เธอทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงนะ เพราะเมาเหรอ? เธอถามตัวเองเป็นร้อยเป็นพันครั้ง จะเรียกว่าเมาก็พูดได้ไม่เต็มปาก เธอยังมีสติพอตัดสินใจในการกระทำของตัวเอง แต่เธอก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าถูกผู้ชายคนนั้นจับพลิกคว่ำพลิกหงายไปกี่รอบและถึงจุดสุดยอดไปกี่ครั้ง ร้องครางจนเสียงแหบไปเลย แต่เธอกลับจำไม่ได้แน่ชัดว่าผู้ชายคนนั้นชื่ออะไร เหมือนเขาจะบอกเธออยู่นะ ส่วนเธอก็มั่นใจว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้เขา เธอเพลียจนผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่รู้สึกตัวตื่นตอนที่พี่ก้องภพโทรหา เธอจึงรู้ว่าไม่ได้นอนที่ห้องตัวเอง หลังจากตั้งสติได้ก็รีบพาร่างเปลือยเปล่าสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและหิ้วรองเท้ากับกระเป๋าสะพายออกมาจากห้องนั้น หลังจากกลับมาที่ห้องตัวเองก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางกลับ แต่นึกขึ้นได้ เธอไม่มั่นใจว่า...เขาใช้ถุงยางอนามัยหรือเปล่าทำให้เธอต้องตาลีตาเหลือกไปซื้อยาคุมฉุกเฉินป้องกันไว้ก่อน
นัวเนียกันขนาดนั้น เธอกลับจำหน้าเขาไม่ได้ จะเรียกว่าจำไม่ได้ก็ไม่ใช่ เหมือนมันเลือนรางเสียมากกว่า
“ลูกหมิว?”
“คะ!” ธีรยาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ “แม่มีอะไรหรือเปล่าคะ หมิวทำบัญชีให้เสร็จพอดี นี่หมิวว่าจะไปเช่าชุดใส่ไปงานแต่งพี่หมอก้องนะคะ”
“หมอก้องจะแต่งงานแล้วเหรอ” คุณแม่เพ็ญนภาถาม รู้จักคุ้นเคยเพราะเด็กๆที่นี่เวลามีเรื่องด่วนไปโรงพยาบาลก็ได้เจอหมอก้องภพอยู่บ่อยๆ แต่นางก็ดูไม่แปลกใจกับเรื่องที่ได้ยินนัก
“แล้วหมิวละลูก”
“เรื่องอะไรคะ” เธอถามอย่างงงๆ
“ไม่มีคนที่อยากแต่งงานด้วยเหรอ”
“หมิวยังทำงานใช้ทุนอยู่เลย ยังไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ”
“ถ้าหมิวไม่มีใคร ไม่ลองพิจารณาลูกชายของเพื่อนแม่ดูล่ะ”
“ลูกชายเพื่อนแม่? คนไหนคะ?” ธีรยาทำหน้างง ตอนเรียนเธอก็ทุ่มเทกับการเรียนไม่ได้สนใจเรื่องอื่น อีกอย่างเพื่อหาเงินทุนมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านเด็กกำพร้าทำให้คุณเพ็ญนภารู้จักคนมากมายหลายระดับ
“ก็คนที่เป็นลูกครึ่งจีน-ไทยไงล่ะ ชื่ออะไรนะ โจ โจ อะไรสักอย่าง”
