“พูดจริงๆนะ หมิวไม่คิดเรื่องตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงหรอก หากพวกเขาอยากเจอหมิวคงมาตามหาหมิวตั้งนานแล้วละ พวกเขาคงมีครอบครัวใหม่กันไปแล้ว อย่าให้การมีตัวตนของหมิวทำให้พวกเขาเดือนร้อนใจหรือไม่มีความสุขดีกว่า” เธอส่งยิ้มให้เขา
“จริงๆ นะคะ”
“ครับ” เขาบีบมือเธอ “คุณมีผมอยู่นะ ไม่ได้ตัวคนเดียว ครอบครัวผมก็คือครอบครัวของคุณ”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวเข้าไปรดน้ำสังข์และอวยพรให้คู่บ่าวสาว วันนี้เขมิกาสวยเจิดจ้าสมเป็นเจ้าสาวจริงๆ เห็นแบบนี้ก็แล้วเธอพลอยสบายใจไปด้วย เรื่องบาดหมางเข้าใจผิดคงคลี่คลายในไม่ช้า
เขมิกายิ้มรับคำอวยพรพลางปรายตามองเจ้าบ่าวที่นั่งอยู่เคียงข้าง แม้เขายิ้มแต่แววตาตรงข้าม แต่ช่างเถอะ เพราะตอนนี้เขาคือสามีของเธอแล้ว เขาคงไม่กล้าทำร้ายจิตใจเธอและคนในครอบครัวแน่นอน
พิธีเช้าดำเนินไปจนเสร็จสิ้นด้วยดี แขกเรื่อเข้ามาถ่ายรูปกับคู่บ่าวสาว ธีรยาคว้ามือโจวเจียอีให้เข้าไปถ่ายรูปด้วยกัน
“ขอแสดงความยินดีด้วยครับ” โจวเจียอีกเอ่ยอย่างสุภาพและไม่สนใจสายตาของก้องภพ เขาจับมือผู้หญิงคนตนเองแน่นราวกับตอกย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่มีวันปล่อยมือคู่นี้เด็ดขาด
“ขอบคุณค่ะ” เขมิกาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “คราวหน้าก็งานหมิวแล้วนะ”
“พี่เข็มก็!” หญิงสาวหน้าแดง “ถ่ายรูปค่ะถ่ายรูปกัน ช่างภาพค่ะ ฝากช่วยถ่ายให้ด้วยค่ะ” เธอยื่นโทรศัพท์มือถือของตนให้ช่างภาพช่วยถ่ายรูปให้ด้วย
“ยิ้มหน่อยครับ” ช่างภาพร้องสั่ง “ขยับชิดๆกันหน่อยครับ”
ธีรยายืนข้างเจ้าสาว ส่วนโจวเจียอีกยืนข้างเจ้าบ่าว ไม่กี่นาทีก็เสร็จเรียบร้อย
“อยู่กินมื้อเที่ยงก่อนค่อยกลับนะ” เจ้าสาวเอ่ยบอก แต่ธีรยาส่ายหน้าไปมา
“อีริคเพิ่งกลับมาถึงไทยเช้ามืดนี่เองคะ มาถึงก็ตรงดิ่งมางานแต่งงานเลย อยากให้เขากลับไปพักผ่อนเสียหน่อย พวกพี่คงไม่ว่าอะไรนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่มาร่วมงานก็ดีใจมากแล้ว” เขมิกาปรายตามองเจ้าบ่าวที่ยังหน้านิ่งไม่ไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ
ธีรยาเดินไปรับโทรศัพท์มือถือคืนจากช่างภาพ เธอนึกขึ้นได้ขอให้ช่างภาพช่วยถ่ายรูปคู่ระหว่างเธอกับโจวเจียอีอีกรูป
