หกเดือนต่อมา
สองพี่น้องยืนมองไปยังแปลกผัก ที่มีน้องชายคนเล็กกำลังพรวนดินอย่างสนุกสนาน
“คุณชายขอรับ ทุกอย่างเรียบร้อยตามคำสั่งแล้วขอรับ”
ลุงสือเดินเข้ามารายงานผู้เป็นนายเบา ๆ ด้วยเกรงว่าสตรีทั้งสามคนด้านในกระท่อมจะได้ยิน
“เรื่องนี้ไม่ต้องบอกท่านแม่หรอก ทำตามที่ข้าบอกก็พอ ไปกันเถอะ! วันนี้ข้าอยากทำไก่ต้มน้ำแกง สำหรับพวกเราทุกคน”
หยางเจี่ยนที่ตอนนี้ร่างกายนับว่าใกล้จะหายดีแล้ว เดินนำลุงสือไปยังทิศทางป่า โดยทิ้งให้น้องสาวดูแลหยางไท้เพียงลำพัง
แม้ว่าการเข้าป่าล่าสัตว์ของเขา ผู้เป็นแม่จะไม่เห็นด้วย แต่จะให้เขาทนเห็นทุกคน กินเพียงหมั่นโถวไร้รสชาติทุกมื้อได้อย่างไรกัน เพราะแบบนี้อย่างไรเล่า ร่างกายถึงได้ไร้กำลังวังชา
ลุงสือไม่ได้ชำนาญการล่าสัตว์ เขาก็ไม่มีกำลังพอเช่นกัน แต่เขาทำกับดักได้ ซึ่งตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้าไปดู ว่ามีสัตว์น้อยใหญ่ตัวไหนบ้าง ที่หลงมาติดกับดักของเขา
นับว่าเขาโชคดีที่ชีวิตเก่า เขาเกิดเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทยา เพราะตั้งแต่จำความได้ เขากับน้อง ๆ ต้องท่องจำสรรพคุณของสมุนไพรแทบจะทุกชนิดได้จนขึ้นใจ
เพราะร้านค้าแรกๆของตระกูลเฉิน คือร้านยาสมุนไพรและรักษาแบบจีนโบราณมาก่อน ดังนั้นลูกหลานในตระกูลทุกรุ่น ต้องเรียนรู้เรื่องยา การฝังเข็ม ซึ่งเป็นการรักษาที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น
อีกอย่างเขาและน้องสาวเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ทำงานทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เรื่องยาความรู้ต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ให้มาก เพราะบางครั้งต้องมีการปลอมตัว พวกเขาถูกฝึกมาอย่างหนัก เพื่อให้แตกฉานในทุกด้าน
และในป่าแห่งนี้ก็มีสมุนไพรอยู่มาก จึงทำให้ตลอดหกเดือนมานี่ เขาบำรุงร่างกายของทุกคนให้ดีขึ้นตามลำดับ
“คุณชายขอรับ พรุ่งนี้คนจากจวนรับรองจะนำยามาส่งขอรับ”
“เช่นนั้นรึ! เอาเป็นว่าอย่าได้แสดงพิรุธอะไรให้พวกนั้นรู้ก็พอ ส่วนยาให้ท่านแม่ทำเช่นเดิม ไม่ต้องบอกนางจนกว่าข้าและฮวาเอ๋อร์จะพร้อมเสียก่อน ค่อยบอกนางก็ไม่สาย”
หยางเจี่ยนเรียนรู้ที่จะปรับตัว เขาไม่ใช่เด็กอย่างร่างกาย เพราะชีวิตเก่าของเขานั้น อายุเกือบเท่ากับมารดาคนใหม่ในตอนนี้เลยทีเดียว แต่เมื่อสวรรค์อยากให้เขากลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง เขาจะดื้อดึงฝืนมันให้เหนื่อยไปทำไมกัน แค่ใช้ร่างนี้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้น เรื่องอื่นค่อยว่ากันไปตามสถานการณ์
แม้ลุงสือรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย กับความเปลี่ยนไปของคุณชายและคุณหนู แต่ในเมื่อมันเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไยเขาต้องคิดให้มากความด้วยเล่า
