“คราวนี้ไม่ได้แล้ว” เขาพูดน้ำเสียงเคร่งเครียดก่อนก้มมองสบตากับคนในอ้อมแขน “คุณทำผมเครื่องร้อนแล้ว”
“เอ่อ...” ธีรยาเข้าใจได้ในทันทีเพราะมีบางสิ่งดุนดันอยู่ “หมิวไม่ได้ตั้งใจ”
เธอไม่ได้ตั้งใจ แต่เขานะ...ตั้งโด่แล้ว!
โจวเจียอีอุ้มร่างนุ่มนิ่มเข้าด้านใน เขาสาวเท้ายาวๆ อุ้มร่างเธอว่างบนเคาน์เตอร์เครื่องดื่มแล้วกดจูบอย่างหิวกระหาย มือใหญ่เลื่อนไปที่แผ่นหลังเพื่อหาซิปซ่อนแล้วจัดการรูดออกอย่างรวดเร็ว
“อื้อ...ช้าหน่อยค่ะ” ธีรยาประท้วงเบาๆ เมื่อเขายอมถอนจูบให้เธอได้สูดอากาศหายใจ ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นราวกับลูกไฟที่พร้อมจะหลอมละลายเธอไปด้วยสัมผัสของเขา
“ผมทนไม่ไหวแล้ว” เขาพูดเสียงพร่าแล้วขบเม้มติ่งหู
“ทะ...ที่นี่...ตรงนี้เหรอคะ...” หญิงสาวถามเสียงสั่นเสื้อผ้าเลื่อนหล่นจากกาย ร่วมรักกันหลายครั้งแต่ก็อยู่ในห้องมิดชิด แต่นี่...กลางบ้านแบบนี้ เธอ...
“ไม่มีคนอื่นในบ้านหลังนี้” โจวเจียอีพูดอย่างรู้ทันความคิดของคนขี้อาย “ที่นี่มีแค่คุณกับผม”
หญิงสาวลอบมองรอบข้างไม่เห็นมีใครอื่นจริงๆ ยังไม่ทันพยักหน้าอนุญาต เขาก็จูบริมฝีปากเธออีกครั้ง เขาทำให้เธอร้อนรุ่มและเมื่อชุดเดรสถูกกระชากออกไปพ้นร่างก็ทำให้เธออ้าปากส่งเสียงครางออกมา สองมือเรียวเล็กเปะปะไปทั่วแผ่นหลัง โจวเจียอีขยับตัวผละจากเรือนร่างขาวผ่องแล้วกระชากเสื้อตัวเองออกอย่างรวดเร็วแล้วก้มลงดูดดึงปลายถันสีหวานเบื้องหน้า เสียงครางหวานดังจากริมฝีปากสวย มือใหญ่เคลื่อนไปสำรวจตาน้ำเบื้องล่างที่เปียกชื้น มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจที่รู้ว่าร่างกายเธอพรั่กพร้อมสำหรับเขา
“คุณเปียกแล้ว ผมทำเลยได้ไหม” เขาอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและเต็มไปด้วยความปรารถนา “ผมอยากเข้าไปในตัวคุณ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้”
“หมิว...หมิว...” เธอพูดเสียงเบาจนเขาไม่ได้ยินต้องเอียงหูเข้าไปใกล้ริมฝีปากของหญิงสาว ใบหน้าสวยแดงจัดแล้วพูดซ้ำประโยคที่เขาไม่ได้ยิน
“หมิวอยากแนบชิดกับคุณ อยากรู้สึกถึงตัวตนของคุณ”
เธอสบตากับดวงตาร้อนแรงของชายหนุ่ม หวังใจให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดโดยที่เธอไม่ต้องอธิบายมากไปกว่านี้
เขานิ่งไปไม่กี่วินาทีแล้วยิ้มมุมปาก
“ได้...ผมรับผิดชอบคุณเอง”
เพราะนั้นก็คือสิ่งที่เขาก็ต้องการเช่นกัน
ธีรยาไม่ทันได้อธิบายว่าเธอไม่ได้อยากผูกมัดเขาและไม่ต้องการให้เขารับผิดชอบเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่...เรื่องที่เจอในวันนี้ เธออยากสัมผัสเขา อยากรู้สึกถึงตัวตนของเขา บางครั้งเธอก็รู้สึกเหมือนช่วงเวลาที่ได้อยู่กับโจวเจียอีเป็นเหมือนความฝันมากกว่าความจริง
นิ้วเรียวยาวถูกชักออกจากร่องสาว เขาส่งนิ้วที่เปื้อนคราบวาวใสเข้าปากของเธอ ให้เธอรับรู้รสชาติของตัวเอง ลิ้นน้อยๆ ไล้เลียนิ้วของเขาพลางสบตาเขาอย่างเปิดเผย มืออีกข้างจับมือเธอมากอบกุมลำเอ็นที่แข็งขัน เธอรูดมันเบาๆ ในขณะที่แยกเรียวขาออก โจวเจียอีดึงนิ้วออกจากปากของเธอแล้วจับลำเอ็นของตนส่งเข้าไปในช่องทางคับแน่นในคราวเดียว
“อ๊ะ!”
