ธีรยาไม่รู้ต้องทำอย่างไร หลายปีที่รู้จักก้องภพ เขาไม่เคยทำแบบนี้กับเธอมาก่อนและยิ่งวันนี้ เวลานี้ ผู้หญิงคนเดียวที่เขาจะกอดได้คือเจ้าสาวของเขาซึ่งไม่ใช่เธอ
“พี่ก้องปล่อยหมิวนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“กลัวไอ้หมอนั้นเห็นหรือไง”
“พี่หมอก้องช่วยพูดถึงคนรักของหมิวดีๆด้วยค่ะ” หญิงสาวดิ้นขลุกขลักแต่เขากลับกอดรัดแน่นขึ้น
“ทำไมถึงเป็นผู้ชายคนนั้น!” เขากัดฟันกรอดด้วยความโมโห “หมิวยั่วให้พี่โกรธใช่ไหม ทำแบบนี้คิดดีแล้วเหรอ”
“เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะคะ หมิวจะคบกับใครก็ได้”
ก้องภพหัวเราะเย้ยเยาะ “หรือจริงๆ แล้วหมิวก็กระสันอยากได้ผู้ชายรวย ถ้าอยากได้แบบนั้นทำไมไม่บอกพี่แต่แรก ถ้า..”
“พี่หมอก้อง! ถ้าพี่ไม่ปล่อยหมิว หมิวจะร้องให้คนช่วย อย่าลืมนะคะว่าพี่หมอก้องแต่งงานแล้ว!”
คำว่า ‘แต่งงาน’ เรียกสติของก้องภพได้ วงแขนที่กอดรัดคลายออกอย่างไม่รู้ตัว ธีรยาได้จังหวะรีบสะบัดตัวหลุดออก หญิงสาวจ้องหน้าเขาด้วยความรู้สึกเสียใจ เธอรักและเคารพก้องภพมาก ไม่คิดว่าเขาจะทำเช่นนี้กับเธอ ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีหายไปหมดสิ้น ไม่มีถ้อยคำใดจะเอ่ยออกมาได้ เธอสูดลมหายใจลึกกลั้นหยดน้ำตาไว้แล้วรีบก้าวเร็วๆ ออกไปทันที
ก้องภพหลับตาอย่างปวดร้าวแล้วลืมตามองฝ่ามือสองข้างของตนเอง ที่นิ้วข้างหนึ่งสวมแหวนแต่งงานเรียบร้อยแล้ว คงไม่มีโอกาสได้กอดร่างเนียนนุ่มอีกแล้ว หัวใจเจ็บปวดเหมือนสูญเสียของรักของหวงไป ทำไมเขาเพิ่งรู้ใจตัวเองว่ารู้สึกอย่างไรกับหญิงสาวคนนั้นในวันที่ไม่อาจแตะต้องเธอได้ เขาแหงนหน้ามองฟ้า ทำไมเรื่องราวมันถึงมาจุดนี้ได้ คงไม่มีวันที่เขากับเธอจะยิ้มให้กันอย่างสนิทใจเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว
ปกป้องทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้แล้วยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นดื่ม สายตาจ้องมองชายหนุ่มที่ดูหล่อเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว ผู้ชายแบบนี้ไม่น่าโคจรมาเจอธีรยาได้เลย มันเป็นเรื่องของพรหมลิขิตจริงๆ หรือ?