ธีรยายิ้มแหย ส่ายหน้าไปมา “ไม่คุ้นเลยค่ะแม่ แม่ก็อย่าไปเชื่ออะไรมากนะคะ พวกต้มตุ๋นหลอกลวงหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรืออาจจะเป็นจีนเทามาหลอกตีสนิทกับเราก็ได้”
“ไม่หรอก” คุณเพ็ญนภาส่ายหน้าไปมา “อีกอย่างแม่เขาก็เป็นเพื่อนแม่ด้วย หมิวจำคุณกานดาได้ไหมล่ะ แม่เคยพาไปกินข้าวด้วยกันนะ คุณกานดาเป็นอีกคนที่ให้ทุนการศึกษาของหมิวด้วยนะ ตอนนี้กานดากลับมาเมืองไทยแล้ว”
“เพื่อนแม่มีตั้งหลายคน หมิวจำไม่ได้ทุกคนหรอกค่ะ”
“ถ้าจำไม่ได้งั้นวันนี้ไปข้างนอกกับแม่ เดี๋ยวเจอหน้าก็จำได้เอง”
“อ้าว! แม่จะออกไปไหนเหรอคะ”
“พอดีเพื่อนแม่โทรมาชวนไปกินข้าวเย็น ลูกก็ว่างนี้ ออกไปเป็นเพื่อนแม่สักชั่วโมงแล้วกัน”
“แต่แม่คะ...แม่จะไปไหนไม่บอกล่วงหน้าแบบนี้ไม่ได้นะ”
“ให้แม่ไปคนเดียว หมิวไม่เป็นห่วงแม่หรือไง”
แม่เพ็ญนภาทำท่างอนและเวลางอนจะง้อยากเสียด้วย ธีรยาถอนหายใจแล้วตัดสินใจยอมออกไปพบเพื่อนของคุณแม่ด้วยกัน เธอจัดเก็บเอกสารต่างๆให้เรียบร้อยซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก เช่นเดียวกับคุณเพ็ญนภาที่เหมือนเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว จะให้ไปคนเดียวเธอก็เป็นห่วง แค่นั่งเล่นสักชั่วโมงค่อยกลับก็แล้วกัน
ธีรยาอาสาขับรถให้ บ้านเด็กกำพร้ามีรถเก๋งมือสองอายุสิบปีไว้ใช้งานอยู่หนึ่งคัน เธอขับรถไปตามเส้นทางที่แม่เพ็ญนภาบอกแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้ นี่มันหมู่บ้านคนรวยนี่ ราคาแต่ล่ะขั้นต่ำหลังล่ะห้าสิบล้านเลยทีเดียว
“แม่แน่ใจนะคะว่าหมู่บ้านนี้”
“แน่ใจสิ นี่ไง เพื่อนแม่ส่งมาให้ดู” แม่เพ็ญนภายื่นมือถือให้ดูรูปในโปรแกรมไลน์
ธีรยาขมวดคิ้วยุ่งเหยิง แม้ว่าเธอเป็นหมอก็ไม่ใช่ว่าจะร่ำรวยอะไร ยังทำงานใช้ทุนอยู่เลย ยังดีที่ปีนี้ได้ทำงานในโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ธีรยาแอบกังวลใจกลัวแม่เพ็ญภาจะถูกหลอกทำธุรกิจผิดกฎหมาย หรือพวกนั้นเห็นบ้านเด็กกำพร้าเป็นแหล่งฟอกเงิน หญิงสาวแลกบัตรเพื่อขับรถเข้าไปในหมู่บ้านจนเจอบ้านที่เป้าหมาย ยังไม่ทันลงไปกดกริ่ง ประตูอัตโนมัติก็เปิดกว้างให้ขับรถเข้าไปโดยสะดวก หญิงวัยห้าสิบเศษยืนรออยู่หน้าคฤหาสน์หลังงาม ธีรยาใจชื้นเพราะคุ้นหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น เธอเคยพบเพราะท่านเป็นคนมอบทุนการศึกษาให้
