“ข้ามิใช่เด็กแล้วนะขอรับท่านพ่อ ย่อมรู้สิ่งใดควรมิควร”“เจ้าค่อยติดตามไปภายหลัง เอาเวลานี้สร้างฐานกำลังที่มั่นคงให้ฝาแฝดมิดีกว่าหรือ ที่เหลียงเจ้าอาจเหนือผู้อื่น แต่นี่แคว้นอู๋เป่ยถึงจะมีเงินมากแค่ไหน ก็ต้องรู้จักการถนอมชีวิต อย่าเร่งวิ่งเข้าไปตายให้เร็วนัก เราแค่นิ่งรอให้เหยื่อตายใจ แล้ววิ่งเข้ากับดักของเราเอง เจ้านี่นะ! พ่อสอนกี่ครั้งแล้วมิรู้จักจดจำ”“ใครว่าข้าจะรีบวิ่งไปตายเล่าขอรับ ข้าแค่อยากให้หลาน ๆ เติบโตขึ้นมาในสายตาของข้าก็เท่านั้น”“ยังจะเถียงอีก น้องสาวเจ้าได้สอนพวกเขามากพอแล้ว”“อย่างไรขอรับ”“ความอดทนอย่างไรเล่า นางแค่ทนรอให้ลูกของนางเติบโต เพื่อที่วันหนึ่งไร้นางหรือใคร ๆ เด็ก ๆ จะสามารถดูแลตัวเองได้ ถึงกระนั้นนางก็คือสตรีที่ถูกอบรมมาดี จึงยังยึดมั่นในคำสอนของชนรุ่นหลังอยู่”“เช่นนั้นข้าจะไม่ยินยอมให้เหลียนฮวา ต้องเป็นอย่างฮุ้ยเหมยเด็ดขาด”“หึ ๆ เจ้านี่น่า! จนป่านนี้ยังมองไม่ออกอีกหรือ ว่าหลานสาวของเจ้าจะแตกต่างกับแม่ของนาง คนละขั้วเลยทีเดียว”จางหลี่ชางหัวเราะในลำคอ แม้ในจดหมายไม่ได้บอกถึงรายละเอียดอะไรมากมาย แต่จากที่เขาจับใจความได้นั้น สองแฝดต้องการที่จะเรียนวิชาการต่
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อปรับอารมณ์ที่ยังคุกรุ่นให้สงบลง เพราะนับตั้งแต่เขาได้รับรู้เรื่องอันเลวร้าย ที่เกิดกับพี่สาวบุญธรรม เมื่อสามเดือนก่อน จนถึงวันนี้ ความโกระแค้นที่เขามีต่อหรงจิ่ง หาได้ลดน้อยลงไม่ฟงทอดสายตามองไปที่กระท่อม ด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย จนแสงเทียนส่องสว่างได้ดับลง ชายหนุ่มจึงได้ก้าวเข้าไปในบริเวณกระท่อม ก่อนจะนั่งลงยังท่อไม้ที่พิงอยู่ข้างเสาเรือนชายหนุ่มสะบัดผ้าคลุมห่มกาย ก่อนจะหลับตาลงอย่างช้า ๆ ทว่าประสาทสัมผัสทั้งหมดยังคงเปิดรับทุกความเคลื่อนไหว‘ได้อยู่ใกล้เท่านี้ ข้าก็ดีใจมากแล้ว’ยามเช้า ณ กระท่อมชายป่าเมืองชีเป่ยหยางเจี่ยนยืนมองคนจากจวนของบิดา ที่นำยามาส่งให้แก่มารดา สายตาที่คนพวกนั้นที่มองไปรอบบริเวณกระท่อม เหมือนกำลังหาพวกเขาพี่น้องอยู่ เด็กหนุ่มหันไปสบตากับน้องสาวฝาแฝด ก่อนจะหันกลับไปหาลุงสือที่เพิ่งเดินมาถึง“ท่านฟงมาถึงแล้วขอรับ”“เร็วดีนี่! พบกันที่น้ำตก ขอข้าดูคนพวกนี้อีกสักหน่อย”หยางเจี่ยนมองกลับไปที่ลานกระท่อม สิ่งที่เห็นคือบ่าวรับใช้จากจวนสกุลหรงหาได้ยำเกรงต่อมารดาของเขาแม้แต่น้อย ในเมื่อยุคนี้ยึดคนมีอำนาจและฐานะ เขาก็จะใช้มันให้คุ้มค่า“จะไห