หยางเจี่ยนรับรู้ดีถึงสายตาแห่งความสงสัย ของทั้งผู้เป็นแม่รวมถึงทุกคนที่อยู่ร่วมกัน แล้วอย่างไรเขาจะอธิบายไปทำไม ตอนนี้หน้าที่ของเขา คือทำให้มารดาหลุดพ้นจากพันธนาการของหรงจิ่ง และทำให้ตัวพวกเขาเอง หลุดพ้นจากคำว่าพ่อลูกกับชายผู้นั้นเช่นกัน
“คุณชายขอรับ มีหมูป่าตกลงไปในหลุมขอรับ”
ลุงสือที่เดินไปดูหลุมดักสัตว์ รีบเดินกระหืดกระหอบกลับมา พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม ร่างกายที่ผายผอมของชายสูงวัย เริ่มมีน้ำมีนวลขึ้น นับตั้งแต่สองพี่น้องลงมือเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
“วันนี้ข้าจะปรุงอาหารให้ทุกคนได้ลิ้มรส”
หยางเจี่ยนเดินตรงไปยังหลุมดักสัตว์ หมูป่าขนาดกลางนอนสิ้นใจอยู่ในนั้น เด็กชายได้ช่วยลุงสือผูกเชือก เพื่อที่เขาจะลงไปจัดการกับหมูป่าด้านล่าง
ทั้งคู่ไม่ได้รีบร้อนอันใด ด้วยเวลานี้เพิ่งจะเลยเที่ยงมาได้เล็กน้อยเท่านั้น ยังมีเวลาอีกมากที่พวกเขาจะจัดการพาหมูตัวนี้กลับบ้าน เพื่อไปทำอาหาร และนำไปแลกขนมมาให้น้องชายได้กิน
ที่กระท่อมจางฮุ้ยเหมยกระวนกระวายใจไม่น้อย เมื่อลูกชายคนโตยังไม่กลับมา นางกลัวทุกครั้งที่เขาห่างสายตา แต่สำหรับเหลียนฮวานางหาได้ใส่ใจกับเข้าป่าของพี่ชาย
ถึงจะอยู่ในร่างเด็ก แต่สติปัญญาและความสามารถของหยางเจี่ยน ทำให้นางมั่นใจว่าเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย แต่ในคำว่าลูกก็เข้าใจหญิงงามที่เป็นแม่ดี ที่ทนอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อลูก หากไม่มีพวกนางสามคนพี่น้อง มารดาคงไม่รั้งอยู่ในสภาพเช่นนี้เป็นแน่
“ท่านป้าโจว นี่มันจะสองชั่วยามแล้วนะ ไยพวกเขายังไม่กลับมากันอีก” จางฮุ้ยเหมยพูดแม่นมด้วยความร้อนใจ
“อ๊ะ! นั่นอย่างไรเจ้าค่ะ คุณชายใหญ่กับตาเฒ่าสือกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
สตรีต่างวัยรีบสาวเท้าเข้าไปหาทั้งคู่ ก่อนจะตาโตกับสิ่งที่ทั้งคู่นำกลับมามอบให้ จางฮุ้ยเหมยยังคงเก็บงำความสงสัยเอาไว้ภายในใจ นับตั้งแต่ฝาแฝดตื่นขึ้นมา นิสัยก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน สงบนิ่งขึ้นดูโตขึ้นกว่าที่ผ่านมา ทั้งยังมีความสุขุมมากขึ้น ถึงกระนั้นสำหรับนางแล้ว ขอแค่ลูก ๆ กลับมาอยู่ข้างกาย จะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนนางก็ไม่คิดจะใส่ใจ
“ไท้เอ๋อร์คนดี มานี่มา! ดูซิพี่มีอะไรมาฝากเจ้า”
เด็กชายในชุดเก่ามอซอวิ่งตรงเข้าหาพี่ชาย ก่อนจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เพราะในห่อกระดาษมีขนมอยู่หลายชิ้น รอยยิ้มของหยางไท้ทำให้จางฮุ้ยเหมยสะเทือนใจเป็นอย่างมาก
นางโง่เขลาเองที่ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง หากวันนั้นนางกล้าที่จะแตกหักกับหรงจิ่ง ไม่แน่ว่าวันนี้ลูก ๆ ของนางคงไม่เป็นอย่างในทุกวันนี้
“แม่ขอโทษ” หญิงสาวพึมพำเบา ๆ
“อดทนอีกนิดนะเจ้าคะท่านแม่ ขอเวลาเราสองคนอีกนิด ข้ากับพี่ใหญ่จะทำให้เราทุกคน กลับไปอยู่ในที่อันเหมาะสมเจ้าค่ะ”
