ธีรยาส่งยิ้มหวานแล้วลุกขึ้นยืน ไหนๆเจ้าบ้านก็เปิดไฟเขียวแล้ว ขอเดินสำรวจดูหน่อยเถอะนะ เผื่อเจออะไรไม่ดีจะได้รีบดึงแม่ออกมา หญิงสาวเดินออกมานอกห้องรับแขก ลังเลครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเดินไปตามทางที่ออกไปสวนด้านนอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ริอาจใจกล้าขึ้นไปชั้นบนของคฤหาสน์ เธอจึงเดินดูรอบๆ บริเวณบ้าน สวนหย่อมขนาดใหญ่ให้ความร่มรื่นจนเธอลืมว่าตัวเองมาสำรวจจับผิดเรื่องอะไร บ้านของเธอหลังเล็กแต่อบอุ่น แต่ถ้ามีบริเวณกว้างๆ แบบนี้ก็คงดีไม่น้อย ได้เดินเล่นผ่อนคลายบ้าง เสียดายที่เธอมาเอาเสียเย็นย่ำมองไม่เห็นว่ามีต้นไม้อะไรบ้าง ดูไปดูมาเจ้าของบ้านอาจจัดปาร์ตี้ที่บ้านบ่อย เพราะบริเวณสามารถจัดงานเลี้ยงขนาดย่อมได้เลย
จังหวะที่หมุนตัวกลับ ร่างเล็กก็ปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างจนเกือบล้ม มือใหญ่ยื่นมาประคองไหล่เธอไว้ได้ทัน ธีรยายกมือขึ้นดันแว่นตาให้เข้าที่แล้วก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น
“คุณ!”
“คุณ...”
ชายหนุ่มที่ปกติใบหน้านิ่งไร้อารมณ์แต่ยามนี้มุมปากยกยิ้มขึ้น แรกทีเดียวเขามองผ่านๆ เห็นเงาร่างไม่คุ้นเคยอยู่ที่สวนหย่อม หากเป็นเพื่อนแม่ก็ดูจะอายุน้อยไปหน่อย แม้จะเห็นแต่แผ่นหลังกับเส้นผมยาวสยายก็ตาม เมื่อเดินเข้ามาดูใกล้ๆ ก็พบว่าเธอหันหลังมาอย่างรวดเร็วจนเขาถอยหลังหลบไม่ทัน
พบกันครั้งแรกเรียกความบังเอิญ
พบกันครั้งที่สองก็บังเอิญอีก
แต่พบกันครั้งที่สามจะเรียกอะไรดี
“คุณ...”
ธีรยาขยับแว่นตาด้วยความเคยชินแล้ว เมื่อตั้งสติได้ก็ขยับเท้าถอยหลังออกมาเล็กน้อย แม้ครั้งก่อนเจอกับแวบเดียวแต่ในสถานการณ์ไม่ปกติ เธอจึงจำหน้าเขาได้ อย่างน้อยก็ตอนนี้เธอใส่แว่นตาอยู่ เขายกมือขึ้นกอดอก เพียงการขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้เห็นว่า กระดุมเสื้อเชิ้ตปลดลงมาสามเม็ด เห็นรอยสักที่มองไม่ชัดว่าเป็นรูปอะไร ท่าทีสบายๆ จนดูน่าหมั่นไส้ ทำให้ธีรยาเผลอเบ้ปากใส่
“พบกันครั้งแรกเรียกความบังเอิญ แต่พบกันสามครั้งจะเรียกอะไรดี” ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม
“สามครั้ง?” ธีรยาทำหน้างุนงง “คุณจำคนผิดแล้วค่ะ”
คราวนี้ชายหนุ่มเลิกคิ้วประหลาดใจ ยื่นมือดึงแว่นตาเธอออก หญิงสาวตกใจรีบยื่นมือไปคว้าไว้ แต่คนตัวสูงลองสวมแว่นตาแล้วก็ส่ายหน้าไปมา
“คุณนี่สายตาสั้นมากเลยนะ” เขาบ่นแล้วส่งแว่นตาคืนให้ “มิน่าล่ะถึงทำเป็นจำกันไม่ได้”
“เรา...เราเคยเจอกันมาก่อนหรือคะ?”
ชายหนุ่มยื่นหน้าไปใกล้ แต่เธอถอยหลังหนีเผลอทำไหล่ห่อเหมือนหนูกลัวแมว
“ให้ตายสิ! แบบนี้ผมน้อยใจแย่ คืนนั้นไม่ได้อยู่ในความทรงจำคุณเลยหรือไงนะ”
“คืนนั้น...”