สีหน้าของเธอมันเร้าอารมณ์เขาเหลือเกิน
เธอร้อน
เขาแรง
ชายหนุ่มขยับสะโพกสอบเคลื่อนไหวอย่างดุดัน ก้นงามงอนอยู่หมิ่นขอบเคาน์เตอร์ เสียงครางกระเส่าดังขึ้นรับสัมผัสกระแทกกระทั้นรัวแรงจนร่างเธอสั่นไหว มือเรียวยันไปด้านหลังไม่ให้ตัวเองไถลไปกับโต๊ะ หน้าอกกลมสวยส่ายไปมาตามแรงกระแทก ลำเอ็นใหญ่ยาวที่ไม่มีปราการใดห่อหุ้มถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัดจนชายหนุ่มต้องส่งเสียงคำรามอย่างเสียวซ่าน
“กอดผม”
โจวเจียอีสั่งเสียงพร่า มือเรียวยื่นมาคล้องเขาไว้ เรียวขาโอบรัดเอวสอบ เขาช้อนสะโพกเธอขึ้นจากโต๊ะแล้วโยกขย่มอย่างดิบเถื่อน
“อีริค! อ๊ะ...ไม่ไหว ลึกเกินไป อ๊ะ...อร๊ายยย”
ถูกเขาอุ้มแตงกระแทกลำเอ็นใส่ไม่ยั้ง เธอได้แต่กอดคอเขาไว้แน่น หน้าอกบดเบียดเสียดสีกับแผ่น อกแกร่งยิ่งเสียวซ่านไปทั่วร่าง ทุกการเคลื่อนไหวสร้างความเสียวซ่านจนเธอไม่อาจต้านทานได้ ร่องรัดตอดรัดพร้อมร่างทีเกร็งกระตุกด้วยถึงจุดสุดยอด น้ำรักอาบลำเอ็นจนไหลเปื้อนขาอ่อนและสองมือของเขาชุ่มแฉะไปหมด ธีรยาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้
เขาชอบสีหน้า ชอบน้ำเสียง ชอบที่เธอปลดปล่อยตัวเองออกมาแบบนี้
พละกำลังของเขาช่างเหลือเชื่อ
ธีรยาไม่คิดว่าเขาอุ้มเธอในท่านี้เดินขึ้นบันไดมาชั้นบน ขาเรียวโอบรัดเอวสอบแน่น เธอครางทุกครั้งที่มังกรใหญ่ยักษ์กระทุ้งเข้าไปในร่องรักเพราะเขาอุ้มเธอขึ้นบันได แต่ขั้นมันช่างเสียวซ่านจนน้ำตาเอ่อคลอ เมื่อถึงห้องนอนเขาก็ประคองให้เธอลงยืน สองขาแทบไม่มีแรง เขาหัวเราะในลำคอถอนลำเอ็นที่อาบด้วยน้ำรักออกมาแล้วจับหญิงสาวหันหลัง สองมือยันกับเตียงนอนไว้แล้วกดลำเอ็นกลับเข้าไปอีกครั้ง
“อา...ร่องคุณรัดแน่นมาก”
โจวเจียอีครางแล้วเริ่มขยับสะโพกอีกครั้ง สองมือจับเอวคอดไว้มั่นก่อนสาวลำเอ็นกระแทกร่องสาว ร่างเธอโยกเอนไปตามแรงกระแทกจากด้านหลัง เธอเอี้ยวใบหน้าหันมามองชายหนุ่มที่กัดริมฝีปากแน่น เขาดูเซ็กซี่เร้าใจเหลือบรรยาย ประสาทสัมผัสตื่นตัวเต็มที่ เสียงเนื้อกระทบเนื้อรวมทั้งเสียงน้ำแจ๊ะๆ นั้นทั้งน่าอายและเร้าอารมณ์ บรรยากาศในห้องร้อนระอุเหมือนลำเอ็นที่ผลุบเข้าออกในร่องสาว เธอสั่นสะท้านเพราะถูกเร่งเร้าใกล้จะถึงจุดหมายอีกครั้ง
“อีริค...อึก! ลึกจัง สะ...เสียว...หมิวจะไม่ไหวแล้ว..อ๊ะ!”
