สองพี่น้องฝาแฝด ที่ได้รับสมญานามแฝดอัจฉริยะ ได้มาเกิดใหม่ในยุคต่างมิติ และยังคงเป็นแฝดกันเหมือนเดิม อีกทั้งความทรงจำจากชีวิตเดิมยังคงอยู่ แต่ในโลกใหม่ที่คำว่า'เหนือฟ้า ยังมีฟ้า' ทำให้สองพี่น้องจำต้องเลือกหนทางเดิน เพื่อพาพวกเขาและครอบครัวใหม่ ให้มีชีวิตรอดจากสิ่งเลวร้าย ที่ถาโถมเข้ามาเหมือนพายุโหมกระหน่ำ
ดูเพิ่มเติมหยางเจี่ยนสะบัดแส้ทั้งหนักหน่วงและรวดเร็ว เข้าใส่ร่างของเหล่านักฆ่า สายตาคมกริบมองเห็นแล้วว่าตอนนี้ ขบวนของเขาแตกกระจายไปคนละทิศทาง ขวับ! ชายหนุ่มหันกลับไปยังด้านหลัง “ไท้เอ๋อร์!” น้องชายของเขากำลังถูกแยกออกห่างไปไกล หยางเจี่ยนขบกรามแน่น หากเขาติดตามช่วยน้องชาย แม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ยคงยากจะรอดชีวิต “คุณชายใหญ่!” ติ้งพุ่งเข้าช่วยผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว ส่วนจิ้งวิ่งติดตามคุณชายน้อยไปอีกด้าน “ไปช่วยพวกเขา!” ไม่มีคำว่าลังเลหรือทัดทาน ติ้งรีบติดตามจิ้งไปในทันที ส่วนหยางเจี่ยนคำรามก้อง พร้อมพุ่งเข้าช่วยแม่ทัพหนุ่มอย่างรวดเร็วและดุดัน “ทางนี้ข้าจัดการเอง โปรดช่วยฮวาเอ๋อร์” หยางเจี่ยนที่หลังชนอยู่กับว่าที่น้องเขย เอ่ยกึ่งร้องขอกับแม่ทัพหนุ่ม เพื่อให้ติดตามช่วยน้องสาว คำตอบรับใดออกจากปากของจ้าวหมิงเยี่ย แม่ทัพหนุ่มทำเพียงตวัดดาบในมืออย่างดุดัน ก่อนจะชิงจังหวะออกจากวงล้อมติดตามรถม้าของคาหมั้นไป ทางด้านหยางจี่ยนตวัดแส้ด้วยพลังขั้นสูง จนแขนที่รับพลังและสะบัดแส้อย่างหนักหน่วง ถึงกับเจ็บร้าวจนแทบ
“เราหาที่ซ่อนตัวกันก่อนเถอะ พวกมันอาจส่งคนติดตามมาเพิ่มอีกก็เป็นได้ เพราะหากคนของมันมิได้กลับไปรายงานผล ส่วนเรื่องอื่นเราค่อยว่ากันหลังจากทุกคนปลอดภัยแล้ว”จ้าวหมิงเยี่ยเสนอขึ้น ด้วยตอนนี้พวกเขาทุกคนไม่อาจรับมือซึ่งหน้ากับผู้ใดได้แน่นอน แค่หายใจได้จนถึงที่หมายก็นับว่าเก่งมากแล้ว“ขอรับ” ฉินชีตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มก้าวผ่านคนทั้งสามไป เพียงแผ่นหลังกว้างต้องแสงจันทร์ คนทั้งสามถึงกับสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ บาดแผลด้านหน้าของท่านแม่ทัพว่าสาหัสมากแล้ว ทว่าแผ่นหลังดูจะย่ำแย่กว่าหลายเท่านัก“ระวังเจ้าค่ะ”เจินจูรีบประคองฉินชี ที่เซจนเกือบล้มเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะพากันก้าวตามแม่ทัพหนุ่มไป“รอข้าสักครู่เถิดเจ้าค่ะ”ชิงหลิงเอ่ยขึ้น ทำให้คนทั้งสามที่กำลังก้าวเดิน ได้หยุดหันมองหญิงสาวด้วยความสงสัย ซึ่งตอนนี้นางกำลังวิ่งไปคว้าเอาอาวุธของผู้เป็นนาย แล้ววิ่งตรงไปยังรถม้าที่ล้มห่างออกไปพอสมควร หญิงสาวปีนเข้าไปนำผ้านวมและเสื้อคลุมเท่าที่มี พร้อมกล่องยาวิ่งกลับมาสบทบกับทุกคน“คุณหนูบอกว่าอย่าได้ประมาทต่อทุกสถานการณ์เจ้าค่ะ ยิ่งดึกมากเท่าไหร่อากาศจะยิ่งเหน็บหนาว อีกอย่างเรามิอาจก่อกองไฟไ