จะว่าไป ก็หน้าตาคุ้นๆอยู่นะ
หรือว่า
“คุณ!”
“นึกว่าต้องให้ทบทวนถึงจะจำได้”
โจวเจียอีกระตุกยิ้มที่มุมปาก ไม่เคยรู้สึกเสียหน้าขนาดนี้มาก่อน เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ ‘จำเขาไม่ได้’ ทั้งที่คืนนั้นก็เป็น ‘ครั้งแรก’ ของเธอ
“อย่าบอกนะว่าเป็นผู้หญิงที่แม่นัดมาให้ผมดูตัว”
“ดูตัว!” ธีรยาเบิกตากว้าง “เข้าใจผิดแล้วค่ะ ฉันมาเป็นเพื่อนคุณแม่เพ็ญนภา”
หญิงสาวคิดตามที่เขาพูดแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นลูกชายของคุณกานดา ผู้ชายที่แม่เพ็ญนภาเชียร์ออกนอกหน้า และเพราะความคิดนี้ทำให้เธอขยับเท้าออกห่างเขาอีกนิด ตัวเขาสูงมากและไหล่กว้าง ถ้าเกิดเขาสะดุดหินล้มตรงหน้าก็คงทับเธอแบนแน่ๆ
“ถ้างั้น...”
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เธอไม่อยากเข้าใกล้คนน่ากลัวแบบนี้เลยสักนิด ภาพที่เขาเตะต่อยคนในโรงพยาบาลผุดขึ้นมาในหัว หญิงสาวรีบเดินจ้ำกลับเข้ามาในบ้าน แต่เดินเข้ามาได้ไม่กี่นาทีก็เริ่มสับสนว่า เธอต้องเดินไปทางไหนถึงจะกลับไปห้องรับแขกได้
“ไม่นะ...อย่าบอกว่าหลงทางนะ” ธีรยาบ่นพึมพำ ขณะที่ลังเลอยู่ว่าจะไปทางไหนดี ก็มีมือข้างหนึ่งวางบนไหล่ หญิงสาวสะดุ้งแล้วหันขวับไปมอง
“นี่! จะทำอะไร”
เสียงหวานๆ แต่ส่งสายตาดุ ทำให้ชายหนุ่มพอใจอย่างมาก เขายังคงยิ้มกริ่มไม่สนใจว่าเธอจะพยายามขยับตัวออกห่างเขามากแค่ไหน
“ในฐานะเจ้าของบ้านก็จะพาแขกไปที่ห้องรับแขกยังไงล่ะ” เขาพูดเหมือนกลั้นหัวเราะ
“เจ้าของบ้าน?”
คนที่ไม่อยากเจอก็เจอเข้าจนได้ ธีรยาไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไม่มีคนรับใช้ผ่านมาให้ขอความช่วยเหลือ ได้แต่จำใจเดินไปพร้อมกับผู้ชายตัวสูงคนนี้
“อ้าว ทำไมมาพร้อมกับหนูหมิวได้ละลูก” คุณกานดาถามอย่างแปลกใจ อันที่จริงนางตั้งใจอยากให้ลูกชายได้เจอลูกสาวของเพื่อนรัก ถึงจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ แต่เพ็ญนภาเอ็นดูเด็กคนนี้เหมือนลูกตัวเอง แต่ไม่เคยนัดหมายกันสำเร็จสักครั้ง คนหนึ่งเป็นหมอ อีกคนเป็นนักธุรกิจที่ไม่เคยอยู่ติดบ้าน แถมนานๆ จะกลับเมืองไทยสักครั้ง หากไม่เพราะมาขยายกิจการที่เมืองไทยก็คงไม่ได้เจอกันบ่อยขึ้น
“เจอเด็กหลงทางนะครับคุณแม่” ชายหนุ่มเดินไปเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่ง เมื่ออีกฝ่ายนั่งเรียบร้อยจึงเดินไปนั่งข้างมารดา แล้วหันมายกมือไหว้คุณเพ็ญนภา
“สวัสดีครับคุณน้าเพ็ญนภา”
“จ๊ะ” เพ็ญนภาเห็นหน้าลูกชายของเพื่อนรักจากรูปในมือถือมาหลายครั้ง แต่ก็เพิ่งได้พบตัวจริงกันวันนี้ “หน้าตาคล้ายพ่อเหมือนกันนะ”