“ท่านน้าฟงต่อจากนี้ คงต้องรบกวนพวกท่านแล้ว”หยางเจี่ยน เรียกฟงตามเนื้อความในจดหมาย ทำให้ฟงตกใจกับคำเรียกขานของผู้เป็นอยู่ไม่น้อย"มิได้ขอรับ ข้าเป็นเพียงข้ารับใช้ ไม่อาจเสมอนายขอรับ"ฟงกล่าวปฏิเสธทันที พรางคิดหาคำตอบ ว่าไยคุณชายถึงเรียกตนเช่นนั้น"ไม่ผิดหรอก ท่านน้าเรียกท่านแม่ของข้าว่าพี่สาว ท่านตาเรียกท่านว่าลูกบุญธรรม ข้าผู้เป็นหลานจะหาญกล้าเรียกท่านน้า เสมือนผู้รับใช้ได้อย่างไรเล่าขอรับ ดังนั้นข้าเรียกท่านน้าแบบนี้ถูกแล้วขอรับ"ชายหนุ่มจนด้วยคำพูด เมื่อหลานชายยกบิดาบุญธรรมกับพี่สาวบุญธรรมมากล่าวอ้าง เพื่อให้เขายอมจำนน หากจะว่าคุณชายจางหย่งสือมากด้วยเล่ห์กล จนหาผู้ใดเปรียบมิได้ เขาว่าตอนนี้น่าจะเป็นคุณชายใหญ่หรงหยางเจี่ยนนี่กระมัง ที่กำลังจะเป็นตัวแทนของพี่ชายบุญธรรมของเขา "ฮวาเอ๋อ ไท้เอ๋อร์ พวกเจ้าขึ้นมาข้างบนได้แล้ว เล่นน้ำกันนานเกินไปแล้วนะ"หยางเจี่ยนเรียกน้อง ๆ ที่เล่นน้ำอยู่ที่แอ่งน้ำตกเบื้องล่าง ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับจากทั้งสองคน หรือแม้แต่เสียงหยอกล้อให้ได้ยิน หยางเจี่ยนขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความสงสัย ว่าเหตุใดจึงไร้การตอบรับจากทั้งคู่ เพราะก่อนหน้านี้เขามั่นใจยิ่งนัก ว่ายัง
“อะ...แฮ่ม! ฮวาเอ๋อร์ ไท้เอ๋อร์ ผู้นี้คือท่านน้าฟง เป็นน้องชายบุญธรรมของท่านแม่ และจะมาเป็นอาจารย์ของพวกเราอีกด้วย ส่วนด้านหลังคือเงาปีศาจ ผู้คุ้มกันที่ท่านตากับท่านลุงมอบให้แก่เราสามคน”หยางเจี่ยนกระแอมไอ เพื่อเรียกสติของน้องสาว นับตั้งแต่ไม่ต้องจับปืนไล่ล่าคนร้าย ดูเหมือนน้องสาวของเขา จะมีความเป็นผู้หญิงและเด็กมากขึ้น จนเรียกว่าล้นเหลือเลยทีเดียว“ฮวาเอ๋อร์ คารวะท่านน้าฟงเจ้าค่ะ”“ไท้เอ๋อร์ คารวะท่านน้าฟงขอรับ”“ข้ามิอาจเอื้อมขอรับ”“ไม่มีสิ่งใดผิดหรอกเจ้าค่ะ เราคือผู้อ่อนวัย เคารพผู้มากวัยกว่านั้นย่อมถูกต้อง ศีรษะเราก้มให้ผู้ที่ควรก้ม นั้นไม่มีสิ่งใดมิควรเลยเจ้าค่ะ”ฟงและเงาปีศาจต่างรู้สึกปีติอยู่ภายในใจ คุณหนูจางฮุ้ยเหมยช่างสอนสั่งบุตรธิดาได้ดีเยี่ยมนัก ฉลาดรู้พูดมิไร้ความคิด สมแล้วที่เป็นสายเลือดสกุลจาง“ขอรับ”ฟงได้แต่ตอบรับอย่างจำยอม สมแล้วที่เป็นแฝด ไม่มีความต่างกันสักนิดเลย“มาเถอะเจ้าค่ะ จะเที่ยงแล้วข้ารู้สึกหิว เรามาย่างปลากินกัน พี่ใหญ่ท่านว่างูตัวนั้น ถ้านำมาต้มจะอร่อยแค่ไหนนะ”“ลองดูก็ไมเสียหายนี่ แต่เจ้าคือคนแรกที่ต้องชิมนะ”“อย่าเลยขอรับพี่ใหญ่ พี่รอง ข้าว่าป่านนี้พิษค
เวลาผ่านไปจากเดือนเป็นปี จนล่วงเลยมากว่าสามปีแล้ว จางฮุ้ยเหมยนั่งยิ้มอย่างสุขใจ เมื่อบุตรชายหญิงมีร่างกายที่เปลี่ยนไป รูปร่างของฝาแฝดสูงใหญ่ขึ้นมาก ในวัยสิบเจ็ดซึ่งเติบโตเกินกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันเลยก็ว่าได้ ส่วนหยางไท้เองใช่จะน้อยหน้า โตกว่าคนวัยเดียวกันจนเรียกว่าผิดหูผิดตาที่ยังคงไม่เปลี่ยนคือทั้งสามยังชอบอ้อนนาง เหมือนเด็กมิรู้โตเช่นเดิม หญิงสาวมองลูก ๆ ที่ช่วยกันรดน้ำผัก