จางฮุ้ยเหมยสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงของบุตรสาว นางไม่คิดว่าจะมีผู้ใดได้ยิน หญิงสาวหันกลับไป ก็พบกับรอยยิ้มกว้างของหรงเหลียนฮวา ดวงตาที่เป็นประกายของลูกสาว เสมือนน้ำทิพย์ชโลมหัวใจของนาง
“แม่ผิดที่อ่อนแอลูกรัก”
จางฮุ้ยเหมยโอบกอดบุตรสาว พร้อมพูดกับหรงเหลียนฮวา ด้วยความรู้สึกผิดอย่างที่สุด
“ท่านแม่หาได้เป็นเช่นนั้นสักนิดเจ้าค่ะ หากท่านแม่อ่อนแอ ย่อมเห็นแก่ตัวทิ้งเราสามพี่น้องไปนานแล้ว การที่ท่านแม่ยังอยู่นั่นเพราะรักและเข้มแข็งมากแล้วเจ้าค่ะ ผู้ใดจะมองว่าท่านแม่โง่เขลา ช่างเขาปะไรเจ้าค่ะเพราะสำหรับข้าสามพี่น้อง ท่านแม่นั้นคือผู้เสียสละอย่างแท้จริง”“วันนี้ข้าจะทำหมูย่างให้ท่านแม่กินนะขอรับ”หยางเจี่ยนเดินเข้ามาบอกกับมารดา โดยมีน้องชายที่กอดห่อขนมเอาไว้แน่น หยางไท้ไม่ยอมกินขนมเหล่านั้น แม้จะอยากกินมากเพียงใดก็ตาม เด็กชายบอกเพียงว่าจะรอกินพร้อมกันกับทุกคน“เจ้าเหนื่อยมากแล้ว ไปอาบน้ำนอนพักผ่อนเสียก่อน ทางนี้แม่ทำเอง”“ท่านแม่นั่นล่ะขอรับที่ควรพักผ่อน เรื่องแค่นี้เราสามคนพี่น้องจัดการได้สบาย ท่านด้วยป้าโจว ลุงสือไปพักกันได้แล้ว ให้พี่เสี่ยวเตี๋ยช่วยเราสามคนก็พอขอรับ”“แต่ว่า...”“อย่าดื้อสิขอรับ วันนี้ข้ามีแรงมากพอที่จะดูแลทุกคน อย่าได้ทำลายน้ำใจนี้ของข้าเลยนะขอรับท่านแม่ หากวันใดข้าเหนื่อยข้าจะบอกท่านแม่เป็นคนแรกนะขอรับ”หยางเจี่ยนเริ่มใช้ทั้งความเป็นชายหนุ่ม ปนกับความเป็นเด็กของร่างนี้กับมารดา ทำให้เหลียนฮวา ที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของมารดาเบะปากใส่พี่ชาย ทำให้หยางไท้หัวเราะค
“ข้ามิใช่เด็กแล้วนะขอรับท่านพ่อ ย่อมรู้สิ่งใดควรมิควร”“เจ้าค่อยติดตามไปภายหลัง เอาเวลานี้สร้างฐานกำลังที่มั่นคงให้ฝาแฝดมิดีกว่าหรือ ที่เหลียงเจ้าอาจเหนือผู้อื่น แต่นี่แคว้นอู๋เป่ยถึงจะมีเงินมากแค่ไหน ก็ต้องรู้จักการถนอมชีวิต อย่าเร่งวิ่งเข้าไปตายให้เร็วนัก เราแค่นิ่งรอให้เหยื่อตายใจ แล้ววิ่งเข้ากับดักของเราเอง เจ้านี่นะ! พ่อสอนกี่ครั้งแล้วมิรู้จักจดจำ”“ใครว่าข้าจะรีบวิ่งไปตายเล่าขอรับ ข้าแค่อยากให้หลาน ๆ เติบโตขึ้นมาในสายตาของข้าก็เท่านั้น”“ยังจะเถียงอีก น้องสาวเจ้าได้สอนพวกเขามากพอแล้ว”“อย่างไรขอรับ”“ความอดทนอย่างไรเล่า นางแค่ทนรอให้ลูกของนางเติบโต เพื่อที่วันหนึ่งไร้นางหรือใคร ๆ เด็ก ๆ จะสามารถดูแลตัวเองได้ ถึงกระนั้นนางก็คือสตรีที่ถูกอบรมมาดี จึงยังยึดมั่นในคำสอนของชนรุ่นหลังอยู่”“เช่นนั้นข้าจะไม่ยินยอมให้เหลียนฮวา ต้องเป็นอย่างฮุ้ยเหมยเด็ดขาด”“หึ ๆ เจ้านี่น่า! จนป่านนี้ยังมองไม่ออกอีกหรือ ว่าหลานสาวของเจ้าจะแตกต่างกับแม่ของนาง คนละขั้วเลยทีเดียว”จางหลี่ชางหัวเราะในลำคอ แม้ในจดหมายไม่ได้บอกถึงรายละเอียดอะไรมากมาย แต่จากที่เขาจับใจความได้นั้น สองแฝดต้องการที่จะเรียนวิชาการต่
