“อะ...แฮ่ม! ฮวาเอ๋อร์ ไท้เอ๋อร์ ผู้นี้คือท่านน้าฟง เป็นน้องชายบุญธรรมของท่านแม่ และจะมาเป็นอาจารย์ของพวกเราอีกด้วย ส่วนด้านหลังคือเงาปีศาจ ผู้คุ้มกันที่ท่านตากับท่านลุงมอบให้แก่เราสามคน”
หยางเจี่ยนกระแอมไอ เพื่อเรียกสติของน้องสาว นับตั้งแต่ไม่ต้องจับปืนไล่ล่าคนร้าย ดูเหมือนน้องสาวของเขา จะมีความเป็นผู้หญิงและเด็กมากขึ้น จนเรียกว่าล้นเหลือเลยทีเดียว
“ฮวาเอ๋อร์ คารวะท่านน้าฟงเจ้าค่ะ”
“ไท้เอ๋อร์ คารวะท่านน้าฟงขอรับ”
“ข้ามิอาจเอื้อมขอรับ”
“ไม่มีสิ่งใดผิดหรอกเจ้าค่ะ เราคือผู้อ่อนวัย เคารพผู้มากวัยกว่านั้นย่อมถูกต้อง ศีรษะเราก้มให้ผู้ที่ควรก้ม นั้นไม่มีสิ่งใดมิควรเลยเจ้าค่ะ”
ฟงและเงาปีศาจต่างรู้สึกปีติอยู่ภายในใจ คุณหนูจางฮุ้ยเหมยช่างสอนสั่งบุตรธิดาได้ดีเยี่ยมนัก ฉลาดรู้พูดมิไร้ความคิด สมแล้วที่เป็นสายเลือดสกุลจาง
“ขอรับ”
ฟงได้แต่ตอบรับอย่างจำยอม สมแล้วที่เป็นแฝด ไม่มีความต่างกันสักนิดเลย
“มาเถอะเจ้าค่ะ จะเที่ยงแล้วข้ารู้สึกหิว เรามาย่างปลากินกัน พี่ใหญ่ท่านว่างูตัวนั้น ถ้านำมาต้มจะอร่อยแค่ไหนนะ”
“ลองดูก็ไมเสียหายนี่ แต่เจ้าคือคนแรกที่ต้องชิมนะ”
“อย่าเลยขอรับพี่ใหญ่ พี่รอง ข้าว่าป่านนี้พิษคงเข้าไปในเนื้อมันหมดแล้ว”
“อ่า! น่าเสียดายยิ่งนัก เขาว่าเนื้องูนั้น ยิ่งพิษแรงยิ่งเพิ่มพลังได้ดี”
ป๊อก! หยางเจี่ยงดีดหน้าผากน้องสาวแรง ๆ หนึ่งที โทษฐานที่นางกำลังสอนความเชื่อผิด ๆ ให้แก่น้องชาย
“จริงหรือขอรับพี่ใหญ่”
“หากเชื่อนาง เจ้าคงต้องไปจับแม้แต่คางคกมากินแล้วล่ะไท้เอ๋อร์ น่าตีนักนะฮวาเอ๋อร์ ทำไมต้องไปหลอกน้องเช่นนั้น”
“ข้าก็แค่หยอกเล่นน่า...พี่ใหญ่คิดมากไปเอง”
เหลียนฮวาลูบหน้าผากตนเอง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มกว่าให้กับทุกคน ทั้งหมดล้อมวงกันกินปลา โดยเงาปีศาจสามคนลงไปหามาเพิ่ม การสนทนาเป็นไปอย่างสบาย ๆ ไม่มีสิ่งใดต้องเคร่งเครียด
หยางเจี่ยนได้แจ้งถึงความต้องการของเขา เพื่อให้ฟงช่วยเป็นธุระจัดการ เขาในตอนนี้ไม่สะดวกนักที่จะลงมือ เพราะนอกจากจะถูกจับตามองจากสกุลหรง เรื่องทั้งหมดยังให้มารดารู้เห็นไม่ได้อีกด้วย
เวลาบ่ายคล้อย
ก่อนออกจากป่า หยางเจี่ยนได้ไหว้วานให้ทุกคนช่วยกันหาของป่า มิว่าไก่ป่า เห็ด ผัก เพื่อไม่ทำให้มารดาเกิดความสงสัย แน่นอนว่าสามพี่น้องได้เตรียมคำพูดที่ตรงกัน เอาไว้เป็นอย่างดี
ทางด้านจางฮุ้ยเหมยในตอนนี้ ได้เดินกลับไปกลับมาด้วยความเป็นห่วงลูก ๆ ทุกครั้งจะมีเพียงบุตรชายคนโตเท่านั้นที่เข้าป่า ครานี้บุตรสาวได้ขอติดตามพี่ชายเข้าป่าไปด้วย แต่ไม่คิดว่าหยางไท้จะหายตัวไปอีกคน
“วันนี้พี่ใหญ่จะช่วยเจ้าสักครั้ง ไท้เอ๋อร์”
หยางเจี่ยนก้มลงพูดกับน้องชาย เมื่อมองเห็นมารดาที่เหมือนกำลังไม่สบายใจ แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องน้องชายคนเล็ก ที่แอบตามพวกเขาไป โดยไม่ได้บอกมารดาเอาไว้ก่อน
“ขอรับพี่ใหญ่”
“แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องรับโทษ แค่มันจะเบามากในครั้งนี้ หากมีครั้งต่อไป พี่จะทำโทษเจ้าด้วยตนเองเข้าใจหรือไม่”
“ข้าขอโทษขอรับ ต่อไปข้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วขอรับ”
“ดีมาก เราเข้าไปกันเถอะ”
หยางเจี่ยนคิดขำ ๆ อยู่ในใจ ต่อไปจะต้องแอบติดตามเขาทำไมเล่า ในเมื่อเจ้าตัวแสบรู้เห็นทุกอย่างหมดแล้วนี่
หยางไท้เดินหลบอยู่หลังพี่สาว เพราะตอนนี้มารดากำลังมองมาที่พวกเขา เด็กชายยังคงกลัวที่จะถูกลงโทษ แม้ว่าจะใจชื้นขึ้นมาบ้างตอนที่พี่ชายยืนยันจะช่วย แต่สายตาของผู้เป็นแม่ มันช่างสวนทางกับสิ่งที่พี่ชายพูดยิ่งนัก
จางฮุ้ยเหมยมองไปลูก ๆ ใจที่ว้าวุ่นเมื่อครู่พลันสงบลง แต่ความกรุ่นโกรธเหมือนกำลังจะเข้ามาแทนที่ หญิงสาวส่งสายตาคาดโทษไปให้กับบุตรชายคนเล็ก ที่ทำผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ด้านหลังของบุตรสาว
“ไท้เอ๋อร์!”
