โจวเจียอีหรือที่รู้จักกันอีกชื่อคืออีริค ชายหนุ่มลูกครึ่งจีน-ไทย มารดาของเขาเป็นคนไทย หลังจากบิดาเสียชีวิตเขาคือผู้รับช่วงต่อกิจการทั้งหมด ส่วนมารดาที่ไม่มีญาติหรือเพื่อนสนิทที่จีนอยากกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย เขาก็ตามใจผู้เป็นแม่ จัดหาบ้านช่องห้องหับที่ปลอดภัยเพราะตัวเขาไม่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วย แต่เทียวไปเทียวมาเพราะเรื่องธุรกิจและเป็นห่วงมารดา เช่นวันนี้เขามาเซ็นสัญญาทางธุรกิจและมีเลี้ยงต้อนรับ ตัวเขาไม่ชอบงานเลี้ยงนักแต่ก็ต้องอยู่จนจบงาน
ชายหนุ่มปลีกตัวออกมาและเดินลงมาว่าจะหาอะไรดื่มสักเล็กน้อยค่อยกลับขึ้นห้องไปนอนพัก และเตรียมตัวเดินทางกลับ แต่บังเอิญพบหญิงสาวคนหนึ่งเขา รู้สึกถูกชะตาตั้งแต่เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา อยู่มาจนอายุสามสิบปีเพิ่งเคยรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงเป็นครั้งแรก เห็นเพียงแวบเดียวก็รู้สึกอยากครอบครองขึ้นมาทันที เขาเห็นเธอต้องการหลบผู้ชายที่เดินตามมาอยู่จึงฉวยโอกาสพามาที่ห้องของเขา
ชายหนุ่มโบกมือไล่บอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าอยู่ให้ถอยห่าง คนตัวเล็กซุกซบในอกกว้างเดินแทบไม่ไหว เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว เธอก็เตะรองเท้าออกจากปลายเท้าแล้วเดินไปที่ริมระเบียงของห้องสวีทสุดหรูที่เขาพักอยู่
“สวยจัง” เธอพูดเสียงอ้อแอ้ “ห้องฉันอยู่ชั้นล่าง มองเห็นวิวทะเลนะ แต่ไม่สวยเท่านี้”
“นี่ห้องสวีทก็ต้องสวยกว่าอยู่แล้ว” เขาพูดพลางถอดเสื้อนอกออกตามด้วยเนคไท “ผมมีไวน์แดงปี1980อยู่ คุณดื่มได้ไหม หรืออยากดื่มอย่างอื่นผมจะสั่งให้”
“เอาสิ ฉันไม่เคยลอง”
เธอตอบแล้วหันมายิ้มจนดวงตาเป็นประกายก่อนจะเดินตัวเซมาทางเขา ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วจูงมือเธอมานั่งที่เก้าอี้ริมระเบียงแล้วเดินกลับไปรินไวน์สองแก้วของตัวเขาและคนแปลกหน้าของคืนนี้ มือเรียวเล็กยื่นไปรับแล้วประคองด้วยสองมือราวกับมันเป็นแก้วกาแฟ เธอจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นเห็นเขายกแก้วไวน์ขึ้นดื่มด้วยท่าทีผ่อนคลาย เธอจึงยกแก้วขึ้นดื่มบ้าง
“อ่า...รู้สึกฝาดๆ ลิ้นจัง”
“ดื่มแบบนั้นจะไปรู้รสอะไร” เขาหัวเราะอารมณ์ดี ทั้งที่วันนี้เคร่งเครียดมาทั้งวัน เขาเติมไวน์ให้เธอและของตัวเองก่อนพูดต่อ
“หมุนวนแก้วไวน์ เพื่อให้ไวน์ขยายวงกว้างขึ้น ทำแบบนี้จะเพิ่มการสัมผัสกับอากาศของไวน์ ทำให้กลิ่นของไวน์เข้มข้นขึ้น ต้องหมุนไวน์โดยจับแก้วที่ฐานหรือก้าน”
เขาพูดพลางสาธิตให้เธอดู
“ดมไวน์ในขณะที่คุณหมุนวน เพื่อให้ได้กลิ่นหอม กลิ่นทั่วไปของไวน์ จะมีกลิ่นของผลไม้ เครื่องเทศ สมุนไพร และดอกไม้ต่างๆ ไวน์จะดีที่สุดเมื่อจิบและลิ้มรส เมื่อเทียบกับการกลืนลงไป จิบไวน์ขนาดเล็กถึงปานกลาง และอมไว้ตรงกลางลิ้นก่อนกลืน วิธีนี้จะช่วยให้คุณได้ลิ้มลองรสชาติที่ซับซ้อนของไวน์...”