คฤหาสน์ตระกูลเฉิน ร่างสูงก้าวเข้ามาภายในห้องโถง เคียงคู่กับหญิงสาวที่หน้าตาละม้ายคล้ายกัน แม้แต่ความสูงยังแทบจะเท่ากันเลยด้วยซ้ำ สองหนุ่มสาวในชุดลำลองสบาย ๆ เดินตรงไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งมีท่านเจ้าสัวเฉินกำลังหัวเราะร่าอยู่กับภรรยา เฉินหมิงมองไปยังน้องสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนสองพี่น้องจะเบะปากให้กันเป็นเชิงหยอกล้อ วันนี้เป็นการลาพักร้อนที่ตรงกันในรอบหลายปีของเขาสองคนพี่น้อง เฉินเปียวแกล้งมองผ่านลูกชายหญิง ก่อนจะชำเลืองมองอยู่ในที เขาอยากได้ยินข่าวดี ว่าทั้งสองลาออกจากกองทัพเสียที งานที่ลูก ๆ ทำมันอันตรายเกินกว่าเขาจะรับได้ แรก ๆ แค่ทหารยศธรรมดา พอนานวันเข้ากลายเป็นหน่วยรบพิเศษไปซะงั้น “บ้านเราก็ออกจะร่ำรวย ทำไมใครบางคนต้องอยากเอาชีวิตไปทิ้งให้กับคนอื่นด้วยนะ” เจ้าสัวเฉินแสร้งประชดลูก ๆ ก่อนจะทำท่าทางฮึดฮัด เมื่อลูกสาวคนรองเฉินหนิงก้าวเข้าไปนั่งข้าง ๆ พร้อมสวมกอดผู้เป็นพ่อ คุณนายเฉินได้แต่หัวเราะกับท่าทางของสามี ก่อนจะกวักมือเรียกลูกชายคนโต เฉินหมิงก้าวยาว ๆ เข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่ ก่อนจะพูดจาออดอ้อนเสียจนน่าหมั่นไส้ “ขอเวลาเราสองคนอีกนิดนะคะป๊า แล้วเราจะกลับมาอยู่บ้านจนป๊ากับม๊าเ
'โครม' รถเสียหลักชนต้นไม้ข้างทาง ปัง ๆ เสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด ฝั่งที่นั่งคู่คนขับ เฉินหลิงรีบเปิดที่พักแขนข้างคนขับ หญิงสาวหยิบปืนออกมา หมับ! เฉินหมิงคว้าจับมือน้องสาวคนเล็กเอาไว้ได้ทัน เป็นจังหวะเดียวกันกับเฉินหนิง เอื้อมจับข้อมือของน้องสาวเอาไว้เหมือนกัน เฉินหลิงน้ำตาคลอหน่วย มือที่กำด้ามปืนเอาไว้สั่นระริก เมื่อสบเข้ากับสายตาคัดค้านของพี่ชายและพี่สาว สองพี่น้องสบตากับน้องสาวคนเล็ก ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นการห้าม เสียงของพ่อกับแม่ดังก้องเข้ามาในหู ทว่ามันเริ่มห่างไกลจากทั้งคู่เข้าไปทุกที เฉินหลิงวางปืนในมือเอาไว้ที่เดิม “ทำไม! ทำไมกัน ฮือ ๆ” เฉินหลิงกรีดร้องออกมาด้วยความเสียใจ หญิงสาวเปิดประตูรถออก ก่อนจะรีบไปเปิดประตูข้างคู่คนขับ เพื่อพาพี่สาวออกจากตัวรถ ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด ทางด้านคุณนายเฉินยังคงช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอค่อย ๆ ลงจากรถ แล้วเดินมาไปหาบุตรสาวคนเล็ก ใบหน้าของคนเป็นแม่ในตอนนี้ขาวซีดราวกระดาษ คุณนายเฉินทรุดลงนั่งกับพื้นสะอื้นจนตัวโยน ภาพของลูกชายหญิง มีเลือดท่วมตัว ทำให้เธอไม่อาจทนรับกับความเจ็บปวดนี้ได้ ร่างสั่นเทาค่อย ๆ คลานเข้าไปหาลูกสาวคนรอง มื