กระบี่ในมือพุ่งเข้าหาคนที่บังอาจทำร้ายฉินชี โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ดึงกระบี่ออกพ้นร่างของชายหนุ่มเลยด้วยซ้ำ เสียงคำรามราวพยัคฆ์ของเจินจู สร้างความพรั่นพรึงให้แก่ศัตรูอยู่ไม่น้อยดั่งคำโบราณกล่าวไว้ ว่าอย่าได้ทำให้สตรีมีโทสะ เพราะต่อให้ตรงหน้าคือขุนเขาตั้งตระหง่าน สตรีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงโทสะสามารถที่จะทลายมันลงได้ขนเป็นผุยผงฉินชีกัดฟันปลดสายคาดเอวออก ก่อนจะผูกปิดปากแผลเอาไว้ เพื่อให้เลือดไหลช้าลงอีกสักหน่อย ชายหนุ่มข่มกลั้นทุกความเจ็บปวด แล้วพุ่งเข้าช่วยเหลือเจินจู ที่กำลังห้ำหั่นกับคนร้ายราวคนไร้สติความคุมทางด้านชิงหลิงเวลานี้ได้ฝ่าไปจนถึงตัวผู้เป็นนายแล้ว สองนายบ่าวหันหลังชนกัน เมื่อพวกนางตกอยู่ในวงล้อมอีกครั้ง สถานการณ์ในตอนนี้ บอกได้เพียงว่าสู้สุดใจยังมิรู้จะรอดไปได้หรือไม่"กินยานี่เร็วเข้า"ในจังหวะที่เจินจูถอยร่นมาจนถึงชายหนุ่ม หญิงสาวใช้มือข้างที่ไร้อาวุธยื่นส่งยาให้แก่ฉินชี กำลังของนางต่อให้ยังเหลืออยู่ แต่มิว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางสู้กับบุรุษ ซึ่งมีพลังเหนือกว่านับสิบคนในคราเดียวได้อยู่ดีชายหนุ่มไม่ถามให้มากความ รับยามาเทเข้าปากไปเสียหลายเม็ด ฉินชีได้ถลาเข้ารับร่างของเ
เส้นทางกลับสู่จวนสกุลจาง เขตป่าเปลี่ยวท้ายขบวน ตลอดเส้นทางความรู้สึกของแม่ทัพหนุ่ม คล้ายย้ำเตือนให้ระวังภัย นี่คือเมืองหลวงเรื่องเช่นนี้น้อยนักที่จะเกิด แต่ทำไมคืนนี้เขากลับรู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย “ฮวาเอ๋อร์ พี่อยากให้เจ้าอย่าเพิ่งหลับได้หรือไม่ พี่เกรงว่า...คุ้มกันรถม้า!” ฟิ้ว! ฉึก! ฟิ้วๆ ยังไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจะเอ่ยจบประโยค เขาจำต้องตะโกนก้องเปลี่ยนเป็นคำสั่งแทน เมื่อเสียงแหวกอากาศของอาวุธดังเฉียดผ่านใบหูไปปักอยู่บนรถม้า ฮี่ๆ เสียงม้าตื่น ทำให้คนในรถม้าคว้าอาวุธประจำกายขึ้นมากระชับไว้แน่น สามนายบ่าวสบตากัน ภายใต้แสงตะเกียงที่แกว่งไกวตามแรงกระทบของรถม้าที่กำลังวิ่งแตกตื่น “คุณหนู!” ชิงหลิงกับเจินจูรีบคว้าจับผู้เป็นนายเอาไว้ เพราะตอนนี้รถม้าวิ่งเร็วจนไม่อาจทรงตัวอยู่ได้แล้ว เจินจูเปิดหน้าต่างออกเพื่อสำรวจด้านนอก สิ่งที่เห็นตอนนี้รถม้าของพวกนาง วิ่งห่างออกจากคณะเข้าป่าข้างทาง แสงไฟจากคบเพลิงที่เคยสว่างไสว บัดนี้มองเห็นเป็นเพียงลูกไฟอยู่ห่างออกไปมากทีเดียว"รถม้าของเรากำลังวิ่งแตกขบวนเจ้าค่ะ"หญิงสาวทั้งสามมั่นใ