“ท่านแม่ขอรับ วันนี้ข้าได้ไก่มาหลายตัว มีกระต่ายด้วยนะขอรับ แล้วข้าสอนฮวาเอ๋อร์ ให้รู้จักเห็ดป่าหลายชนิดด้วยนะขอรับ ข้าอยากกินกระต่ายย่าง ท่านแม่พอจะทำให้ข้ากินได้หรือไม่ขอรับ”
หยางเจี่ยนชิงพูดขึ้นก่อน ทำให้ได้รับสายตาค้อนจากผู้เป็นแม่ มีหรือนางจะไม่รู้ว่าหยางเจี่ยนกำลังช่วยน้องชาย นางไม่อาจทำลายน้ำใจของลูก ที่เข้าป่าหาอาหารเพื่อทุกคนในบ้าน จำต้องนิ่งเงียบเอาไว้เสีย
“พวกเจ้าก็ไปอาบน้ำกันก่อนเถอะ แม่จะไปทำอาหารให้”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
สามพี่น้องรับคำ หมับ! หยางไท้วิ่งเข้าสวมกอดมารดา จางฮุ้ยเหมยก้มมองบุตรชายคนเล็ก ที่ตอนนี้เงยหน้ามองนาง พร้อมส่งสารตาเศร้าสร้อยมาให้นาง
“ท่านแม่ข้าขอโทษ ที่แอบตามพี่ใหญ่ กับพี่รองเข้าป่า ข้าแค่อยากหาอาหารเป็นบ้างก็เท่านั้นขอรับ”
“ครั้งนี้แม่จะไม่ลงโทษเจ้า แต่หากมีคราวหน้า แม่จะเฆี่ยนเจ้าให้หลังลาย”
“ขอรับท่านแม่”
หยางไท้ยิ้มแต้ ก่อนจะปล่อยให้มารดาเข้าครัว เด็กชายหันไปส่งยิ้มให้พี่ ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปจูงมือของทั้งคู่ เดินเข้าไปด้านในกระท่อม
“หึ ๆ เจ้าตัวแสบ”
หยางไท้หัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันไปสบตากับน้องสาว เขารู้ดีว่าเหลียนฮวาเป็นคนส่งสัญญาณให้น้องชาย เพื่อเข้าไปกล่าวสำนึกผิดกับมารดา นี่เพียงแค่เริ่มต้น หยางไท้ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก มิเว้นแม้แต่พวกเขาเองด้วยเช่นกัน
ถึงในชีวิตเก่าจะอายุสามสิบแล้ว แต่ในโลกใบใหม่นี้ พวกเขาใช่จะรู้ไปเสียทุกเรื่อง พรุ่งนี้คือวันแรกสำหรับการเรียนรู้เรื่องการต่อสู้ และอีกหลายอย่าง ที่เขาต้องนำชีวิตในอดีต เพื่อมาประยุกต์ใช้กับปัจจุบันนี้
สามพี่น้องยังคงทำตัวปกติ โดยตอนกลางคืนออกไปฝึกวิชากับผู้เป็นน้าชายและเงาปีศาจ หยางเจี่ยนจะให้ลุงสือก่อไฟไล่ยุงในทุกค่ำคืน โดยไม่ลืมใส่หญ้าบางชนิดเข้าไปในกองไฟ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับชนิดอ่อน ๆ เพื่อให้มารดาและป้าโจวกับเสี่ยวเตี๋ยหลับสนิทขึ้น โดยที่ไม่ต้องลุกขึ้นมาพบตอนพวกเขาหายออกจากบ้าน ทั้งยังเพิ่มการพักผ่อนของทั้งสามคนอีกด้วย
เวลาผ่านไปจากเดือนเป็นปี จนล่วงเลยมากว่าสามปีแล้ว จางฮุ้ยเหมยนั่งยิ้มอย่างสุขใจ เมื่อบุตรชายหญิงมีร่างกายที่เปลี่ยนไป รูปร่างของฝาแฝดสูงใหญ่ขึ้นมาก ในวัยสิบเจ็ดซึ่งเติบโตเกินกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันเลยก็ว่าได้ ส่วนหยางไท้เองใช่จะน้อยหน้า โตกว่าคนวัยเดียวกันจนเรียกว่าผิดหูผิดตาที่ยังคงไม่เปลี่ยนคือทั้งสามยังชอบอ้อนนาง เหมือนเด็กมิรู้โตเช่นเดิม หญิงสาวมองลูก ๆ ที่ช่วยกันรดน้ำผัก ก่อนที่สองฝาแฝดจะพาน้องชายออกไปทำงาน ยังบ้านคหบดีเฉินซึ่งได้มาทำการค้าที่เมืองชีเป่ยทั้งเสื้อผ้าอาหารนั้น นายท่านสกุลเฉินมอบแก่นางและลูก ๆ จนเรียกว่าไม่อดอยากเช่นในอดีต ที่นางยินยอมให้ลูก ๆ ไปช่วยงานที่บ้านสกุลเฉินนั้น เพราะไม่อยากให้พวกเขาเข้าป่าล่าสัตว์อีก“ท่านแม่ขอรับ พวกเราจะไปแล้วนะขอรับ” หยางเจี่ยนเดินเข้ามาบอกผู้เป็นแม่เช่นในทุกวัน“เอานี่จ๊ะ! ผ้าปักที่แม่ทำเสร็จแล้ว”จางฮุ้ยเหมยส่งห่อผ้าที่ปักเสร็จให้แก่บุตรชาย ก่อนที่นางจะทำงานให้ร้านผ้าสกุลเฉินนั้น นางได้ปักผ้าขายให้กับร้านค้าในตลาด แต่มักจะถูกสกุลหรงคอยกลั่นแกล้ง จนไม่มีผู้ใดจ้างงานนางอีก หยางเจี่ยนเปิดห่อผ้าออกดู ลวดลายที่เขาต้องการปรากฏแก่สายตา