มิติคู่ขนาน กระท่อมชายป่า เมืองชีเป่ย “อาหนิง”เฉินหนิงได้ยินเสียงเรียกแว่ว ๆ อยู่ข้างหู ก่อนจะค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ หญิงสาวกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อให้คุ้นชินกับแสง เธอยังไม่ตายอย่างนั้นเหรอ ถูกยิงหลายนัดขนาดนั้น รอดมาได้ถือว่าปาฏิหาริย์มากทีเดียว"ปวดหัวจังเลย"หญิงสาวคิดจะยกมือขึ้นคลึงขมับ เพื่อคลายอาการปวดสักหน่อย แต่ก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะมือของเธอทำไมมันเหมือนเด็กขาดสารอาหารแบบนี้ เฉินหนิงค่อย ๆ ไล่มองตามนิ้วมือเรียวเล็กไปจนถึงแขนที่ไม่ใช่ของเธอ ชายแขนเสื้อไม่เหมือนที่เธอคุ้นเคย‘นี่มันอะไรกัน!’อาการปวดหัวเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมกับเรื่องราวของใครบ้างคนหลั่งไหลเข้ามาในหัว เฉินหนิงทั้งเจ็บปวดและต้องข่มกลั้นก้อนสะอื้นลงไปในอก เพราะภาพที่ฉายวนอยู่ในหัวเธอตอนนี้ มันหาคำว่าความสุขไม่ได้เลยหญิงสาวปล่อยให้ทุกอย่างไหลเข้ามาให้เต็มที่ เพราะยิ่งเธอฝืนไม่อยากที่จะรับ หัวของเธอเหมือนจะระเบิดให้ได้ น้ำใส ๆ ค่อย ๆ ไหลออกจากหางตา ความรู้สึกทั้งหมดของเด็กหญิงวัยเพียงสิบสี่ปี มันอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด จนอยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เฉินหนิงลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยความตกใจ เพราะเธอรู้
หลังจากรถม้าลับสายตาไปแล้ว หรงจิ่งวางลูกชายคนเล็กลงกับพื้น ก่อนจะหันกลับมาหาภรรยา ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มเปลี่ยนไปในทันที สายตาที่เขามองสี่แม่ลูก ไม่ต่างจากเศษขยะริมทาง “กลับไปอยู่ที่กระท่อมได้แล้ว และอย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าขัดคำสั่ง ส่งข่าวให้พ่อแม่เจ้า จำเอาไว้ให้ดีว่าหน้าที่ของภรรยาคือเชื่อฟังสามี เจ้าก้าวออกจากสกุลจางเพื่อมาเป็นคนสกุลหรง ไม่ว่าอยู่หรือตายเจ้าก็คือคนสกุลหรง เรื่องนี้คงไม่ต้องให้ข้าต้องสอนเจ้าเป็นครั้งที่สองหรอกนะ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวพาลูกชายหญิงเดินออกจากจวนไป พร้อมน้ำตาอาบแก้ม นางเป็นแค่ดอกไม้ประดับของสามี และเขามีนางไว้เพื่อให้สกุลจางคอยสนับสนุนเขา ครอบครัวของนางมิใช่คนเมืองหลวง จึงไร้ญาติพี่น้องที่จะพึ่งพา ถึงมีก็ช่วยอะไรนางไม่ได้ เพราะนางเป็นคนของสกุลหรง จะอยู่จะตายก็คือคนของสามี สงสารก็เพียงลูก ๆ ที่พลอยต้องมาลำบากไปด้วย “คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ไยจึงไม่กลับไปเสิ่นโจวกับนายท่านเล่าเจ้าคะ” “ท่านป้าก็รู้ดีมิใช่หรือ หากหย่าขาดจากเขา ไปได้เพียงตัวข้าคนเดียว แล้วลูก ๆ ของข้าเล่าจะอยู่อย่างไร พวกเขาคือคนสกุลหรง หากหรงจิ่งไม่ยินยอม ต่อให้ท่านพ่อท่านแม่ร้องเรียน ก็
“ข้ามิใช่เด็กแล้วนะขอรับท่านพ่อ ย่อมรู้สิ่งใดควรมิควร”“เจ้าค่อยติดตามไปภายหลัง เอาเวลานี้สร้างฐานกำลังที่มั่นคงให้ฝาแฝดมิดีกว่าหรือ ที่เหลียงเจ้าอาจเหนือผู้อื่น แต่นี่แคว้นอู๋เป่ยถึงจะมีเงินมากแค่ไหน ก็ต้องรู้จักการถนอมชีวิต อย่าเร่งวิ่งเข้าไปตายให้เร็วนัก เราแค่นิ่งรอให้เหยื่อตายใจ แล้ววิ่งเข้ากับดักของเราเอง เจ้านี่นะ! พ่อสอนกี่ครั้งแล้วมิรู้จักจดจำ”“ใครว่าข้าจะรีบวิ่งไปตายเล่าขอรับ ข้าแค่อยากให้หลาน ๆ เติบโตขึ้นมาในสายตาของข้าก็เท่านั้น”“ยังจะเถียงอีก น้องสาวเจ้าได้สอนพวกเขามากพอแล้ว”“อย่างไรขอรับ”“ความอดทนอย่างไรเล่า นางแค่ทนรอให้ลูกของนางเติบโต เพื่อที่วันหนึ่งไร้นางหรือใคร ๆ เด็ก ๆ จะสามารถดูแลตัวเองได้ ถึงกระนั้นนางก็คือสตรีที่ถูกอบรมมาดี จึงยังยึดมั่นในคำสอนของชนรุ่นหลังอยู่”“เช่นนั้นข้าจะไม่ยินยอมให้เหลียนฮวา ต้องเป็นอย่างฮุ้ยเหมยเด็ดขาด”“หึ ๆ เจ้านี่น่า! จนป่านนี้ยังมองไม่ออกอีกหรือ ว่าหลานสาวของเจ้าจะแตกต่างกับแม่ของนาง คนละขั้วเลยทีเดียว”จางหลี่ชางหัวเราะในลำคอ แม้ในจดหมายไม่ได้บอกถึงรายละเอียดอะไรมากมาย แต่จากที่เขาจับใจความได้นั้น สองแฝดต้องการที่จะเรียนวิชาการต่
“ท่านแม่หาได้เป็นเช่นนั้นสักนิดเจ้าค่ะ หากท่านแม่อ่อนแอ ย่อมเห็นแก่ตัวทิ้งเราสามพี่น้องไปนานแล้ว การที่ท่านแม่ยังอยู่นั่นเพราะรักและเข้มแข็งมากแล้วเจ้าค่ะ ผู้ใดจะมองว่าท่านแม่โง่เขลา ช่างเขาปะไรเจ้าค่ะเพราะสำหรับข้าสามพี่น้อง ท่านแม่นั้นคือผู้เสียสละอย่างแท้จริง”“วันนี้ข้าจะทำหมูย่างให้ท่านแม่กินนะขอรับ”หยางเจี่ยนเดินเข้ามาบอกกับมารดา โดยมีน้องชายที่กอดห่อขนมเอาไว้แน่น หยางไท้ไม่ยอมกินขนมเหล่านั้น แม้จะอยากกินมากเพียงใดก็ตาม เด็กชายบอกเพียงว่าจะรอกินพร้อมกันกับทุกคน“เจ้าเหนื่อยมากแล้ว ไปอาบน้ำนอนพักผ่อนเสียก่อน ทางนี้แม่ทำเอง”“ท่านแม่นั่นล่ะขอรับที่ควรพักผ่อน เรื่องแค่นี้เราสามคนพี่น้องจัดการได้สบาย ท่านด้วยป้าโจว ลุงสือไปพักกันได้แล้ว ให้พี่เสี่ยวเตี๋ยช่วยเราสามคนก็พอขอรับ”“แต่ว่า...”“อย่าดื้อสิขอรับ วันนี้ข้ามีแรงมากพอที่จะดูแลทุกคน อย่าได้ทำลายน้ำใจนี้ของข้าเลยนะขอรับท่านแม่ หากวันใดข้าเหนื่อยข้าจะบอกท่านแม่เป็นคนแรกนะขอรับ”หยางเจี่ยนเริ่มใช้ทั้งความเป็นชายหนุ่ม ปนกับความเป็นเด็กของร่างนี้กับมารดา ทำให้เหลียนฮวา ที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของมารดาเบะปากใส่พี่ชาย ทำให้หยางไท้หัวเราะค
หกเดือนต่อมาสองพี่น้องยืนมองไปยังแปลกผัก ที่มีน้องชายคนเล็กกำลังพรวนดินอย่างสนุกสนาน“คุณชายขอรับ ทุกอย่างเรียบร้อยตามคำสั่งแล้วขอรับ”ลุงสือเดินเข้ามารายงานผู้เป็นนายเบา ๆ ด้วยเกรงว่าสตรีทั้งสามคนด้านในกระท่อมจะได้ยิน“เรื่องนี้ไม่ต้องบอกท่านแม่หรอก ทำตามที่ข้าบอกก็พอ ไปกันเถอะ! วันนี้ข้าอยากทำไก่ต้มน้ำแกง สำหรับพวกเราทุกคน”หยางเจี่ยนที่ตอนนี้ร่างกายนับว่าใกล้จะหายดีแล้ว เดินนำลุงสือไปยังทิศทางป่า โดยทิ้งให้น้องสาวดูแลหยางไท้เพียงลำพังแม้ว่าการเข้าป่าล่าสัตว์ของเขา ผู้เป็นแม่จะไม่เห็นด้วย แต่จะให้เขาทนเห็นทุกคน กินเพียงหมั่นโถวไร้รสชาติทุกมื้อได้อย่างไรกัน เพราะแบบนี้อย่างไรเล่า ร่างกายถึงได้ไร้กำลังวังชาลุงสือไม่ได้ชำนาญการล่าสัตว์ เขาก็ไม่มีกำลังพอเช่นกัน แต่เขาทำกับดักได้ ซึ่งตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้าไปดู ว่ามีสัตว์น้อยใหญ่ตัวไหนบ้าง ที่หลงมาติดกับดักของเขานับว่าเขาโชคดีที่ชีวิตเก่า เขาเกิดเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทยา เพราะตั้งแต่จำความได้ เขากับน้อง ๆ ต้องท่องจำสรรพคุณของสมุนไพรแทบจะทุกชนิดได้จนขึ้นใจเพราะร้านค้าแรกๆของตระกูลเฉิน คือร้านยาสมุนไพรและรักษาแบบจีนโบราณมาก่อน ด