“ไหนๆวันนี้ก็ลงทุนแต่งหน้าทำผมขนาดนี้แล้ว ขอเก็บไว้เป็นที่ระลึกนะคะ” เธอยิ้มทะเล้นใส่เขา
“ถ่ายรูปเยอะๆก็ได้ ผมชอบ”
ไม่หรอก... ปกติเขาแทบไม่เคยถ่ายรูปตัวเอง แต่ไม่รู้ทำไมเขาอยากมีรูปเธอกับเขาคู่กันในเมมโมรีบ้าง
“ผมรับงานถ่ายรูปจะเป็นแบบออกทริปหรือถ่ายรูปครอบครัวด้วยนะครับ อยากเก็บรูปเป็นที่ระลึกเรียกใช้บริการได้นะครับ” ช่างภาพได้ทีรีบเสนอตัวพร้อมยื่นนามบัตรให้
หญิงสาวยิ้มรับกลั้นหัวเราะ เธอไม่ใช่ดาราหรือเซเลบจะได้ต้องจ่ายช่างภาพมืออาชีพมาถ่ายรูป แต่ดูเหมือนโจวเจียอีอยากถ่ายรูปเพิ่มอีก เธอจึงหันไปทางเขมิกาส่งสายขอโทษและเกรงใจที่ใช้ช่างภาพของคู่บ่าวสาวมาถ่ายรูปส่วนตัว แต่เขมิกากลับพยักหน้าให้ช่างภาพช่วยถ่ายรูปให้ทั้งสอง
“ชิดๆกันหน่อยครับว่าที่คู่บ่าวสาวคู่ต่อไป” ช่างภาพพูดขึ้นเรียกเสียงหวีดหยอกล้อของเพื่อนร่วมงานที่อยู่บริเวณนั้น ช่างภาพถ่ายรูปไปเพียงสองภาพ จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาแทรกกลางระหว่างคนสองคน
“เอ้า! ขอถ่ายรูปหมูเอ๊ยรูปหมู่ด้วยสิ!”
“นายป้อง!ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้!” ธีรยาไม่นึกโกรธที่จู่ๆ ปกป้องก็มาแทรกระหว่างเธอกับโจวเจียอี แต่โกรธที่เขาเพิ่งจะมาถึงงานแต่งงานของพี่หมอก้อง ทั้งที่เมื่อวานเธอก็ย้ำกับเขาแล้วว่าอย่ามาช้า
“งานด่วนนะ”
ปกป้องฉีกยิ้มทะเล้นแล้วหันไปมองโจวเจียอีที่ไม่พอใจนัก แต่ที่เขาไม่พอใจก็คือมือของปกป้องโอบไหล่ผู้หญิงของเขาอยู่ต่างหาก แต่ปกป้องก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาของโจวเจียอีซ้ำยังยักคิ้วให้อีกด้วย เขาคว้าข้อมือธีรยากึ่งลากกึ่งจูงไปถ่ายรูปกับบ่าวสาวเจ้าของงานแต่งวันนี้ ก้องภพยังทำหน้าตึงมีเพียงเขมิกาที่แย้มยิ้มราวกับไม่เห็นรอยไม่พอใจในแววตาของเจ้าบ่าว
“ถึงจะมาช้าแต่ก็ยังมาทันกินเลี้ยงเลี้ยงอยู่นะ” ปกป้องพูดออกมาแล้วยักไหล่ เขารีบร้อนมาร่วมงานแม้แต่เนคไทก็ยังผูกไม่เรียบร้อย ธีรยาเห็นแล้วก็ส่ายหน้าไปมาแล้วยื่นมือไปช่วยจับปกเสื้อและขยับเนคไทให้เพื่อนสนิท
“หมิวกำลังจะกลับ”
“จะรีบไปไหนเล่า” ปกป้องทำตาโต “เราหิว กินข้าวเป็นเพื่อนเราก่อนค่อยกลับ”
“นายป้อง! ยังจะพูดเรื่องกินอีก เสียมารยาทจริงๆ”
“พี่จัดโต๊ะไว้ให้แล้ว ยังไงอยู่กินสักนิดหนึ่งค่อยกลับก็ได้นะ” เขมิกาหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วกวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟมาพาทั้งสามคนไปที่โต๊ะที่จัดไว้สำหรับเพื่อนเจ้าบ่าว
