เธอขมวดคิ้วสีหน้ายุ่งเหยิง แอบคิดในใจว่าเขาจะมาแสดงความยินดีที่เธอก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่ทำไมต้องทำหน้าโมโหอย่างนี้ด้วยนะ
คราวนี้ก้องภพนิ่งงันไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเขาจะเคยพูดประโยคนี้จริงๆ ทำไมเขาต้องรู้เรื่องนี้จากปากคนอื่น ทั้งที่เวลาเธอมีเรื่องอะไรจะมาปรึกษาเขาเป็นคนแรกเสมอ และเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหัวเสียจนแทบเก็บอาการไม่อยู่แบบนี้
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
เสียงทุ่มต่ำดังจากด้านหลัง ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาใกล้แล้วถอดแว่นกันแดดออก ดวงตาสีน้ำตาลหรี่มองอย่างไม่พอใจนัก แต่กระนั้นก็ยังก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างหญิงสาวที่ตนนัดหมายไว้
“ไม่มีอะไรค่ะ” ธีรยาตอบด้วยรอยยิ้ม “มาเร็วจัง”
“มาเร็วไม่ดีหรือ?” โจวเจียอีถามแล้วยื่นมือไปช่วยถือกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊คของหญิงสาว เธอย่นจมูกใส่เขาแล้วหันไปแนะนำให้รู้จักกับผู้ชายที่เธอยืนคุยก่อนที่เขาจะมาปรากฏตัว
“อีริคค่ะ นี่พี่หมอก้องค่ะ เป็นรุ่นพี่หมิวเอง” เธอแนะนำง่ายๆ แล้วหันไปทางหมอก้องภพ “พี่หมอก้องคะ นี่...”
“ผมแซ่โจวชื่อเจียอี ส่วนชื่ออีริคเรียกเฉพาะคนสนิทเท่านั้น” โจวเจียอีชิงพูดก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบประโยคแล้วยกมือขึ้นโอบไหล่ของธีรยาไว้ “เป็นคนที่ตามจีบหมอหมิวอยู่ครับ”
ถ้อยคำและการแสดงออกชัดเจนทำให้ใบหน้าหวานของธีรยาแดงเรื่อ ในขณะที่เพื่อนร่วมงานแอบยืนลุ้นอยู่ถึงกับหลุดเสียงวี๊ดว๊ายตื่นเต้นกันออกมา
“คนนี้เองเหรอเจ้าของช่อดอกไม้กับขนมกล่องใหญ่” รุ่นพี่ที่สนิทกันอดหยอกล้อไม่ได้ อีกใจก็อยากเห็นหน้าบุรุษสายเปย์ตัวจริงอยู่เหมือนกัน
“ต้องขอโทษที่อาจรบกวนทุกท่านด้วยครับ” โจวเจียอีเอ่ยพลางก้มศีรษะลงเล็กน้อยด้วยท่าทีอ่อนน้อม
“รบกวนอะไรกัน พวกเราได้กินขนมของคุณด้วย อุ้ย!” เพื่อนร่วมงานอีกคนพูดขึ้นแล้วรีบยกมือปิดปาก “คือหมอหมิวเป็นคนมีน้ำใจนะ มีอะไรก็แบ่งเพื่อนร่วมงานเสมอ”
“ผมทราบครับก็เลยซื้อมาเผื่อคนทุกคนด้วย แต่ไม่ทราบว่าชอบหรือไม่ ถ้ามีสิ่งใดไม่ถูกใจโปรดแนะนำได้ครับ” เขายังคงแย้มยิ้มผิดกับสายตาที่พร้อมปะทะเมื่อสบตากับก้องภพ
“ไม่ต้องพูดจาเป็นทางการนักก็ได้ค่ะ...เอ่อ ...พูดภาษาไทยคล่องเชียวอยู่เมืองไทยนานหรือยังคะ” รุ่นพี่อีกคนเริ่มสัมภาษณ์ด้วยความอยากรู้
“คุณแม่เป็นคนไทยครับ หลังจากคุณพ่อเสีย คุณแม่ของผมก็ตั้งใจกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย ผมจึงมาทำธุรกิจที่นี่เพื่อจะได้ดูแลท่านด้วยครับ”
