“สิบสองปีแล้วครับ”
“โอ้ว! นานจริง แสดงว่าต้องรู้เรื่องของอีริคบ้างใช่ไหม” เธอเงยหน้ามองบอดี้การ์ดของโจวเจียอีด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง แต่ดวงตาหลังแว่นตากรอบหนาพราวระยับจนคนมองนิ่งงันไปชั่วขณะ
“คือหมิวอยากรู้ว่าอีริคชอบกินอะไรบ้าง หรือไม่ชอบอะไร เผื่อหมิวจะทำให้เขาได้บ้าง”
“อ้อ! เรื่องนั้นได้เลยครับ ถามผมได้ทุกเรื่องเลยครับ” เจสันรีบพูดขึ้น แบบนี้ถ้าบอสรู้เข้าต้องดีใจแน่ๆ
“แล้วบอสของคุณมีผู้หญิงเยอะไหมคะ”
“แค่กๆ...เรื่องนั้น””
“ช่างเถอะค่ะ ถือว่าหมิวไม่เคยพูดแล้วกัน”
เขาอายุสามสิบแล้ว ถ้าเคยมีแฟนมาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ปัจจุบันต่างหากที่เธอต้องสนใจทั้งสองเดินขึ้นบันไดมาที่ชั้นสามตามที่ปกป้องบอกไว้ เจสันเคาะประตูห้องอย่างมีมารยาทไม่กี่วินาทีต่อมาเจ้าของห้องก็เปิดประตูมาพร้อมใบหน้าที่มีรอยช้ำ
“เขียวแล้ว” ธีรยาอดเอานิ้วจิ้มที่มุมปากของเขาไม่ได้ “นายนี่มันเหมือนเด็กจริงๆ”
“มาเยี่ยมหรือมาบ่น” ปกป้องเบ้ปากแต่เพราะเจ็บปากจึงเผลอร้องซี๊ดออกมา เขาปรายตามองไปยังชายชาวจีนสวมชุดสูทสีเข้มที่ยืนอยู่ด้านข้าง ดูไม่เข้ากับปิ่นโตสีพาสเทลที่ถืออยู่
“หมอนั้น...แฟนเธอเหรอ”
“ไม่ใช่” ธีรยารีบปฏิเสธ “เขาชื่อเจสัน เป็นบอดี้การ์ดของคุณโจว”
“แฟนเธอมีบอร์ดี้การ์ด เขาทำงานอะไรเนี้ย” ปกป้องกวาดตามองชายคนนั้นอย่างไม่สนใจมารยาท
“บอสทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์ พลังงานและโลจิส ติกส์ครับ”
“จะอวดว่ารวยสินะ” ปกป้องส่ายหน้าไปมาแล้วเบี่ยงตัวให้ผู้มาเยือนเข้าไปในห้อง “รกหน่อยนะ ห้องหนุ่มโสด”
“รู้ว่ารกก็ต้องเก็บให้เรียบร้อยสิ” ธีรยาบ่นแล้วหันไปรับปิ่นโตจากเจสัน ห้องของปกป้องก็มีขนาดเล็กพอๆ กับเธอ หรืออาจเพราะเธอเจอห้องชุดสุดอลังการของโจวเจียอีเข้าไปเลย เห็นรู้สึกว่าห้องตัวเองเล็กลงไปอีกก็ไม่รู้
“นี่มาบ่นหรือมาเยี่ยม” ปกป้องพูดประโยคเดิมแล้วนั่งลงปลายเตียง แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นบอดี้การ์ดร่างสูงใหญ่คนนั้นที่ยืนใกล้ประตูห้อง และเขาไม่คิดจะเชื้อเชิญให้นั่งด้วย