“อีริคสูงได้พ่อนะ” กานดายิ้มภูมิในความหล่อเหลาของลูกชาย แน่นอน มันทำให้นางหวงลูกมากเช่นกัน “ชื่อจีนชื่อ โจวเจียอี แซ่โจวตามพ่อของเขา แต่เรียกอีริคก็ได้ ชื่อจีนก็เรียกยาก เรียกชื่อฝรั่งก็ได้นะ เพื่อนอีริคเป็นชาวต่างชาติเยอะ เลยสะดวกเรียกชื่อฝรั่งนะ”
“ครับ แต่ผมพูดภาษาไทยคล่องนะครับ” โจวเจียอียิ้ม ดวงตายังคงจ้องมองหญิงสาวที่ทำหน้านิ่งไม่สบอารมณ์อยู่ “แม่สอนมาดีครับ”
เพ็ญนภาหัวเราะอย่างถูกใจ บ้านร่ำรวยแต่ไม่ถือตัว และยังคงมีอารมณ์ขันด้วย แบบนี้คงเข้ากับธีรยาผู้บ้างานของนางได้บ้าง
“นี่ลูกสาวน้าเองจ๊ะ ชื่อธีรยา ชื่อเล่นหมิว เป็นหมออยู่ห้องแล็บทำงานที่โรงพยาบาลรัฐ” คุณเพ็ญนภาแนะนำง่ายๆ
“ครับ เคยเจอกันแล้ว”
“เอ๊ะ! ไปเจอกันตอนไหน” คุณกานดาประหลาดใจ ลูกชายตัวเองไม่ยอมดูตัวง่ายๆ ผู้หญิงที่ติดพันก็เป็นพวกดารานางแบบที่หวังเงินในกระเป๋าเงินเท่านั้น
“ที่โรงพยาบาลครับ” ปกติเขาไม่ใช่คนพูดเยอะ แต่คนตัวเล็กไม่ยอมปริปาก เขาจึงชิงลงมือเล่าเสียเอง
“โรงพยาบาล?” กานดาทำท่าตกใจ “ลูกไม่สบายเหรอ”“เปล่าครับ พอดีลูกน้องทำเรื่องไว้” เขายิ้มและส่งสายตาให้หญิงสาว “วันนั้นคุณคงเสียขวัญน่าดู แต่ทางทนายของเราติดต่อชดใช้ค่าเสียหายและบริจาคเงินให้ทางโรงพยาบาลแล้ว” “เสียขวัญ? นี่มันเรื่องอะไรกันยัยหมิว ไม่เห็นเล่าให้แม่ฟังเลย” คราวนี้คุณเพ็ญนภาทำหน้ากังวล ธีรยาจึงจำเป็นต้องเปิดปากพูดบ้าง ไม่อย่างนั้นแม่จะเป็นกังวลเรื่องงานของเธอ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คนทะเลาะกันที่โรงพยาบาลค่ะ เรื่องพวกนี้ทางผู้ใหญ่เป็นคนดูแลจัดการ หมิวไม่รู้เรื่องด้วย แล้วอีกอย่างก็คนละแผนกกัน” “อ่อ...มิน่าล่ะ ผมกลับไปที่แผนกฉุกเฉินอีกครั้งแต่ไม่พบคุณ” เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ จริงๆ เขาก็อยากเจอคุณหมอคนสวยอยู่เหมือนกัน เป็นครั้งแรกที่เขาอนุญาตให้ผู้หญิงที่มีเซ็กส์นอนบนเตียงเดียวกัน ถึงไม่อนุญาตเธอก็โดนเขาจับกินจนสิ้นเรี่ยวแรงไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าตอนเช้าเขาออกไปคุยงานกับลูกค้า กลับเข้ามาพบแค่ที่นอนยับยู่ กระดาษโน้ตที่เขียนไว้ให้เธออยู่รอกินข้าวเที่ยงด้วยกันก็เหมือนกับไม่ถูกหยิบขึ้นมาอ่านเลย เขาทั้งหงุดหงิด โมโห เสียหน้า
“เช่าชุด?” เขาถามเพื่อความแน่ใจแล้วขับรถออกไป “ค่ะ...เช่าชุดใส่ไปงานแต่งงาน ธีมงานขาว-ชมพู ก็เลยว่าจะไปหาดูที่ร้านนี้ ถ้าสั่งออนไลน์ก็กลัวจะไม่ตรงปกค่ะ”“ถ้างั้นผมเลือกร้านให้เอาไหม?” “เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ”“ไม่เชื่อเซนส์ผมเหรอ” เขายิ้มทั้งที่ตายังมองไปยังถนนตรงหน้า “หรือถ้าห่วงเรื่องเงิน เรื่องนั้นผมจัดการให้ได้” “เราเพิ่งรู้จักกันคุณไม่ต้องเปย์ให้ขนาดนี้ก็ได้ค่ะ” เธอไม่ชอบรับของจากคนแปลกหน้าด้วย กลัวถูกทวงทีหลังอีกต่างหาก“ก็ผมไม่อยากเป็นแค่คนรู้จัก”“คุณนี่...