“หน้าคุ้นๆ?” ก้องภพพูดอย่างไม่เกรงใจ “คุณคือคนที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทที่แผนกฉุกเฉินใช่ไหม”
“ครับ” โจวเจียอีก้มศีรษะเล็กน้อย “เป็นคนของผมที่ก่อเรื่องเอง ต้องขอโทษทุกท่านอีกครั้ง”
“อ้อ! นี่คงปิ๊งหมอหมิวตั้งแต่ตอนนั้นสินะ”
หลายคนเริ่มปะติปะต่อเรื่องราวเอาเอง แต่ก็ทำให้ธีรยาโล่งอก เธอก็ไม่ได้อยากให้คนอื่นรู้เรื่องส่วนตัวมากนัก โดยเฉพาะคืนนั้นที่เธอมีความสัมพันธ์กับผู้ชายที่เจอหน้าเพียงแวบเดียว
“คุณมาทำธุรกิจอะไรที่เมืองไทย” ก้องภพยกมือขึ้นกอดอก สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจ
“ผมมีธุรกิจหลายอย่างครับ แต่แน่นอนว่าเป็นธุรกิจถูกกฎหมาย” โจวเจียอียกยิ้มที่มุมปาก “ไม่ใช่ธุรกิจสีเทาที่คุณกำลังคิดแน่นอน”
“เป็นหมอดูด้วยเหรอครับถึงได้รู้ว่าผมคิดอะไร”
“ผมแค่นักธุรกิจครับเทียบอะไรกับหมออย่างคุณได้”
ธีรยาได้แต่กลอกตามองคนสองคนโต้เถียงกันไปมา เธอประหลาดใจอย่างยิ่งที่เห็นท่าทางของก้องภพไม่เป็นมิตรชัดเจนอย่างนี้ ปกติก้องภพเป็นคนแย้มยิ้มพูดคุยหยอกล้อเป็นกันเองกับทุกคน แม้จะเจอคนเจ็บโมโหเหวี่ยงวีนใส่แต่ก็รับมือได้เสมอ
“พี่หมอก้องคะ คุณโจวเป็นลูกชายของคุณกานดาผู้อุปถัมภ์บ้านเด็กกำพร้าของคุณแม่เพ็ญนภา”
หญิงสาวพูดออกไปด้วยหวังว่าจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ก้องภพกลับตวัดสายตามองอย่างหงุดหงิด
“แล้วยังไง หรือเดี๋ยวนี้หมิวเลือกคบคนที่ฐานะการเงินดูร่ำรวยเท่านั้นเหรอ”
“ไม่ใช่นะคะ” ธีรยาพูดได้แค่นั้น เธอไม่คิดว่าจะถูกผู้ชายใจดีอย่างก้องภพตวาดใส่อย่างนี้เลย
“หมอก้องยุ่งอยู่ไม่ใช่เหรอ เตรียมงานแต่งงานไปถึงไหนแล้วล่ะ” รุ่นพี่ของธีรยารีบพูดแทรกขึ้นด้วยเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก ไม่ได้อยากเข้าข้างใครแต่ไม่อยากให้มีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้นในแผนก
“เรื่องหมอหมิวไปทำงานแล็บเอกชนก็ไม่ได้ผิดกฎของทางโรงพยาบาล เรื่องนี้หมอหมิวก็ปรึกษาหัวหน้าก่อนแล้ว หมอก้องไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”
ก้องภพจำใจต้องยอมปล่อยเรื่องนี้ไปทั้งที่ในใจยังไม่สงบ เขาสบตากับดวงตากลมวาวหลังแว่นตากรอบหนานั้นแล้วหมุนตัวเดินกลับไปที่แผนกของตน โจวเจียอีหรี่ตามองตามร่างนั้นไปก่อนจะหันไปกล่าวลาคนอื่นๆในแผนกแล้วกุมมือเย็นเยียบของหญิงสาวไว้มั่น จูงมือเธอให้มาที่รถยนต์ที่จอดไว้ที่ลาดจอดรถด้านนอก
“เป็นอะไรไป” เขาถามแล้วกระชับมือเล็กในอุ้งมือแน่นขึ้น “กลัวผู้ชายคนนั้นเหรอ”
“เปล่าค่ะ” ธีรยาได้สติแล้วส่ายหน้าไปมา “แต่ไม่เคยเห็นพี่หมอก้องเป็นแบบนี้มาก่อน ปกติเป็นคนใจดีและสุภาพมาก”
“ยัยหอยทากเอ๊ย!”