“เยี่ยมสิ” ธีรยาหัวเราะเบาๆ แล้วหันซ้ายหันขวา “หมิวทำข้าวต้มหมูมาให้ กินเสียหน่อยสิ ชามอยู่ตรงไหน”
“ตรงชั้นนั้นไง”
“ผมทำให้เองครับ”
เจสันรีบพูดขึ้นแล้วสาวเท้าเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง ธีรยาอ้าปากห้ามแต่บอดี้การ์ดหนุ่มรวดเร็วกว่าที่เธอคิดมาก ไม่กี่นาทีข้าวต้มหมูก็อยู่ในชามเรียบร้อยแล้ว
“ขอดูยาของนายหน่อยสิ” หญิงสาวเอ่ยถามพอดีกับสายตาเห็นถุงยาของโรงพยาบาลวางอยู่จึงเดินไปหยิบมาดู “ไม่มียาก่อนอาหาร นายกินข้าวแล้วกินยาเลยนะ อ้อ! ขอหมิวดูแผลหน่อยสิ”
เพราะอีกฝ่ายนั่งอยู่ปลายเตียงหญิงสาวจึงเพียงแค่ก้าวเข้าไปใกล้แล้วโน้มตัวลงเล็กน้อย ปกป้องตัดผมสั้นเกรียนทำให้เห็นรอยแผลชัดเจน ไม่มีการอักเสบแต่ต้องใช้เวลากว่าจะหายดี
“ระวังอย่าให้โดนน้ำ คุณหมอนัดตัดไหมวันไหนก็ไปให้ตรงวันนัดล่ะ”
“ทราบแล้วครับ”
“กินข้าวสิ หรือต้องให้ป้อน”
“ป้อนหน่อย” ปกป้องอ้าปากทำตัวเป็นลูกนกยักษ์ให้เพื่อนสาวป้อนให้
“ขออนุญาตครับ”
แต่คนป้อนไม่ใช่เจ้าของร่างเล็กแต่เป็นบอดี้การ์ดหน้านิ่งที่จับช้อนตักข้าวต้มส่งเข้าปากปกป้องด้วยตัวเอง เขาแทบจะยัดช้อนเข้าปาก นี่ถ้าไม่เกรงใจว่ารังแกเพื่อนสนิทของคุณธีรยา เขาคงบรรจงป้อนหนักมือกว่านี้
“เฮ้ยๆ เบาหน่อย” ปกป้องรีบพูดทันทีที่กลืนข้าวต้มลงคอ โชคดีที่แค่อุ่นๆ ไม่งั้นคงได้แผลในปากเพิ่มอีก “จะยัดช้อนเข้าปากเลยหรือไง”
“ผมเกรงจะทำเลอะเทอะครับ”
ธีรยาแอบหันหน้าไปหัวเราะอีกทาง บางทีพวกเขาอาจกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หญิงสาวคิดในแง่ดีแล้วโจวเจียอีคงไม่รังเกียจเพื่อนของเธอหรอกนะ
“ไม่ต้องป้อนแล้ว ฉันกินเอง” ปกป้องแย่งชามกับช้อนมาตักกินเอง
“ค่อยๆ กินไม่มีคนแย่งหรอก” เธอพูดแล้วหันซ้ายหันขวาหาเก้าอี้ เจสันเข้าใจสายตาว่าที่ภรรยาบอสอย่างดี รีบเดินไปยกเก้าอี้มาให้เธอนั่งแล้วถอยไปยืนด้านหลัง
“เขามีพลังจิตอ่านใจคนได้หรือไง”
“นายนี่ก็...”