ส่วนเขายังอยู่ที่สีม่วงขั้นเจ็ด เช่นเดียวกันกับน้องสาว ส่วนหยางไท้นั้นอยู่ที่สีทองขั้นห้า ส่วนเงาทั้งหมดคือสีม่วงขั้นเก้า แม้เขาจะงงอยู่บ้างในช่วงแรกของการฝึก แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงวันนี้ เขาถือเสียว่าตนเองถูกกฎของเวลาดึงมาอยู่ในอีกคู่ขนานกับโลกเดิม ทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้ นี่คือวิถีชีวิตและความเป็นจริงของคนที่นี่ เขาแค่นำสิ่งเดิม ๆ มาเสริมให้มันดีขึ้นก็เท่านั้น และที่เขาเองก็แปลกใจไม่ต่างจากทุกคน นั่นคือร่างกายของฝาแฝดมีพลังแฝงที่น่ากลัว เขาไม่แน่ใจว่าไปทำอะไรกับร่างกายนี้ หรือพิษที่พวกเขาได้รับมาตลอดหลายปี ไปเปิดจุดชีพจรบางเส้น ที่ถูกทำให้ไม่อาจฝึกฝนพลังได้ให้มันกลับมาปกติหรืออย่างไร เขาก็ไม่อาจบอกได้เช่นกัน แต่ที่แน่ ๆ คือพวกเขาใช้เวลาน้อยกว่าหลายคน ในการฝึกสำเร็จจนถึงระดับสีม่วง หยางเจี่ยนมองดูน้องสาวกับแส้คู่ใจของนาง ที่กำลังกวัดแกว่งอยู่กลางลานฝึก เพื่อทดสอบการเลื่อนขั้นพลัง ทุกอย่างดูจะง่ายไปหมดสำหรับเหลียนฮวา นั้นเพียงการมองหากสังเกตดี ๆ นางกำลังต่อสู้สุดชีวิต เพื่อไม่ให้ธาตุไฟแตกซ่าน เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วยาม การทดสอบได้เสร็จสิ้นลง พร้อมสภา
“ท่านแม่ดีที่สุดในสายตาของพวกเรานะขอรับ หากท่านแม่อ่อนแออย่างที่พูด ป่านนี้เราคงมิได้อยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ หากท่านแม่เลือกเพียงความสุขสบาย แล้วก้าวออกจากสกุลหรง เราสามคนพี่น้องก็คงเป็นเพียงลูกกำพร้า ที่ไร้มารดาปกป้อง แต่ท่านแม่ยอมที่จะอยู่อย่างลำเค็ญ เพียงเพื่อได้อยู่โอบกอดเราสามพี่น้อง นี่คือความเข้มแข็งที่สุดของคำว่าแม่แล้วมิใช่หรือขอรับ”จางฮุ้ยเหมยถึงกับน้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจ กับคำพูดของลูกชาย นางนึกโทษตัวเองเสมอ ที่ไม่กล้าจะเปลี่ยนแปลง เพียงเพราะคำว่าหน้าที่ขอและกฎบัญญัติของภรรยา ที่นางยึดมั่นมาโดยตลอดนับตั้งแต่แต่งงาน“ ‘สิ้นสามีเชื่อฟังบุตร’ คำกล่าวนี้ ท่านแม่ใช้มันได้แล้วนะเจ้าคะ ทุกวันนี้ท่านแม่ก็เหมือนไร้สามีอยู่แล้ว เมื่อจะยึดมั่นคำกล่าวของชนรุ่นเก่า ท่านแม่ก็นำคำนี้มาใช้ก็ย่อมไม่ผิดเจ้าค่ะ”จางฮุ้ยเหมยหัวเราะน้อย ๆ เมื่อตอนนี้นางกำลังถูกลูก ๆ ให้เหตุผลสำหรับการเปลี่ยนแปลง ที่มิผิดต่อคำสอนของคนโบราณ“เช่นนั้นก็ได้ นับตั้งแต่พรุ่งนี้แม่จะเริ่มสอนเจ้าดีดพิณ”จางฮุ้ยเหมยลูบศีรษะของบุตรสาวเบา ๆ ก่อนจะให้ลูก ๆ พากันไปอาบน้ำ เพื่อเตรียมกินมื้อค่ำกันได้แล้ว เสียงหัวเราะดังจ
จวนสกุลเฉิน ณ เมืองชีเป่ยภายในห้องหนังสือ ฟงกำลังนั่งรอฟังการตัดสินใจของศิษย์เอก อย่างคุณชายหรงหยางเจี่ยนอย่างสงบหยางเจี่ยนอ่านเนื้อความสั้น ๆ ทว่าได้ใจความในสาสน์ด่วนจากเมืองหลวง เด็กหนุ่มยังคงไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา ก่อนจะเงยหน้ามองผู้เป็นอาจารย์ และน้อง ๆ“เมื่อเราเลี่ยงไม่ได้ ก็จำต้องตั้งรับเท่านั้นขอรับท่านน้าฟง”“เราในตอนนี้จะไหวหรือพี่ใหญ่”“ไหวหรือไม่เราจะทำอะไรได้ หนีเช่นนั้นรึ หากเราหลบหนีหนึ่งครั้ง ย่อมต่อมีครั้งต่อ ๆ ไป แต่หากเราสู้มิว่าอยู่หรือตาย