“ยากจัง” เธอเบ้ปากก่อนยกดื่มรวดเดียวหมด “อ๊า! ไม่อร่อย”
โจวเจียอีมองหญิงแลบลิ้นสีชมพูออกมา ท่าทางเหมือนแมวน้อยทำให้เขาหลุดหัวเราะอย่างไม่เคยทำมาก่อน เสียงทุ่มต่ำของเขาทำให้เธอกำหมัดชกไปที่แผ่นอกอีกฝ่าย แต่เพราะมึนเมาอยู่จึงไม่แรงนัก
ชายหนุ่มคว้าข้อมือเธอแล้วออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ดึงเธอมานั่งบนตักได้อย่างง่ายดาย และก่อนที่หญิงสาวจะรู้ตัว เขาก็จัดการถอดแว่นตาของเธอออก ฝ่ามือใหญ่ลูบแก้มเนียนเบาๆ แต่ธีรยาเห็นแววตาคู่นั้นเหมือนมีลูกไฟอยู่จึงผงะถอยหนี ทว่าเขาใช้มือเพียงข้างเดียวประคองท้ายทอยเธอไว้และใช้มืออีกข้างยกแก้วไวน์ที่เหลือดื่มแล้วประกบริมฝีปากที่เผยอขึ้นอยู่ก่อน
ไวน์แดงไหลเข้าปากของธีรยา ดวงตากลมเบิกกว้างราวกับต้องมนตร์จากดวงตาสีน้ำตาล ลิ้นของเขาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเธอ มอบรสหวามที่เธอไม่เคยสัมผัส การจูบตอบแบบเงอะงะทำเอาชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาผละจากริมฝีปากอิ่มสวยแล้วเอ่ยถาม
“จูบแรก?”
เหมือนจะสางเมาในทันที เธอไม่รู้จะตอบยังไงจึงได้แต่กัดริมฝีปากรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมา ก็ชีวิตเธอมีแค่เรียนกับเรียน เรียนจบก็ทำงานและทำงาน คนที่แอบชอบก็เป็นแค่คนที่แอบชอบไม่เคยได้ใกล้ชิด อย่างมากก็แค่จับมือโอบไหล่แต่ก็เป็นแบบพี่น้อง แต่นี่...ผู้ชายที่เจอกันไม่กี่นาที...
เขายื่นนิ้วโป้งมาแตะริมฝีปากอิ่มสวย
“อย่ากัด”
“คะ?”
คราวนี้เขายื่นหน้ามาใกล้ สบตากับดวงตาเหมือนกระต่ายของเธอก่อนกดริมฝีปากจูบเธออีกครั้ง แรงขบเม้มเบาๆ เรียกร้องให้เธอเปิดกลีบปากให้เขาแทรกเรียวลิ้นเข้าไปกวาดชิมความหวานในโพรงปากสาว ลมหายใจอุ่นร้อนเจือกลิ่นไวน์และ...เอ่อ...บุหรี่สินะ ร่างอ่อนนุ่มอ่อนระทวยไปกับสัมผัสที่เขามอบให้
โจวเจียอีจำไม่ได้แล้วจูบผู้หญิงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน เขาไม่ขาดแคลนผู้หญิงบำเรอใคร่ แต่เขาไม่จูบกับผู้หญิงเหล่านั้น เขาอายุสามสิบแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน ผู้หญิงที่คบหาก็เพราะเรื่องของธุรกิจเรียกว่าคนรักคงไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับใคร แต่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกต้องการผู้หญิงอย่างที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เป็นความปรารถนาอย่างรุนแรง
กระโปรงร่นขึ้นมาเล็กน้อยเผยให้เห็นเรียวขาสวย ฝ่ามือเลื่อนไปลูบต้นขาขาวเนียนปลุกเร้าให้อีกฝ่ายตอบรับความต้องการเช่นเดียวกันเขา ร่างอ่อนนุ่มเอนตัวเข้าหาสองมือเปะปะไปบนแผ่นอกกำยำ เพียงปลายนิ้วแตะจุดอ่อนไหวแม้สัมผัสผ่านกางเกงชั้นในก็ทำให้เธอหลุดเสียงครางแม้ริมฝีปากจะถูกจูบดูดดื่มอยู่ก็ตาม นิ้วกร้านสัมผัสรอยเปียกชื้น เขาถอนริมฝีปากแล้วยิ้มร้ายที่มุมปาก