ก่อนที่สองฝาแฝดจะพาน้องชายออกไปทำงาน ยังบ้านคหบดีเฉินซึ่งได้มาทำการค้าที่เมืองชีเป่ยทั้งเสื้อผ้าอาหารนั้น นายท่านสกุลเฉินมอบแก่นางและลูก ๆ จนเรียกว่าไม่อดอยากเช่นในอดีต ที่นางยินยอมให้ลูก ๆ ไปช่วยงานที่บ้านสกุลเฉินนั้น เพราะไม่อยากให้พวกเขาเข้าป่าล่าสัตว์อีก“ท่านแม่ขอรับ พวกเราจะไปแล้วนะขอรับ” หยางเจี่ยนเดินเข้ามาบอกผู้เป็นแม่เช่นในทุกวัน“เอานี่จ๊ะ! ผ้าปักที่แม่ทำเสร็จแล้ว”จางฮุ้ยเหมยส่งห่อผ้าที่ปักเสร็จให้แก่บุตรชาย ก่อนที่นางจะทำงานให้ร้านผ้าสกุลเฉินนั้น นางได้ปักผ้าขายให้กับร้านค้าในตลาด แต่มักจะถูกสกุลหรงคอยกลั่นแกล้ง จนไม่มีผู้ใดจ้างงานนางอีก หยางเจี่ยนเปิดห่อผ้าออกดู ลวดลายที่เขาต้องการปรากฏแก่สายตา
ส่วนเขายังอยู่ที่สีม่วงขั้นเจ็ด เช่นเดียวกันกับน้องสาว ส่วนหยางไท้นั้นอยู่ที่สีทองขั้นห้า ส่วนเงาทั้งหมดคือสีม่วงขั้นเก้า แม้เขาจะงงอยู่บ้างในช่วงแรกของการฝึก แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงวันนี้ เขาถือเสียว่าตนเองถูกกฎของเวลาดึงมาอยู่ในอีกคู่ขนานกับโลกเดิม ทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้ นี่คือวิถีชีวิตและความเป็นจริงของคนที่นี่ เขาแค่นำสิ่งเดิม ๆ มาเสริมให้มันดีขึ้นก็เท่านั้น และที่เขาเองก็แปลกใจไม่ต่างจากทุกคน นั่นคือร่างกายของฝาแฝดมีพลังแฝงที่น่ากลัว เขาไม่แน่ใจว่าไปทำอะไรกับร่างกายนี้ หรือพิษที่พวกเขาได้รับมาตลอดหลายปี ไปเปิดจุดชีพจรบางเส้น ที่ถูกทำให้ไม่อาจฝึกฝนพลังได้ให้มันกลับมาปกติหรืออย่างไร เขาก็ไม่อาจบอกได้เช่นกัน แต่ที่แน่ ๆ คือพวกเขาใช้เวลาน้อยกว่าหลายคน ในการฝึกสำเร็จจนถึงระดับสีม่วง หยางเจี่ยนมองดูน้องสาวกับแส้คู่ใจของนาง ที่กำลังกวัดแกว่งอยู่กลางลานฝึก เพื่อทดสอบการเลื่อนขั้นพลัง ทุกอย่างดูจะง่ายไปหมดสำหรับเหลียนฮวา นั้นเพียงการมองหากสังเกตดี ๆ นางกำลังต่อสู้สุดชีวิต เพื่อไม่ให้ธาตุไฟแตกซ่าน เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วยาม การทดสอบได้เสร็จสิ้นลง พร้อมสภา
“ท่านแม่ดีที่สุดในสายตาของพวกเรานะขอรับ หากท่านแม่อ่อนแออย่างที่พูด ป่านนี้เราคงมิได้อยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ หากท่านแม่เลือกเพียงความสุขสบาย แล้วก้าวออกจากสกุลหรง เราสามคนพี่น้องก็คงเป็นเพียงลูกกำพร้า ที่ไร้มารดาปกป้อง แต่ท่านแม่ยอมที่จะอยู่อย่างลำเค็ญ เพียงเพื่อได้อยู่โอบกอดเราสามพี่น้อง นี่คือความเข้มแข็งที่สุดของคำว่าแม่แล้วมิใช่หรือขอรับ”จางฮุ้ยเหมยถึงกับน้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจ กับคำพูดของลูกชาย นางนึกโทษตัวเองเสมอ ที่ไม่กล้าจะเปลี่ยนแปลง เพียงเพราะคำว่าหน้าที่ขอและกฎบัญญัติของภรรยา ที่นางยึดมั่นมาโดยตลอดนับตั้งแต่แต่งงาน“ ‘สิ้นสามีเชื่อฟังบุตร’ คำกล่าวนี้ ท่านแม่ใช้มันได้แล้วนะเจ้าคะ ทุกวันนี้ท่านแม่ก็เหมือนไร้สามีอยู่แล้ว เมื่อจะยึดมั่นคำกล่าวของชนรุ่นเก่า ท่านแม่ก็นำคำนี้มาใช้ก็ย่อมไม่ผิดเจ้าค่ะ”จางฮุ้ยเหมยหัวเราะน้อย ๆ เมื่อตอนนี้นางกำลังถูกลูก ๆ ให้เหตุผลสำหรับการเปลี่ยนแปลง ที่มิผิดต่อคำสอนของคนโบราณ“เช่นนั้นก็ได้ นับตั้งแต่พรุ่งนี้แม่จะเริ่มสอนเจ้าดีดพิณ”จางฮุ้ยเหมยลูบศีรษะของบุตรสาวเบา ๆ ก่อนจะให้ลูก ๆ พากันไปอาบน้ำ เพื่อเตรียมกินมื้อค่ำกันได้แล้ว เสียงหัวเราะดังจ
จวนสกุลเฉิน ณ เมืองชีเป่ยภายในห้องหนังสือ ฟงกำลังนั่งรอฟังการตัดสินใจของศิษย์เอก อย่างคุณชายหรงหยางเจี่ยนอย่างสงบหยางเจี่ยนอ่านเนื้อความสั้น ๆ ทว่าได้ใจความในสาสน์ด่วนจากเมืองหลวง เด็กหนุ่มยังคงไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา ก่อนจะเงยหน้ามองผู้เป็นอาจารย์ และน้อง ๆ“เมื่อเราเลี่ยงไม่ได้ ก็จำต้องตั้งรับเท่านั้นขอรับท่านน้าฟง”“เราในตอนนี้จะไหวหรือพี่ใหญ่”“ไหวหรือไม่เราจะทำอะไรได้ หนีเช่นนั้นรึ หากเราหลบหนีหนึ่งครั้ง ย่อมต่อมีครั้งต่อ ๆ ไป แต่หากเราสู้มิว่าอยู่หรือตาย นั่นถือว่าเราทำเต็มที่แล้ว หากเป็นเช่นนี้แล้วเจ้าจะเลือกเส้นทางใด”“ย่อมต้องไม่หนี แต่การถอยเพื่อตั้งหลักมันก็มิเสียหลาย”เหลียนฮวาลองเสนอทางแยกให้แก่พี่ชาย ซึ่งหากถามนางในตอนนี้ ก็ไม่คิดที่จะถอยเพื่อตั้งหลักสักนิด เพราะกว่าสามปีมานี่ พวกนางถอยตั้งหลักกันมามากพอแล้วการฝึกฝนอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำอะไรโดยไม่อาจเปิดเผยได้ มาเป็นเวลาขนาดนี้ เรียกได้ว่าพวกนางถอยให้จนเกินพอแล้ว สำหรับศัตรูที่มองเห็นอยู่ในทุกขณะลมหายใจ“ที่ผ่านมา เราถอยไม่มากพอหรือ”“หึ ๆ ข้าก็แค่อยากให้แน่ใจ ว่าพี่ใหญ่จะลงสนามปะลองกับศัตรูจริงแท้หรือไม่เท่านั้นเจ้าค่ะ”“เจ
สามพี่น้องคลี่ยิ้มกับแขกในงานตามมารยาท หลายสกุลเริ่มค้นหาตัวตนของทั้งสาม เพราะข่าวที่ได้ยินมานั้นคุณชายใหญ่ในท่านเสนาบดี ทำตัวราวอันธพาล น้องสาวฝาแฝดมากด้วยตัณหาทำตัวเหลวแหลกกับบุรุษมากหน้า บุตรชายคนเล็กในฮูหยินใหญ่สติปัญญามิเต็มเท่าใดนักทว่าในเวลานี้สามพี่น้องไร้ซึ่งลักษณ์ที่ถูกกล่าวอ้าง ทั้งยังไร้วี่แววของสติปัญญาอันอ่อนด้อยอย่างที่เป็นข่าวแผ่กระจาย ตรงกันข้ามทั้งสามดูสูงค่าสมสายเลือดของบิดามารดายิ่งนัก“ยินดีกับท่านราชครูขอรับ ที่คุณชายคุณหนูทั้งสามกลับสู่เมืองหลวงแล้ว ช่างเป็นนิมิตรหมายอันดียิ่งนักขอรับ”หนึ่งในขุนนางอาวุโสได้ลุกขึ้นเอ่ยขึ้นเสียงดัง คล้ายดังหมัดมือชกสามพี่น้องอยู่ในที ซึ่งทั้งสามยังคงความสงบนิ่งเอาไว้ได้เป็นอย่างดี“ย่อมต้องเป็นวันดีสิท่านเจ้ากรม หลาน ๆ ของข้าที่ติดตามสะใภ้ข้าไปรักษาตัวนานหลายปีกลับมาทั้งที คืนนี้เรามาร่วมฉลองกันเต็มที่ เชิญทุกท่านดื่ม”สาวใช้ได้ยกถาดใส่จอกสุรายื่นส่งให้สามพี่น้อง เพื่อร่วมดื่มอวยพร ตามคำเชื้อเชิญของเจ้าบ้าน หยางเจี่ยนรับมาอย่างว่าง่าย ก่อนจะช้อนสายตามองน้องสาวและน้องชายกลิ่นที่เจือจางอาจไม่สร้างความแคลงใจต่อผู้อื่น แต่มิใช่เขาส