นั่นถือว่าเราทำเต็มที่แล้ว หากเป็นเช่นนี้แล้วเจ้าจะเลือกเส้นทางใด”“ย่อมต้องไม่หนี แต่การถอยเพื่อตั้งหลักมันก็มิเสียหลาย”เหลียนฮวาลองเสนอทางแยกให้แก่พี่ชาย ซึ่งหากถามนางในตอนนี้ ก็ไม่คิดที่จะถอยเพื่อตั้งหลักสักนิด เพราะกว่าสามปีมานี่ พวกนางถอยตั้งหลักกันมามากพอแล้วการฝึกฝนอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำอะไรโดยไม่อาจเปิดเผยได้ มาเป็นเวลาขนาดนี้ เรียกได้ว่าพวกนางถอยให้จนเกินพอแล้ว สำหรับศัตรูที่มองเห็นอยู่ในทุกขณะลมหายใจ“ที่ผ่านมา เราถอยไม่มากพอหรือ”“หึ ๆ ข้าก็แค่อยากให้แน่ใจ ว่าพี่ใหญ่จะลงสนามปะลองกับศัตรูจริงแท้หรือไม่เท่านั้นเจ้าค่ะ”“เจ
รุ่งสางสามพี่น้อง ได้ลุกขึ้นมาจัดเตรียมทุกอย่างให้แก่มารดา และทุกคนในบ้านเพื่อนำติดตัวไปที่อารามหมิงอี้ อาหารเช้าของวันนี้เป็นเหลียนฮวากับหยางไท้ เป็นผู้ลงมือทำด้วยตนเองหลังมื้อเช้าจบลง จางฮุ้ยเหมยได้โอบกอดลูก ๆ ทีละคน ก่อนจะขึ้นรถม้าไปพร้อมกับป้าโจวและเสี่ยวเตี๋ย ส่วนเจินจูกับชิงหลิงได้ขี่ม้าติดตามไปในขบวน แม้ว่าจะได้รับสายตาแคลงใจจากผู้เป็นแม่ หยางเจียนก็ยังคงมีคำพูด ที่ทำให้ทุกอย่างคลายลงอย่างละม่อมเช่นเดิม“ไปกันเถอะ!”หยางเจี่ยนก้าวนำน้อง ๆ ไปยังทิศทางของจวนเฉิน ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน เขาก็พร้อมแล้วสำหรับการโต้ตอบกับสตรีของบิดา “ข้าฝากท่านแม่กับทุกคนด้วยนะขอรับ ท่านน้าฟง” หยางเจี่ยนยืนส่งผู้เป็นอาจารย์ ที่กำลังจะติดตามไปคุ้มครองมารดาของเขาที่อารามหมิงอี้ “เจ้าเองก็ต้องระวังตัวให้มาก หากเหนือกว่ากำลังอย่าได้ฝืน เข้าใจหรือไม่” “ข้าทราบแล้วขอรับ” “ทางนี้ข้าคงต้องฝากพวกเจ้าดูแล” ฟงหันไปเอ่ยกับเงาที่เหลือ เขาจะมีเพียงเจินจูกับชิงหลิงเท่านั้น ที่คอยเป็นผู้ช่วย ซึ่งไม่น่าจะเหนือกว่ากำลังของเขาเท่าใดนัก สำหรับเขาแล้ว ศัตรูคือสิ่งที
“ข้าไม่รู้จักเขาเลยด้วยซ้ำ” หยางไท้วางขนมในมือ ก่อนจะมองหน้าพี่ชาย ด้วยสายตาเศร้าสร้อย เขากลัวเหลือเกิน ที่ต้องกลับไปเผชิญกับคนที่ไม่คุ้นเคย “จำไว้ไท้เอ๋อร์ ไม่ว่าวันหน้าจะมีพี่ใหญ่กับพี่รองหรือไม่ เจ้าจะต้องไม่ให้ผู้ใดเห็นน้ำตาได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงใช้ความคิดและสติให้มากกว่าอารมณ์ ดูเจ้าตอนนี้สิกำลังให้อารมณ์และความรู้สึกน้อยใจ เข้าครอบงำ หากเป็นเช่นนี้เจ้าจะกลายเป็นเหยื่อ แทนการเป็นผู้ล่า” หยางเจี่ยนวางมือบนไหล่ของน้องชาย ก่อนจะบีบเบา ๆ เขายังต้องสอนอะไรอีกมาก ให้กับเด็กน้อยผู้นี้ วันหน้าเขาไม่อาจบอกได้ ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน หากเขาและน้องสาวต้องมาที่นี่ เพียงเพื่อชี้ทางให้แก่หยางไท้ เขาก็จะรีบป้อนทุกสิ่งให้น้องชายเท่าที่หยางไท้จะรับมันเอาไว้ได้ “น้องเล็ก เจ้าต้องรู้จักการรุกการรับให้เป็น หากจิตใจอ่อนแอเจ้าต้องรู้ที่จะถอย แล้วนิ่งเข้าไว้ หากไร้ทุกความรู้สึกได้เมื่อใด นั่นคือจังหวะที่เจ้าต้องรุกคืบต่อศัตรู แต่จำไว้ว่าสิ่งที่พวกพี่สอนเจ้า จะใช้ก็ต่อเมื่อคนเหล่านั้น ลงมือกับเจ้าก่อน อย่าได้รุกรานผู้อื่นก่อนเป็นอันขาด อย่าทำลายมิตร อย่าไ