หลังจากรถม้าลับสายตาไปแล้ว หรงจิ่งวางลูกชายคนเล็กลงกับพื้น ก่อนจะหันกลับมาหาภรรยา ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มเปลี่ยนไปในทันที สายตาที่เขามองสี่แม่ลูก ไม่ต่างจากเศษขยะริมทาง “กลับไปอยู่ที่กระท่อมได้แล้ว และอย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าขัดคำสั่ง ส่งข่าวให้พ่อแม่เจ้า จำเอาไว้ให้ดีว่าหน้าที่ของภรรยาคือเชื่อฟังสามี เจ้าก้าวออกจากสกุลจางเพื่อมาเป็นคนสกุลหรง ไม่ว่าอยู่หรือตายเจ้าก็คือคนสกุลหรง เรื่องนี้คงไม่ต้องให้ข้าต้องสอนเจ้าเป็นครั้งที่สองหรอกนะ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวพาลูกชายหญิงเดินออกจากจวนไป พร้อมน้ำตาอาบแก้ม นางเป็นแค่ดอกไม้ประดับของสามี และเขามีนางไว้เพื่อให้สกุลจางคอยสนับสนุนเขา ครอบครัวของนางมิใช่คนเมืองหลวง จึงไร้ญาติพี่น้องที่จะพึ่งพา ถึงมีก็ช่วยอะไรนางไม่ได้ เพราะนางเป็นคนของสกุลหรง จะอยู่จะตายก็คือคนของสามี สงสารก็เพียงลูก ๆ ที่พลอยต้องมาลำบากไปด้วย “คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ไยจึงไม่กลับไปเสิ่นโจวกับนายท่านเล่าเจ้าคะ” “ท่านป้าก็รู้ดีมิใช่หรือ หากหย่าขาดจากเขา ไปได้เพียงตัวข้าคนเดียว แล้วลูก ๆ ของข้าเล่าจะอยู่อย่างไร พวกเขาคือคนสกุลหรง หากหรงจิ่งไม่ยินยอม ต่อให้ท่านพ่อท่านแม่ร้องเรียน ก็
มิติคู่ขนาน กระท่อมชายป่า เมืองชีเป่ย “อาหนิง”เฉินหนิงได้ยินเสียงเรียกแว่ว ๆ อยู่ข้างหู ก่อนจะค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ หญิงสาวกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อให้คุ้นชินกับแสง เธอยังไม่ตายอย่างนั้นเหรอ ถูกยิงหลายนัดขนาดนั้น รอดมาได้ถือว่าปาฏิหาริย์มากทีเดียว"ปวดหัวจังเลย"หญิงสาวคิดจะยกมือขึ้นคลึงขมับ เพื่อคลายอาการปวดสักหน่อย แต่ก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะมือของเธอทำไมมันเหมือนเด็กขาดสารอาหารแบบนี้ เฉินหนิงค่อย ๆ ไล่มองตามนิ้วมือเรียวเล็กไปจนถึงแขนที่ไม่ใช่ของเธอ ชายแขนเสื้อไม่เหมือนที่เธอคุ้นเคย‘นี่มันอะไรกัน!’อาการปวดหัวเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมกับเรื่องราวของใครบ้างคนหลั่งไหลเข้ามาในหัว เฉินหนิงทั้งเจ็บปวดและต้องข่มกลั้นก้อนสะอื้นลงไปในอก เพราะภาพที่ฉายวนอยู่ในหัวเธอตอนนี้ มันหาคำว่าความสุขไม่ได้เลยหญิงสาวปล่อยให้ทุกอย่างไหลเข้ามาให้เต็มที่ เพราะยิ่งเธอฝืนไม่อยากที่จะรับ หัวของเธอเหมือนจะระเบิดให้ได้ น้ำใส ๆ ค่อย ๆ ไหลออกจากหางตา ความรู้สึกทั้งหมดของเด็กหญิงวัยเพียงสิบสี่ปี มันอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด จนอยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เฉินหนิงลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยความตกใจ เพราะเธอรู้