เมื่อหนุ่มสาวอีกสามคน ได้ก้าวมายืนอยู่สองข้างชายหญิงผู้มาเยือน โดยเฉพาะเจ้าของงานและบุตรชาย ที่แทบเหมือนถูกฟ้าฝ่าลงมากลางแสกหน้าทำได้เพียงยิ้มแกน ๆ ก้าวออกไปต้อนรับแขกใบหน้าที่แทบจะเหมือนกับท่านเสนาบดีหรงจิ่ง ไม่ต้องให้ผู้ใดมาบอกว่าทั้งสามคนคือใคร สกุลหรงทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทั้งสามคือทายาทสายตรง ที่พวกเขาคิดว่าตายไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนเจียงชูเหนียงถึงกับเซถอยหลังไปหลายก้าว เมื่อเห็นชัดตาว่าใครที่ติดตามจางหย่งสือมาร่วมงาน ทุกปีสกุลจางเพียงแค่ส่งตัวแทนมาเท่านั้นทว่าปีนี้คุณชายใหญ่สกุลจางมาด้วยตนเอง ไม่ต้องคาดเดาถึงเหตุผลของการมาร่วมอวยพรในครานี้เลย หากไม่เพราะสามพี่น้องที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วจะมีสิ่งใดจูงใจคนหยิ่งผยองเช่นจางหย่งสือให้มาเหยียบสกุลหรงได้เล่า“คุณชายจาง เอ่อ...”ท่านราชครูหรงแสร้งไม่รู้ว่าหนุ่มสาวด้านข้างของจางหย่งสือคือผู้ใด แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แก่ใจแล้วก็ตามที รอยยิ้มที่คล้ายจริงใจของเจ้าบ้าน ทำให้สามพี่น้องแอบแอบเยาะหยันเจ้าของงานอยู่ภายในใจ“นี่คือคุณหนูฟางจื่อเยว่ คู่หมั้นของข้า”“จื่อเยว่ข้าคารวะท่านราชครู”จื่อเยว่ย่อกายงดงามราวสตรีในรั้ววัง ทำให้บุรุษหลาย
“อื้อ!” จางหย่งสือกดจูบหนัก ๆ ลงไปอีกครั้ง ก่อนจะถอนใบหน้าออกอย่างรวดเร็ว“ข้ามัดจำเอาไว้ก่อน หลังแต่งงานข้าจะไม่ปล่อยเจ้าให้รอดไปเป็นครั้งที่สอง”จื่อเว่ยทำได้เพียงก้มหน้างุด นางช่างไร้ยางอายนัก กล้าทำเรื่องบัดสีนี้ได้อย่างไรกัน“อย่าได้แม้แต่จะคิดหนีข้าไปอีกเข้าใจหรือไม่ เพราะสิ่งที่เจ้าทำข้าเสียหาย ช่วยรับผิดต่อข้าด้วย”“บ้าไปแล้ว!”จื่อเว่ยไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดได้มากกว่านี้ เพราะรอยยิ้มและแววตาหวานเชื่อมของจางหย่งสือ ทำให้นางแทบละลายกองอยู่เสียตรงนี้เลยทีเดียว“ไปกันได้แล้ว มัวเล่นอันใดกันอยู่”เอ่ยจบมือหนาได้กระชากเอวขอดให้ชิดกาย ก่อนจะพาหญิงสาวเดินออกจากตรงนั้นเพื่อไปขึ้นรถม้า แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าหลาน ๆ และผู้ติดตามล้วนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หยางเจี่ยนหันกลับไปยิ้มให้กับทุกคน เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นลุง แม้ว่าในชีวิตเก่าเขาจะผ่านอะไรมาไม่น้อย แต่เรื่องความรักประสบการณ์ของเขานับว่าเป็นศูนย์ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นอกจากจะเหนือความคาดหมาย ยังเป็นการบอกรักที่หลายคนคงลุ้นจนตัวโก่งมิแพ้คู่รักหมาด ๆ อย่างแน่นอน ว่าจะมีสิ่งใดพลิกผันอีกหรือไม่หยางเจี่ยนพยักหน้าน้อย ๆ พร้