อารามหมิงอี้ ฟงยังคงทำเช่นทุกคืน นั่นคือออกมาเฝ้ายามอยู่ในความมืด โดยให้เงาทั้งสองซ่อนตัวอยู่ในห้องพักเป็นปกติ ส่วนพี่สาวบุญธรรมพร้อมบ่าวคนสนิท เขาได้วางยานอนหลับอย่างเช่นในทุกค่ำคืน หลังจากที่ทุกคนดับเทียนแล้ว จางฮุ้ยเหมยรู้สึกร้อนในอกอย่างไรไม่รู้ หญิงสาวพยายามที่จะข่มตาให้หลับลง แต่เหมือนกับว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด หญิงสาวจึงลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินไปรินชาดื่ม ปกติแล้วนางจะดื่มชาก่อนนอน ทว่าวันนี้มีเพียงป้าโจวกับเสี่ยวเตี๋ยที่ดื่ม แล้วก็หลับไปอย่างง่ายดาย แก๊ก! มือบางชะงักค้าง ก่อนจะยืนนิ่งเพื่อจับทิศทางของเสียง จางฮุ้ยเหมยวางกาชาลงอย่างเบามือ ก่อนจะก้าวเร็วกลับไปที่เตียงนอน หญิงสาวนอนลืมตาโพลงภายในความมืด พร้อมหัวใจที่เต้นมิเป็นส่ำ “ห้องอื่นไม่มีคนอยู่ เช่นนั้นนางต้องอยู่ในห้องนี้อย่างแน่นอน” “เรารีบลงมือเถอะ” “นางงดงามมากมิใช่หรือ ข้าอยากจะสนุกกับนางสักครั้ง ก่อนจะส่งนางไปพบยมบาล” “หากเรื่องนี้รู้ถึงหูของท่านหัวหน้า เจ้าคิดหรือว่าจะรอดไปได้” “ข้าไม่พูด เจ้าไม่พูด แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร” “แต่ข้าจะพูด!”
หมับ! ฟงวางมือทาบทับมือบางของหญิงสาว ก่อนจะปลดเอากระบี่ของตนมาถือไว้ ชายหนุ่มดันร่างงามให้ไปอยู่กับลุงสือ ส่วนตัวเขาก้าวตรงไปยังการต่อสู้ ที่ยังคงดุเดือดอยู่ไม่ไกลนักอัก! หญิงสาวทั้งสองกระเด็นไปคนละทิศทาง เมื่อถูกฝ่ามือของนักฆ่าที่ยังเหลืออยู่“หึ ๆ เจ้าคิดดีแล้วหรือ ที่จะฝืนใช้พลัง พิษในกายเจ้าจะแล่นทั่วร่างจนไม่อาจสั่งเสียต่อผู้ใดได้อีกเลยนะ”นักฆ่าหนุ่มหัวเราะในลำคอ พร้อมกับพูดจาเย้ยหยันชายหนุ่มที่ยืนแทบจะไม่อยู่แล้ว หากเขาไม่ใช้อาวุธลับอาบยาพิษ ให้ตัวเขาสู้ซึ่งหน้ากับคนผู้นี้ ย่อมยากที่จะรักษาชีวิตไว้ได้“อย่าพูดให้มากความ หากอยากได้สิ่งที่เจ้าหวัง ก็ต้องข้ามศพข้าไปให้ได้เสียก่อน”สิ้นคำพูดของฟง ชายชุดดำได้พุ่งเข้าหาเขา ด้วยหวังปลิดชีพชายหนุ่มในดาบเดียว ทว่า...นักฆ่าหนุ่มถึงกับมีสีหน้าตะลึงตะลาน เพราะสิ่งที่ดาบในมือของเขาวาดผ่าน มีเพียงความว่างเปล่า ผั๊วะ! ชายชุดดำถึงกับหน้าคะมำ เมื่อถูกฝ่ามือกระแทกเข้าที่กลางหลัง ด้วยพลังที่เขาไม่เคยรู้จัก หรือว่า...“ผู้มีพลังแฝงเช่นนั้นรึ”ผู้มีพลังแฝงนอกเหนือจากพลังห้าระดับ เรียกว่าหายากทีเดียว แต่หากใช้พลังแฝงมากเกินไปก็อาจบาดเจ็บสาหัส หรื
“หากเจ้ายินยอมแต่โดยดี ข้าจะมอบตำแหน่งที่คู่ให้” “กระบี่เจ้า! ควบคุมมันมิให้สั่นได้เสียก่อน ค่อยคิดสิ่งอื่นดีกว่าไหม…” หญิงสาววางถ้วยชาลง บนโต๊ะอย่างใจเย็น พรึ่บ! ปึก! เคร้ง! รวดเร็วจนชายหนุ่ม ขาสั่นจนแทบยืนไม่อยู่ กระบี่ในมือร่วงลงพื้น ก่อนที่เขาจะเบนสายตา ไปมองยังหญิงสาว ซึ่งตอนนี้กลับไปนั่งยังที่เดิม เสมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อครู่ มันมิใช่ฝีมือของนาง “จะลงมือกับใครก็ตาม เจ้าต้องศึกษาอีกฝ่ายให้แจ่มแจ้ง หึๆ ยังดีที่ตรงนี้เป็นข้า ถ้าเป็นผู้ติดตามของข้าทั้งสอง เจ้าคงไม่ได้ยืนต่อคำ เกินชั่วอึดใจ...” ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าถอดสี เขาไม่คิดว่าแผนการที่แยบยล จะถูกล่วงรู้จนหมดสิ้นเช่นนี้ “ผู้ใดอยู่ข้างนอก เข้ามานี่เร็ว!” อ๋องน้อยโหว ตะโกนเรียกเหล่าองครักษ์ ทว่ากลับไร้ซึ่งวี่แวว ชายหนุ่มรีบย่อกายลงเก็บกระบี่ โดยที่สายตา หาได้ละไปจากร่างงาม ที่นั่งดื่มชาอย่างเพลิดเพลิน ราวกับเขาที่อยู่ร่วมห้อง เป็นเพียงอากาศธาตุ “หึๆ มิใช่เจ้าสั่งห้ามใครมารบกวนหรอกหรือ แต่คนของข้าอยู่ข้างนอกนะ เรียกได้...” “หญิงแพศยา! สตรีมีคู่หมาย