“อีริคคะ...” ธีรยาเรียกชายหนุ่มอย่างเกรงใจ เธอรู้ว่าเขาเพลียกับการงานและเดินทางมาเพื่อเป็นเพื่อนเธอในวันนี้ด้วย
“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น แล้วนี่ก็วันของคุณ” เขาตบหลังมือเธอเบาๆ ไม่อยากให้หญิงสาวเป็นกังวลมากเกินไป
“ขอหมิวเข้าห้องน้ำสักเดียวนะคะ”
“ครับ”
“รอนิ่งๆ อย่าไปไหนนะ อย่ามีเรื่องกับใครล่ะ”
“ทราบแล้วครับ”
ความเหนื่อยล้าจากการงานหายไปหมดสิ้นเพียงแค่ได้ยินเสียงหัวเราะของเธอ โจวเจียอีไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงเป็นอะไรมากมายขนาดนี้ นับวันเขายิ่งไม่อยากห่างเธอไปไหน แต่ภาระหน้าที่และบางเรื่องที่ต้องสะสางทำให้เขาได้แต่หวังว่าเธอจะเข้าใจสิ่งที่เขาทำอยู่.
....
“พี่ก้องจะไปไหนคะ” เขมิกาเอ่ยถามเมื่อเจ้าบ่าวลุกขึ้นตัวทำท่าจะเดินออกไป
“พี่...พี่ไปสูดอากาศหน่อย ใส่ชุดนี้มันอึดอัด เดี๋ยวมา”
สีหน้าอึดอัดขนาดนั้นทำให้เขมิกาไม่อาจห้ามเขาได้ เจ้าสาวคนสวยจึงได้ทำแค่ฉีกยิ้มอย่างเข้าใจแต่ในใจนั้นตรงข้าม ได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ไว้ในอก
ทุกอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนได้อีกแล้ว
บ้านเจ้าสาวใหญ่โตไม่น้อย ห้องน้ำก็มีอยู่ด้านนอกเป็นสัดส่วนราวกับว่าต้อนรับแขกอยู่บ่อยๆ ธีรยาอดชื่นชมบ้านเจ้าสาวไม่ได้ สำหรับคนที่ใช้ชีวิตในห้องสี่เหลี่ยมมาตลอดก็แอบหวังว่าจะมีบ้านเป็นของตัวเองเหมือนกัน หญิงสาวเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนเสร็จแล้วก็เดินออกมาด้านนอก สายตาปะทะกับซุ้มกุหลาบแสนสวยจนอดใจไม่ไหวเดินเข้าไปเยี่ยมชม ศาลาหกเหลี่ยมปลูกกุหลาบที่เธอไม่รู้จักสายพันธุ์มีหลายหลากสีต่างพันเกี่ยวโครงไม้อวดดอกที่เบ่งบานงามสะพรั่ง เหมาะจะเป็นที่นั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจหรือนั่งจิบชาเสียจริง
“สวยจัง อยากปลูกกุหลาบแบบนี้จังเลย ขอถ่ายรูปไว้หน่อยแล้วกันนะ” หญิงสาวพูดกับตนเองแล้วหยิบสมาร์ทโฟน ออกมาเพื่อถ่ายรูป เพียงกดถ่ายรูปไปไม่กี่รูป จู่ๆ ก็ถูกรวบกอดจากด้านหลัง หญิงสาวตกใจเอี้ยวตัวหันไปมองทำให้แก้มนุ่มถูกริมฝีปากหยักสัมผัสเบาๆ ทว่าดวงตากลมโตเบื้องกว้างอย่างตกใจ
“พี่...พี่หมอก้อง!”