ค่ำคืนในวันถัดมา ณ จวนสกุลหรง คืนนี้เป็นงานฉลองวันเกิดของท่านราชครูหรงอู่ฉี เหล่าขุนนางต่างก็ต้องประชันอวดความมั่งคั่งของตน เพื่อข่มกันในงานอยู่เนือง ๆ แน่นอนว่าหลานสาวคนโปรดเช่นหรงเหมยเหนียงย่อมต้องทำทุกวิถีทางให้ตนเองโดดเด่น และเหนือกว่าบุตรสาวสกุลอื่น หรงเหมยเหนียงกำลังพิศมองตนเองในคันช่องบนโต๊ะ ชุดสีหวานพลิ้วไหวดั่งต้องมนต์ของนาง งดงามสมกับเป็นช่างมือดีจากร้านผ้าสกุลเฉิน ใบหน้าในวัยแรกแย้มเติมแต่งได้อย่าลงตัวที่สำคัญไปกว่านั้น คืนนี้มารดาของนางจะขยับฐานะจากภรรยารอง ก้าวสู่การเป็นภรรยาเอก นางจะไม่ต้องทนกล้ำให้ใครมองว่าเป็นรองพี่สาวต่างมารดาอีกต่อไป“เรียนคุณหนู นายท่านกับฮูหยินพร้อมคุณชาย ได้รออยู่หน้าจวนแล้วเจ้าค่ะ”“อืม! ไปสิ!”ร่างงามก้าวออกจากเรือนด้วยท่วงท่าราวนางหงส์ คำตราหน้าที่นางแบกรับมาทั้งชีวิต กำลังจะได้รับการปลดปล่อยแล้วในวันนี้ บางครั้งความรักหาใช่สิ่งที่คู่ควรต่ออนาคตเบื้องหน้าเมื่อนึกถึงเรื่องหัวใจ ใบหน้าของใครบางคนได้ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัวราวกลองศึก เมื่อรอยยิ้มของชายหนุ่มผู้อยู่บนหลังอาชาสีดำทมิฬเมื่อหลายวันก่อน ได้ทำให้เรีย
ถนนห่างจากจวนแม่ทัพ คนชุดดำทั้งหกยืนหอบหายใจแรง ๆ ทุกคนล้วนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะพากันหลบหนีออกมา หลังจากฉินชี ซึ่งได้เป็นคนเข้าไปช่วยคุณหนูให้พ้นมือของท่านแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ย“เกือบไปแล้วไหมเล่า ฮ่า ๆ”ตัวตนเหตุยังมีหน้ามาหัวเราะร่า เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เป็นเรื่องธรรมดาเสียอย่างนั้น“พี่รองมิกลัวท่านแม่ทัพจะติดตามมาหรือขอรับ”หยางไท้ยังคงหันกลับไปมองทิศทางที่เพิ่งจากมา เขาเองก็ตกใจไม่น้อยในตอนที่เห็นพี่สาวถูกจับได้...ข้างกำแพงจวนแม่ทัพก่อนหน้า หมับ! ติ้งรีบคว้าร่างของคุณชายน้อยเอาไว้ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพุ่งลงจากกำแพง เพื่อที่จะไปช่วยคุณหนูใหญ่ ซึ่งกำลังต่อสู้โรมรันอยู่กับคนในจวนแม่ทัพ“มิได้ขอรับ หากคุณชายเข้าไปอาจเกิดอันตรายนะขอรับ”“แต่พี่สาวของข้าเล่า”“เป็นหน้าที่ขอข้าน้อยเองขอรับ”ติ้งเป็นคนเสนอตัวไปแทนคุณชายน้อย เพราะหากบุกกันเข้าไปหมด จากเรื่องเล็กน้อยจะกลายเป็นใหญ่โตขึ้นมาทันทีอย่างแน่นอนกึก! ติ้งจำต้องหยุดกายในทันที เมื่อมีเงาร่างของใครอีกคนพุ่งออกจากความมืด ตรงไปยังผู้เป็นนายและคนในจวนแม่ทัพ เมื่อเห็นว่าคุณหนูได้ถูกพาตัวออกจากการการต่อสู้ เขาจึงได้พ