“ว่าที่ฮูหยินจาง ช่างงดงามยิ่งนัก” จื่อเว่ยอมยิ้มด้วยความเขินอย นางเคยได้ยินคนกล่าวถึงฮูหยินจ้าว ว่างดงามสูงส่งทั้งยังเป็นสตรีเคียงสามีออกรบ เมื่อได้เห็นใกล้ ๆ ในวันนี้นับว่าไม่มีคำใดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย “ฮูหยินกล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” “หาได้มีสิงใดเกินจริง ถึงว่าท่านพี่หย่งสือมิชายตามองสตรีใดมาก่อนเลย หากพรุ่งนี้ท่านพี่หย่งสือกับคุณหนูฟาง และหลาน ๆ ทั้งสามว่าง ข้าอยากเชิญพวกท่านร่วมมื้อค่ำด้วย จะได้หรือไม่เจ้าคะ” จ้าวฮูหยินอยากที่จะพบหน้าว่าที่สะใภ้แบบใกล้ชิดอีกครั้ง นางจึงตั้งใจเชิญชวนให้ทุกคนไปร่วมมื้อค่ำเป็นการส่วนตัว โดยไม่ต้องถูกคนหมู่มากจ้องมองเช่นคืนนี้ “ย่อมได้ขอรับ เป็นเกียรติยิ่งนักที่ท่านแม่ทัพใหญ่กับจ้าวฮูหยินเชื้อเชิญ” “ยินดียิ่งนักเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้ากับท่านพี่ต้องขอตัวกลับก่อน อ่อ...ข้าได้ให้หมิงเยี่ยติดตามส่งฮวาเอ๋อร์กลับจวนนะเจ้าคะ หวังว่าท่านพี่หย่งสือจะไม่ตำหนิเขา” “ย่อมเป็นการดีมากขอรับ” จางหย่งสือตอบรับคำของสองสามีภรรยา ก่อนจะเดินไปส่งทั้งคู่ขึ้นรถม้า ชายหนุ่มเดินกลับ
“ข้าย่อมต้องสนใจสามีตนเองสิเจ้าคะ”หญิงสาวคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะดึงมือกลับเพื่อคีบอาหารส่งให้สามีเป็นการเอาใจ แม้ว่านางอยากที่จะหันมองอดีตคนรัก กับคุณหนูสกุลหรงผู้นั้นยิ่งนัก แต่มันมิใช่ตอนที่สามีของนางกำลังดื่มหนักเช่นนี้ทางด้านเหลียนฮวาที่เอาแต่คลี่ยิ้มละมุน ในยามที่จ้าวฮูหยินตักอาหารมาให้ลองชิม นางไม่เคยรู้ว่าการอยู่ต่อหน้าครอบครัวของว่าที่สามี ตนเองต้องทำสิ่งใดบ้างเพราะนับตั้งแต่ตื่นมาในร่างนี้ เป้าหมายคือการเป็นคนแข็งแกร่ง และมีชีวิตรอดจากน้ำมือของศัตรูเท่านั้น นางไม่เคยเรียนรู้เรื่องการเป็นสามีภรรยา หรือการเอาใจแม่สามีในอนาคต เพราะทุกวันนางเลือกที่จะฝึกอาวุธ มากกว่าจับตะหลิวหรือเข็มเย็บผ้า“กินเนื้อแกะตุ๋นสักหน่อยนะ ฮวาเอ๋อร์” จ้าวฮูหยินตักเนื้อแกะใส่ถ้วยให้แก่ว่าที่ลูกสะใภ้“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านป้า”เหลียนฮวายิ้มละมุน ก่อนจะคีบเนื้อแกะส่งเข้าปากอย่างว่าง่าย ถึงจะรู้สึกขัดใจตนเองอยู่บ้าง ที่ต้องคีบทีละน้อยและทำอะไรช้าๆ ซึ่งปกตินางจะไม่เรียบร้อยอะไรแบบนี้เท่าใดนัก“เจ้าเองก็ควรจะกินอะไรบ้าง มิใช่เอาแต่ดื่มสุรา”จ้าวฮูหยินเอ่ยกับบุตรชาย ทว่ามือยังคงคีบอาหารวางให้กับว่าที่ลูกสะใภ้