“อยู่นิ่งๆ” น้ำเสียงแห้งพร่าสั่ง “ให้พี่กอดหมิวสักนาที”
ธีรยาไม่รู้ต้องทำอย่างไร หลายปีที่รู้จักก้องภพ เขาไม่เคยทำแบบนี้กับเธอมาก่อนและยิ่งวันนี้ เวลานี้ ผู้หญิงคนเดียวที่เขาจะกอดได้คือเจ้าสาวของเขาซึ่งไม่ใช่เธอ “พี่ก้องปล่อยหมิวนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” “กลัวไอ้หมอนั้นเห็นหรือไง” “พี่หมอก้องช่วยพูดถึงคนรักของหมิวดีๆด้วยค่ะ” หญิงสาวดิ้นขลุกขลักแต่เขากลับกอดรัดแน่นขึ้น “ทำไมถึงเป็นผู้ชายคนนั้น!” เขากัดฟันกรอดด้วยความโมโห “หมิวยั่วให้พี่โกรธใช่ไหม ทำแบบนี้คิดดีแล้วเหรอ” “เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะคะ หมิวจะคบกับใครก็ได้” ก้องภพหัวเราะเย้ยเยาะ “หรือจริงๆ แล้วหมิวก็กระสันอยากได้ผู้ชายรวย ถ้าอยากได้แบบนั้นทำไมไม่บอกพี่แต่แรก ถ้า..” “พี่หมอก้อง! ถ้าพี่ไม่ปล่อยหมิว หมิวจะร้องให้คนช่วย อย่าลืมนะคะว่าพี่หมอก้องแต่งงานแล้ว!” คำว่า ‘แต่งงาน’ เรียกสติของก้องภพได้ วงแขนที่กอดรัดคลายออกอย่างไม่รู้ตัว ธีรยาได้จังหวะรีบสะบัดตัวหลุดออก หญิงสาวจ้องหน้าเขาด้วยความรู้สึกเสียใจ เธอรักและเคารพก้องภพมาก ไม่คิดว่าเขาจะทำเช่นนี้กับเธอ ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีหายไป
“คราวนี้ไม่ได้แล้ว” เขาพูดน้ำเสียงเคร่งเครียดก่อนก้มมองสบตากับคนในอ้อมแขน “คุณทำผมเครื่องร้อนแล้ว” “เอ่อ...” ธีรยาเข้าใจได้ในทันทีเพราะมีบางสิ่งดุนดันอยู่ “หมิวไม่ได้ตั้งใจ” เธอไม่ได้ตั้งใจ แต่เขานะ...ตั้งโด่แล้ว! โจวเจียอีอุ้มร่างนุ่มนิ่มเข้าด้านใน เขาสาวเท้ายาวๆ อุ้มร่างเธอว่างบนเคาน์เตอร์เครื่องดื่มแล้วกดจูบอย่างหิวกระหาย มือใหญ่เลื่อนไปที่แผ่นหลังเพื่อหาซิปซ่อนแล้วจัดการรูดออกอย่างรวดเร็ว “อื้อ...ช้าหน่อยค่ะ” ธีรยาประท้วงเบาๆ เมื่อเขายอมถอนจูบให้เธอได้สูดอากาศหายใจ ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นราวกับลูกไฟที่พร้อมจะหลอมละลายเธอไปด้วยสัมผัสของเขา “ผมทนไม่ไหวแล้ว” เขาพูดเสียงพร่าแล้วขบเม้มติ่งหู “ทะ...ที่นี่...ตรงนี้เหรอคะ...” หญิงสาวถามเสียงสั่นเสื้อผ้าเลื่อนหล่นจากกาย ร่วมรักกันหลายครั้งแต่ก็อยู่ในห้องมิดชิด แต่นี่...กลางบ้านแบบนี้ เธอ... “ไม่มีคนอื่นในบ้านหลังนี้” โจวเจียอีพูดอย่างรู้ทันความคิดของคนขี้อาย “ที่นี่มีแค่คุณกับผม” หญิงสาวลอบมองรอบข้างไม่เห็นมีใครอื่นจริงๆ ยังไม่ทั
มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขาไม่ได้มีเซ็กส์ดุเดือดอย่างนี้มานานแล้ว ที่ผ่านมาเขาควบคุมความต้องการของตัวเองได้อย่างดี และเมื่อมีธีรยาเขาก็มักจะ ‘อ่อนโยน’ กับเธอเสมอ แต่ครั้งนี้ได้ปลดปล่อยตัวเองจนหมดสิ้น และนานแล้วที่เขาไม่ได้มีเซ็กส์แบบไร้เครื่องป้องกันเช่นนี้ แต่เขาไม่คิดว่านี่เป็นลูกไม้ที่เธอจะใช้จับเขา แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้...กับผู้หญิงคนนี้ เขารู้สึกต้องการเธอและอยากทำทุกวิถีทางที่จะครอบครองเธอไว้ หญิงสาวปรับลมหายใจครู่หนึ่งแล้วลืมตามองคนที่เธอนอนหนุนแขน มือใหญ่ยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้มเธอออกเบาๆ เธอรับรู้ได้ถึงของเหลวที่ยังไหลออกมาจากร่องรัก มันน่าอายจนเธอขยับตัวขยุกขยิกพยายามกลั้นไม่ให้มันไหลออกมา “ไม่สบายตัวเหรอ” โจวเจียอีถามพลางยันกายขึ้นมองคนตัวเล็ก “ผมขอโทษ ผมยั้งใจไม่อยู่จริงๆ” “เปล่าคะ ไม่ใช่แบบนั้น” เธอยิ้มเขินๆแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมกายเปลือยเปล่า “หมิวแค่คิดว่าตัวเองทำให้ที่นอนคุณเลอะเทอะ” เขาเลิกคิ้วงุนงงก่อนคลี่ยิ้มออกมา “ไหนๆ ก็ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอน เราทำกันอีกรอบ
“คุณนี่นะเอาใจผู้หญิงไม่เก่ง” เธอทำจมูกย่นใส่เขา“ผิดแล้วผมเอาใจไม่เก่งแต่เอาเก่งนะ เรื่องนี้ผมมั่นใจ”“อีริค!” เธอขึงตาใส่ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ“ให้ตายสิ” เขาพึมพำ “ผมเองก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ คุณร่ายมนตร์ใส่ผมหรือเปล่า”“คุณเชื่อเรื่องไร้สาระพวกนั้นด้วยหรือคะ?” เธอหัวเราะเสียงใส ความจริงเธอลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้เธอมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ เป็นใครกันแน่ที่ร่ายมนตร์ใส่เธอ“แต่ก่อนผมไม่เคยเชื่อเรื่องdestiny แต่การได้พบคุณมันอยู่นอกเหนือความคาดหมาย บางทีพรหมลิขิตอาจมีจริงก็ได้”หญิงสาวได้แต่อมยิ้ม นั้นสิ ผู้หญิงจืดชืดอย่างเธอได้เจอกับผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์อย่างเขาได้ ถ้าวันนั้นก้องภพไม่ประกาศตัวคนรัก เธอคงไม่อกหักจนเสียการควบคุมแล้วได้เจอเขาที่หน้าลิฟต์พอดีอย่างนั้น แถมเจอกันด้วยความบังเอิญอีกด้วย ธีรยาไม่อยากคิดถึงเรื่องของก้องภพอีก คิดเสียว่าทุกอย่างระหว่างเธอกับก้องภพจบลงแล้ว เหลือเพียงความเป็นเพื่อนร่วมงานและรุ่นพี่รุ่นน้องเท่านั้นเมื่ออีกฝ่ายไม่พูด โจวเจียอีกก็ไม่เซ้าซี้ถาม เขาเป็นคนยึดมั่นกับปัจจุบันมากกว่ารื้อฟื้นเรื่องในอดีต เวลานี้ ‘ใจ’ ของเธออยู่ท