“แฟนสปอยล์เธอขนาดนี้ อีกหน่อยคงทำอะไรไม่เป็นแน่” ปกป้องส่ายหน้าไปมา
“ไร้สาระน่า ว่าแต่บอกได้ไหมทำไมวันนี้อ่วมขนาดนี้ งานนายไม่ใช่งานนั่งโต๊ะเหรอ”
“ออกไปจับคนร้าย พวกแก็งค์คอลเซนเตอร์มีปะทะกันนิดหน่อย ก็เลยได้แผลมาอย่างที่เห็น” ปกป้องเล่าสั้น ๆ ไม่ลงรายละเอียดแต่สายตามองไปยังบอดี้การ์ดคนนั้น “พวกจีนเทาน่ะ”
“ยังไงก็ระวังตัวให้มากนะ” เธอไม่ได้สังเกตสายตาของปกป้อง นั่งจัดยาให้เพื่อนสนิทอยู่
“แล้วนี่เธอมีปัญหาอะไรพี่หมอก้องหรือเปล่า เมื่อวานท่าทางเขาแปลกๆนะ” ตำรวจหนุ่มอดถามไม่ได้ แม้เขาไม่ได้พบหน้าก้องภพบ่อย แต่ทุกครั้งที่เจอ ผู้ชายคนนั้นคือบุคลิกอบอุ่นอ่อนโยนแบบที่ธีรยาหลงรัก
“ไม่รู้สิ” เธอโคลนศีรษะไปมา “อาจจะเครียดเรื่องแต่งงานก็ได้”
“แต่งงานก็ต้องดีใจไม่ใช่เหรอ”
“ไม่รู้สิ ยังไม่เคยแต่งงานนี่ แต่เคยได้ยินมาว่าบางคนมีภาวะเครียดก่อนแต่งงาน” เธอถอนหายใจเบาๆ “หรือหมิวไม่ควรไปงานแต่งงานพี่หมอก้อง”
“เฮ้ย ไม่ไปสิน่าเกลียด คนอื่นได้เข้าใจผิดว่าเธอมีเรื่องกับพี่หมอก้องนั้นนะ” ปกป้องพูดพลางละเลียดกินข้าวต้มหมู “เราไปเป็นเพื่อนเอง...ไม่ต้องคิดมากไปหรอก”
“แค่กๆ”
“อะไรติดคอหรือครับ น้ำดื่มในตู้เย็นบริการตัวเองได้นะ” ปกป้องพูดใส่คนในชุดสูทนั้น แหม! ไม่รู้หรือไงเมืองไทยเมืองร้อนต้องใส่สูทมาเป็นบอดี้การ์ด เหอะ!
“หมิวนัดอีริคไว้แล้ว”
“แต่วันนั้นว่าที่เจ้าสาวเอ่ยปากชวนเราด้วย ยังไงเราก็ต้องไป” ปกป้องเจตนาพูดให้เจสันได้ยิน “เอาเป็นว่าเจอกันที่งานเลี้ยงแล้วกัน”
“อื้ม” เธอก็เห็นดีตามที่เพื่อนพูด
ปกป้องพยักหน้ารับแล้ววางชามข้าวต้มที่กินหมดเกลี้ยง
“หมิวนี่ยังรู้ใจเราเหมือนเดิมนะ ข้าวต้มไม่เละมาก ใส่ขึ้นฉ่ายกับขิงเยอะๆ เราชอบ”
“ก็ตอนเราอยู่บ้านเด็กกำพร้า เด็กคนอื่นไม่ชอบกินขิงกับขึ้นฉ่าย ก็มีแค่เรานี่แหละที่ชอบกินผัก”
“เราไม่ได้ชอบกินผักแต่มันไม่มีเนื้อให้กินต่างหาก” เขาเบ้ปากใส่ “คราวหน้าไปหาร้านเนื้อย่างกินกันนะ หมิวติดเลี้ยงข้าวเราอยู่นี่”
“ได้ เอาไว้แผลนายหายแล้วค่อยไปกินกัน” เธอยื่นยาให้เขา “แบมือแล้วกินยาให้หมด กินให้เราดูด้วย”
“แผลแค่นี้ทำไมยาเยอะจัง”
“อย่าเถียงหมอ หมอเรียนมา”
“คร๊าบๆ ทราบแล้วครับ” ปกป้องรับยาจากมือเรียวเล็กแล้วส่งยาเข้าปากตามด้วยน้ำดื่ม
“กินยาแล้วก็นอนพักอย่าเอาแต่เล่นเกมมือถือล่ะ”
“ครับแม่”
“นายป้อง!”