“คุณเปียกแล้วนี่”
จูบของเขาปล้นสติของเธอไปหมดสิ้น สมองมึนงงอยู่จนกระทั่งเขาช้อนตัวอุ้มร่างบอบบางมาวางบนเตียงแล้วจึงเพิ่งรู้สึกตัว ดวงตากลมจ้องมองร่างสูงโปร่งที่กำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต สายตาของเขาจ้องมองลิ้นน้อยๆที่แลบออกมาเลียริมฝีปากของตน เขาถอดเสื้อโยนลงพื้นตามด้วยปลดเข็มขัด คราวนี้เธอหลุบตาลงไม่กล้ามองอีก เสียงหัวเราะทุ่มต่ำในลำคอทำให้เธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาทาบตัวลงมากดทับร่างของเธอสองมือลูบไล้เรือนร่างปลุกเร้าเลือดในกายให้เดือดพล่าน ชุดเดรสถูกถอดไปอย่างง่ายดาย เสียงลมหายใจสูดลึกทำให้เธอไม่มั่นใจว่าเขาคิดอย่างไรอยู่ สองมือยกขึ้นปิดหน้าอกที่มีบราเซียลูกไม้สีแดงปกปิด ปกติเธอมีแต่เสื้อผ้าสีเรียบ แต่สำหรับชุดชั้นในนั้นอาจเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยเดียวที่เธอให้อนุญาตให้ตัวเองทำได้
ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความปรารถนาจะครอบครอง เขาโน้มหน้าลงจูบกลีบปากหวานฉ่ำอีกครั้ง สัมผัสเรือนร่างเธออีกหนแต่เท่าไรก็เหมือนไม่พอ ริมฝีปากร้อนพรมจูบที่ลำคอก่อนจะปลดชุดชั้นในเธออกเผยทรวงอกอวบอิ่ม ความเมามายอาจทำให้ธีรยาใจกล้าและปลดปล่อยตัวเองกับความต้องการลึกเร้นอยู่ภายใน เพียงริมฝีปากเขาครอบครองปลายถัน ร่างบางก็สั่นระริกขึ้นมา เสียงครางหวานหลุดจากปากสวย ปลายลิ้นรัวที่ปลายอดอกสลับดูดดึงและยิ่งใช้มือบีบเคล้นจนเธอแทบคลั่ง ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางยิ่งทำให้ชายหนุ่มพึ่งพอใจ เขาซุกไซ้ทรวงอกอวบอิ่มพอดีมืออย่างหิวกระหาย ร่างบิดเร้าไปมายิ่งบดเบียดเสียดสีกระตุ้นให้แท่งเอ็นของเขาแข็งขันราวกับเสาหินที่รอตอกกระแทกในร่องสวาทที่เปียกแฉะ แต่มันยังไม่ชื้นเปียกแฉะมากพอ เพียงใช้นิ้วสัมผัสก็รับรู้ได้ว่าช่องทางนี้ช่างคับแคบนักจะนำพาเอ็นอุ่นของเขาเข้าไปเขาต้องเตรียมเธอให้พร้อมกว่านี้ “อึก...คุณ...คุณ...” ธีรยาส่ายหน้าไปมาจนเส้นผมสยาย นิ้วร้ายกาจแทรกเข้าไปในส่วนที่ไม่เคยมีใครสัมผัส เพียงการขยับนิ้วเข้าออกก็ทำให้เธอเสียวซ่านไปทั่วร่าง “อีริค” เขาพูดเสียงพร่า “เรียกชื่อผม”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีหวานสวมเสื้อกาวน์สั้นเดินเข้ามาในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลพร้อมถุงขนมในมือ มือเรียวขยับแว่นตาให้ชิดใบหน้าก่อนผลักบานประตูเข้าไป เวลานี้ไม่มีคนไข้หนัก คุณหมอหนุ่มกำลังนั่งอ่านเคสคนไข้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ “พี่หมอก้องยุ่งหรือเปล่าคะ” คนถูกทักเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “น้องหมิวมาถึงER มีอะไรหรือเปล่าเอ่ย” หมิว-ธีรยา คุณหมอคนสวยส่ายหน้า เธออยู่แผนกพยาธิวิทยาแต่ตอนนี้ออกเวรแล้วจึงเดินมาที่แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เพื่อพบหมอก้องภพซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่จบจากโรงเรียนมัธยมเดียวกันและมหาวิทยาลัยเดียวกัน แม้จะห่างกันหลายรุ่นก็ตาม และใช่..