“หือ?...คุณว่าอะไรนะ”
โจวเจียส่งกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊กให้เจสันที่ยืนรออยู่ด้านข้างรถยนต์ โจวเจียอีรอให้เจสันเปิดประตูรถแล้วก็ช้อนคนตัวเล็กอุ้มเข้าไปนั่งด้านในอย่างรวดเร็ว เสียงปิดประตูทำให้ธีรยาสะดุ้งโหยง ร่างเล็กดิ้นขลุกอยู่บนตักของเขา
“คุณจะทำอะไร...ว้าย! นี่อย่าถอดแว่นตา… อุ๊บ!”
เสียงของหญิงสาวถูกกลืนหายไปในอุ้งปากของชายหนุ่มที่มอบจุมพิตร้อนแรงและวงแขนที่โอบรัดแนบแน่น ตอกย้ำว่าเธอไม่สามารถไปจากเขาได้
ถูกปล้นจูบอย่างไม่ตั้งตัวทำเอาธีรยาตาลายแทบเป็นลม ยังดีที่เขารู้ว่าเธอเริ่มไม่ไหวแล้วจึงผละริมฝีปากออกปล่อยให้เธอสูดอากาศเข้าปอด เมื่อได้สติก็ยกมือขึ้นทุบแผ่นอกแกร่งไปสองสามที แล้วหันไปทางคนขับรถ ทำให้เห็นว่ามีกระจกดำมืดกั้นระหว่างฝั่งคนนั่งและคนขับ
“กลัวใครเห็นหรือไง” เขาหัวเราะในลำคอแล้วใช้นิ้วโป้งเช็ดริมฝีปากเธอเบาๆ
“ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย” เธอขึงตาใส่แม้ใบหน้าหวานแดงเรื่อ “คุณว่าหมิวเป็นหอยทากเหรอ”
“ก็จริงไหมล่ะ” เขากอดเธอแน่นขึ้น มือข้างหนึ่งลูบไล้เรียวขาสวยที่อยู่ใต้กระโปรงสีม่วงอ่อน “คุณไม่รู้จริงๆหรือว่าหมอก้องอะไรนั้นคิดยังไงกับคุณ”
“คิดอะไร? พี่หมอก้องก็เห็นหมิวเป็นน้องสาวไง” เธอพูดแล้วตีหลังมือของเขาแต่อีกฝ่ายก็ไม่ท่าทีว่าจะหยุด เพียงการลูบไล้เบาๆ ก็ทำให้เธอคิดถึงค่ำคืนที่เร้าร้อนร่วมกัน
“พี่ชายที่ไหนจะหึงน้องสาวขนาดนี้” เขาจ้องตาเธอ แต่หญิงสาวส่ายหน้าไปมา“หึง? เข้าใจผิดแล้ว พี่หมอก้องกำลังจะแต่งงาน ก็หมิวเลือกชุดใส่ไปงานแต่งงานก็งานแต่งงานของพี่หมอก้องนี่แหละ”“ผู้ชายด้วยกันเรื่องแค่นี้มองออก แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ยอมปล่อยมือจากคุณเด็ดขาด”เขายืนยันด้วยแววตาในขณะที่ปลายนิ้วแตะต้องที่กางเกงชั้นในตัวน้อยที่ปกปิดเนินเนื้ออวบอิ่ม เธอรีบตะครุบมือเขาไว้แต่มันก็ยังช้าเกินไป เขาแทรกนิ้วกร้านเข้าไปในร่องสาวและขยับนิ้วเป็นจังหวะทำให้เธอต้องกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง แต่นั้นยิ่งทำให้เขาขยับนิ้วหนักหน่วงมากขึ้น“อึก...คุณ...อิริค..อ๊ะ!”