“อีกนิด...เสร็จพร้อมกันนะ อื้ม!”
โจวเจียอีกก้มมองมังกรยักษ์ที่ผลุบเข้าไปในร่องสวาท ปกติเขาควบคุมตัวเองได้ดีเยี่ยมแต่เมื่ออยู่กับธีรยา ผู้หญิงที่ดูธรรมดาแต่กลับปลุกเร้าเลือดในกายให้เดือดพล่าน ลมหายใจถี่กระชั้นและหัวใจเต้นรัว เขาเร่งความเร็วและความลึกซอยถี่และแทงลำเอ็นเข้าสุดลำโคน รูดอกไม้สาวถูกกระแทกครั้งแล้วครั้งเล่า เธอได้แต่ส่งเสียงครางรับรู้ถึงแก่นกายร้อนระอุที่เคลื่อนไหวอยู่ในกายเธอ เขาโน้มตัวเลื่อนมือไปบีบเคล้นหน้าอกอวบอิ่ม เธอเอี้ยวใบหน้ามองเขาอีกครั้งก็เป็นจังหวะที่เขายื่นปากประกบจูบ ความอ่อนโยนผสานความเร้าร้อนและดิบเถื่อนกลั้นกลายเป็นน้ำรักขาวขุ่นหลั่งทะลักในกายสาว ของเหลวอุ่นร้อนไหลล้นออกมาจนเปื้อนต้นขาขาวที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อเพราะสัมผัสรุนแรงแสนเสียวซ่าน
เสียงหวานหวีดร้องออกมาในขณะที่ชายหนุ่มคำรามอย่างสุขสม คราวนี้ธีรยาไม่มีแรงทรงตัว แข้งขาแทบหมดแรงยืน โจวเจียอีค่อยๆ ชักลำเอ็นออกแล้วประคองร่างเนียนนุ่มไปนอนบนเตียง
มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขาไม่ได้มีเซ็กส์ดุเดือดอย่างนี้มานานแล้ว ที่ผ่านมาเขาควบคุมความต้องการของตัวเองได้อย่างดี และเมื่อมีธีรยาเขาก็มักจะ ‘อ่อนโยน’ กับเธอเสมอ แต่ครั้งนี้ได้ปลดปล่อยตัวเองจนหมดสิ้น และนานแล้วที่เขาไม่ได้มีเซ็กส์แบบไร้เครื่องป้องกันเช่นนี้ แต่เขาไม่คิดว่านี่เป็นลูกไม้ที่เธอจะใช้จับเขา แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้...กับผู้หญิงคนนี้ เขารู้สึกต้องการเธอและอยากทำทุกวิถีทางที่จะครอบครองเธอไว้ หญิงสาวปรับลมหายใจครู่หนึ่งแล้วลืมตามองคนที่เธอนอนหนุนแขน มือใหญ่ยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้มเธอออกเบาๆ เธอรับรู้ได้ถึงของเหลวที่ยังไหลออกมาจากร่องรัก มันน่าอายจนเธอขยับตัวขยุกขยิกพยายามกลั้นไม่ให้มันไหลออกมา “ไม่สบายตัวเหรอ” โจวเจียอีถามพลางยันกายขึ้นมองคนตัวเล็ก “ผมขอโทษ ผมยั้งใจไม่อยู่จริงๆ” “เปล่าคะ ไม่ใช่แบบนั้น” เธอยิ้มเขินๆแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมกายเปลือยเปล่า “หมิวแค่คิดว่าตัวเองทำให้ที่นอนคุณเลอะเทอะ” เขาเลิกคิ้วงุนงงก่อนคลี่ยิ้มออกมา “ไหนๆ ก็ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอน เราทำกันอีกรอบ
“คุณนี่นะเอาใจผู้หญิงไม่เก่ง” เธอทำจมูกย่นใส่เขา“ผิดแล้วผมเอาใจไม่เก่งแต่เอาเก่งนะ เรื่องนี้ผมมั่นใจ”“อีริค!” เธอขึงตาใส่ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ“ให้ตายสิ” เขาพึมพำ “ผมเองก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ คุณร่ายมนตร์ใส่ผมหรือเปล่า”“คุณเชื่อเรื่องไร้สาระพวกนั้นด้วยหรือคะ?” เธอหัวเราะเสียงใส ความจริงเธอลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้เธอมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ เป็นใครกันแน่ที่ร่ายมนตร์ใส่เธอ“แต่ก่อนผมไม่เคยเชื่อเรื่องdestiny แต่การได้พบคุณมันอยู่นอกเหนือความคาดหมาย บางทีพรหมลิขิตอาจมีจริงก็ได้”หญิงสาวได้แต่อมยิ้ม นั้นสิ ผู้หญิงจืดชืดอย่างเธอได้เจอกับผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์อย่างเขาได้ ถ้าวันนั้นก้องภพไม่ประกาศตัวคนรัก เธอคงไม่อกหักจนเสียการควบคุมแล้วได้เจอเขาที่หน้าลิฟต์พอดีอย่างนั้น แถมเจอกันด้วยความบังเอิญอีกด้วย ธีรยาไม่อยากคิดถึงเรื่องของก้องภพอีก คิดเสียว่าทุกอย่างระหว่างเธอกับก้องภพจบลงแล้ว เหลือเพียงความเป็นเพื่อนร่วมงานและรุ่นพี่รุ่นน้องเท่านั้นเมื่ออีกฝ่ายไม่พูด โจวเจียอีกก็ไม่เซ้าซี้ถาม เขาเป็นคนยึดมั่นกับปัจจุบันมากกว่ารื้อฟื้นเรื่องในอดีต เวลานี้ ‘ใจ’ ของเธออยู่ท
“คุณท่านให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียดดีกว่านะคะ ถ้าผิดปกติอะไรจะได้รักษาได้ทันเวลา” เธอพูดไปตามตรง “เรียกคุณทงคุณท่านอะไรห่างเหินจริงๆ” คุณกานดาส่ายหน้าไปมา “เรียกแม่สิ” “เอ่อ..” เธออึกอักเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเบา “คุณแม่...” “อื้ม ฟังแล้วรื่นหูดีจริง เอาตามที่หนูหมิวคิดว่าดีเถอะนะ แม่นะยังไงก็ได้” “ค่ะ” เธอยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปคุยกับคุณหมอ ไม่กี่นาทีทั้งคุณหมอและพยาบาลก็ออกไป เธอจึงหันมาทางคุณกานดาแล้วประคองท่านลงนอนที่เตียง “นี่ถ้าไม่มีหนูหมิวอยู่ใกล้ๆ แม่ต้องลำบากแน่ๆ” คุณกานดายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบแก้มนุ่มของอีกฝ่าย “คบกันแล้วก็ไม่ต้องเขินอายอะไร มากินข้าวบ้านแม่บ้าง ทั้งคู่นั้นแหละ” “คือ...หนูเพิ่งคบกับอีริคค่ะก็เลย...” “แม่เข้าใจ” นางหัวเราะแต่เสียงแหบแห้ง วันนี้อาการไม่ค่อยดีทั้งวันแต่ก็คิดว่าไม่มีอะไร พอค่ำมาเกิดบ้านหมุนล้มลง คนรับใช้กับแม่บ้านแตกตื่นรีบเรียกรถพยาบาล เธอจึงได้มานอนอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษแบบนี้ ที่จริงนางก็ไม่รู้หรอกว่าโจวเจียอีคบกับธีรยาถึงขั้นไหนแค่ได้ยินลูกชายพูดว่ากำ
ธีรยามาถึงโรงพยาบาลเอกชนที่คุณกานดาพักรักษาตัวและเป็นที่ทำงานที่สองของเธอด้วย เจ้าของร่างเล็กมาที่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็พบโจวเจียอียืนคุยกับคุณหมอเจ้าของไข้อยู่ก่อนแล้ว เธอยืนรออยู่ไม่กี่นาทีทั้งหมดก็สนทนากันเสร็จ คุณหมอกับพยาบาลออกไปแล้วเธอจึงขยับเท้าเข้าไปไกล “หนูหมิวมาแล้ว” คุณกานดาร้องทักทำให้โจวเจียอีหันไปมอง สีหน้าเขาอิดโรยไม่น้อยแต่ยังฝืนยิ้มให้ “แม่ก็บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว” “ครับ” “ลูกทำให้แม่รู้สึกแย่นะ” คุณกานดาดุลูกชายไม่จริงจังนัก “แม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ” “ก็เราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว แม่เข้าใจว่าลูกต้องดูแลธุรกิจการงานต่างๆ แต่แม่ก็อยากอยู่เมืองไทย แม่เตรียมใจไว้แล้วว่าลูกอาจไม่ได้อยู่ใกล้ๆแม่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอย่าโกรธตัวเองแบบนี้” “ผมเปล่า...” “อย่ามาเถียง แม่เป็นแม่นะ เลี้ยงมากับมือทำไมจะไม่รู้จักนิสัยลูกตัวเอง” คุณกานดาหัวเราะออกมาแล้วส่งยิ้มให้ธีรยา “ยังดีที่ลูกมีคนรักที่ดี มีหนูหมิวอยู่ดูแลลูก แม่ก็สบายใจ”
“ถามเพื่อนคุณหรือยังว่าอยากสนิทกับผมหรือเปล่า” เขาหัวเราะในลำคอแล้วจัดการเกี๊ยวน้ำในถ้วยของตัวเอง ธีรยายิ้มขำแล้วกินอาหารตรงหน้า เธอนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “สบายใจขึ้นบ้างไหมคะ หมิวก็...ปลอบใจคนไม่เก่ง อาการของคุณแม่คุณไม่น่าเป็นห่วงจริงๆค่ะ” “ครับ ขอบคุณอีกครั้ง” ธีรยามองเสี้ยวหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอกินเสร็จแล้วก็ลุกไปหยิบผ้าเย็นจากชั้นจ่ายเงินแล้วเดินเร็วๆ กลับมาหาเขา “ใช้ผ้าเย็นนี่ค่ะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขอบคุณครับ” “ขอบคุณบ่อยไปแล้วค่ะ” เธอยิ้มและเมื่อเห็นว่าเขายกน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ช่วยเช็ดหน้าให้ “คุณไม่น่าจะเป็นคนพูดคำว่าขอบคุณเป็นเลยนะ” “ก็เพราะเป็นคุณไง” เขาเองยังประหลาดใจที่ตัวเองเป็นคนอย่างนี้ได้ “ตอนนั้นพ่อผมป่วยหนักและผมก็กลับมาดูใจท่านไม่ท่าน ท่านจากไปก่อนที่ผมจะไปถึงแค่ไม่กี่นาที ผมเลยกลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก ทั้งที่แม่บอกว่าสิ่งสุดท้ายที่พ่อห่วงคือคือพ่อเป็นห่วงความรู้สึกผม แต่พ่อก็ฝืนทนรอผมไม่ไหว” “อีริคค่ะ หมิวเสียใจด้วย” คราวนี้เธอ
“เอ่อ...” เธออึกอักขึ้นมา ไปอยู่บ้านเดียวกันแบบนั้นไม่เท่ากับว่าสถานะเธอคือ ‘ลูกสะใภ้’ อย่างนั้นเหรอ มันไม่เหมือนเวลาเธอไปค้างที่คอนโดของเขาเป็นครั้งคราว เอ่อ ...หลายครั้งหลายคราวต่างหาก “ขอโทษ ผมทำให้คุณอึดอัดอีกแล้ว” “ไม่ใช่ค่ะหมิวแค่คิดว่ามันเร็วไปไหมคะ คือ...” “ไปในฐานะแขกของท่านก็ได้ครับ” เขายิ้มอย่างเข้าใจ ผู้หญิงคนอื่นอยากกระโจนมานั่งตำแหน่ง ‘สะใภ้ตระกูลโจว’ แต่เธอกลับลังเล กล้าๆ กลัวๆ ที่จะก้าวเข้ามาใกล้เขา แต่จากคนที่ปิดใจและยอมให้เขากุมมือไว้อย่างนี้ก็นับว่า ‘ใกล้’ มากแล้วจริงๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอไม่อาจปฏิเสธผู้มีพระคุณของตัวเองได้ เธอเผลอสบตากับดวงตาสีน้ำตาลของเขาแล้วเรื่องราวที่คุยกับปกป้องก็ผุดขึ้นมาในสมองรบกวนความคิดของเธอ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามเพราะเห็นสีหน้าเธอไม่ดีนัก “คืนนี้ผมอยู่เฝ้าคุณแม่เองได้ คุณกลับไปนอนพักที่คอนโดผมดีกว่าไหม ผมจะให้เจสันไปส่ง” “ไม่เป็นไรคะหมิวอยู่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า ท่าทางคุณก็เหนื่อยเหมือนกัน หมิวขอตัวเข้าห้องน้ำสักประเดี๋ยวนะคะ” ค