จะจีบเหรอ” ธีรยาดันแว่นตาขึ้นชิดใบหน้า “ถ้าเห็นฉันเป็นของแปลกก็ไม่ต้องมาจีบเลยนะ”“ก็แปลกจนน่าสนใจไง” เขาพูดไปตามตรงแล้วขับรถไปห้างสรรพสินค้าหรูหรา เมื่อจอดรถเรียบร้อยก็เดินมาเปิดประตูรถให้หญิงสาวลงมา “มาเถอะ ผมไม่พาไปฆ่าไปแกงหรอก ตัวแค่นี้กินไม่อิ่ม” เขายิ้มกริ่มพลางกวาดสายตามอง “แต่ถ้าอย่างอื่นก็ไม่แน่...” “คุณนี่... หน้าตาก็ดี ปากร้ายชะมัด” “ยอมรับว่าผมหน้าตาดีแล้วสิ” ธีรยาไม่เคยเจอคนหน้าหนาแบบนี้มาก่อน จู่ๆ ก็ถูกเขาคว้าข้อมือไว้ หญิงสาวตกใจแล้วดึงมือกลับ “แค่จะใ
“คุณ...อย่ามาล้อเล่นกันแบบนี้” ธีรยาจ้องตาเขาอย่างไม่เกรงกลัวอีกฝ่าย “ฉันไม่ใช่ของเล่นของคุณนะ” ดวงตาคมปลาบจ้องมองคนตัวเล็ก เขาพอใจกับท่าทีไม่สะทกสะท้านแม้ถูกสายตาของเขากดดันอยู่ มุมปากยกยิ้มขึ้นก่อนเอ่ย “ทำไมคิดว่าผมเล่นๆ กับคุณเล่า” “ก็...คนอย่างคุณ...” “คนอย่างผม?” เขาชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อน “คนอย่างผมไม่คู่ควรกับคุณหมอย่างคุณเหรอ” “มะ..ไม่ใช่แบบนั้น...เอ่อ...คือ..ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใครแต่คุณมีฐานะทางสังคมดีกว่าแล้วก็...”เธออึกอักพลันหน้าเห่อร้อนขึ้นมา “เรื่องคืนนั้นมันก็แค่วันไนท์สแตนด์ เราไม่ควรเจอกันอีก” “แค่วันไนท์สแตนด์?” เขาหรี่ตาจ้องมองใบหน้าหวานที่แดงเรื่อ “ผมไม่คิดว่าเรื่องคืนนั้นเป็นแค่วันไนท์สแตนด์ และเป็นคุณต่างหากที่ทิ้งผม” “คะ? ฉันนะเหรอ” นิ้วเรียวชี้ที่หน้าตัวเองอย่างงุนงง “ผมเขียนโน้ตวางไว้บนหมอน ให้คุณรอผม ผมมีนัดกับลูกค้าตอนสิบโมงเช้า แต่พอผมเสร็จธุระแล้วกลับเข้ามาเจอแค่ที่นอนยับยู่ยี่นี่นะ” “ก็...ฉันไม่เห็นโน้ตอะไรเลย แต่ถึงเห็น...ฉันก็
“อืม ...คุณกลัวเหรอ” “กลัวอาชีพคุณมากกว่า” คราวนี้โจวเจียอียิ้มออกมา “เมื่อก่อนคนไทยมองคนจีนเป็นเหมือนพี่น้องไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเห็นคนจีนต้องเป็นจีนเทาหรือไง” “เอ่อ...ก็ไม่ใช่...ฉันแค่ไม่รู้ว่าคุณทำงานอะไรแล้วอีกอย่างคนทั่วๆไปใครเขามีบอดี้การ์ดติดตามแบบนี้” “ก็จริงของคุณ” เขาจิบน้ำชาแล้วถอนหายใจเบาๆ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้มันไม่ง่ายเลย “หน้าที่พวกเขาเป็นบอดี้การ์ด แต่ก็สนิทกันเหมือนคนในครอบครัว แต่ไม่ว่าอย่างไร ผมก็คือเจ้านายและเป็นจ่าฝูง จะทำตัวสนิทกับพวกเขามากก็ไม่ดีนัก” ธีรยาจิบน้ำชาเลียนแบบเขา น้ำชาอุ่นร้อนกำลังดีและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีจริงๆ โจวเจียอีเห็นสีหน้าอีกฝ่ายผ่อนคลายลงมากก็หยิบสมาร์ทโฟนออกมาเลื่อนหน้าจอแล้วยื่นให้เธอดู “คะ?” เธอนั่งอยู่ข้างเขา แต่ชายหนุ่มก็เอียงตัวเข้ามาใกล้จนไหล่ชิดกัน “คุณอยากรู้จักผมไม่ใช่เหรอ ผมเลยเซิร์สชื่อผมให้คุณดูไง” เขาพูดแสร้างทำหน้าซื่อ “ผมเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียงพอสมควร แต่ก็มีทั้งชื่อเสียงและชื่อเสียคุณคงต้องใช้เวลาพิจารณาสักหน่อย