“มากันแล้ว” คุณกานดายิ้มรับ คุณเพ็ญนภาเดินเข้าไปจับมือคุณกานดาด้วยความสนิทสนม
“ขอโทษที่มาเสียเย็นเลย”
“บ้านฉัน เธอจะมาตอนไหนก็ได้” คุณกานดาหัวเราะแล้วอดมองหญิงสาวตัวเล็กน่ารักไม่ได้ “นี่หนูหมิวใช่ไหม ไม่เจอกันหลายปี สวยขึ้นเป็นกอง”
“สวัสดีค่ะ” ธีรยายกมือไหว้อย่างมีมารยาท
“เข้าไปในบ้านก่อน”
คุณกานดาเดินนำเข้าไปในห้องรับแขก ธีรยาอดเหลียวมอง ‘บ้านคนรวย’ แบบจับผิด ยังไงเธอก็เป็นห่วงกลัวถูกหลอก เธอเองก็ทำแต่งานวุ่นวายทั้งวัน เกิดใครชวนแม่เพ็ญนภาไปทำธุรกิจหรือให้เป็นนอมินีบริษัทขึ้นมา เกรงว่าถึงเวลานั้นจะช่วยไม่ทัน
“ซื้อบ้านใหญ่โตแบบนี้จะกลับมาอยู่เมืองไทยแล้วเหรอ”
คุณเพ็ญนภาถาม ไม่ได้รู้สึกอิจฉาเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยคนนี้เลย หากเพื่อนกลับมาอยู่เมืองไทยจริงๆ เธอจะได้มีคนคุยด้วยให้คลายเหงา
“อืม อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายเท่าบ้านเราหรอก” คุณกานดาตอบแล้วมองหน้าธีรยา “เธอนี่โชคดีจริงๆ มีลูกสาวน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ใกล้ๆ ลูกชายฉันสิ บ้างาน แทบไม่เคยเห็นหัวเลย”
“ต่างกันที่ไหน ยัยหมิวเป็นหมอ วันหยุดวันพักก็ไม่ได้เหมือนคนอื่น โชคดีที่ได้ทำงานในกรุงเทพ ไม่งั้นฉันก็แย่เหมือนกัน”
เพราะรักและเอ็นดูเด็กทุกคนเหมือนลูก คุณเพ็ญนภาจะเรียกเด็กทุกคนว่าลูกเหมือนกันหมด เพียงแต่มีบางคนที่พิเศษหน่อยก็อย่างธีรยา อาจเพราะธีรยาแม้จะออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านเด็กกำพร้าแต่ยังวนเวียนมาหามาช่วยงานอยู่เสมอ รวมทั้งโอนเงินให้เธอเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเด็กๆคนอื่นๆในบ้านเด็กกำพร้าอีกด้วย
“ฉันอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไร ว่างๆ เธอมาบ้านฉันสิ เรามาทำขนมเหมือนสมัยเรียนดีไหม อ้อ!ถ้าจะมาก็โทรมาบอกได้เลย ฉันให้คนขับรถไปรับเองไม่ต้องเป็นห่วง”
“งั้นก็ดีเลย ฉันขับรถไม่แข็ง จะไปไหนก็พึ่งลูกๆ ตลอด”
“ฉันให้แม่ครัวทำอาหารเย็นอยู่ อีกสักครึ่งชั่วโมงคงเสร็จ รอหน่อยนะ” คุณกานดาพูดอย่างเกรงใจ “หนูหมิวเบื่อไหม อยากเดินเล่นก็ได้นะจ๊ะ”
“คะ?”
ให้เดินเล่นในบ้านคนอื่นนี่นะ ?