‘คงมีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะ ที่จะออกไปให้เจ้าบั่นคอ’ เหลียนฮวาเริ่มมองหาทางหนี ขืนนางยังรั้งอยู่ต่อมีหวังคงไม่พ้นต้องปะทะกันเป็นแน่ ต่อให้นางมากด้วยฝีมือ แต่หากเทียบกับจ้าวหมิงเยี่ยนางยังอ่อนหัดนัก หมับ! ในจังหวะที่หญิงสาวกำลังจะหนีไป มือหนาคว้าไหล่ผู้บุกรุกเอาไว้ได้ทัน เหลียนฮวารีบหมุนตัวพร้อมคว้าจับข้อมือแกร่งเอาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพลิกข้อมือของแม่ทัพหนุ่มในทันที เพื่อมิให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวทันปึก! หญิงสาวกระแทกกำปั้นเข้าท้องแขนของแม่ทัพหนุ่ม เพื่อผลักอีกฝ่ายให้ออกห่าง พอที่จะทำให้นางหาจังหวะหลบหนี อ๊ะ! แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อมือหยาบของแม่ทัพหนุ่ม กลายเป็นตีนตุ๊กแกไปเสียอย่างนั้น ยิ่งพยายามผลักอีกฝ่ายยิ่งติดหนึบราวกาวดักหนูหญิงสาวได้แต่ด่าทอตนเองอยู่ภายในใจ สลับกับการสรรหาคำมาเปรียบเทียบจ้าวหมิงเยี่ยกับสิ่งต่าง ๆ ยิ่งเสียงหัวเราะในลำคอของเขาเล็ดลอดออกมาให้นางได้ยิน มันเสมือนเขากำลังลงมือกลั่นแกล้งเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้นแม่ทัพหนุ่มได้นึกสนุก ลงมือเย้าแขกที่เขามิได้เชิญสักหน่อย เหลียนฮวาเม้มริมฝีปากแน่น นางรู้ได้ไม่ยากว่าเขาไม่ได้จริงจังกับการต่อสู้ คน
“ขอรับท่านป้า ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ฉินชีจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะแต่ละคนใช่ธรรมดาที่ไหนกัน” หยางเจี่ยนตอบรับคำของผู้เป็นป้า“คนเราต้องรู้จักโลกภายนอก”จางหย่งสือรีบออกตัวแทนสองหลานรัก มีหรือเขาจะไม่รู้วีรกรรมของหลานชายหญิงที่กำลังออกท่องราตรี ใช่เขารักหลานลำเอียง แต่เพราะเขารู้ดีว่าภายหน้าหยางเจี่ยนต้องยืนในจุดใดและนี่คือความภูมิใจอีกหนึ่งอย่างของเขา ที่หลานชายคนโตสุขุมรอบคอบ สมกับตำแหน่งที่เขาจะส่งมอบให้ในอนาคต ส่วนสองแสบนั้นเขาให้สิทธิ์ในการเลือกทางเดินตามใจชอบ แต่ต้องอยู่ในสายตาของเขามิห่างไปไหนหยางเจี่ยนหันไปส่งยิ้มอย่างรู้กันกับผู้เป็นป้า ชายหนุ่มไม่เคยที่จะต้องเสียเวลาคาดเดา กับคำพูดของผู้เป็นลุงเกี่ยวกับน้อง ๆ เขาไม่เคยริษยาที่ทั้งคู่ได้อิสระในการเที่ยวเล่นในโลกใบเดิมนั้น น้องสาวของเขาแทบไม่มีช่วงเวลาของวัยหนุ่มสาว ส่วนหยางไท้ยังเด็กนักหากเทียบกับเด็กหนุ่มในโลกเก่า ฉะนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย ที่ทั้งคู่สรรหาพาผู้ติดตามไปเที่ยวเล่นขอแค่ไม่มีใครเดือดร้อนและตนเองไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย จะเที่ยวเล่นแค่ไหนเขาก็ไม่ติดขัดอันใด เพราะอีกไม่นานความเป็นเด็กของพวกเขาก็จะสิ้