ธีรยามองแผ่นหลังของก้องภพอย่างงุนงง สีหน้าเขาดูแปลกๆ และเมื่อครู่เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดออกมา ปกติเขาเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาและเป็นกันเอง พอเห็นสีหน้านิ่งขรึมแล้วเธอก็อดเป็นกังวลไม่ได้ หรือเขามีเรื่องไม่สบายแต่ไม่กล้าพูด หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วกลับไปทำงานของตนเองพร้อมถุงขนมจากผู้ชายช่างตื้อคนนั้น ‘ผมกลับไปดูงานที่ไต้หวัน ผมให้ลูกน้องไปส่งดอกไม้และขนมให้คุณ คุณจะได้ไม่ต้องกลัวเจอคนแปลกหน้าหรือคิดว่าเป็นพวกมิจฉาชีพ’ ‘ไม่เห็นต้องส่งของอะไรพวกนี้มาเลย’ ‘ก็ผมจีบคุณอยู่ไง’ ธีรยาจำได้ว่าพูดตอบเขาไปทางโทรศัพท์ แม้ปากพูดไปแบบนั้นแต่ช่อดอกกุหลาบสีชมพูหวานสวยก็เล่นเอาใจเธอละลายได้เหมือนกัน จากดอกไม้ก็เป็นขนม ต่อไปเขาจะส่งอะไรให้เธออีกนะ ไม่เอาสิธีรยา! อย่าทำเหมือนรอคอยให้เขาส่งของมาให้แบบนี้สิ! ก้องภพรู้สึกแปลกๆ เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้ว่ามีผู้ชายมาจีบธีรยา แต่หญิงสาวเป็นคนหัวอ่อน ไม่สิ เรียกว่าความรู้สึกช้าน่าจะถูก กว่าจะรู้ว่าผู้ชายคนนั้นมาจีบ ผู้ชายคนนั้นถอนใจจากเด็
“เราถูกย้ายมาทำงานที่กรุงเทพฯ แล้ว” “จริงเหรอ แบบนี้ก็ดีเลยสิ” ธีรยายิ้มกว้าง “พักแถวไหนล่ะ แบบนี้ก็ดีเลยนะจะได้กลับไปช่วยงานแม่เพ็ญนภาได้” “อะไรกัน นี่อย่าบอกนะว่าหมิวยังกลับไปที่บ้านนั้นอีกนะ” ปกป้องทำตาโต “ทำไมจะกลับไปไม่ได้ล่ะ ป้องนั้นแหละ ทำไมไม่กลับไปหาแม่เพ็ญนภาบ้าง” “ไม่อยากฟังบ่น” ปกป้องยักไหล่ “เลิกงานแล้วมีนัดที่ไหนไหม ไปหาอะไรกินกัน ป้องเลี้ยงเองในฐานะที่ได้ย้ายกลับมาอยู่ใกล้หมิว” “เรื่องกินไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว” หญิงสาวพยักหน้ารับแต่ก็อดกวาดตามองรอบๆไม่ได้ ไม่เอาน่า เธอไม่ได้รอใครเสียหน่อย ทำไมต้องมองหาด้วยเล่า “รอใครหรือเปล่า นัดพี่หมอก้องไว้เหรอ” ปกป้องถามเพราะสังเกตได้ว่าธีรยาเหมือนมองหาใครอยู่ แถมยังแต่งหน้าทาปากอีกด้วย ปกติไม่ค่อยเห็นคนตัวเล็กแต่งหน้าสักเท่าไหร่ “เปล่า” หญิงสาวส่ายหน้ายืนยัน “ไปเถอะ หิวแล้ว ว่าแต่เจ้ามือจะเลือกร้านให้หรือให้หมิวเลือกร้านเอง” “หมิวเลือกเลยสิ อยากกินอะไร ป๋าจ่ายเอง” “อืม เราเห็นร้านบะหมี่ติดแอร์เปิดใหม่ใกล้ๆ โรงพย