“ไม่ต้องเกรงใจ คิดว่าเป็นตัวเอง หนูอยากเดินดูอะไรก็ตามสบาย อีกครึ่งชั่วโมงมากินข้าวกัน”
สองคุณแม่ต่างหัวเราะกันคิกคัก เหมือนว่าคุณกานดาอยากจะอวดบ้านให้เธอดูยังไงไม่รู้
“ค่ะ”
ธีรยาส่งยิ้มหวานแล้วลุกขึ้นยืน ไหนๆเจ้าบ้านก็เปิดไฟเขียวแล้ว ขอเดินสำรวจดูหน่อยเถอะนะ เผื่อเจออะไรไม่ดีจะได้รีบดึงแม่ออกมา หญิงสาวเดินออกมานอกห้องรับแขก ลังเลครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเดินไปตามทางที่ออกไปสวนด้านนอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ริอาจใจกล้าขึ้นไปชั้นบนของคฤหาสน์ เธอจึงเดินดูรอบๆ บริเวณบ้าน สวนหย่อมขนาดใหญ่ให้ความร่มรื่นจนเธอลืมว่าตัวเองมาสำรวจจับผิดเรื่องอะไร บ้านของเธอหลังเล็กแต่อบอุ่น แต่ถ้ามีบริเวณกว้างๆ แบบนี้ก็คงดีไม่น้อย ได้เดินเล่นผ่อนคลายบ้าง เสียดายที่เธอมาเอาเสียเย็นย่ำมองไม่เห็นว่ามีต้นไม้อะไรบ้าง ดูไปดูมาเจ้าของบ้านอาจจัดปาร์ตี้ที่บ้านบ่อย เพราะบริเวณสามารถจัดงานเลี้ยงขนาดย่อมได้เลย จังหวะที่หมุนตัวกลับ ร่างเล็กก็ปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างจนเกือบล้ม มือใหญ่ยื่นมาประคองไหล่เธอไว้ได้ทัน ธีรยายกมือขึ้นดันแว่นตาให้เข้าที่แล้วก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น “คุณ!” “คุณ...”ชายหนุ่มที่ปกติใบหน้านิ่งไร้อารมณ์แต่ยามนี้มุมปากยกยิ้มขึ้น แรกทีเดียวเขามองผ่านๆ เห็นเงาร่างไม่คุ้นเคยอยู่ที่สวนหย่อม หากเป็นเพื่อนแม่ก็ดูจะอายุน้อยไปหน่อย แม้จะเห็นแต่แผ
“โรงพยาบาล?” กานดาทำท่าตกใจ “ลูกไม่สบายเหรอ”“เปล่าครับ พอดีลูกน้องทำเรื่องไว้” เขายิ้มและส่งสายตาให้หญิงสาว “วันนั้นคุณคงเสียขวัญน่าดู แต่ทางทนายของเราติดต่อชดใช้ค่าเสียหายและบริจาคเงินให้ทางโรงพยาบาลแล้ว” “เสียขวัญ? นี่มันเรื่องอะไรกันยัยหมิว ไม่เห็นเล่าให้แม่ฟังเลย” คราวนี้คุณเพ็ญนภาทำหน้ากังวล ธีรยาจึงจำเป็นต้องเปิดปากพูดบ้าง ไม่อย่างนั้นแม่จะเป็นกังวลเรื่องงานของเธอ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คนทะเลาะกันที่โรงพยาบาลค่ะ เรื่องพวกนี้ทางผู้ใหญ่เป็นคนดูแลจัดการ หมิวไม่รู้เรื่องด้วย แล้วอีกอย่างก็คนละแผนกกัน” “อ่อ...มิน่าล่ะ ผมกลับไปที่แผนกฉุกเฉินอีกครั้งแต่ไม่พบคุณ” เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ จริงๆ เขาก็อยากเจอคุณหมอคนสวยอยู่เหมือนกัน เป็นครั้งแรกที่เขาอนุญาตให้ผู้หญิงที่มีเซ็กส์นอนบนเตียงเดียวกัน ถึงไม่อนุญาตเธอก็โดนเขาจับกินจนสิ้นเรี่ยวแรงไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าตอนเช้าเขาออกไปคุยงานกับลูกค้า กลับเข้ามาพบแค่ที่นอนยับยู่ กระดาษโน้ตที่เขียนไว้ให้เธออยู่รอกินข้าวเที่ยงด้วยกันก็เหมือนกับไม่ถูกหยิบขึ้นมาอ่านเลย เขาทั้งหงุดหงิด โมโห เสียหน้า