เหอะ! ยัยโง่หัวอ่อนนั้นนะ โดนหลอกให้รักแน่ๆ
โจวเจียอียกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เขาปะทะสายตากับปกป้องและไม่คิดหลบตาซ้ำยังยกมุมปากยิ้มน้อยๆ เหมือนคนที่เหนือกว่า แน่นอนว่าเขาสั่งคนสืบเรื่องผู้ชายคนนี้มาแล้วและดูจากสายตาอีกฝ่ายก็เดาได้ไม่ยากว่าก็คงสืบเรื่องของเขามาเหมือนกัน
“ผมจริงใจกับคุณธีรยา” โจวเจียอีชิงพูดขึ้นก่อน
“ไม่ยักรู้ว่านอกจากคุณโจวจะพูดภาษาไทยได้ดีแล้วยังอ่านใจคนอื่นได้อีก” ปกป้องยิ้มทะเล้น แล้วหยิบถั่วทอดส่งเข้าปาก “ถามจริงๆ เถอะ ยัยหมิวรู้เรื่องของคุณบ้างไหม”
ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ลงเล็กน้อยแต่ไม่แสดงท่าทีใดออกมา
“ผมไม่มีเรื่องอะไรปิดบัง เพียงแค่เธอจะรู้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม”
ปกป้องผิวปากออกมาอย่างไม่เกรงมารยาท
“ยัยหมิวเป็นเพื่อนผม เป็นเพื่อนรัก เราโตที่บ้านเด็กกำพร้าด้วยกัน และบอกไว้เลยว่าผมคิดกับหมิวมากกว่าเพื่อน และผมก็ไม่แคร์ด้วยว่าหมิวจะคิดยังไงกับผม ผมจะรอวันที่หมิวรู้ความจริงแล้วทิ้งคุณมาหาผม”
“ดูคุณปกป้องมั่นใจเหลือเกินนะครับ” เขายิ้มมุมปากแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ไม่ได้แตะต้องอาหารบนโต๊ะ ในขณะที่ปกป้องกินอย่างเอร็ดอร่อย
“ท่าทางอาหารบ้านๆ คงไม่ถูกปากคุณโจวสินะ”
“ผมแค่ยังไม่หิว”
โจวเจียยังพูดไม่จบประโยคก็เห็นธีรยาเดินตรงมาทางเขา แต่เมื่อเพ่งมองดูสีหน้าของหญิงสาวไม่สู้ดีนักทำให้รีบลุกขึ้นทันทีแล้วเป็นฝ่ายสาวเท้าเข้าไปหา
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามเสียงเบาแต่หนักแน่น น้ำเสียงนั้นทำให้ธีรยาได้สติ เธอกลั้นน้ำตามาตลอดทางเดิน ทว่าเพียงมือสองข้างของเขาประคองไหล่ไว้ น้ำตาก็จะไหลออกมา
“หมิว...รู้สึกไม่ค่อยสบาย เรากลับเลยได้ไหมคะ”
“ครับ” เขาไม่เซ้าซี้ถาม และรู้ว่าไม่ควรถามในตอนนี้ ถ้าเธอต้องการไปก็คือไป
ปกป้องเอี้ยวตัวไปมองด้านหลัง เห็นท่าทางผิดปกติของคนที่แอบรักก็ลุกขึ้นไปดูด้วยความเป็นห่วง
“หน้าซีดเหมือนคนจะเป็นลม ไม่สบายเหรอ”
“นิดหน่อย” ธีรยาพยักหน้ารับแต่ไม่สบตากับเพื่อนสนิท “หมิวขอกลับก่อนนะ”
ปกป้องกัดริมฝีปาก สายตาเลื่อนมองไปยันมือเรียวเล็กที่เกาะแขนชายหนุ่มหล่อเหลาคนนั้น เขาสูดลมหายใจลึก ควรเป็นเขาที่ดูแลเธอ เป็นความสะเพร่าที่เขาช้าเกินไปไม่คิดว่ายัยแว่นหนาที่เอาแต่อยู่ในห้องแล็บจะมีคนมาจีบและยังจีบสำเร็จอีกด้วย
เรื่องที่เขาอยากเตือนธีรยาก็กลับไม่กล้าพูดออกไป วูบหนึ่งของความคิด บางทีเขาก็ไม่ควรเตือนเธอ ปล่อยให้เจอและเจ็บและเมื่อถึงเวลานั้น เขาจะเป็นฝ่ายอยู่เคียงข้างเธอเอง
“อืมๆ หมิวกลับก่อนเถอะ ดูแลตัวเองดีๆ”
โจวเจียอีตวัดสายตามองปกป้องครู่หนึ่งก่อนผงกศีรษะให้ เขากดโทรศัพท์ให้เจสันเอารถมารับแล้วประคองหญิงสาวเดินไปที่ด้านนอกเพื่อขึ้นรถกลับที่พัก
เสียงปิดประตูรถทำให้ธีรยาตื่นจากภวังค์ เธอมองใบหน้าคมเข้มและดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมองอย่างห่วงใย ผู้ชายคนนี้แม้ดูร้ายและเอาแต่ใจ แต่ก็แสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา
“หมิว...” โจวเจียอีโน้มหน้าลงไปใกล้ เพื่อสำรวจดูว่าเธอบาดเจ็บหรือเป็นอะไรหรือเปล่า หากเป็นคนอื่นเขาคงคาดคั้นเอาคำตอบ แต่กับผู้หญิงเปราะบางคนนี้ทำให้ผู้ชายแข็งกระด้างอย่างเรารู้จักทำตัว ‘อ่อนโยน’ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ทว่าหญิงสาวกลับยื่นริมฝีปากกดจูบกับริมฝีปากหยักสวย เธอขบเม้มกลีบปากเขาเบาๆ ก่อนแทรกลิ้นน้อยๆ เข้าไปในโพรงปากของเขา ทำเหมือนที่เขาเคยทำกับเธอ มือเรียวเล็กยื่นมือคล้องคอเขาไว้พร้อมเอนร่างเข้าหา ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วจูบตอบอย่างดูดดื่มและร้องแรงจนหญิงสาวต้องเป็นฝ่ายขยับตัวถอยหนีเพราะหายใจไม่ทัน เขาจึงยอมถอนจุมพิตแล้วส่งเสียงสั่งเจสันที่ทำหน้าที่พลขับ
“ไปวิลล่า”
“ครับ”
เสียงเจสันรับคำทำให้ธีรยากระพริบตาปริบๆ แล้วนึกได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในรถกับโจวเจียอี และที่สำคัญ เธอจูบเขาโดยมีคนอื่นอยู่ด้วย คุณหมอขี้อายหน้าแดงจัดแล้วก้มหน้างุดกับแผ่นอกของชายหนุ่ม
“อายตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ” เขาหัวเราะในลำคอ
“เราจะไปไหนคะ”
“ไปที่ที่ทำได้มากกว่าจูบ”
ธีรยาเงยหน้าขึ้นก็พบรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ช่างเถอะ เขาก็เป็นแบบนี้ถึงทลายกำแพงที่โอบล้อมใจได้เข้ามาอยู่ในหัวใจของเธอได้อย่างง่ายดาย.
ทันทีที่ก้าวเท้าลงจากรถ หญิงสาวกวาดสายตามองไปโดยรอบ เบื้องหน้าเป็นบ้านพักตากอากาศหลังงามที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติแสนร่มรื่น ยังไม่ทันที่ธีรยาจะเอ่ยปากถามสิ่งใด ร่างเล็กก็ถูกช้อนตัวอุ้มขึ้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวร้องเสียงหลงแต่ยกมือขึ้นคล้องคอชายหนุ่มไว้ ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
“ไม่...ไม่ต้องอุ้มก็ได้ค่ะ” เธออึกอักและเขินอายจึงหลุบตาลงไม่กล้ามองหน้าบรรดาบอดี้การ์ดของเขา
“คราวนี้ไม่ได้แล้ว” เขาพูดน้ำเสียงเคร่งเครียดก่อนก้มมองสบตากับคนในอ้อมแขน “คุณทำผมเครื่องร้อนแล้ว” “เอ่อ...” ธีรยาเข้าใจได้ในทันทีเพราะมีบางสิ่งดุนดันอยู่ “หมิวไม่ได้ตั้งใจ” เธอไม่ได้ตั้งใจ แต่เขานะ...ตั้งโด่แล้ว! โจวเจียอีอุ้มร่างนุ่มนิ่มเข้าด้านใน เขาสาวเท้ายาวๆ อุ้มร่างเธอว่างบนเคาน์เตอร์เครื่องดื่มแล้วกดจูบอย่างหิวกระหาย มือใหญ่เลื่อนไปที่แผ่นหลังเพื่อหาซิปซ่อนแล้วจัดการรูดออกอย่างรวดเร็ว “อื้อ...ช้าหน่อยค่ะ” ธีรยาประท้วงเบาๆ เมื่อเขายอมถอนจูบให้เธอได้สูดอากาศหายใจ ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นราวกับลูกไฟที่พร้อมจะหลอมละลายเธอไปด้วยสัมผัสของเขา “ผมทนไม่ไหวแล้ว” เขาพูดเสียงพร่าแล้วขบเม้มติ่งหู “ทะ...ที่นี่...ตรงนี้เหรอคะ...” หญิงสาวถามเสียงสั่นเสื้อผ้าเลื่อนหล่นจากกาย ร่วมรักกันหลายครั้งแต่ก็อยู่ในห้องมิดชิด แต่นี่...กลางบ้านแบบนี้ เธอ... “ไม่มีคนอื่นในบ้านหลังนี้” โจวเจียอีพูดอย่างรู้ทันความคิดของคนขี้อาย “ที่นี่มีแค่คุณกับผม” หญิงสาวลอบมองรอบข้างไม่เห็นมีใครอื่นจริงๆ ยังไม่ทั
มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขาไม่ได้มีเซ็กส์ดุเดือดอย่างนี้มานานแล้ว ที่ผ่านมาเขาควบคุมความต้องการของตัวเองได้อย่างดี และเมื่อมีธีรยาเขาก็มักจะ ‘อ่อนโยน’ กับเธอเสมอ แต่ครั้งนี้ได้ปลดปล่อยตัวเองจนหมดสิ้น และนานแล้วที่เขาไม่ได้มีเซ็กส์แบบไร้เครื่องป้องกันเช่นนี้ แต่เขาไม่คิดว่านี่เป็นลูกไม้ที่เธอจะใช้จับเขา แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้...กับผู้หญิงคนนี้ เขารู้สึกต้องการเธอและอยากทำทุกวิถีทางที่จะครอบครองเธอไว้ หญิงสาวปรับลมหายใจครู่หนึ่งแล้วลืมตามองคนที่เธอนอนหนุนแขน มือใหญ่ยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้มเธอออกเบาๆ เธอรับรู้ได้ถึงของเหลวที่ยังไหลออกมาจากร่องรัก มันน่าอายจนเธอขยับตัวขยุกขยิกพยายามกลั้นไม่ให้มันไหลออกมา “ไม่สบายตัวเหรอ” โจวเจียอีถามพลางยันกายขึ้นมองคนตัวเล็ก “ผมขอโทษ ผมยั้งใจไม่อยู่จริงๆ” “เปล่าคะ ไม่ใช่แบบนั้น” เธอยิ้มเขินๆแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมกายเปลือยเปล่า “หมิวแค่คิดว่าตัวเองทำให้ที่นอนคุณเลอะเทอะ” เขาเลิกคิ้วงุนงงก่อนคลี่ยิ้มออกมา “ไหนๆ ก็ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอน เราทำกันอีกรอบ
“คุณนี่นะเอาใจผู้หญิงไม่เก่ง” เธอทำจมูกย่นใส่เขา“ผิดแล้วผมเอาใจไม่เก่งแต่เอาเก่งนะ เรื่องนี้ผมมั่นใจ”“อีริค!” เธอขึงตาใส่ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ“ให้ตายสิ” เขาพึมพำ “ผมเองก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ คุณร่ายมนตร์ใส่ผมหรือเปล่า”“คุณเชื่อเรื่องไร้สาระพวกนั้นด้วยหรือคะ?” เธอหัวเราะเสียงใส ความจริงเธอลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้เธอมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ เป็นใครกันแน่ที่ร่ายมนตร์ใส่เธอ“แต่ก่อนผมไม่เคยเชื่อเรื่องdestiny แต่การได้พบคุณมันอยู่นอกเหนือความคาดหมาย บางทีพรหมลิขิตอาจมีจริงก็ได้”หญิงสาวได้แต่อมยิ้ม นั้นสิ ผู้หญิงจืดชืดอย่างเธอได้เจอกับผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์อย่างเขาได้ ถ้าวันนั้นก้องภพไม่ประกาศตัวคนรัก เธอคงไม่อกหักจนเสียการควบคุมแล้วได้เจอเขาที่หน้าลิฟต์พอดีอย่างนั้น แถมเจอกันด้วยความบังเอิญอีกด้วย ธีรยาไม่อยากคิดถึงเรื่องของก้องภพอีก คิดเสียว่าทุกอย่างระหว่างเธอกับก้องภพจบลงแล้ว เหลือเพียงความเป็นเพื่อนร่วมงานและรุ่นพี่รุ่นน้องเท่านั้นเมื่ออีกฝ่ายไม่พูด โจวเจียอีกก็ไม่เซ้าซี้ถาม เขาเป็นคนยึดมั่นกับปัจจุบันมากกว่ารื้อฟื้นเรื่องในอดีต เวลานี้ ‘ใจ’ ของเธออยู่ท
