จวนสกุลเฉิน ณ เมืองชีเป่ยภายในห้องหนังสือ ฟงกำลังนั่งรอฟังการตัดสินใจของศิษย์เอก อย่างคุณชายหรงหยางเจี่ยนอย่างสงบหยางเจี่ยนอ่านเนื้อความสั้น ๆ ทว่าได้ใจความในสาสน์ด่วนจากเมืองหลวง เด็กหนุ่มยังคงไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา ก่อนจะเงยหน้ามองผู้เป็นอาจารย์ และน้อง ๆ“เมื่อเราเลี่ยงไม่ได้ ก็จำต้องตั้งรับเท่านั้นขอรับท่านน้าฟง”“เราในตอนนี้จะไหวหรือพี่ใหญ่”“ไหวหรือไม่เราจะทำอะไรได้ หนีเช่นนั้นรึ หากเราหลบหนีหนึ่งครั้ง ย่อมต่อมีครั้งต่อ ๆ ไป แต่หากเราสู้มิว่าอยู่หรือตาย นั่นถือว่าเราทำเต็มที่แล้ว หากเป็นเช่นนี้แล้วเจ้าจะเลือกเส้นทางใด”“ย่อมต้องไม่หนี แต่การถอยเพื่อตั้งหลักมันก็มิเสียหลาย”เหลียนฮวาลองเสนอทางแยกให้แก่พี่ชาย ซึ่งหากถามนางในตอนนี้ ก็ไม่คิดที่จะถอยเพื่อตั้งหลักสักนิด เพราะกว่าสามปีมานี่ พวกนางถอยตั้งหลักกันมามากพอแล้วการฝึกฝนอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำอะไรโดยไม่อาจเปิดเผยได้ มาเป็นเวลาขนาดนี้ เรียกได้ว่าพวกนางถอยให้จนเกินพอแล้ว สำหรับศัตรูที่มองเห็นอยู่ในทุกขณะลมหายใจ“ที่ผ่านมา เราถอยไม่มากพอหรือ”“หึ ๆ ข้าก็แค่อยากให้แน่ใจ ว่าพี่ใหญ่จะลงสนามปะลองกับศัตรูจริงแท้หรือไม่เท่านั้นเจ้าค่ะ”“เจ
รุ่งสางสามพี่น้อง ได้ลุกขึ้นมาจัดเตรียมทุกอย่างให้แก่มารดา และทุกคนในบ้านเพื่อนำติดตัวไปที่อารามหมิงอี้ อาหารเช้าของวันนี้เป็นเหลียนฮวากับหยางไท้ เป็นผู้ลงมือทำด้วยตนเองหลังมื้อเช้าจบลง จางฮุ้ยเหมยได้โอบกอดลูก ๆ ทีละคน ก่อนจะขึ้นรถม้าไปพร้อมกับป้าโจวและเสี่ยวเตี๋ย ส่วนเจินจูกับชิงหลิงได้ขี่ม้าติดตามไปในขบวน แม้ว่าจะได้รับสายตาแคลงใจจากผู้เป็นแม่ หยางเจียนก็ยังคงมีคำพูด ที่ทำให้ทุกอย่างคลายลงอย่างละม่อมเช่นเดิม“ไปกันเถอะ!”หยางเจี่ยนก้าวนำน้อง ๆ ไปยังทิศทางของจวนเฉิน ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน เขาก็พร้อมแล้วสำหรับการโต้ตอบกับสตรีของบิดา “ข้าฝากท่านแม่กับทุกคนด้วยนะขอรับ ท่านน้าฟง” หยางเจี่ยนยืนส่งผู้เป็นอาจารย์ ที่กำลังจะติดตามไปคุ้มครองมารดาของเขาที่อารามหมิงอี้ “เจ้าเองก็ต้องระวังตัวให้มาก หากเหนือกว่ากำลังอย่าได้ฝืน เข้าใจหรือไม่” “ข้าทราบแล้วขอรับ” “ทางนี้ข้าคงต้องฝากพวกเจ้าดูแล” ฟงหันไปเอ่ยกับเงาที่เหลือ เขาจะมีเพียงเจินจูกับชิงหลิงเท่านั้น ที่คอยเป็นผู้ช่วย ซึ่งไม่น่าจะเหนือกว่ากำลังของเขาเท่าใดนัก สำหรับเขาแล้ว ศัตรูคือสิ่งที