“ข้าแค่พูดตามความจริง อึก! แค่กๆ” หรงเหลียนฮวาเพิ่มแรงบีบ พร้อมยกยิ้มหยันกับปากของสตรีเมืองหลวง ไม่แปลกเลยที่ต้วนชิงชิงจะกล้าทำตัวน่ารังเกียจได้โดยไม่รู้สึกกระดากอายต่อฟ้าดิน ทั้งที่สามีของตนเองนั่งอยู่ในห้องจัดเลี้ยง มิได้อยู่ห่างไกลกันเลยแม้แต่น้อย “ต่ำทรามทั้งการกระทำและคำพูด ข้าจะเตือนเจ้าไว้สักหน่อยนะชูฮูหยิน อย่าได้ใช้ปากอย่างไม่รู้คิด หาไม่แล้วมันจะนำภัยมาสู่เจ้าโดยมิรู้ตัว” “อ๊ะ!” ร่างงามถูกสะบัดจนเซล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ก่อนจะเงยหน้ามองตามสองร่างที่ก้าวผ่านนางไปอย่างไม่แยแส ที่น่าเจ็บใจคืออดีตคนรักไม่ออกตัวปกป้องนางแม้แต่น้อย “สารเลว! ข้าต้องทำให้เจ้ารู้ว่าใครเป็นใคร หรงเหลียนฮวา” ต้วนชิงชิงพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น ก่อนจะลุกขึ้นปัดฝุ่นตามเสื้อผ้า หญิงสาวสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วก้าวเดินไปในทิศทางของห้องจัดเลี้ยง “ฮวาเอ๋อร์ เรื่องนี้...”แม่ทัพหนุ่มเรียกคู่หมั้นเบาๆ ในขณะที่ทั้งคู่เดินใกล้จะถึงเรือนจัดเลี้ยงแล้ว “ข้ามิใช่เด็กอมมือนะเจ้าคะ ที่จะมองว่าสิ่งใดจริงเท
สวนดอกไม้จวนสกุลหรง ตึก! หมับ! แขนเรียวรวบกอดแม่ทัพหนุ่มจากทางด้านหลัง ใบหน้างามแนบชิดกับแผ่นหลังกว้าง ดวงตาที่มักเปล่งประกายหลับพริ้มลง เพื่อซึมซับกับร่างในอ้อมแขนของนาง “พี่เยี่ย” จ้าวหมิงเยี่ย ปลดเรียวแขนกลมกลึงออกจากการสวมกอด ก่อนจะหันกลับไปเผชิญกับอดีตคนรัก โดยที่ชายหนุ่มขยับกายรักษาระยะห่างกับหญิงสาว ที่กลายเป็นภรรยาของผู้อื่นไปแล้ว “ชูฮูหยินไม่ควรทำเยี่ยงนี้ หากผู้ใดมาเห็นเข้ามันจะไม่ดีเอานะขอรับ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยอย่างสุภาพและห่างเหิน “ไยพี่เยี่ยจึงได้ห่างเหินต่อข้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ” ต้วนชิงชิงเอ่ยถามอดีตคนรักด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ดวงตาคู่งามสะท้อนแสงคบเพลิงไหวระริกคล้ายจะร้องไห้ “เราสองคนไม่ควรสนิทสนมกันเกินคนรู้จัก ขอรับ” แม่ทัพหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฮึ! ข้าว่ามิใช่ท่านลืมเลือนข้าหรอกจริงไหมเจ้าคะ แต่เพราะนางกลับมาต่างหาก ท่านเคยย้ำต่อข้ามาตลอด ว่าหน้าตาหรือจะสู้หัวใจ ข้าคือรักแรกและรักเดียวของท่าน พี่เยี่ย” ต้วนชิงชิง ๆ จงใจเน้นย้ำ เพื่อให้ใครอีกคนที่ยืนอยู่ในมุมมืด