“เช่าชุด?” เขาถามเพื่อความแน่ใจแล้วขับรถออกไป “ค่ะ...เช่าชุดใส่ไปงานแต่งงาน ธีมงานขาว-ชมพู ก็เลยว่าจะไปหาดูที่ร้านนี้ ถ้าสั่งออนไลน์ก็กลัวจะไม่ตรงปกค่ะ”“ถ้างั้นผมเลือกร้านให้เอาไหม?” “เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ”“ไม่เชื่อเซนส์ผมเหรอ” เขายิ้มทั้งที่ตายังมองไปยังถนนตรงหน้า “หรือถ้าห่วงเรื่องเงิน เรื่องนั้นผมจัดการให้ได้” “เราเพิ่งรู้จักกันคุณไม่ต้องเปย์ให้ขนาดนี้ก็ได้ค่ะ” เธอไม่ชอบรับของจากคนแปลกหน้าด้วย กลัวถูกทวงทีหลังอีกต่างหาก“ก็ผมไม่อยากเป็นแค่คนรู้จัก”“คุณนี่...จะจีบเหรอ” ธีรยาดันแว่นตาขึ้นชิดใบหน้า “ถ้าเห็นฉันเป็นของแปลกก็ไม่ต้องมาจีบเลยนะ”“ก็แปลกจนน่าสนใจไง” เขาพูดไปตามตรงแล้วขับรถไปห้างสรรพสินค้าหรูหรา เมื่อจอดรถเรียบร้อยก็เดินมาเปิดประตูรถให้หญิงสาวลงมา “มาเถอะ ผมไม่พาไปฆ่าไปแกงหรอก ตัวแค่นี้กินไม่อิ่ม” เขายิ้มกริ่มพลางกวาดสายตามอง “แต่ถ้าอย่างอื่นก็ไม่แน่...” “คุณนี่... หน้าตาก็ดี ปากร้ายชะมัด” “ยอมรับว่าผมหน้าตาดีแล้วสิ” ธีรยาไม่เคยเจอคนหน้าหนาแบบนี้มาก่อน จู่ๆ ก็ถูกเขาคว้าข้อมือไว้ หญิงสาวตกใจแล้วดึงมือกลับ “แค่จะใ
“คุณ...อย่ามาล้อเล่นกันแบบนี้” ธีรยาจ้องตาเขาอย่างไม่เกรงกลัวอีกฝ่าย “ฉันไม่ใช่ของเล่นของคุณนะ” ดวงตาคมปลาบจ้องมองคนตัวเล็ก เขาพอใจกับท่าทีไม่สะทกสะท้านแม้ถูกสายตาของเขากดดันอยู่ มุมปากยกยิ้มขึ้นก่อนเอ่ย “ทำไมคิดว่าผมเล่นๆ กับคุณเล่า” “ก็...คนอย่างคุณ...” “คนอย่างผม?” เขาชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อน “คนอย่างผมไม่คู่ควรกับคุณหมอย่างคุณเหรอ” “มะ..ไม่ใช่แบบนั้น...เอ่อ...คือ..ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใครแต่คุณมีฐานะทางสังคมดีกว่าแล้วก็...”เธออึกอักพลันหน้าเห่อร้อนขึ้นมา “เรื่องคืนนั้นมันก็แค่วันไนท์สแตนด์ เราไม่ควรเจอกันอีก” “แค่วันไนท์สแตนด์?” เขาหรี่ตาจ้องมองใบหน้าหวานที่แดงเรื่อ “ผมไม่คิดว่าเรื่องคืนนั้นเป็นแค่วันไนท์สแตนด์ และเป็นคุณต่างหากที่ทิ้งผม” “คะ? ฉันนะเหรอ” นิ้วเรียวชี้ที่หน้าตัวเองอย่างงุนงง “ผมเขียนโน้ตวางไว้บนหมอน ให้คุณรอผม ผมมีนัดกับลูกค้าตอนสิบโมงเช้า แต่พอผมเสร็จธุระแล้วกลับเข้ามาเจอแค่ที่นอนยับยู่ยี่นี่นะ” “ก็...ฉันไม่เห็นโน้ตอะไรเลย แต่ถึงเห็น...ฉันก็