เป็นคนที่ทำให้เธออกหัก “สองสามวันก่อนพยาบาลแพรวเล่าให้ฟังว่าขนมในห้องERหายไป พอดีหมิวได้ขนมถั่วทอดโบราณเจ้าอร่อยมา ก็เลยเอาฝากพี่หมอก้องค่ะ” “แหม! เรื่องน่าอายแบบนั้นเอาไปคุยเล่นกันอีก” ก้องภพหัวเราะร่า เขาเป็นคนอารมณ์ดี หัวเราะง่าย ผิดกับเวลารักษาคนเจ็บหรือคนไข้จะจริงจังจนน่ากลัว ธีรยาพลอยหัวเราะตามไปด้วยแล้วยื่นถุงกระดาษที่ใส่ขนมส่งให้เขา “ไม่เกรงใจนะ”
เธอทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงนะ เพราะเมาเหรอ? เธอถามตัวเองเป็นร้อยเป็นพันครั้ง จะเรียกว่าเมาก็พูดได้ไม่เต็มปาก เธอยังมีสติพอตัดสินใจในการกระทำของตัวเอง แต่เธอก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าถูกผู้ชายคนนั้นจับพลิกคว่ำพลิกหงายไปกี่รอบและถึงจุดสุดยอดไปกี่ครั้ง ร้องครางจนเสียงแหบไปเลย แต่เธอกลับจำไม่ได้แน่ชัดว่าผู้ชายคนนั้นชื่ออะไร เหมือนเขาจะบอกเธออยู่นะ ส่วนเธอก็มั่นใจว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้เขา เธอเพลียจนผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่รู้สึกตัวตื่นตอนที่พี่ก้องภพโทรหา เธอจึงรู้ว่าไม่ได้นอนที่ห้องตัวเอง หลังจากตั้งสติได้ก็รีบพาร่างเปลือยเปล่าสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและหิ้วรองเท้ากับกระเป๋าสะพายออกมาจากห้องนั้น หลังจากกลับมาที่ห้องตัวเองก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางกลับ แต่นึกขึ้นได้ เธอไม่มั่นใจว่า...เขาใช้ถุงยางอนามัยหรือเปล่าทำให้เธอต้องตาลีตาเหลือกไปซื้อยาคุมฉุกเฉินป้องกันไว้ก่อน นัวเนียกันขนาดนั้น เธอกลับจำหน้าเขาไม่ได้ จะเรียกว่าจำไม่ได้ก็ไม่ใช่ เหมือนมันเลือนรางเสียมากกว่า “ลูกหมิว?” “คะ!” ธีรยาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ “แม
ธีรยาส่งยิ้มหวานแล้วลุกขึ้นยืน ไหนๆเจ้าบ้านก็เปิดไฟเขียวแล้ว ขอเดินสำรวจดูหน่อยเถอะนะ เผื่อเจออะไรไม่ดีจะได้รีบดึงแม่ออกมา หญิงสาวเดินออกมานอกห้องรับแขก ลังเลครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเดินไปตามทางที่ออกไปสวนด้านนอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ริอาจใจกล้าขึ้นไปชั้นบนของคฤหาสน์ เธอจึงเดินดูรอบๆ บริเวณบ้าน สวนหย่อมขนาดใหญ่ให้ความร่มรื่นจนเธอลืมว่าตัวเองมาสำรวจจับผิดเรื่องอะไร บ้านของเธอหลังเล็กแต่อบอุ่น