“แต่...”“สิ่งใดคือปัญหาก็กำจัดมันทิ้งเสียแต่เนิ่น ๆ สิ่งที่เหลืออยู่ก็ใช้ให้คุ้มค่า จางฮุ้ยเหมยยังสามารถที่จะมีลูกได้อีก ตราบใดที่มีนางกับสายเลือดสกุลจางอยู่ในมือเรา ทุกสิ่งที่มีในตอนนี้ก็จะยังคงอยู่มิเลือนหายไปจากเรา”“ท่านพ่อหมายความว่า....”สองพ่อลูกสบตากันอย่างรู้ความนัย เมื่อมีปัญหาก็ทำเพียงตัดปัญหานั้นทิ้งเสีย ในเมื่อเห็นกับตาแล้วว่าสิ่งใดสร้างผลประโยชน์ให้แก่พวกเขา แล้วจะเชื่องช้าเป็นเต่าให้สิ่งนั้นหลุดรอดไปไดอย่างไร ไม่ลงทุนมีหรือจะได้ผลกำไร“ฮ่า ๆ ท่านพ่อช่างล้ำลึกนัก”หรงจิ่งส่งเสียงหัวเราะเสียงดัง เมื่อเข้าใจในจุดประสงค์ทั้งหมดของบิดา แน่นอนว่าเขาตื่นเต้นยิ่งนัก ที่จะพานกน้อยที่คิดจะหนีจากกรงทองของเขากลับมาไว้ที่เดิม สองพ่อลูกก้าวออกจากห้องหนังสือไปด้วยอารมณ์สุนทรียิ่งนัก‘ไม่ช่วงชิงมีหรือจะได้ครอบครอง’ท่านราชครูหรงยกยิ้มอยู่ภายในใจ เขาผ่านโลกมามาก หรงหยางเจี่ยนยังอ่อนหัดนักสำหรับการกุมอำนาจเอาไว้ในมือห้องจัดเลี้ยง สองลุงหลานกลับเข้ามาภายในงานเลี้ยงอีกครั้ง ทั้งคู่ก้าวตรงกลับไปที่โต๊ะของตนเอง ซึ่งตอนนี้มีเพียงจื่อเว่ย หยางไท้และฉินชีเท่านั้นที่นั่งอยู่
คฤหาสน์ตระกูลเฉิน ร่างสูงก้าวเข้ามาภายในห้องโถง เคียงคู่กับหญิงสาวที่หน้าตาละม้ายคล้ายกัน แม้แต่ความสูงยังแทบจะเท่ากันเลยด้วยซ้ำ สองหนุ่มสาวในชุดลำลองสบาย ๆ เดินตรงไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งมีท่านเจ้าสัวเฉินกำลังหัวเราะร่าอยู่กับภรรยา เฉินหมิงมองไปยังน้องสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนสองพี่น้องจะเบะปากให้กันเป็นเชิงหยอกล้อ วันนี้เป็นการลาพักร้อนที่ตรงกันในรอบหลายปีของเขาสองคนพี่น้อง เฉินเปียวแกล้งมองผ่านลูกชายหญิง ก่อนจะชำเลืองมองอยู่ในที เขาอยากได้ยินข่าวดี ว่าทั้งสองลาออกจากกองทัพเสียที งานที่ลูก ๆ ทำมันอันตรายเกินกว่าเขาจะรับได้ แรก ๆ แค่ทหารยศธรรมดา พอนานวันเข้ากลายเป็นหน่วยรบพิเศษไปซะงั้น “บ้านเราก็ออกจะร่ำรวย ทำไมใครบางคนต้องอยากเอาชีวิตไปทิ้งให้กับคนอื่นด้วยนะ” เจ้าสัวเฉินแสร้งประชดลูก ๆ ก่อนจะทำท่าทางฮึดฮัด เมื่อลูกสาวคนรองเฉินหนิงก้าวเข้าไปนั่งข้าง ๆ พร้อมสวมกอดผู้เป็นพ่อ คุณนายเฉินได้แต่หัวเราะกับท่าทางของสามี ก่อนจะกวักมือเรียกลูกชายคนโต เฉินหมิงก้าวยาว ๆ เข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่ ก่อนจะพูดจาออดอ้อนเสียจนน่าหมั่นไส้ “ขอเวลาเราสองคนอีกนิดนะคะป๊า แล้วเราจะกลับมาอยู่บ้านจนป๊ากับม๊าเ...
ความคิดเห็น