“รู้แล้วนะ เจอกันวันงานแต่งพี่หมอนั้นนะ”“ทำไมต้องเรียกพี่หมอก้องแบบนั้นนะ” เธอส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เข้าใจ ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อยแล้วธีรยาก็ขอตัวกลับประตูห้องปิดลงแล้ว ปกป้องเดินไปที่หยิบโน้ตบุ๊คมาเปิดขึ้นทันทีแล้วเสิร์ซชื่อผู้ชายที่ธีรยากำลังคบหาดูใจอยู่ อ่านข่าวมาเยอะ ได้ยินมาแยะ อย่าว่าเขาอคติเลย แต่เขาไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้นเลยจริงๆ... หญิงสาวอยู่ในชุดเดรสไหล่กว้างอวดไหล่สวย กระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กน้อยรับกับรองเท้าส้นสูงที่นานๆ จะสวมสักครั้ง ผมยาวถูกดัดเป็นลอนสวยแปลกตา ใบหน้าหวานแต้มแต่งสีสันอย่างพอดี ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีส้มอมชมพูและวันนี้เธอใส่คอนแทคเลนส์แทนแว่นสายตากรอบหนาที่สวมเป็นประจำ เจ้าของร่างเล็กสูง 155 เซนติเมตร หมุนตัวหน้ากระจกบานใหญ่ตรงหน้าไม่คิดว่าจะได้เห็นตัวเอง ‘สวย’ ขนาดนี้ ธีรยามองเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก เห็นโจวเจียอีหยุดมองเธออยู่ก็หมุนตัวกลับไปส่งยิ้มให้เขาพลางยกมือขึ้นแตะเรือนผมอย่างเก้อเขิน “คุณมาแล้วเหรอ” “ขอโทษที่มาช้าไปหน่อย”โจวเจียอีตื่นจากภวังค์แล้วเดินเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นหอมละมุนจากหญิงสาว เขาไม่รู
“พูดจริงๆนะ หมิวไม่คิดเรื่องตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงหรอก หากพวกเขาอยากเจอหมิวคงมาตามหาหมิวตั้งนานแล้วละ พวกเขาคงมีครอบครัวใหม่กันไปแล้ว อย่าให้การมีตัวตนของหมิวทำให้พวกเขาเดือนร้อนใจหรือไม่มีความสุขดีกว่า” เธอส่งยิ้มให้เขา“จริงๆ นะคะ” “ครับ” เขาบีบมือเธอ “คุณมีผมอยู่นะ ไม่ได้ตัวคนเดียว ครอบครัวผมก็คือครอบครัวของคุณ” “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเข้าไปรดน้ำสังข์และอวยพรให้คู่บ่าวสาว วันนี้เขมิกาสวยเจิดจ้าสมเป็นเจ้าสาวจริงๆ เห็นแบบนี้ก็แล้วเธอพลอยสบายใจไปด้วย เรื่องบาดหมางเข้าใจผิดคงคลี่คลายในไม่ช้า เขมิกายิ้มรับคำอวยพรพลางปรายตามองเจ้าบ่าวที่นั่งอยู่เคียงข้าง แม้เขายิ้มแต่แววตาตรงข้าม แต่ช่างเถอะ เพราะตอนนี้เขาคือสามีของเธอแล้ว เขาคงไม่กล้าทำร้ายจิตใจเธอและคนในครอบครัวแน่นอน พิธีเช้าดำเนินไปจนเสร็จสิ้นด้วยดี แขกเรื่อเข้ามาถ่ายรูปกับคู่บ่าวสาว ธีรยาคว้ามือโจวเจียอีให้เข้าไปถ่ายรูปด้วยกัน “ขอแสดงความยินดีด้วยครับ” โจวเจียอีกเอ่ยอย่างสุภาพและไม่สนใจสายตาของก้องภพ เขาจับมือผู้หญิงคนตนเองแน่นราวกับตอกย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่มี