“อืม ...คุณกลัวเหรอ” “กลัวอาชีพคุณมากกว่า” คราวนี้โจวเจียอียิ้มออกมา “เมื่อก่อนคนไทยมองคนจีนเป็นเหมือนพี่น้องไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเห็นคนจีนต้องเป็นจีนเทาหรือไง” “เอ่อ...ก็ไม่ใช่...ฉันแค่ไม่รู้ว่าคุณทำงานอะไรแล้วอีกอย่างคนทั่วๆไปใครเขามีบอดี้การ์ดติดตามแบบนี้” “ก็จริงของคุณ” เขาจิบน้ำชาแล้วถอนหายใจเบาๆ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้มันไม่ง่ายเลย “หน้าที่พวกเขาเป็นบอดี้การ์ด แต่ก็สนิทกันเหมือนคนในครอบครัว แต่ไม่ว่าอย่างไร ผมก็คือเจ้านายและเป็นจ่าฝูง จะทำตัวสนิทกับพวกเขามากก็ไม่ดีนัก” ธีรยาจิบน้ำชาเลียนแบบเขา น้ำชาอุ่นร้อนกำลังดีและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีจริงๆ โจวเจียอีเห็นสีหน้าอีกฝ่ายผ่อนคลายลงมากก็หยิบสมาร์ทโฟนออกมาเลื่อนหน้าจอแล้วยื่นให้เธอดู “คะ?” เธอนั่งอยู่ข้างเขา แต่ชายหนุ่มก็เอียงตัวเข้ามาใกล้จนไหล่ชิดกัน “คุณอยากรู้จักผมไม่ใช่เหรอ ผมเลยเซิร์สชื่อผมให้คุณดูไง” เขาพูดแสร้างทำหน้าซื่อ “ผมเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียงพอสมควร แต่ก็มีทั้งชื่อเสียงและชื่อเสียคุณคงต้องใช้เวลาพิจารณาสักหน่อย
ธีรยามองแผ่นหลังของก้องภพอย่างงุนงง สีหน้าเขาดูแปลกๆ และเมื่อครู่เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดออกมา ปกติเขาเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาและเป็นกันเอง พอเห็นสีหน้านิ่งขรึมแล้วเธอก็อดเป็นกังวลไม่ได้ หรือเขามีเรื่องไม่สบายแต่ไม่กล้าพูด หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วกลับไปทำงานของตนเองพร้อมถุงขนมจากผู้ชายช่างตื้อคนนั้น ‘ผมกลับไปดูงานที่ไต้หวัน ผมให้ลูกน้องไปส่งดอกไม้และขนมให้คุณ คุณจะได้ไม่ต้องกลัวเจอคนแปลกหน้าหรือคิดว่าเป็นพวกมิจฉาชีพ’ ‘ไม่เห็นต้องส่งของอะไรพวกนี้มาเลย’ ‘ก็ผมจีบคุณอยู่ไง’ ธีรยาจำได้ว่าพูดตอบเขาไปทางโทรศัพท์ แม้ปากพูดไปแบบนั้นแต่ช่อดอกกุหลาบสีชมพูหวานสวยก็เล่นเอาใจเธอละลายได้เหมือนกัน จากดอกไม้ก็เป็นขนม ต่อไปเขาจะส่งอะไรให้เธออีกนะ ไม่เอาสิธีรยา! อย่าทำเหมือนรอคอยให้เขาส่งของมาให้แบบนี้สิ! ก้องภพรู้สึกแปลกๆ เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้ว่ามีผู้ชายมาจีบธีรยา แต่หญิงสาวเป็นคนหัวอ่อน ไม่สิ เรียกว่าความรู้สึกช้าน่าจะถูก กว่าจะรู้ว่าผู้ชายคนนั้นมาจีบ ผู้ชายคนนั้นถอนใจจากเด็