“คุณท่านให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียดดีกว่านะคะ ถ้าผิดปกติอะไรจะได้รักษาได้ทันเวลา” เธอพูดไปตามตรง “เรียกคุณทงคุณท่านอะไรห่างเหินจริงๆ” คุณกานดาส่ายหน้าไปมา “เรียกแม่สิ” “เอ่อ..” เธออึกอักเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเบา “คุณแม่...” “อื้ม ฟังแล้วรื่นหูดีจริง เอาตามที่หนูหมิวคิดว่าดีเถอะนะ แม่นะยังไงก็ได้” “ค่ะ” เธอยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปคุยกับคุณหมอ ไม่กี่นาทีทั้งคุณหมอและพยาบาลก็ออกไป เธอจึงหันมาทางคุณกานดาแล้วประคองท่านลงนอนที่เตียง “นี่ถ้าไม่มีหนูหมิวอยู่ใกล้ๆ แม่ต้องลำบากแน่ๆ” คุณกานดายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบแก้มนุ่มของอีกฝ่าย “คบกันแล้วก็ไม่ต้องเขินอายอะไร มากินข้าวบ้านแม่บ้าง ทั้งคู่นั้นแหละ” “คือ...หนูเพิ่งคบกับอีริคค่ะก็เลย...” “แม่เข้าใจ” นางหัวเราะแต่เสียงแหบแห้ง วันนี้อาการไม่ค่อยดีทั้งวันแต่ก็คิดว่าไม่มีอะไร พอค่ำมาเกิดบ้านหมุนล้มลง คนรับใช้กับแม่บ้านแตกตื่นรีบเรียกรถพยาบาล เธอจึงได้มานอนอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษแบบนี้ ที่จริงนางก็ไม่รู้หรอกว่าโจวเจียอีคบกับธีรยาถึงขั้นไหนแค่ได้ยินลูกชายพูดว่ากำ
ธีรยามาถึงโรงพยาบาลเอกชนที่คุณกานดาพักรักษาตัวและเป็นที่ทำงานที่สองของเธอด้วย เจ้าของร่างเล็กมาที่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็พบโจวเจียอียืนคุยกับคุณหมอเจ้าของไข้อยู่ก่อนแล้ว เธอยืนรออยู่ไม่กี่นาทีทั้งหมดก็สนทนากันเสร็จ คุณหมอกับพยาบาลออกไปแล้วเธอจึงขยับเท้าเข้าไปไกล “หนูหมิวมาแล้ว” คุณกานดาร้องทักทำให้โจวเจียอีหันไปมอง สีหน้าเขาอิดโรยไม่น้อยแต่ยังฝืนยิ้มให้ “แม่ก็บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว” “ครับ” “ลูกทำให้แม่รู้สึกแย่นะ” คุณกานดาดุลูกชายไม่จริงจังนัก “แม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ” “ก็เราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว แม่เข้าใจว่าลูกต้องดูแลธุรกิจการงานต่างๆ แต่แม่ก็อยากอยู่เมืองไทย แม่เตรียมใจไว้แล้วว่าลูกอาจไม่ได้อยู่ใกล้ๆแม่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอย่าโกรธตัวเองแบบนี้” “ผมเปล่า...” “อย่ามาเถียง แม่เป็นแม่นะ เลี้ยงมากับมือทำไมจะไม่รู้จักนิสัยลูกตัวเอง” คุณกานดาหัวเราะออกมาแล้วส่งยิ้มให้ธีรยา “ยังดีที่ลูกมีคนรักที่ดี มีหนูหมิวอยู่ดูแลลูก แม่ก็สบายใจ”
“ถามเพื่อนคุณหรือยังว่าอยากสนิทกับผมหรือเปล่า” เขาหัวเราะในลำคอแล้วจัดการเกี๊ยวน้ำในถ้วยของตัวเอง ธีรยายิ้มขำแล้วกินอาหารตรงหน้า เธอนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “สบายใจขึ้นบ้างไหมคะ หมิวก็...