แต่ถ้ามีบริเวณกว้างๆ แบบนี้ก็คงดีไม่น้อย ได้เดินเล่นผ่อนคลายบ้าง เสียดายที่เธอมาเอาเสียเย็นย่ำมองไม่เห็นว่ามีต้นไม้อะไรบ้าง ดูไปดูมาเจ้าของบ้านอาจจัดปาร์ตี้ที่บ้านบ่อย เพราะบริเวณสามารถจัดงานเลี้ยงขนาดย่อมได้เลย จังหวะที่หมุนตัวกลับ ร่างเล็กก็ปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างจนเกือบล้ม มือใหญ่ยื่นมาประคองไหล่เธอไว้ได้ทัน ธีรยายกมือขึ้นดันแว่นตาให้เข้าที่แล้วก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น “คุณ!” “คุณ...”ชายหนุ่มที่ปกติใบหน้านิ่งไร้อารมณ์แต่ยามนี้มุมปากยกยิ้มขึ้น แรกทีเดียวเขามองผ่านๆ เห็นเงาร่างไม่คุ้นเคยอยู่ที่สวนหย่อม หากเป็นเพื่อนแม่ก็ดูจะอายุน้อยไปหน่อย แม้จะเห็นแต่แผ
“โรงพยาบาล?” กานดาทำท่าตกใจ “ลูกไม่สบายเหรอ”“เปล่าครับ พอดีลูกน้องทำเรื่องไว้” เขายิ้มและส่งสายตาให้หญิงสาว “วันนั้นคุณคงเสียขวัญน่าดู แต่ทางทนายของเราติดต่อชดใช้ค่าเสียหายและบริจาคเงินให้ทางโรงพยาบาลแล้ว” “เสียขวัญ? นี่มันเรื่องอะไรกันยัยหมิว ไม่เห็นเล่าให้แม่ฟังเลย” คราวนี้คุณเพ็ญนภาทำหน้ากังวล ธีรยาจึงจำเป็นต้องเปิดปากพูดบ้าง ไม่อย่างนั้นแม่จะเป็นกังวลเรื่องงานของเธอ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คนทะเลาะกันที่โรงพยาบาลค่ะ เรื่องพวกนี้ทางผู้ใหญ่เป็นคนดูแลจัดการ หมิวไม่รู้เรื่องด้วย แล้วอีกอย่างก็คนละแผนกกัน” “อ่อ...มิน่าล่ะ ผมกลับไปที่แผนกฉุกเฉินอีกครั้งแต่ไม่พบคุณ” เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ จริงๆ เขาก็อยากเจอคุณหมอคนสวยอยู่เหมือนกัน เป็นครั้งแรกที่เขาอนุญาตให้ผู้หญิงที่มีเซ็กส์นอนบนเตียงเดียวกัน ถึงไม่อนุญาตเธอก็โดนเขาจับกินจนสิ้นเรี่ยวแรงไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าตอนเช้าเขาออกไปคุยงานกับลูกค้า กลับเข้ามาพบแค่ที่นอนยับยู่ กระดาษโน้ตที่เขียนไว้ให้เธออยู่รอกินข้าวเที่ยงด้วยกันก็เหมือนกับไม่ถูกหยิบขึ้นมาอ่านเลย เขาทั้งหงุดหงิด โมโห เสียหน้า
“เช่าชุด?” เขาถามเพื่อความแน่ใจแล้วขับรถออกไป “ค่ะ...เช่าชุดใส่ไปงานแต่งงาน ธีมงานขาว-ชมพู ก็เลยว่าจะไปหาดูที่ร้านนี้ ถ้าสั่งออนไลน์ก็กลัวจะไม่ตรงปกค่ะ”“ถ้างั้นผมเลือกร้านให้เอาไหม?” “เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ”“ไม่เชื่อเซนส์ผมเหรอ” เขายิ้มทั้งที่ตายังมองไปยังถนนตรงหน้า “หรือถ้าห่วงเรื่องเงิน เรื่องนั้นผมจัดการให้ได้” “เราเพิ่งรู้จักกันคุณไม่ต้องเปย์ให้ขนาดนี้ก็ได้ค่ะ” เธอไม่ชอบรับของจากคนแปลกหน้าด้วย กลัวถูกทวงทีหลังอีกต่างหาก“ก็ผมไม่อยากเป็นแค่คนรู้จัก”“คุณนี่...จะจีบเหรอ” ธีรยาดันแว่นตาขึ้นชิดใบหน้า “ถ้าเห็นฉันเป็นของแปลกก็ไม่ต้องมาจีบเลยนะ”“ก็แปลกจนน่าสนใจไง” เขาพูดไปตามตรงแล้วขับรถไปห้างสรรพสินค้าหรูหรา เมื่อจอดรถเรียบร้อยก็เดินมาเปิดประตูรถให้หญิงสาวลงมา “มาเถอะ ผมไม่พาไปฆ่าไปแกงหรอก ตัวแค่นี้กินไม่อิ่ม” เขายิ้มกริ่มพลางกวาดสายตามอง “แต่ถ้าอย่างอื่นก็ไม่แน่...” “คุณนี่... หน้าตาก็ดี ปากร้ายชะมัด” “ยอมรับว่าผมหน้าตาดีแล้วสิ” ธีรยาไม่เคยเจอคนหน้าหนาแบบนี้มาก่อน จู่ๆ ก็ถูกเขาคว้าข้อมือไว้ หญิงสาวตกใจแล้วดึงมือกลับ “แค่จะใ