ยิ่งไม่เคยรู้ถึงฝีมือของคู่ต่อสู้ เขายิ่งต้องรีบเผด็จศึก ให้ได้โดยไว จึงมิคิดที่จะลีลาให้ตนเอง กลายเป็นฝ่ายเสียท่า สิ้นคำของชายหนุ่ม เงาร่างในชุดสีดำสองคน ก้าวออกจากหลังฉากกั้น ซึ่งเป็นส่วนด้านหลังห้องที่มีหน้าต่าง “อือๆ” เจ้าของจวนทำได้แค่...ส่งเสียงทัดทานในลำคอ ทว่ากลับไม่สามารถต่อต้านการกระทำใดๆ ของชายชุดดำได้เลย อาภรณ์เนื้อดีถูกถอดออก จนแหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า ก่อนที่ชายชุดดำจะดึงมีดเล่มเล็กออกมา “นายหญิง โปรดพักผ่อนรอสักครู่ขอรับ” ชายผู้ถือมีดเอ่ยกับผู้เป็นนาย จินอู่หันหลังให้ พร้อมสะบัดมือเล็กน้อย เพื่อให้คนของเขา ลงมือได้แล้ว หากไม่ติดว่าที่นี่ คือถิ่นศัตรู...คำว่าเงียบเสียง จะไม่มีเลยสำหรับเขา ความเจ็บปวดของศัตรู ควรประกาศให้โลกรู้ แต่เมื่อสถานที่ไม่อำนวย เขาก็ไม่ติดที่จะลงมืออย่างเงียบๆ โหวอ๋องดวงตาเหลือกลาน แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เมื่ออาวุธคู่กายของเขา กำลังถูกเฉือดเฉือนประหนึ่งหนูถูกถลกหนัง แม้มันจะไม่รู้สึกเจ็บ ทว่าใจของบุรุษแท้เยี่ยงเขา มันแหลกละเอียดจนมิเหลือชิ้นดี “สกุลโหว ควรสิ้นสุดที่เจ้าสองพ่อลูก อย่าได้สร้าง
“คุณหนูเฉินเป็นอย่างไรบ้าง” เป็นสาวใช้อาวุโส ที่เอ่ยถามกับสาวใช้สกุลเฉิน และผู้ติดตามหนุ่ม “คุณหนูดื่มยาแก้เมา และหลับอยู่เจ้าค่ะ” เจินจู ตอบสาวใช้สูงวัย ก่อนจะเหลือบตามองไปยัง สาวใช้ของอนุหรู สตรีผู้เพียรพยายามรั้ง ให้คุณหนูของนางพักในจวน “ข้าจะมาเชิญคุณหนูเฉิน กลับเข้าพักยังเรือนรับรอง ด้วยตอนนี้เฉินฮูหยิน ได้พักผ่อนรออยู่แล้ว” “หากไม่มีคำสั่งใดจากปากของฮูหยิน ข้าคงมิอาจปล่อยให้คุณหนูห่างสายตา เอาเป็นว่าข้าจะให้เจินจู ติดตามท่านเข้าไปพบฮูหยินของเราก็แล้วกัน” “นี่เป็นประสงค์ของท่านอ๋อง ที่มิอยากให้ผู้ใดตำหนิ ว่าดูแลแขกไม่ดี” หญิงชราตวัดสายตาดุใส่ชายหนุ่ม ผู้ไร้ความยำเกรงในอายุและฐานะของนาง ยิ่งเห็นใบหน้าเรียบเฉย แม้เพียงครึ่งเสี้ยงของใบหน้า นางก็รู้ดีว่าคนผู้นี้ ไม่ได้สะท้านต่อคำของนางเลย “งานเลี้ยงกับคนเมามาย ย่อมเป็นของคู่กัน และมิใช่ทุกคนที่ต้องการพักในจวนของเจ้าภาพ คุณหนูอยู่ในรถม้าแล้ว รอเพียงฮูหยินกลับออกมา เราก็พร้อมกลับจวน” จากความอ่อนน้อม พลันเป็นดุดัน จนทำให้ชายหนุ่มหลายคน ที่ยืนอยู่เบื้องหลังส
“สามหาว! เจ้ากล้าข่มขู่ท่านอ๋องเยี่ยงนั้นรึ!” “ทำไมข้าต้องขู่ผู้ใดด้วย อีกอย่างถ้าท่านบริสุทธิ์ใจจริง จะเป็นเดือดเป็นร้อนไปไย แค่คุณหนูเฉินจะกลับบ้านตนเอง หรือมีสิ่งใดเป็นนอกในอย่างนั้นรึ! ดูรั้งนางจนออกหน้าเยี่ยงนี้” ชายหนุ่มเอียงหน้าช้า พร้อมมุมปากบิดขึ้นน้อยๆ การกระทำนั้นชวนให้อนุคนงาม หนาวสะท้านไปทั้งกาย บุรุษที่น่ากลัวย่อมเป็นคนที่มีหลากหลายบุคลิก ซึ่งปกติแล้วหรงเล่อถงสุขุมนุ่มลึก ทว่าตอนนี้...เขายิ่งกว่าคนจิตวิปลาสอย่างไรอย่างนั้น “นอกในอันใดกัน นางเป็นแขกของสามีข้า การดูแลเอาใจใส่ ย่อมเป็นเรื่องที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว” “เช่นนั้นหลีกทางข้าเถิด อนุหรู” หรงเล่อถง กดน้ำเสียงให้ลึก และชัดเจนว่าเขาพร้อมขัดขวางเรื่องนี้ อย่างไม่คิดยินยอมปล่อยผ่าน ต่อให้สตรีที่กำลังตกที่นั่งลำบาก มิใช่พี่น้อง เขาก็คงปล่อยให้สตรีเหล่านั้น แปดเปื้อนจากคนโสมมได้เป็นอันขาด ถึงเขาจะมิใช่คนดีไปเสียทุกเรื่อง แต่เขามีพี่สาวน้องสาว พวกนางจะเป็นเช่นหากต้องอยู่อย่างอดสู แบกรับความอัปยศไปทั้งชีวิตเฉินหนิงฮวาในตอนนี้ ดวงตาปรือจนแทบจะปิดแล้ว ชายหนุ่มพอจะเดาได้ ว่าเกิดจากสาเ
