเจียอียิ้มมองเลยไปยังมารดาที่หลับสนิทแล้วยื่นหน้าไปจูบริมฝีปากหวานอย่างคิดถึง มือหนึ่งยกขึ้นประคองท้ายทอยไม่ให้เธอหลบหนี เพราะรู้ว่าเธอขี้อายและสถานที่ไม่เหมาะนัก แต่เขาก็อดใจไม่ไหวแรงคิดถึงมันมีมากเหลือเกิน
“อื้อ!” มือน้อยๆ ทุบแผ่นอกแกร่ง เขาจูบจนพอใจแล้วจึงยอมปล่อย ใบหน้าหวานแดงเรื่อ เธอหันไปมองคนป่วยอีกครั้งแล้วหันมาทำตาดุใส่
“อีริค!”
“ครับ” ส่งเสียงขานรับแล้วกอดเธอ มีเพียงการกอดเท่านั้นที่ทำให้เขารู้ว่าเธออยู่ตรงนี้ และถ้าจะให้ดีต้องได้ร่วมรักจะยิ่งรู้สึกว่าเธออยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ
ให้ตายเถอะ! นับวันเขาก็ยิ่งหลงผู้หญิงคนนี้จนแทบจะบ้าอยู่แล้ว
“พรุ่งนี้คุณแม่คุณก็กลับแล้ว คุณไปอยู่บ้านดูแลท่านดีกว่าไหมคะ”
“ครับ คงเป็นแบบนั้น ผมจ้างพยาบาลพิเศษไปดูแลท่านด้วย”
“ก็ดีค่ะ” สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องเงินอย่างเขา จ้างพยาบาลพิเศษไปคอยดูแลน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“แม่บ่นอยากให้คุณไปพักที่บ้านกับท่าน”
“เอ่อ...” เธออึกอักขึ้นมา ไปอยู่บ้านเดียวกันแบบนั้นไม่เท่ากับว่าสถานะเธอคือ ‘ลูกสะใภ้’ อย่างนั้นเหรอ มันไม่เหมือนเวลาเธอไปค้างที่คอนโดของเขาเป็นครั้งคราว เอ่อ ...หลายครั้งหลายคราวต่างหาก “ขอโทษ ผมทำให้คุณอึดอัดอีกแล้ว” “ไม่ใช่ค่ะหมิวแค่คิดว่ามันเร็วไปไหมคะ คือ...” “ไปในฐานะแขกของท่านก็ได้ครับ” เขายิ้มอย่างเข้าใจ ผู้หญิงคนอื่นอยากกระโจนมานั่งตำแหน่ง ‘สะใภ้ตระกูลโจว’ แต่เธอกลับลังเล กล้าๆ กลัวๆ ที่จะก้าวเข้ามาใกล้เขา แต่จากคนที่ปิดใจและยอมให้เขากุมมือไว้อย่างนี้ก็นับว่า ‘ใกล้’ มากแล้วจริงๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอไม่อาจปฏิเสธผู้มีพระคุณของตัวเองได้ เธอเผลอสบตากับดวงตาสีน้ำตาลของเขาแล้วเรื่องราวที่คุยกับปกป้องก็ผุดขึ้นมาในสมองรบกวนความคิดของเธอ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามเพราะเห็นสีหน้าเธอไม่ดีนัก “คืนนี้ผมอยู่เฝ้าคุณแม่เองได้ คุณกลับไปนอนพักที่คอนโดผมดีกว่าไหม ผมจะให้เจสันไปส่ง” “ไม่เป็นไรคะหมิวอยู่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า ท่าทางคุณก็เหนื่อยเหมือนกัน หมิวขอตัวเข้าห้องน้ำสักประเดี๋ยวนะคะ” ค