'โครม' รถเสียหลักชนต้นไม้ข้างทาง ปัง ๆ เสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด ฝั่งที่นั่งคู่คนขับ เฉินหลิงรีบเปิดที่พักแขนข้างคนขับ หญิงสาวหยิบปืนออกมา หมับ! เฉินหมิงคว้าจับมือน้องสาวคนเล็กเอาไว้ได้ทัน เป็นจังหวะเดียวกันกับเฉินหนิง เอื้อมจับข้อมือของน้องสาวเอาไว้เหมือนกัน เฉินหลิงน้ำตาคลอหน่วย มือที่กำด้ามปืนเอาไว้สั่นระริก เมื่อสบเข้ากับสายตาคัดค้านของพี่ชายและพี่สาว สองพี่น้องสบตากับน้องสาวคนเล็ก ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นการห้าม เสียงของพ่อกับแม่ดังก้องเข้ามาในหู ทว่ามันเริ่มห่างไกลจากทั้งคู่เข้าไปทุกที เฉินหลิงวางปืนในมือเอาไว้ที่เดิม “ทำไม! ทำไมกัน ฮือ ๆ” เฉินหลิงกรีดร้องออกมาด้วยความเสียใจ หญิงสาวเปิดประตูรถออก ก่อนจะรีบไปเปิดประตูข้างคู่คนขับ เพื่อพาพี่สาวออกจากตัวรถ ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด ทางด้านคุณนายเฉินยังคงช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอค่อย ๆ ลงจากรถ แล้วเดินมาไปหาบุตรสาวคนเล็ก ใบหน้าของคนเป็นแม่ในตอนนี้ขาวซีดราวกระดาษ คุณนายเฉินทรุดลงนั่งกับพื้นสะอื้นจนตัวโยน ภาพของลูกชายหญิง มีเลือดท่วมตัว ทำให้เธอไม่อาจทนรับกับความเจ็บปวดนี้ได้ ร่างสั่นเทาค่อย ๆ คลานเข้าไปหาลูกสาวคนรอง มื
คฤหาสน์ตระกูลเฉิน ร่างสูงก้าวเข้ามาภายในห้องโถง เคียงคู่กับหญิงสาวที่หน้าตาละม้ายคล้ายกัน แม้แต่ความสูงยังแทบจะเท่ากันเลยด้วยซ้ำ สองหนุ่มสาวในชุดลำลองสบาย ๆ เดินตรงไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งมีท่านเจ้าสัวเฉินกำลังหัวเราะร่าอยู่กับภรรยา เฉินหมิงมองไปยังน้องสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนสองพี่น้องจะเบะปากให้กันเป็นเชิงหยอกล้อ วันนี้เป็นการลาพักร้อนที่ตรงกันในรอบหลายปีของเขาสองคนพี่น้อง เฉินเปียวแกล้งมองผ่านลูกชายหญิง ก่อนจะชำเลืองมองอยู่ในที เขาอยากได้ยินข่าวดี ว่าทั้งสองลาออกจากกองทัพเสียที งานที่ลูก ๆ ทำมันอันตรายเกินกว่าเขาจะรับได้ แรก ๆ แค่ทหารยศธรรมดา พอนานวันเข้ากลายเป็นหน่วยรบพิเศษไปซะงั้น “บ้านเราก็ออกจะร่ำรวย ทำไมใครบางคนต้องอยากเอาชีวิตไปทิ้งให้กับคนอื่นด้วยนะ” เจ้าสัวเฉินแสร้งประชดลูก ๆ ก่อนจะทำท่าทางฮึดฮัด เมื่อลูกสาวคนรองเฉินหนิงก้าวเข้าไปนั่งข้าง ๆ พร้อมสวมกอดผู้เป็นพ่อ คุณนายเฉินได้แต่หัวเราะกับท่าทางของสามี ก่อนจะกวักมือเรียกลูกชายคนโต เฉินหมิงก้าวยาว ๆ เข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่ ก่อนจะพูดจาออดอ้อนเสียจนน่าหมั่นไส้ “ขอเวลาเราสองคนอีกนิดนะคะป๊า แล้วเราจะกลับมาอยู่บ้านจนป๊ากับม๊าเ