ปลอบใจคนไม่เก่ง อาการของคุณแม่คุณไม่น่าเป็นห่วงจริงๆค่ะ” “ครับ ขอบคุณอีกครั้ง” ธีรยามองเสี้ยวหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอกินเสร็จแล้วก็ลุกไปหยิบผ้าเย็นจากชั้นจ่ายเงินแล้วเดินเร็วๆ กลับมาหาเขา “ใช้ผ้าเย็นนี่ค่ะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขอบคุณครับ” “ขอบคุณบ่อยไปแล้วค่ะ” เธอยิ้มและเมื่อเห็นว่าเขายกน้ำขึ้นดื่มแล้วก็ช่วยเช็ดหน้าให้ “คุณไม่น่าจะเป็นคนพูดคำว่าขอบคุณเป็นเลยนะ” “ก็เพราะเป็นคุณไง” เขาเองยังประหลาดใจที่ตัวเองเป็นคนอย่างนี้ได้ “ตอนนั้นพ่อผมป่วยหนักและผมก็กลับมาดูใจท่านไม่ท่าน ท่านจากไปก่อนที่ผมจะไปถึงแค่ไม่กี่นาที ผมเลยกลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นอีก ทั้งที่แม่บอกว่าสิ่งสุดท้ายที่พ่อห่วงคือคือพ่อเป็นห่วงความรู้สึกผม แต่พ่อก็ฝืนทนรอผมไม่ไหว” “อีริคค่ะ หมิวเสียใจด้วย” คราวนี้เธอ
“เอ่อ...” เธออึกอักขึ้นมา ไปอยู่บ้านเดียวกันแบบนั้นไม่เท่ากับว่าสถานะเธอคือ ‘ลูกสะใภ้’ อย่างนั้นเหรอ มันไม่เหมือนเวลาเธอไปค้างที่คอนโดของเขาเป็นครั้งคราว เอ่อ ...หลายครั้งหลายคราวต่างหาก “ขอโทษ ผมทำให้คุณอึดอัดอีกแล้ว” “ไม่ใช่ค่ะหมิวแค่คิดว่ามันเร็วไปไหมคะ คือ...” “ไปในฐานะแขกของท่านก็ได้ครับ” เขายิ้มอย่างเข้าใจ ผู้หญิงคนอื่นอยากกระโจนมานั่งตำแหน่ง ‘สะใภ้ตระกูลโจว’ แต่เธอกลับลังเล กล้าๆ กลัวๆ ที่จะก้าวเข้ามาใกล้เขา แต่จากคนที่ปิดใจและยอมให้เขากุมมือไว้อย่างนี้ก็นับว่า ‘ใกล้’ มากแล้วจริงๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอไม่อาจปฏิเสธผู้มีพระคุณของตัวเองได้ เธอเผลอสบตากับดวงตาสีน้ำตาลของเขาแล้วเรื่องราวที่คุยกับปกป้องก็ผุดขึ้นมาในสมองรบกวนความคิดของเธอ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามเพราะเห็นสีหน้าเธอไม่ดีนัก “คืนนี้ผมอยู่เฝ้าคุณแม่เองได้ คุณกลับไปนอนพักที่คอนโดผมดีกว่าไหม ผมจะให้เจสันไปส่ง” “ไม่เป็นไรคะหมิวอยู่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า ท่าทางคุณก็เหนื่อยเหมือนกัน หมิวขอตัวเข้าห้องน้ำสักประเดี๋ยวนะคะ” ค
ท่าทางของคุณกานดาเหมือนจะเป็นลม ธีรยาเข้าไปประคองให้เอนหลังนอนบนเตียง แต่นางโบกมือห้ามไว้ก่อน “แล้วนี่นึกยังไงถึงมาแสดงตัว หรือเพราะเห็นแม่ใกล้ตายเลยอยากให้มารับส่วนแบ่งมรดกของพ่อแก” “แม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้นครับ ปกติคุณพ่อให้ผมจัดการค่าใช้จ่ายรายเดือนให้คุณน้าเหมยลี่ และในส่วนมรดกที่คุณพ่อแบ่งให้หมิงเจ๋อนั้นก็ไม่ได้แตะต้องส่วนของคุณแม่เลย ที่ผ่านมาคุณพ่อเลี้ยงดูน้าเหมยลี่มาอย่างลับๆ จนกระทั่งถึงคราวที่คุณพ่อเสีย พ่อให้ผมช่วยดูแลหมิงเจ๋อจนกว่าเขาจะบรรลุนิติภาวะ” “แล้วทำไมถึงเสนอหน้ากันมาที่เมืองไทย ก็รู้ว่าแม่อยู่ที่นี่ แม่ไม่ได้อยากรับรู้เรื่องที่พ่อนอกใจแม่หรอกนะ!” “คุณกานดาค่ะ ใจเย็นๆค่ะ” ธีรยาลูบหลังเบาๆ เธอโล่งใจที่ไม่ใช่ลูกของโจวเจียอี ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจเด็ก เธอแค่กลัวว่าตัวเองจะเป็นมือที่สามในชีวีตคนอื่น “เดิมที่ก็ไม่จะให้คุณแม่รู้เรื่องนี้ แต่...หมิงเจ๋อร่างกายไม่แข็งแรง ตับทำงานผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดตอนนี้อาการทรุดลงและต้องปลูกถ่ายตับ...” “อย่าบอกว่าต้องใช้ตับของลูกนะ!” คุณกานดาตวาดเสียงสั่นแล้วตวัดสายตาจ