“คุณท่านให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียดดีกว่านะคะ ถ้าผิดปกติอะไรจะได้รักษาได้ทันเวลา” เธอพูดไปตามตรง “เรียกคุณทงคุณท่านอะไรห่างเหินจริงๆ” คุณกานดาส่ายหน้าไปมา “เรียกแม่สิ” “เอ่อ..” เธออึกอักเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเบา “คุณแม่...” “อื้ม ฟังแล้วรื่นหูดีจริง เอาตามที่หนูหมิวคิดว่าดีเถอะนะ แม่นะยังไงก็ได้” “ค่ะ” เธอยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปคุยกับคุณหมอ ไม่กี่นาทีทั้งคุณหมอและพยาบาลก็ออกไป เธอจึงหันมาทางคุณกานดาแล้วประคองท่านลงนอนที่เตียง “นี่ถ้าไม่มีหนูหมิวอยู่ใกล้ๆ แม่ต้องลำบากแน่ๆ” คุณกานดายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบแก้มนุ่มของอีกฝ่าย “คบกันแล้วก็ไม่ต้องเขินอายอะไร มากินข้าวบ้านแม่บ้าง ทั้งคู่นั้นแหละ” “คือ...หนูเพิ่งคบกับอีริคค่ะก็เลย...” “แม่เข้าใจ” นางหัวเราะแต่เสียงแหบแห้ง วันนี้อาการไม่ค่อยดีทั้งวันแต่ก็คิดว่าไม่มีอะไร พอค่ำมาเกิดบ้านหมุนล้มลง คนรับใช้กับแม่บ้านแตกตื่นรีบเรียกรถพยาบาล เธอจึงได้มานอนอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษแบบนี้ ที่จริงนางก็ไม่รู้หรอกว่าโจวเจียอีคบกับธีรยาถึงขั้นไหนแค่ได้ยินลูกชายพูดว่ากำ
ธีรยามาถึงโรงพยาบาลเอกชนที่คุณกานดาพักรักษาตัวและเป็นที่ทำงานที่สองของเธอด้วย เจ้าของร่างเล็กมาที่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็พบโจวเจียอียืนคุยกับคุณหมอเจ้าของไข้อยู่ก่อนแล้ว เธอยืนรออยู่ไม่กี่นาทีทั้งหมดก็สนทนากันเสร็จ คุณหมอกับพยาบาลออกไปแล้วเธอจึงขยับเท้าเข้าไปไกล “หนูหมิวมาแล้ว” คุณกานดาร้องทักทำให้โจวเจียอีหันไปมอง สีหน้าเขาอิดโรยไม่น้อยแต่ยังฝืนยิ้มให้ “แม่ก็บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว” “ครับ” “ลูกทำให้แม่รู้สึกแย่นะ” คุณกานดาดุลูกชายไม่จริงจังนัก “แม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ” “ก็เราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว แม่เข้าใจว่าลูกต้องดูแลธุรกิจการงานต่างๆ แต่แม่ก็อยากอยู่เมืองไทย แม่เตรียมใจไว้แล้วว่าลูกอาจไม่ได้อยู่ใกล้ๆแม่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอย่าโกรธตัวเองแบบนี้” “ผมเปล่า...” “อย่ามาเถียง แม่เป็นแม่นะ เลี้ยงมากับมือทำไมจะไม่รู้จักนิสัยลูกตัวเอง” คุณกานดาหัวเราะออกมาแล้วส่งยิ้มให้ธีรยา “ยังดีที่ลูกมีคนรักที่ดี มีหนูหมิวอยู่ดูแลลูก แม่ก็สบายใจ”