ธีรยาไม่รู้ต้องทำอย่างไร หลายปีที่รู้จักก้องภพ เขาไม่เคยทำแบบนี้กับเธอมาก่อนและยิ่งวันนี้ เวลานี้ ผู้หญิงคนเดียวที่เขาจะกอดได้คือเจ้าสาวของเขาซึ่งไม่ใช่เธอ “พี่ก้องปล่อยหมิวนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” “กลัวไอ้หมอนั้นเห็นหรือไง” “พี่หมอก้องช่วยพูดถึงคนรักของหมิวดีๆด้วยค่ะ” หญิงสาวดิ้นขลุกขลักแต่เขากลับกอดรัดแน่นขึ้น “ทำไมถึงเป็นผู้ชายคนนั้น!” เขากัดฟันกรอดด้วยความโมโห “หมิวยั่วให้พี่โกรธใช่ไหม ทำแบบนี้คิดดีแล้วเหรอ” “เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะคะ หมิวจะคบกับใครก็ได้” ก้องภพหัวเราะเย้ยเยาะ “หรือจริงๆ แล้วหมิวก็กระสันอยากได้ผู้ชายรวย ถ้าอยากได้แบบนั้นทำไมไม่บอกพี่แต่แรก ถ้า..” “พี่หมอก้อง! ถ้าพี่ไม่ปล่อยหมิว หมิวจะร้องให้คนช่วย อย่าลืมนะคะว่าพี่หมอก้องแต่งงานแล้ว!” คำว่า ‘แต่งงาน’ เรียกสติของก้องภพได้ วงแขนที่กอดรัดคลายออกอย่างไม่รู้ตัว ธีรยาได้จังหวะรีบสะบัดตัวหลุดออก หญิงสาวจ้องหน้าเขาด้วยความรู้สึกเสียใจ เธอรักและเคารพก้องภพมาก ไม่คิดว่าเขาจะทำเช่นนี้กับเธอ ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีหายไป
“คราวนี้ไม่ได้แล้ว” เขาพูดน้ำเสียงเคร่งเครียดก่อนก้มมองสบตากับคนในอ้อมแขน “คุณทำผมเครื่องร้อนแล้ว” “เอ่อ...” ธีรยาเข้าใจได้ในทันทีเพราะมีบางสิ่งดุนดันอยู่ “หมิวไม่ได้ตั้งใจ” เธอไม่ได้ตั้งใจ แต่เขานะ...ตั้งโด่แล้ว! โจวเจียอีอุ้มร่างนุ่มนิ่มเข้าด้านใน เขาสาวเท้ายาวๆ อุ้มร่างเธอว่างบนเคาน์เตอร์เครื่องดื่มแล้วกดจูบอย่างหิวกระหาย มือใหญ่เลื่อนไปที่แผ่นหลังเพื่อหาซิปซ่อนแล้วจัดการรูดออกอย่างรวดเร็ว “อื้อ...ช้าหน่อยค่ะ” ธีรยาประท้วงเบาๆ เมื่อเขายอมถอนจูบให้เธอได้สูดอากาศหายใจ ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นราวกับลูกไฟที่พร้อมจะหลอมละลายเธอไปด้วยสัมผัสของเขา “ผมทนไม่ไหวแล้ว” เขาพูดเสียงพร่าแล้วขบเม้มติ่งหู “ทะ...ที่นี่...ตรงนี้เหรอคะ...” หญิงสาวถามเสียงสั่นเสื้อผ้าเลื่อนหล่นจากกาย ร่วมรักกันหลายครั้งแต่ก็อยู่ในห้องมิดชิด แต่นี่...กลางบ้านแบบนี้ เธอ... “ไม่มีคนอื่นในบ้านหลังนี้” โจวเจียอีพูดอย่างรู้ทันความคิดของคนขี้อาย “ที่นี่มีแค่คุณกับผม” หญิงสาวลอบมองรอบข้างไม่เห็นมีใครอื่นจริงๆ ยังไม่ทั
มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขาไม่ได้มีเซ็กส์ดุเดือดอย่างนี้มานานแล้ว ที่ผ่านมาเขาควบคุมความต้องการของตัวเองได้อย่างดี และเมื่อมีธีรยาเขาก็มักจะ ‘อ่อนโยน’ กับเธอเสมอ แต่ครั้งนี้ได้ปลดปล่อยตัวเองจนหมดสิ้น และนานแล้วที่เขาไม่ได้มีเซ็กส์แบบไร้เครื่องป้องกันเช่นนี้ แต่เขาไม่คิดว่านี่เป็นลูกไม้ที่เธอจะใช้จับเขา แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้...กับผู้หญิงคนนี้ เขารู้สึกต้องการเธอและอยากทำทุกวิถีทางที่จะครอบครองเธอไว้ หญิงสาวปรับลมหายใจครู่หนึ่งแล้วลืมตามองคนที่เธอนอนหนุนแขน มือใหญ่ยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้มเธอออกเบาๆ เธอรับรู้ได้ถึงของเหลวที่ยังไหลออกมาจากร่องรัก มันน่าอายจนเธอขยับตัวขยุกขยิกพยายามกลั้นไม่ให้มันไหลออกมา “ไม่สบายตัวเหรอ” โจวเจียอีถามพลางยันกายขึ้นมองคนตัวเล็ก “ผมขอโทษ ผมยั้งใจไม่อยู่จริงๆ” “เปล่าคะ ไม่ใช่แบบนั้น” เธอยิ้มเขินๆแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมกายเปลือยเปล่า “หมิวแค่คิดว่าตัวเองทำให้ที่นอนคุณเลอะเทอะ” เขาเลิกคิ้วงุนงงก่อนคลี่ยิ้มออกมา “ไหนๆ ก็ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอน เราทำกันอีกรอบ
“คุณนี่นะเอาใจผู้หญิงไม่เก่ง” เธอทำจมูกย่นใส่เขา“ผิดแล้วผมเอาใจไม่เก่งแต่เอาเก่งนะ เรื่องนี้ผมมั่นใจ”“อีริค!” เธอขึงตาใส่ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ“ให้ตายสิ” เขาพึมพำ “ผมเองก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ คุณร่ายมนตร์ใส่ผมหรือเปล่า”“คุณเชื่อเรื่องไร้สาระพวกนั้นด้วยหรือคะ?” เธอหัวเราะเสียงใส ความจริงเธอลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้เธอมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ เป็นใครกันแน่ที่ร่ายมนตร์ใส่เธอ“แต่ก่อนผมไม่เคยเชื่อเรื่องdestiny แต่การได้พบคุณมันอยู่นอกเหนือความคาดหมาย บางทีพรหมลิขิตอาจมีจริงก็ได้”หญิงสาวได้แต่อมยิ้ม นั้นสิ ผู้หญิงจืดชืดอย่างเธอได้เจอกับผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์อย่างเขาได้ ถ้าวันนั้นก้องภพไม่ประกาศตัวคนรัก เธอคงไม่อกหักจนเสียการควบคุมแล้วได้เจอเขาที่หน้าลิฟต์พอดีอย่างนั้น แถมเจอกันด้วยความบังเอิญอีกด้วย ธีรยาไม่อยากคิดถึงเรื่องของก้องภพอีก คิดเสียว่าทุกอย่างระหว่างเธอกับก้องภพจบลงแล้ว เหลือเพียงความเป็นเพื่อนร่วมงานและรุ่นพี่รุ่นน้องเท่านั้นเมื่ออีกฝ่ายไม่พูด โจวเจียอีกก็ไม่เซ้าซี้ถาม เขาเป็นคนยึดมั่นกับปัจจุบันมากกว่ารื้อฟื้นเรื่องในอดีต เวลานี้ ‘ใจ’ ของเธออยู่ท