“หยุดนะ! เจ้าจะทำอะไรลูกข้า!” เจียงชูเหนียง รีบผลักร่างของคนสนิทออก ก่อนจะหันไปหาบุตรชาย มือบางหมายจะเอื้อมไปแตะ ที่ข้างแก้มของผู้เป็นลูก ทว่าร่างสูงกลับเบี่ยงกายหลบ “อย่าล้ำเส้นข้าอีก มิเช่นนั้น...ข้าจะไม่ใจดีเช่นครั้งก่อน” “ครั้งก่อน...” เจียงชูเหนียง ถึงกับเซถอยหลัง คนของนางไม่เคยลงมือกับบุตรชาย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ที่ทั้งคู่เคยปะทะกัน เมื่อปีก่อนที่อารามบนเขา แววตาแตกตื่นทำได้เพียง มองตามแผ่นหลังของบุตรชาย ที่กลืนหายไปในความมืด “ไหนเจ้าบอกว่า เขาไม่เห็นเจ้าอย่างไรเล่า แล้ว...หรือเจ้าทำนอกเหนือจากที่ข้ารู้” “เขาก็แค่หยั่งเชิงเรา เจ้าอย่าได้เผยพิรุธจะดีกว่า เลือดในกายเขามีของเจ้าแค่ครึ่งเดียว อย่าคาดหวังให้มาก ว่าเขาจะเหมือนเจ้า เพราะขนาดพ่อแท้ๆ เขายังไม่เหมือนเลย กลับไปได้นิสัยของยายแก่ แม่สามีเจ้ามาแทบทั้งสิ้น” “พูดเรื่องนี้ก็ดี เจ้าหานางพบรึยัง!” “ยัง! หรงเล่อถงไม่เคยเผยร่องรอย ให้ข้าตามไปจนถึงตัวยายแก่นั้นได้เลย” “อย่าช้า! นางรู้เรื่องมากเกินไป หากปล่อยไว้ เล่อถงต้องคิดแปรพักตร์” “เหม
น้ำเสียงของชายหนุ่ม ไม่มีคำว่าเสแสร้ง เขาไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมจึงกล้าที่จะพูดความรู้สึกแท้จริงออกมา ทั้งที่เขาไม่เคยให้ใครได้เห็นมันเลยสักครั้ง อาจเพราะนาง เหมือนพี่สาวของเขาก็เป็นได้ “แล้วทำไม จึงไม่ไปหาพวกเขาเล่าเจ้าคะ” “หากข้าทำทุกอย่างได้ตามใจ ก็คงดีไม่น้อย ลูกภรรยารองที่ต้องแบกอนาคตของมารดา แค่หายใจผิดที่ก็คือหายนะแล้ว” “ดูลำบากนะเจ้าคะ” “ใช่!” “แล้วที่คุณชายพูดกับข้า มิกลัวข้าไปเล่าให้ผู้อื่นฟังหรือเจ้าคะ และไม่กลัวจะมีคนแอบฟังรึ!” “หึๆ ข้ามั่นใจว่าจะรู้แค่เราสี่คนเท่านั้น เพราะต่อให้คนที่คิดแอบฟังอยากได้ยิน ก็ไม่อาจเฉียดใกล้ตรงนี้ได้” ชายหนุ่มชำเลืองมองไปที่ ผู้ติดตามของหญิงสาว กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมา ต่อให้เป็นนักฆ่าระดับสูง ก็ยังต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนลงมือ และมิใช่แค่ชายผู้นี้เท่านั้น สาวใช้ของคุณหนูเฉิน ก็หาใช่ธรรมดาไม่... “เรื่องบางเรื่อง หากพูดออกมาแล้วสบายใจ ก็อย่าได้เก็บมันไว้เลยเจ้าค่ะ เว้นแค่เรื่องที่จะนำภัยมาสู่ตนเอง จึงมิควรเอ่ยออกมา คนเราล้วนมีเรื่องที่ยากจะพูดได้ แต่ก็ใช่ว่าบางเรื่องจะระบายออ
ใช้เวลากว่าสองชั่วยาม อาหารมากมายถูกจัดขึ้นโต๊ะ ซึ่งมันเป็นเวลาที่พระอาทิย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเช่นกัน หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว สองย่าหลานก็มานั่งร่วมกินอาหาร รวมถึงสาวใช้ข้างกาย ที่ได้รับอนุญาตให้ร่วมโต๊ะ กับเจ้านายทั้งสอง“ถงเอ๋อร์ เจ้าได้ข่าวพี่ๆ กับน้องชายเจ้าบ้างหรือไม่”หญิงชราถามถึงหลานชายหญิง ที่ติดตามสะใภ้ใหญ่ของนาง ไปอยู่ไกลถึงเมืองชีเป่ย นางคิดถึงหลานๆ เหลือเกิน ยิ่งเมื่อนึกถึงความต่ำช้าของลูกและสามี นางยิ่งไม่อยากให้หลานชายคนรอง ต้องมีชีวิตมั่วหมองเพราะมีพ่อกับปู่ เป็นคนเห็นแก่ได้ และกระหายในอำนาจ จนมิสนถูกผิด แต่อย่างไร...