“เราถูกย้ายมาทำงานที่กรุงเทพฯ แล้ว” “จริงเหรอ แบบนี้ก็ดีเลยสิ” ธีรยายิ้มกว้าง “พักแถวไหนล่ะ แบบนี้ก็ดีเลยนะจะได้กลับไปช่วยงานแม่เพ็ญนภาได้” “อะไรกัน นี่อย่าบอกนะว่าหมิวยังกลับไปที่บ้านนั้นอีกนะ” ปกป้องทำตาโต “ทำไมจะกลับไปไม่ได้ล่ะ ป้องนั้นแหละ ทำไมไม่กลับไปหาแม่เพ็ญนภาบ้าง” “ไม่อยากฟังบ่น” ปกป้องยักไหล่ “เลิกงานแล้วมีนัดที่ไหนไหม ไปหาอะไรกินกัน ป้องเลี้ยงเองในฐานะที่ได้ย้ายกลับมาอยู่ใกล้หมิว” “เรื่องกินไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว” หญิงสาวพยักหน้ารับแต่ก็อดกวาดตามองรอบๆไม่ได้ ไม่เอาน่า เธอไม่ได้รอใครเสียหน่อย ทำไมต้องมองหาด้วยเล่า “รอใครหรือเปล่า นัดพี่หมอก้องไว้เหรอ” ปกป้องถามเพราะสังเกตได้ว่าธีรยาเหมือนมองหาใครอยู่ แถมยังแต่งหน้าทาปากอีกด้วย ปกติไม่ค่อยเห็นคนตัวเล็กแต่งหน้าสักเท่าไหร่ “เปล่า” หญิงสาวส่ายหน้ายืนยัน “ไปเถอะ หิวแล้ว ว่าแต่เจ้ามือจะเลือกร้านให้หรือให้หมิวเลือกร้านเอง” “หมิวเลือกเลยสิ อยากกินอะไร ป๋าจ่ายเอง” “อืม เราเห็นร้านบะหมี่ติดแอร์เปิดใหม่ใกล้ๆ โรงพย
“เอาไว้คราวหน้าเรามารับหมิวไปหาอะไรอร่อยๆ กินอีกนะ” “ได้สิ คราวหน้าหมิวเลี้ยงคืนนะ” “ตามใจ” ปกป้องยิ้มแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่งจนธีรยาเอ่ยปากถาม “มีอะไรหรือเปล่า” “เปล่าๆ ไม่มีอะไร หมิวขึ้นห้องเถอะ พรุ่งนี้ต้องทำงานใช่ไหม” “อื้ม ป้องก็เหมือนกัน กลับบ้านดีๆนะ” “งั้นเราไปล่ะ” ธีรยายืนรอจนรถของปกป้องเคลื่อนไปสุดสายตาแล้วเธอจึงเดินเข้ามาในคอนโด เพราะใจลอยคิดเรื่องอื่นอยู่จึงไม่ทันรู้ว่ามีคนก้าวมายืนซ้อนด้านหลัง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดข้อความถึงปกป้อง ‘ถึงห้องแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง’ เพราะฝ่ายนั้นเอาแต่ย้ำหนักหนาว่า ถึงห้องแล้วต้องส่งข้อความมาบอกเขา แต่ขณะที่รอลิฟต์อยู่ก็รู้สึกว่าคนด้านหลังยืนชิดเธอเกินไป ร่างเล็กจึงขยับเท้าตั้งใจหลบให้คนด้านหลังเข้าไปในลิฟต์ก่อน แต่ไหล่ของเธอถูกมือใหญ่จับไว้มั่นแล้วดันเข้าไปด้านในทันทีที่ลิฟต์เปิดประตูออก “อ๊ะ! คุณ...” ธีรยาเอี้ยวตัวหันไปมองจึงรู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังคือ...“อีริค ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่” “ก็คุณอยู่ที่นี่ผมก็อยู่ที่นี่สิ ช