“คุณท่านให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียดดีกว่านะคะ ถ้าผิดปกติอะไรจะได้รักษาได้ทันเวลา” เธอพูดไปตามตรง “เรียกคุณทงคุณท่านอะไรห่างเหินจริงๆ” คุณกานดาส่ายหน้าไปมา “เรียกแม่สิ” “เอ่อ..” เธออึกอักเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเบา “คุณแม่...” “อื้ม ฟังแล้วรื่นหูดีจริง เอาตามที่หนูหมิวคิดว่าดีเถอะนะ แม่นะยังไงก็ได้” “ค่ะ” เธอยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปคุยกับคุณหมอ ไม่กี่นาทีทั้งคุณหมอและพยาบาลก็ออกไป เธอจึงหันมาทางคุณกานดาแล้วประคองท่านลงนอนที่เตียง “นี่ถ้าไม่มีหนูหมิวอยู่ใกล้ๆ แม่ต้องลำบากแน่ๆ” คุณกานดายิ้มแล้วยื่นมือไปลูบแก้มนุ่มของอีกฝ่าย “คบกันแล้วก็ไม่ต้องเขินอายอะไร มากินข้าวบ้านแม่บ้าง ทั้งคู่นั้นแหละ” “คือ...หนูเพิ่งคบกับอีริคค่ะก็เลย...” “แม่เข้าใจ” นางหัวเราะแต่เสียงแหบแห้ง วันนี้อาการไม่ค่อยดีทั้งวันแต่ก็คิดว่าไม่มีอะไร พอค่ำมาเกิดบ้านหมุนล้มลง คนรับใช้กับแม่บ้านแตกตื่นรีบเรียกรถพยาบาล เธอจึงได้มานอนอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษแบบนี้ ที่จริงนางก็ไม่รู้หรอกว่าโจวเจียอีคบกับธีรยาถึงขั้นไหนแค่ได้ยินลูกชายพูดว่ากำ
ธีรยามาถึงโรงพยาบาลเอกชนที่คุณกานดาพักรักษาตัวและเป็นที่ทำงานที่สองของเธอด้วย เจ้าของร่างเล็กมาที่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ เมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็พบโจวเจียอียืนคุยกับคุณหมอเจ้าของไข้อยู่ก่อนแล้ว เธอยืนรออยู่ไม่กี่นาทีทั้งหมดก็สนทนากันเสร็จ คุณหมอกับพยาบาลออกไปแล้วเธอจึงขยับเท้าเข้าไปไกล “หนูหมิวมาแล้ว” คุณกานดาร้องทักทำให้โจวเจียอีหันไปมอง สีหน้าเขาอิดโรยไม่น้อยแต่ยังฝืนยิ้มให้ “แม่ก็บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว” “ครับ” “ลูกทำให้แม่รู้สึกแย่นะ” คุณกานดาดุลูกชายไม่จริงจังนัก “แม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ” “ก็เราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว แม่เข้าใจว่าลูกต้องดูแลธุรกิจการงานต่างๆ แต่แม่ก็อยากอยู่เมืองไทย แม่เตรียมใจไว้แล้วว่าลูกอาจไม่ได้อยู่ใกล้ๆแม่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอย่าโกรธตัวเองแบบนี้” “ผมเปล่า...” “อย่ามาเถียง แม่เป็นแม่นะ เลี้ยงมากับมือทำไมจะไม่รู้จักนิสัยลูกตัวเอง” คุณกานดาหัวเราะออกมาแล้วส่งยิ้มให้ธีรยา “ยังดีที่ลูกมีคนรักที่ดี มีหนูหมิวอยู่ดูแลลูก แม่ก็สบายใจ”