ธีรยาเอนหน้าซบกับบ่าแล้วกัดเสื้อของเขาเพื่อกลั้นเสียงครางของตัวเอง แม้รู้ว่ามีกระจกกั้น แต่ไม่รู้ว่าจะเก็บเสียงร้องที่น่าอายนี้ได้หรือไม่ ยิ่งเธอกลั้นเสียงร้องเขาก็ยิ่งสาวนิ้วเร็วขึ้น เธอแอบเห็นสีหน้าพอใจของเขาแล้วก็หงุดหงิดที่ตัวเองไม่เคยต้านทานเขาได้สักครั้ง มือเรียวดึงปกเสื้อเชิ้ตออกเพื่อให้เห็นลำคอของเขาก่อนจะอ้าปากกัดเข้าไป“อา...ยัยหอยทาก คืนนี้คุณไม่ได้นอนแน่”“อ๊ะ..อ๊า” เธอได้แต่ส่งเสียงอู้อี้กับลำคอของเขาพร้อมร่างที่เกร็งกระตุก ถูกเขาส่งใ
เธอช้อนตาขึ้นมองอย่างลังเล แต่เมื่อเห็นแววตาลุ่มลึกคู่นั้นราวกับอนุญาตให้ทำได้ตามใจ เธอจึงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาออก เผยให้เห็นแผงอกกำยำและรอยสักรวมทั้งหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ “อนาโตมี่สวยจริงๆ” เธอพึมพำไม่รู้ตัว “ผมเพิ่งเคยถูกชมแบบนี้เป็นครั้งแรก”เขาครางเสียงต่ำเมื่อปลายนิ้วไล้บนแผ่นอก พระเจ้า! เธอจะรู้ไหมว่าการสัมผัสแผ่วเบาแต่ปลุกเร้าเขามากแค่ไหน เหนือการคาดหมายเมื่อริมฝีปากสวยประทับที่ยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจาง ปลายลิ้นไล้เลียก่อนดูดดึงเบาๆ เสียงครางแผ่วจากลำคอของชายหนุ่มทำให้ธีรยาใจกล้าขึ้น เธอโยนความกลัวทิ้งไปเสื้อผ้าที่เขาปลดเปลื้องออกจนหมด เขาเหมือนขนมหวานราคาแพงที่เธอรู้ว่าไม่อาจได้ลิ้มรส แต่จะคิดมากไปทำไมในเมื่อเวลานี้เธอมีโอกาสกินให้เต็มที่ ทำที่อยากทำ ส่วนวันพรุ่งนี้คือเรื่องที่ยังมาไม่ถึง แต่ถึงจะกล้าแค่ไหน เธอก็ยังเป็นแค่มือใหม่ แค่ปลดซิปกางเกงก็มือไม้สั่น เธอช้อนตาขึ้นมองเพื่อขอความช่วยเหลือ และเขาก็ใจดีไม่หัวเราะเยาะใส่ โจวเจียอีจับมือเรียวให้รูดซิปลงก่อนจะจับมือเธอให้สัมผัสแก่นกายที่อัดแน่นอยู่ใต้กางเกงชั้นใน ขนาด
เธอใกล้จะหมดแรงแต่เขากลับรัดเอวบางไว้แล้วเป็นฝ่ายเด้งเอวขึ้นสวน ร่างเล็กกระเด็นกระดอนอยู่บนร่างของเขา เธอกอดคอเขาไว้แล้วปล่อยให้เขากระแทกลำเอ็นใส่ เพียงพริบตาเขาก็ประคองแผ่นหลังของเธอนอนราบไปกับที่นอนโดยที่แก่นกายยังสอดใส่อยู่ เธอผวาเฮือกเพราะท่อนเนื้อร้อนระอุนั้นไถลเข้าไปลึกมาก เขาโยกสะโพกช้าลงแต่บดคลึงและสาวลำออกมาเกือบสุดก่อนกดกระแทกกลับเข้าไปใหม่ เสียงหวานครางกระเส่าไม่หยุด เหงื่อเม็ดโตไหลอาบร่างกำยำที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านบน สองขาเรียวโอบรัดเอวสอบอย่างไม่รู้ตัวโจวเจียอีซอยเอวดุดันและดิบเถื่อน