“ถามเพื่อนคุณหรือยังว่าอยากสนิทกับผมหรือเปล่า” เขาหัวเราะในลำคอแล้วจัดการเกี๊ยวน้ำในถ้วยของตัวเอง ธีรยายิ้มขำแล้วกินอาหารตรงหน้า เธอนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “สบายใจขึ้นบ้างไหมคะ หมิวก็...ปลอบใจคนไม่เก่ง อาการของคุณแม่คุณไม่น่าเป็นห่วงจริงๆค่ะ” “ครับ ขอบคุณอีกครั้ง” ธีรยามองเสี้ยวหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอกินเสร็จแล้วก็ลุกไปหยิบผ้าเย็นจากชั้นจ่ายเงินแล้วเดินเร็วๆ กลับมาหาเขา “ใช้ผ้าเย็นนี่ค่ะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขอบคุณครับ” “ขอบคุณบ่อยไปแล้วค่ะ” เธอยิ้มและเมื่อเห็นว่าเขายกน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ช่วยเช็ดหน้าให้ “คุณไม่น่าจะเป็นคนพูดคำว่าขอบคุณเป็นเลยนะ” “ก็เพราะเป็นคุณไง” เขาเองยังประหลาดใจที่ตัวเองเป็นคนอย่างนี้ได้ “ตอนนั้นพ่อผมป่วยหนักและผมก็กลับมาดูใจท่านไม่ท่าน ท่านจากไปก่อนที่ผมจะไปถึงแค่ไม่กี่นาที ผมเลยกลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก ทั้งที่แม่บอกว่าสิ่งสุดท้ายที่พ่อห่วงคือคือพ่อเป็นห่วงความรู้สึกผม แต่พ่อก็ฝืนทนรอผมไม่ไหว” “อีริคค่ะ หมิวเสียใจด้วย” คราวนี้เธอ
“เอ่อ...” เธออึกอักขึ้นมา ไปอยู่บ้านเดียวกันแบบนั้นไม่เท่ากับว่าสถานะเธอคือ ‘ลูกสะใภ้’ อย่างนั้นเหรอ มันไม่เหมือนเวลาเธอไปค้างที่คอนโดของเขาเป็นครั้งคราว เอ่อ ...หลายครั้งหลายคราวต่างหาก “ขอโทษ ผมทำให้คุณอึดอัดอีกแล้ว” “ไม่ใช่ค่ะหมิวแค่คิดว่ามันเร็วไปไหมคะ คือ...” “ไปในฐานะแขกของท่านก็ได้ครับ” เขายิ้มอย่างเข้าใจ ผู้หญิงคนอื่นอยากกระโจนมานั่งตำแหน่ง ‘สะใภ้ตระกูลโจว’ แต่เธอกลับลังเล กล้าๆ กลัวๆ ที่จะก้าวเข้ามาใกล้เขา แต่จากคนที่ปิดใจและยอมให้เขากุมมือไว้อย่างนี้ก็นับว่า ‘ใกล้’ มากแล้วจริงๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอไม่อาจปฏิเสธผู้มีพระคุณของตัวเองได้ เธอเผลอสบตากับดวงตาสีน้ำตาลของเขาแล้วเรื่องราวที่คุยกับปกป้องก็ผุดขึ้นมาในสมองรบกวนความคิดของเธอ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามเพราะเห็นสีหน้าเธอไม่ดีนัก “คืนนี้ผมอยู่เฝ้าคุณแม่เองได้ คุณกลับไปนอนพักที่คอนโดผมดีกว่าไหม ผมจะให้เจสันไปส่ง” “ไม่เป็นไรคะหมิวอยู่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า ท่าทางคุณก็เหนื่อยเหมือนกัน หมิวขอตัวเข้าห้องน้ำสักประเดี๋ยวนะคะ” ค