ท่าทางของคุณกานดาเหมือนจะเป็นลม ธีรยาเข้าไปประคองให้เอนหลังนอนบนเตียง แต่นางโบกมือห้ามไว้ก่อน “แล้วนี่นึกยังไงถึงมาแสดงตัว หรือเพราะเห็นแม่ใกล้ตายเลยอยากให้มารับส่วนแบ่งมรดกของพ่อแก” “แม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้นครับ ปกติคุณพ่อให้ผมจัดการค่าใช้จ่ายรายเดือนให้คุณน้าเหมยลี่ และในส่วนมรดกที่คุณพ่อแบ่งให้หมิงเจ๋อนั้นก็ไม่ได้แตะต้องส่วนของคุณแม่เลย ที่ผ่านมาคุณพ่อเลี้ยงดูน้าเหมยลี่มาอย่างลับๆ จนกระทั่งถึงคราวที่คุณพ่อเสีย พ่อให้ผมช่วยดูแลหมิงเจ๋อจนกว่าเขาจะบรรลุนิติภาวะ” “แล้วทำไมถึงเสนอหน้ากันมาที่เมืองไทย ก็รู้ว่าแม่อยู่ที่นี่ แม่ไม่ได้อยากรับรู้เรื่องที่พ่อนอกใจแม่หรอกนะ!” “คุณกานดาค่ะ ใจเย็นๆค่ะ” ธีรยาลูบหลังเบาๆ เธอโล่งใจที่ไม่ใช่ลูกของโจวเจียอี ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจเด็ก เธอแค่กลัวว่าตัวเองจะเป็นมือที่สามในชีวีตคนอื่น “เดิมที่ก็ไม่จะให้คุณแม่รู้เรื่องนี้ แต่...หมิงเจ๋อร่างกายไม่แข็งแรง ตับทำงานผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดตอนนี้อาการทรุดลงและต้องปลูกถ่ายตับ...” “อย่าบอกว่าต้องใช้ตับของลูกนะ!” คุณกานดาตวาดเสียงสั่นแล้วตวัดสายตาจ
คนตัวสูงรั้งร่างบอบบางเข้ามากอด“ผมอยากกลับไปห้องของเราจัง” “อย่าดื้อค่ะ” โจวเจียอีเงยหน้าหัวเราะแล้วยกมือสองมือประคองใบหน้าหวานสบตากับดวงตาหลังแว่นตาแสนเชย แต่ภายใต้ดวงตาใสกระจ่างคือความอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน “คราวนี้คุณเชื่อใจผมได้หรือยัง ผมไม่เคยมีใครและไม่เคยซุกเมียเก็บไว้” แน่นอนว่าเขาไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ และไม่อยากเห็นคนที่เขารักต้องทุกข์ใจเช่นที่แม่เขาต้องเผชิญ รัก...เขารู้จักคำนี้จริงๆหรือ? “จะรับไว้พิจารณานะคะ” “โธ่ หมิว...” เขาครางอย่างอ่อนใจ “เอาไว้หมิวหาเวลาเรียนภาษาจีนก่อน เวลาคุณพูดอะไร หมิวจะได้ฟังออกว่าคุณไม่ได้ปิดบังอะไรอีก” “ได้ ผมสอนให้เอง”“ค่าสอนแพงไหมคะ ระดับประธานโจวมาสอนเอง หมิว จะจ่ายไม่ไหวเอานะสิ”“อื้ม...ผมคิดเป็นอย่างอื่นก็แล้วกัน”สายตากรุ้มกริ่มของเขาทำให้หญิงสาวเขินหน้าแดง เธอทุบอกเขาแก้เขินแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย วันนี้เกิดเรื่องมากมาย แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้มีใครอื่นซุกซ่อนไว้จริงๆ.