ท่าทางของคุณกานดาเหมือนจะเป็นลม ธีรยาเข้าไปประคองให้เอนหลังนอนบนเตียง แต่นางโบกมือห้ามไว้ก่อน “แล้วนี่นึกยังไงถึงมาแสดงตัว หรือเพราะเห็นแม่ใกล้ตายเลยอยากให้มารับส่วนแบ่งมรดกของพ่อแก” “แม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้นครับ ปกติคุณพ่อให้ผมจัดการค่าใช้จ่ายรายเดือนให้คุณน้าเหมยลี่ และในส่วนมรดกที่คุณพ่อแบ่งให้หมิงเจ๋อนั้นก็ไม่ได้แตะต้องส่วนของคุณแม่เลย ที่ผ่านมาคุณพ่อเลี้ยงดูน้าเหมยลี่มาอย่างลับๆ จนกระทั่งถึงคราวที่คุณพ่อเสีย พ่อให้ผมช่วยดูแลหมิงเจ๋อจนกว่าเขาจะบรรลุนิติภาวะ” “แล้วทำไมถึงเสนอหน้ากันมาที่เมืองไทย ก็รู้ว่าแม่อยู่ที่นี่ แม่ไม่ได้อยากรับรู้เรื่องที่พ่อนอกใจแม่หรอกนะ!” “คุณกานดาค่ะ ใจเย็นๆค่ะ” ธีรยาลูบหลังเบาๆ เธอโล่งใจที่ไม่ใช่ลูกของโจวเจียอี ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจเด็ก เธอแค่กลัวว่าตัวเองจะเป็นมือที่สามในชีวีตคนอื่น “เดิมที่ก็ไม่จะให้คุณแม่รู้เรื่องนี้ แต่...หมิงเจ๋อร่างกายไม่แข็งแรง ตับทำงานผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดตอนนี้อาการทรุดลงและต้องปลูกถ่ายตับ...” “อย่าบอกว่าต้องใช้ตับของลูกนะ!” คุณกานดาตวาดเสียงสั่นแล้วตวัดสายตาจ
คนตัวสูงรั้งร่างบอบบางเข้ามากอด“ผมอยากกลับไปห้องของเราจัง” “อย่าดื้อค่ะ” โจวเจียอีเงยหน้าหัวเราะแล้วยกมือสองมือประคองใบหน้าหวานสบตากับดวงตาหลังแว่นตาแสนเชย แต่ภายใต้ดวงตาใสกระจ่างคือความอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน “คราวนี้คุณเชื่อใจผมได้หรือยัง ผมไม่เคยมีใครและไม่เคยซุกเมียเก็บไว้” แน่นอนว่าเขาไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ และไม่อยากเห็นคนที่เขารักต้องทุกข์ใจเช่นที่แม่เขาต้องเผชิญ รัก...เขารู้จักคำนี้จริงๆหรือ? “จะรับไว้พิจารณานะคะ” “โธ่ หมิว...” เขาครางอย่างอ่อนใจ “เอาไว้หมิวหาเวลาเรียนภาษาจีนก่อน เวลาคุณพูดอะไร หมิวจะได้ฟังออกว่าคุณไม่ได้ปิดบังอะไรอีก” “ได้ ผมสอนให้เอง”“ค่าสอนแพงไหมคะ ระดับประธานโจวมาสอนเอง หมิว จะจ่ายไม่ไหวเอานะสิ”“อื้ม...ผมคิดเป็นอย่างอื่นก็แล้วกัน”สายตากรุ้มกริ่มของเขาทำให้หญิงสาวเขินหน้าแดง เธอทุบอกเขาแก้เขินแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย วันนี้เกิดเรื่องมากมาย แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้มีใครอื่นซุกซ่อนไว้จริงๆ.