เสียงครวญครางของคนใต้ร่างเร่งเร้าให้เขาขยับโยกจนร่างเธอสั่นคลอนตามแรงกระแทก ทรวงอกอวบอิ่มถูกบดเบียดจนแผ่งอกกำยำ ริมฝีปากที่เผยอขึ้นเพื่อหายใจถูกเขาประกบจูบดูดกลีบอย่างเร่าร้อน ช่องทางคับแคบบีบรัดความเป็นชายจนเขาแทบคลั่ง ลมหายใจหอบกระชั้นดังอย่างต่อเนื่อง กลีบเนื้อสาวที่โอบรัดลำเอ็นบวมเป่งทั้งดูดกลืนและบีบรัดแก่นกายที่ขยายใหญ่ เขาไม่อาจต้านทานการตอบรับอย่างซื่อสัตย์ของเธอได้ ความเสียดเสียวที่ได้รับทำให้เขาขยับสะโพกกระแทกเข้าไปอย่างรุนแรงก่อนจะถอนตัวตนออกมาจนเกือบสุดแล้วกระแทกกลั
“สเต็กเนื้อวัว สลัดผักผักโขมอบชีสแล้วก็ไวน์แดง” เขาบรรยายเมนูอาหารของค่ำนี้ “หรูพอไหมครับ” หญิงสาวพยักหน้ารับ “ระดับประธานโจวลงมือทำให้กินนี่ก็เรียกว่าหรูแล้ว” “ผมทำอาหารได้ไม่กี่อย่าง” เขายอมรับ “ถ้าคุณไม่โอเค. เราสั่งอย่างอื่นมาได้นะ” “ก็บอกแล้วไงคะ ว่าหมิวกินง่ายอยู่ง่าย หรือไม่ก็...คราวหน้าให้หมิวทำกับข้าวให้คุณกิน” “คุณพูดเองนะ” เขาพูดยิ้มๆ แล้วยกจานสเต็กมาวางบนโต๊ะอาหาร “ถึงหมิวจะเป็นหมอในห้องแล็บแต่ก็ถนัดใช้มีดนะคะ” เธอฉีกยิ้มใส่ “อ้อ! แต่หมิวทำเป็นแต่เมนูง่ายๆ นะ ตอนอยู่บ้านเด็กกำพร้าก็ต้องช่วยแม่ครัวทำอาหารอยู่บ่อยๆ” “ขอแค่คุณทำให้ผมกิน ผมกินได้ทั้งนั้น” เขาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่งแล้วเดินไปหยิบแก้วมารินไวน์สองแก้ว “คุณ...จะไม่ใส่เสื้อหน่อยเหรอ” “ผมขี้ร้อน” เขายิ้มกริ่ม “ใส่เสื้อเถอะคะ หมิวไม่มีสมาธิกินข้าว” เธอย่นจมูกใส่ เขาหัวเราะแล้วเดินหายไปไม่กี่นาทีกลับมาพร้อมร่างสูงโปร่งที่สวมเสื้อยืดคอวีสีเข้ม เขาเดินอ้อมมาด้านหลังแล้วรวบผมเธอเป็นมวยใช้ดินสอแทนปิ
“ผมสัญญา ผมไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน”“อย่าเพิ่งสัญญาอะไรแบบนั้นเลย เราเพิ่งเริ่มต้นกันเอง”“แค่คุณให้โอกาสเริ่มต้น ผมก็ดีใจแล้ว” “ถ้างั้น...เรามาลองคบกันอย่างเป็นทางการดีไหมคะ” “ด้วยความยินดีและเต็มใจยิ่งครับ เติมไวน์อีกไหม?”“คุณจะมอมไวน์หมิวเหรอคะ” “ดื่มฉลองกับผมหน่อย ผมจีบหอยทากน้อยติดเสียที”“อิริค! หมิวไม่ใช่หอยทากน้อยนะ”เสียงหวานใสหัวเราะออกมาทำลายบรรยากาศ ห้องที่อึมครึมเหมือนเจ้าของห้องพลันเปลี่ยนไปทันทีที่มีหญิงสาวเข้ามาในห้องบางที...ไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่ทำลายเปลือกที่ห่อหุ้มตัวเองออก แต่เป็นเขาเช่นกันที่เปิดใจ ‘รัก’ ใครคนหนึ่งจากหัวใจที่แท้จริง.......... หญิงสาวก้าวเร็วๆ จนแทบจะกลายเป็นวิ่งมาที่แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เพียงผลักบานประตูเข้าไปก็กวาดสายตามองหาคนที่ต้องการพบ กำลังอ้าปากจะถามพยาบาลแต่ก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นตาเสียก่อนจึงรีบเดินเข้าไปหา ก้องภพรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้แต่ประสบการณ์ทำให้มีสมาธิจัดการกับแผลตรงหน้าจนเสร็จเรียบร้อย “เป็นยังไงบ้างคะ” ธีรยาเอ่ยปากถามอย่างเป็นกังวล “ไม่เป็นไรไกลหัวใจตั้งเยอะ”
“ไม่มีอะไร” ธีรยาหงุดหงิด แล้วตวัดตามองก้องภพอย่างขุ่นเคือง “ลูกน้องมีเรื่องต่างหาก แต่คุณโจวเป็นหัวหน้ามาไกล่เกลี่ยเสียค่าปรับให้ลูกน้องค่ะ” “ไม่ทันไรก็พูดแก้ต่างแทนกันแล้ว” ก้องภพทำเสียงเหอะในลำคอ “หมิวพูดเรื่องจริงต่างหาก” “เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเถียงพี่สักคำ เดี๋ยวนี้พูดถึงคนนั้นนี่กล้าเถียงแทนเลยเหรอ” “ก็...” “พี่ก้องคะ ผู้ใหญ่รออยู่นะคะ” เขมิกากระตุกแขนเสื้อของก้องภพเบาๆ ทำให้ก้องภพได้สติ เขาลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคว้ามือเรียวของว่าที่เจ้าสาวแล้วกึ่งลากกึ่งจูงออกไป “เกิดอะไรขึ้นเนี้ย” ปกป้องทำหน้างง แต่ที่งงกว่าคือคนที่เขาหมายตามาตั้งแต่เด็กมีแฟนโดยที่เขาไม่รู้!“หมิว...” “ค่อยคุยกันวันหลังก็แล้วกัน” เธอปวดหัวขึ้นมาตุบๆ ขึ้นมา “นายต้องกลับไปที่ทำงานอีกหรือเปล่า ยังไงคืนนี้ต้องระวังมีไข้ กินข้าวแล้วกินยาพักผ่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ โทรหาหมิวแล้วส่งโลเคชั่นมา หมิวจะไปดู เข้าใจนะ” “อืมๆ” ปกป้องอยากคุยกับธีรยามากกว่านี้แต่เขาต้องกลับไปทำรายงานที่เจ็บตัวนี่ก่อน “เดี๋ยวเราโทรนะ”
“สิบสองปีแล้วครับ”“โอ้ว! นานจริง แสดงว่าต้องรู้เรื่องของอีริคบ้างใช่ไหม” เธอเงยหน้ามองบอดี้การ์ดของโจวเจียอีด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง แต่ดวงตาหลังแว่นตากรอบหนาพราวระยับจนคนมองนิ่งงันไปชั่วขณะ“คือหมิวอยากรู้ว่าอีริคชอบกินอะไรบ้าง หรือไม่ชอบอะไร เผื่อหมิวจะทำให้เขาได้บ้าง”“อ้อ! เรื่องนั้นได้เลยครับ ถามผมได้ทุกเรื่องเลยครับ” เจสันรีบพูดขึ้น แบบนี้ถ้าบอสรู้เข้าต้องดีใจแน่ๆ“แล้วบอสของคุณมีผู้หญิงเยอะไหมคะ”“แค่กๆ...