“คุณ...อย่ามาล้อเล่นกันแบบนี้” ธีรยาจ้องตาเขาอย่างไม่เกรงกลัวอีกฝ่าย “ฉันไม่ใช่ของเล่นของคุณนะ” ดวงตาคมปลาบจ้องมองคนตัวเล็ก เขาพอใจกับท่าทีไม่สะทกสะท้านแม้ถูกสายตาของเขากดดันอยู่ มุมปากยกยิ้มขึ้นก่อนเอ่ย “ทำไมคิดว่าผมเล่นๆ กับคุณเล่า” “ก็...คนอย่างคุณ...” “คนอย่างผม?” เขาชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อน “คนอย่างผมไม่คู่ควรกับคุณหมอย่างคุณเหรอ” “มะ..ไม่ใช่แบบนั้น...เอ่อ...คือ..ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใครแต่คุณมีฐานะทางสังคมดีกว่าแล้วก็...”เธออึกอักพลันหน้าเห่อร้อนขึ้นมา “เรื่องคืนนั้นมันก็แค่วันไนท์สแตนด์ เราไม่ควรเจอกันอีก” “แค่วันไนท์สแตนด์?” เขาหรี่ตาจ้องมองใบหน้าหวานที่แดงเรื่อ “ผมไม่คิดว่าเรื่องคืนนั้นเป็นแค่วันไนท์สแตนด์ และเป็นคุณต่างหากที่ทิ้งผม” “คะ? ฉันนะเหรอ” นิ้วเรียวชี้ที่หน้าตัวเองอย่างงุนงง “ผมเขียนโน้ตวางไว้บนหมอน ให้คุณรอผม ผมมีนัดกับลูกค้าตอนสิบโมงเช้า แต่พอผมเสร็จธุระแล้วกลับเข้ามาเจอแค่ที่นอนยับยู่ยี่นี่นะ” “ก็...ฉันไม่เห็นโน้ตอะไรเลย แต่ถึงเห็น...ฉันก็
“อืม ...คุณกลัวเหรอ” “กลัวอาชีพคุณมากกว่า” คราวนี้โจวเจียอียิ้มออกมา “เมื่อก่อนคนไทยมองคนจีนเป็นเหมือนพี่น้องไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเห็นคนจีนต้องเป็นจีนเทาหรือไง” “เอ่อ...ก็ไม่ใช่...ฉันแค่ไม่รู้ว่าคุณทำงานอะไรแล้วอีกอย่างคนทั่วๆไปใครเขามีบอดี้การ์ดติดตามแบบนี้” “ก็จริงของคุณ” เขาจิบน้ำชาแล้วถอนหายใจเบาๆ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้มันไม่ง่ายเลย “หน้าที่พวกเขาเป็นบอดี้การ์ด แต่ก็สนิทกันเหมือนคนในครอบครัว แต่ไม่ว่าอย่างไร ผมก็คือเจ้านายและเป็นจ่าฝูง จะทำตัวสนิทกับพวกเขามากก็ไม่ดีนัก” ธีรยาจิบน้ำชาเลียนแบบเขา น้ำชาอุ่นร้อนกำลังดีและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีจริงๆ โจวเจียอีเห็นสีหน้าอีกฝ่ายผ่อนคลายลงมากก็หยิบสมาร์ทโฟนออกมาเลื่อนหน้าจอแล้วยื่นให้เธอดู “คะ?” เธอนั่งอยู่ข้างเขา แต่ชายหนุ่มก็เอียงตัวเข้ามาใกล้จนไหล่ชิดกัน “คุณอยากรู้จักผมไม่ใช่เหรอ ผมเลยเซิร์สชื่อผมให้คุณดูไง” เขาพูดแสร้างทำหน้าซื่อ “ผมเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียงพอสมควร แต่ก็มีทั้งชื่อเสียงและชื่อเสียคุณคงต้องใช้เวลาพิจารณาสักหน่อย