“เวลาคนเรามีไม่เท่ากันนะขอรับ เมื่อรู้สึกตรงกันก็อย่าได้ปิดโอกาสเสียล่ะขอรับ”หยางเจี่ยนเอ่ยขึ้นในขณะที่ฉินชีก้าวห่างออกไปไม่มากนัก ชายหนุ่มอาจเป็นเพียงหนุ่มน้อยในโลกนี้ แต่ชีวิตเก่านั้นเขามีวัยใกล้เคียงกับฉินชี มีหรือจะมองไม่ออกถึงสายตาแบบชายหญิงเพราะเขาไม่มีโอกาสได้รักใครในชีวิตเก่า เขาเลยไม่อยากให้ใครต้องพลาดการมีความรักสักครั้งในชีวิต มีโอกาสก็ควรรีบคว้าไว้ เพราะคนเราบอกไม่ได้จะอยู่หรือตายตอนไหนฉินชีไม่คิดว่านี้คือการล้อเลียน แต่มันคือความหวังดีของผู้เป็นนาย ซึ่งเขาเองใช่ว่าไม่อยากให้โอกาสตนเอง แต่เพราะชีวิตที่อยู่กับความเสี่ยง เขาจึงไม่อยากดึงใครสักคนมาอยู่ในวงล้อมของอันตรายด้วยก็เท่านั้น เช่นเดียวกับที่ท่านหย่งสือเลือกมองท่านจื่อเว่ยอยู่ห่าง ๆ แทนการเดินเคียงข้างนาง“ไม่ตามไปดูว่าที่น้องเขยสักหน่อยหรือเจี่ยนเอ๋อร์”จางหย่งสือก้าวมายืนเคียงข้างหลานชาย ก่อนจะหัวเราะในลำคอ เขากับหยางเจี่ยนรู้เป้าหมายของสองแสบโดยบังเอิญ และแน่นอนว่างานหนักย่อมตกเป็นของฉินชี“เรายังมีเรื่องต้องทำอีกมิใช่หรือขอรับ อย่าได้ห่วงเจ้าสองแสบเลยขอรับ มีทั้งพี่หลงพี่ฉินชีติดตามไป คนที่น่าเป็นห่วงน่าจะเป็นเป
และทุกหน้าที่ผู้ชายคนนี้ทำได้ดีไม่มีที่ติ ขอแค่นายเอ่ยปากเขาจะไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ ไม่แปลกที่ท่านลุงวางใจให้เขาเคียงข้างนางสามพี่น้อง ฉินชีเหมือนพี่ชายใหญ่ที่คอยดูแลพวกนางที่เสมือนปูไม่อยู่นิ่งฉินชีแสร้งไม่รับรู้ถึงสายตาจากคนเบื้องหลัง ทั้งยังคำพดที่ดูจะตดขัดของผู้เป็นนาย เขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งย่อมต้องมีหวั่นไหวบ้า ในยามที่มีใครสักคนกล้าที่จะเผยความในใจ จะต่อหน้าหรือลับหลัง หากรู้ขนาดนี้แล้วเขาก็ต้องรู้สึกบ้างปึก! เจินจูกระพริบตาปริบ ๆ เมื่ออยู่ ๆ คนด้านหน้าหยุดลงกะทันหัน จนทำให้นางชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างเต็มแรง ฉินชีสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะหันกลับไปหาผู้เป็นนายกับเงาสาว“เชิญด้านในขอรับคุณหนู”ฉินชีผายมือให้แก่ผู้เป็นนายสาว ก่อนที่ตัวเขาจะขยับหลีกทางให้ เหลียนฮวาคลี่ยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย เป็นการขอบคุณก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังศาลาพักผ่อน ซึ่งครอบครัวของนางนั่งอยู่ส่วนสองหนุ่มสาวที่ต้องรั้งรออยู่ด้านนอก ต่างพากันเบนใบหน้าไปคนละทิศทาง มิใช่รังเกียจแต่มันคือความเก้อเขิน เจินจูถึงกับมือชื้นเหงื่อ เมื่อได้ลมหายใจที่ชายหนุ่มพยายามควบคุมให้มันสงบนิ่ง ดังชัดอยู่ข้างกาย“ท่านลุง ท่านป้า