เรื่องนั้น””“ช่างเถอะค่ะ ถือว่าหมิวไม่เคยพูดแล้วกัน”เขาอายุสามสิบแล้ว ถ้าเคยมีแฟนมาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ปัจจุบันต่างหากที่เธอต้องสนใจทั้งสองเดินขึ้นบันไดมาที่ชั้นสามตามที่ปกป้องบอกไว้ เจสันเคาะประตูห้องอย่างมีมารยาทไม่กี่วินาทีต่อมาเจ้าของห้องก็เปิดประตูมาพร้อมใบหน้าที่มีรอยช้ำ“เขียวแล้ว” ธีรยาอดเอานิ้วจิ้มที่มุมปากของเขาไม่ได้ “นายนี่มันเหมือนเด็กจริงๆ”“มาเยี่ยมหรือมาบ่น” ปกป้องเบ้ปากแต่เพราะเจ็บปากจึงเผลอร้องซี๊ดออกมา เขาปรายตามองไปยังชายชาวจีนสวมชุดสูทสีเข้มที่ยืนอยู่ด้านข้าง ดูไม่เข้ากับปิ่นโตสีพาสเทลที่ถืออยู่“หมอนั้น...แฟนเธอเหรอ”“ไม่ใช่” ธีรยารีบปฏ
“รู้แล้วนะ เจอกันวันงานแต่งพี่หมอนั้นนะ”“ทำไมต้องเรียกพี่หมอก้องแบบนั้นนะ” เธอส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เข้าใจ ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อยแล้วธีรยาก็ขอตัวกลับประตูห้องปิดลงแล้ว ปกป้องเดินไปที่หยิบโน้ตบุ๊คมาเปิดขึ้นทันทีแล้วเสิร์ซชื่อผู้ชายที่ธีรยากำลังคบหาดูใจอยู่ อ่านข่าวมาเยอะ ได้ยินมาแยะ อย่าว่าเขาอคติเลย แต่เขาไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้นเลยจริงๆ... หญิงสาวอยู่ในชุดเดรสไหล่กว้างอวดไหล่สวย กระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กน้อยรับกับรองเท้าส้นสูงที่นานๆ จะสวมสักครั้ง ผมยาวถูกดัดเป็นลอนสวยแปลกตา ใบหน้าหวานแต้มแต่งสีสันอย่างพอดี ริมฝีปากอิ่มเคลือบสีส้มอมชมพูและวันนี้เธอใส่คอนแทคเลนส์แทนแว่นสายตากรอบหนาที่สวมเป็นประจำ เจ้าของร่างเล็กสูง 155 เซนติเมตร หมุนตัวหน้ากระจกบานใหญ่ตรงหน้าไม่คิดว่าจะได้เห็นตัวเอง ‘สวย’ ขนาดนี้ ธีรยามองเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก เห็นโจวเจียอีหยุดมองเธออยู่ก็หมุนตัวกลับไปส่งยิ้มให้เขาพลางยกมือขึ้นแตะเรือนผมอย่างเก้อเขิน “คุณมาแล้วเหรอ” “ขอโทษที่มาช้าไปหน่อย”โจวเจียอีตื่นจากภวังค์แล้วเดินเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นหอมละมุนจากหญิงสาว เขาไม่รู