นางก็มิอาจพูดความจริง บางอย่างออกมาได้ หาไม่แล้วชีวิตของหรงเล่อถง คงไม่ปลอดภัยอีกต่อไป“พวกเขาก็สุขสบายดีขอรับ เอาไว้เมื่อไหร่ที่พี่ใหญ่ พี่รองและน้องเล็กกลับมาเมืองหลวง ข้าจะพาพวกเขามาพบท่านย่านะขอรับ” “ขอบใจเจ้ามาก อย่างไรเจ้าก็พี่น้อง อย่าให้คำว่าอำนาจมาบังตา จนทำร้ายกันเองเล่า ข้าเชื่อว่าแม่ใหญ่ของเจ้า จะไม่สอนให้พี่น้องของเจ้า ช่วงชิงสิ่งใดและทำร้ายเจ้า นางเป็นคนจิตใจดี และย่าก็เชื่อว่าเจ้า จะมีเลือดของย่า มากที่สุดในกายเช่นกัน”
“สุราดีนะเจ้าคะ” หนิงฮวาเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงปนเขินอาย ตามจริตของสตรี“หากคุณหนูใหญ่ชอบ ข้ายินดีมอบให้เป็นของกำนัล”“หนิงฮวา ขอบคุณท่านอ๋องน้อย ที่มีน้ำใจเจ้าค่ะ”“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”ชายหนุ่มเจ้าบ้าน ยังคงเลือกที่จะดื่มสุราอีกหลายจอก กับสองแม่ลูกสกุลเฉิน และนั้นทำให้หญิงสาวอีกคน ซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่ง กำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ ที่คนรักของนาง ให้ความสนใจหญิงอื่นต่อหน้าถึงนางจะเป็นบุตรสาวเสนาบดี แต่นางก็ยังคงเป็นเพียงลูกภรรยารอง ไม่อาจเทียบกับบุตรสาวคนโต สกุลคหบดีที่กำนิดจากภรรยาเอกและเท่าที่สืบรู้มา นายท่านสกุลเฉิน มีเพียงภรรยาเดียว นั่นหมายความว่าทุกอำนาจ อยู่ในมือมารดาของคุณหนูใหญ่สกุลเฉิน นางที่มารดายังเป็นรอง ไหนเลยจะเทียบเคียง“อย่าทำสิ่งใดออกนอกหน้า แค่ลูกพ่อค้า! จะเทียบอันใดเจ้าได้”ฮูหยินรองหรงเอ่ยกับบุตรสาว แม้ว่าในใจจะหวาดหวั่นอยู่มาก แต่นางไม่มีวันแสดงสิ่งใด ให้ศัตรูได้เห็นเด็ดขาด“แต่ท่านอ๋องน้อย”“ท่านอ๋องทำถูกแล้ว ถ้าไม่ไปทักทายพวกนาง จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวตนแท้จริงคือใคร”“เจ้าค่ะ”เมื่อหาข้อโต้แย้งมารดาไม่ได้ หญิงสาวจำต้องยอมนิ่งเงียบ แม้ว่าใบหน้างามจะแสร้งยิ้ม แต่ก็
“นายหญิงน้อยฟาง ตัวแทนสกุลจาง”เป็นเฟยที่ยื่นเทียบเชิญ พร้อมบอกถึงสถานะผู้เป็นนาย หลังจากแม่ลูกสกุลเฉิน ก้าวจากไปแล้ว “เชิญนายหญิงน้อยฟาง ด้านในขอรับ” พ่อบ้านประสานมือโค้งกาย เช่นที่ทำกับแขกคนอื่นๆ ก่อนจะเรียกสาวใช้มานำทาง เพื่อเข้าไปยังลานจัดเลี้ยง จื่อเว่ย เดินตามสาวใช้จวนอ๋องเข้าไป โดยมีชิงหลิงและเฟยก้าวตาม ทั้งสามเดินเข้ามาถึงลานสำหรับจัดเลี้ยง ซึ่งดูเหมือนคืนนี้ จะไม่มีการแยกชายหญิง “นายหญิงฟาง เชิญนั่งเจ้าค่ะ” สาวใช้ผายมือให้แก่ตัวแทนสกุลจาง ก่อนจะเดินจากไป เฟยและชิงหลิง ก้าวเข้าไปยืนอยู่เบื้องหลังของผู้เป็นนาย จื่อเว่ยเหลือบตามองไปยังโต๊ะข้างกัน ก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อย ให้แก่แม่ลูกสกุลเฉิน ซึ่งนับเป็นคู่แข่งทางการค้าคนสำคัญ “ไยวันนี้สกุลจาง จึงได้ให้หญิงงามมาเพียงลำพังเล่า ท่านหย่งสือและหลานๆ ไปที่ใดกัน” เป็นท่านอ๋องน้อยโหว ที่เดินเข้ามาถามจื่อเว่ย คราแรกเขาแอบผิดหวังเล็กน้อย ที่หรงเหลียนฮวาไม่มาด้วย แต่เมื่อครู่นี้...เขาได้ยลโฉมหญิงงามทั้งสอง จากสกุลเฉิน เลยทำให้ความรู้สึกใหม่เข้ามาทดแทน จึงไม่ใคร่จะใส่ใจ ว่าหรงเหลียนฮวาจะมาห