“ถ้าไม่มีอะไร เราต้องกลับไปทำงานต่อ” “ยัยหมิว!” “จะเรียกทำไม” เธอขึงตาใส่แล้วพูดอย่างเพิ่งนึกได้ “นายทำเจสันเจ็บ คราวนี้ดูแลเขาด้วย” “อ้าว ทำไมต้องเป็นเราล่ะ” “ได้ ถ้าอย่างนั้นหมิวไปดูแลเอง” “โอ๊ย! ถ้างั้นหมิวไม่ต้องไป เราไปเอง!” เจสันกลั้นยิ้มขำ จะบอกว่าไม่ต้องดูแลเขาก็ได้ ขนาดถูกยิงกระสุนทะลุท้อง เขายังนอนพักฟื้นคนเดียว แต่แค่คิดอยากแกล้งเพื่อนของคุณธีรยาจึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้ “คุณธีรยาใกล้เลิกงานแล้ว ผมรอส่งคุณธีรยาก่อนดีกว่าครับ” “ไม่ต้อง วันนี้หมิวจะไปบ้านคุณแม่” “คุณแม่?” ปกป้องถามอย่างงุนงง “หมายถึงแม่ของอีริคนะ” คราวนี้หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมา “นี่ถึงขั้นไปเจอญาติผู้ใหญ่กันแล้วเหรอ” ปกป้องทำหน้ายุ่งแต่ในใจแอบเจ็บอยู่ไม่น้อย ความหวังให้เธอเป็น ‘แฟน’ ของเขา “ก็...เกี่ยวอะไรกับนายด้วยเล่า เอาล่ะๆ หมิวไปทำงานต่อแล้ว เจสันกลับไปพักผ่อนเถอะ ประเดี๋ยวแผลจะอักเสบเอา” “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมให้บอดี้การ์ดคนอื่นมาดูแลคุณธีรย
“ค่ะ พี่รู้ว่าน้องหมิวไม่ได้คิดอะไร และน้องหมิวเองก็มีแฟนแล้ว แต่พี่เตือนด้วยความหวังดี ยังไงเสียทั้งหมิวและพี่ก้องก็ยังทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน แม้ว่าจะอยู่กันคนละแผนกก็ตาม”“ค่ะ” ขนมที่ว่าอร่อยก็กร่อยจนกลืนไม่ลง ธีรยาคิดหาวิธีออกจากสถานการณ์แสนอึดอัดอย่างนี้ โชคดีที่มีข้อความส่งเข้ามา เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่านดูข้อความเจสัน : วันนี้ผมยังเจ็บแผลอยู่ จะให้ลูกน้องไปรับคุณธีรยานะครับหมอหมิว : ไม่เป็นไรค่ะ หมิวออกมากินกาแฟกับพี่เข็ม...ภรรยาพี่หมอก้องภพค่ะ สักประเดี๋ยวจะเดินทางไปบ้านคุณแม่กานดาแล้วเจสัน : คุณธีรยาส่งโลเคชั่นมาครับ ผมให้ลูกน้องขับรถไปรับหมอหมิว : โอเค.ค่ะเขมิกาจิบกาแฟจนหมดแก้ว แล้วมองธีรยาที่ก้มหน้าก้มตากดส่งข้อความ จะว่าเธอเป็นคนใจร้ายก็ยอม แต่ตอนนี้เธอมีฐานะเป็น ‘ภรรยา’ ของก้องภพอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เธอสามารถทำอะไรที่ควรทำได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งประกาศให้ผู้หญิงตรงหน้ารู้ถึงสถานะของเธอด้วยธีรยาส่งข้อความเรียบร้อยก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น “หมิวขอโทษนะคะ พอดีมีธุระด่วนค่ะ”“ตายจริง นึกว่าเป็นวันหยุดเสียอีก”“วันหยุดค่ะ แต่พอดีมีธุระด่วนต้องไปค
“แต่งงานโดยไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงเนี้ยนะ” คุณกานดาเค้นเสียงหัวเราะ “จะทำตัวเหมือนพ่อหรือไง พอเวลาเจอคนที่ตัวเองรักก็แอบเลี้ยงไว้ข้างนอก” “แม่ครับ มันไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่ไม่มั่นใจความรู้สึกตัวเอง ผมรู้แค่ว่าผมชอบเวลาอยู่กับเธอ มีความสุขทุกครั้งที่เห็นเธอยิ้ม และอยากไม่ต้องการให้ใครแตะต้องเธออยากครอบครองเธอเพียงคนเดียว” คุณกานดาฟังแล้วก็พยักหน้า“แม่กับพ่อแต่งงานกันเพราะความเหมาะสมและผลประโยชน์ แต่แม่ก็รักพ่อจากใจจริง ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมจากบ้านเกิดไปอยู่ที่จีน ไปเป็นคนแปลกหน้าที่นั้น ความจริงแม่รู้อยู่แล้วว่าพ่อมีคนที่ชอบอยู่ แต่ต้องแต่งงานกับแม่ แต่เพราะแม่รักพ่อของลูกมากถึงได้หลอกตัวเองว่าพ่อแกรักแม่จริงจัง ทำเป็นไม่รู้เรื่องที่พ่อแกเลี้ยงผู้หญิงไว้นอกบ้าน” “แม่รู้อยู่แล้ว” “อืม...ไม่ใช่ว่าแม่ใจดำไม่อยากช่วยเด็ก แต่เห็นหน้าเด็กคนนั้นก็ตอกย้ำว่าพ่อแกนอกใจแม่ ไม่สิ พ่อแกไม่ได้รักแม่อยู่แล้วจะเรียกว่านอกใจก็ไม่ได้ เพราะเหตุนี้แม่ไม่อยากเห็นผู้หญิงคนไหนต้องมาเจอแบบแม่อีก ลูกอยากช่วยหนูหมิว เป็นเรื่องที่ควรทำแต่ถ้าลูกไม่รักผ
ธีรยากลืนโจ๊กลงคอแล้วก็อดคิดถึงอีริคไม่ได้ เธอมั่นใจว่าเขามาช่วย แต่..เขาช่วยเพราะหน้าที่หรือเพราะเป็นห่วงเธอจริงๆ ผู้ชายที่อยากแต่งงานกับเธอ แต่ไม่เคยบอกรักเธอสักคำ จริงอยู่ว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขามันเกิดจากเซ็กส์ชั่วคืน หากไม่เพราะ ‘บังเอิญ’ พบกันอีก คนที่ทำงานให้ห้องแล็บอย่างเธอก็คงไม่ได้พบนักธุรกิจระดับพันล้านที่แสนเอาแต่ใจจอมเผด็จการคนนั้น เธอยกมือแตะสร้อยที่สวมอยู่ เขาสวมสร้อยเส้นนี้ให้เธอตั้งแต่วันไปงานแต่งงานก้องภพแล้วก็ไม่เอาสร้อยคืน จากคนไม่ใส่เครื่องประดับก็ใส่จนเคยตัว เขาช่างเป็นคนนิสัยแย่ที่สุดที่มาเปลี่ยนชีวิตที่แสนเรียบง่ายของเธอ เหมือนน้ำตาหยดจะร่วงหล่น เธอกลั้นสะอื้นแล้วกลืนอาหารลงคอ อย่างไรก็ต้องดูแลตัวเองไม่ให้เป็นภาระหากต้องหนี เธอก็ต้องมีแรงหนี. ... โจวเจียอีก้าวเข้ามาในคฤหาสน์หลังงามชานเมืองกรุงเทพฯ ดูเหมือนเจ้าของบ้านไม่แปลกใจที่ได้เห็นเขานัก “รวดเร็วสมกับเป็นประธานโจว” เจียงซีฮันเอ่ยแล้วผายมือเชิญให้เขานั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม “อยากเจอผมก็มาเชิญผมสิ
เสียงลูกน้องตะโกนเตือน ธีรยากับโจวเจียอีหันไปมองพร้อมกัน เซียงซีฮันที่คิดว่าแอบหนีไปตอนชุลมุนกลับโผล่เข้ามาเหมือนสุนัขจนตรอก เขายกปืนเล็งมาทางโจวเจียอี เพียงเสียววินาที เพียงแค่การกระพริบตา ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เสียงปืนดังขึ้นสองนัด โจวเจียอีเบิกตากว้างไม่คิดว่าเลือดสีสดไหลทะลักจากรูกระสุนนั้นจะมาจากร่างของธีรยา “หมิว! บ้าจริง คุณมาบังกระสุนทำไม” “ไม่รู้ ขามันไปเอง” เธอเจ็บจนน้ำตาร่วงแถมเขายังตะคอกใส่อีก ไม่รู้ว่าเพราะเธอตัวเตี้ยหรือเพราะเจียงซีฮันเสียจังหวะเล็งเป้า กระสุนนัดแรกไปทางไหนไม่รู้ แต่นัดที่สองหัวไหล่ของเธอได้ “หมิว...” เขาอุ้มเธอเข้าไปในรถและสั่งให้ลูกน้องขับรถไปทันที “คุณทำแบบนี้ทำไม” “คุณจะบาดเจ็บไม่ได้” ธีรยาพูดขณะโจวเจียอีใช้เสื้อนอกของเขากดห้ามเลือด “คุณต้องบริจาคตับให้น้องชาย ห้ามคุณเป็นอันตรายหรือเสียเลือดเด็ดขาด” “หมิว” เขาครางออกมา ไม่คิดว่าเธอจะใส่ใจเรื่องนี้มากถึงขนาดนี้ “ตำแหน่งที่บาดเจ็บไม่อันตรายแต่คุณต้องช่วยกดห้ามเลือดไว้ก่อน” เ