“เอาไว้คราวหน้าเรามารับหมิวไปหาอะไรอร่อยๆ กินอีกนะ” “ได้สิ คราวหน้าหมิวเลี้ยงคืนนะ” “ตามใจ” ปกป้องยิ้มแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่งจนธีรยาเอ่ยปากถาม “มีอะไรหรือเปล่า” “เปล่าๆ ไม่มีอะไร หมิวขึ้นห้องเถอะ พรุ่งนี้ต้องทำงานใช่ไหม” “อื้ม ป้องก็เหมือนกัน กลับบ้านดีๆนะ” “งั้นเราไปล่ะ” ธีรยายืนรอจนรถของปกป้องเคลื่อนไปสุดสายตาแล้วเธอจึงเดินเข้ามาในคอนโด เพราะใจลอยคิดเรื่องอื่นอยู่จึงไม่ทันรู้ว่ามีคนก้าวมายืนซ้อนด้านหลัง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดข้อความถึงปกป้อง ‘ถึงห้องแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง’ เพราะฝ่ายนั้นเอาแต่ย้ำหนักหนาว่า ถึงห้องแล้วต้องส่งข้อความมาบอกเขา แต่ขณะที่รอลิฟต์อยู่ก็รู้สึกว่าคนด้านหลังยืนชิดเธอเกินไป ร่างเล็กจึงขยับเท้าตั้งใจหลบให้คนด้านหลังเข้าไปในลิฟต์ก่อน แต่ไหล่ของเธอถูกมือใหญ่จับไว้มั่นแล้วดันเข้าไปด้านในทันทีที่ลิฟต์เปิดประตูออก “อ๊ะ! คุณ...” ธีรยาเอี้ยวตัวหันไปมองจึงรู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังคือ...“อีริค ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่” “ก็คุณอยู่ที่นี่ผมก็อยู่ที่นี่สิ ช
“ได้ ถ้าคุณลืม ผมจะทบทวนว่าเราเป็นอะไรกัน”คนตัวเล็กขยับตัวดิ้นรนทำให้กระโปรงร่นขึ้นเห็นเรียวขาขาวผ่อง โจวเจียอีใช้มือเพียงข้างเดียวก็รวบข้อมือสองข้างของเธอกดไว้เหนือศีรษะแล้วโน้มหน้าลงจูบกลีบปากที่พูดจาแทงใจเขาเหลือเกิน ไอร้อนจากกายเขาผสานกับกลิ่นน้ำหอมเกิดเป็นกลิ่นกายเฉพาะตัว คล้ายปลุกเร้าความทรงจำในค่ำคืนนั้นให้หวนกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวหน้าตาแตกตื่น คราวนี้เธอกลัวเขาขึ้นมาจริงๆ ร่างกายของเธอแข็งเกร็งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ โจวเจียอีรับรู้ได้ว่า การกระทำของตนทำให้เธอตกใจ จึงจำใจผละจากริมฝีปากที่บวมเจ่อเล็กน้อยแล้วถอนหายใจหนักหน่วงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ แต่เพราะเตียงเล็กทำให้เขาต้องดึงเธอมากอดไว้“ขอโทษ...”“คะ?”“คุณกลัวสินะ”“หมิวตกใจค่ะ” เธอสารภาพ “เรา...เราค่อยเป็นค่อยไปได้ไหม”“อื้ม...” เขากอดเธอแน่นขึ้น “ถึงยังไงตอนนี้ผมก็มีอะไรกับคุณไม่ได้”“คะ?” เธอผงกศีรษะขึ้นมองใบหน้าชายหนุ่ม “คุณไม่สบายเหรอ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”โจวเจียอีหัวเราะ ก่อนจูบหน้าผากเธอเบาๆ“เปล่า ผมแต่ไม่ได้เตรียมตัวมามีเซ็กส์กับคุณ”“คุณ...พูดตรงไปหรือเปล่า” คราวนี้เธอหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ“ผมเป็นคนตรงไ