“ข้าไม่รู้จักเขาเลยด้วยซ้ำ” หยางไท้วางขนมในมือ ก่อนจะมองหน้าพี่ชาย ด้วยสายตาเศร้าสร้อย เขากลัวเหลือเกิน ที่ต้องกลับไปเผชิญกับคนที่ไม่คุ้นเคย “จำไว้ไท้เอ๋อร์ ไม่ว่าวันหน้าจะมีพี่ใหญ่กับพี่รองหรือไม่ เจ้าจะต้องไม่ให้ผู้ใดเห็นน้ำตาได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงใช้ความคิดและสติให้มากกว่าอารมณ์ ดูเจ้าตอนนี้สิกำลังให้อารมณ์และความรู้สึกน้อยใจ เข้าครอบงำ หากเป็นเช่นนี้เจ้าจะกลายเป็นเหยื่อ แทนการเป็นผู้ล่า” หยางเจี่ยนวางมือบนไหล่ของน้องชาย ก่อนจะบีบเบา ๆ เขายังต้องสอนอะไรอีกมาก ให้กับเด็กน้อยผู้นี้ วันหน้าเขาไม่อาจบอกได้ ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน หากเขาและน้องสาวต้องมาที่นี่ เพียงเพื่อชี้ทางให้แก่หยางไท้ เขาก็จะรีบป้อนทุกสิ่งให้น้องชายเท่าที่หยางไท้จะรับมันเอาไว้ได้ “น้องเล็ก เจ้าต้องรู้จักการรุกการรับให้เป็น หากจิตใจอ่อนแอเจ้าต้องรู้ที่จะถอย แล้วนิ่งเข้าไว้ หากไร้ทุกความรู้สึกได้เมื่อใด นั่นคือจังหวะที่เจ้าต้องรุกคืบต่อศัตรู แต่จำไว้ว่าสิ่งที่พวกพี่สอนเจ้า จะใช้ก็ต่อเมื่อคนเหล่านั้น ลงมือกับเจ้าก่อน อย่าได้รุกรานผู้อื่นก่อนเป็นอันขาด อย่าทำลายมิตร อย่าไ
อารามหมิงอี้ ฟงยังคงทำเช่นทุกคืน นั่นคือออกมาเฝ้ายามอยู่ในความมืด โดยให้เงาทั้งสองซ่อนตัวอยู่ในห้องพักเป็นปกติ ส่วนพี่สาวบุญธรรมพร้อมบ่าวคนสนิท เขาได้วางยานอนหลับอย่างเช่นในทุกค่ำคืน หลังจากที่ทุกคนดับเทียนแล้ว จางฮุ้ยเหมยรู้สึกร้อนในอกอย่างไรไม่รู้ หญิงสาวพยายามที่จะข่มตาให้หลับลง แต่เหมือนกับว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด หญิงสาวจึงลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินไปรินชาดื่ม ปกติแล้วนางจะดื่มชาก่อนนอน ทว่าวันนี้มีเพียงป้าโจวกับเสี่ยวเตี๋ยที่ดื่ม แล้วก็หลับไปอย่างง่ายดาย แก๊ก! มือบางชะงักค้าง ก่อนจะยืนนิ่งเพื่อจับทิศทางของเสียง จางฮุ้ยเหมยวางกาชาลงอย่างเบามือ ก่อนจะก้าวเร็วกลับไปที่เตียงนอน หญิงสาวนอนลืมตาโพลงภายในความมืด พร้อมหัวใจที่เต้นมิเป็นส่ำ “ห้องอื่นไม่มีคนอยู่ เช่นนั้นนางต้องอยู่ในห้องนี้อย่างแน่นอน” “เรารีบลงมือเถอะ” “นางงดงามมากมิใช่หรือ ข้าอยากจะสนุกกับนางสักครั้ง ก่อนจะส่งนางไปพบยมบาล” “หากเรื่องนี้รู้ถึงหูของท่านหัวหน้า เจ้าคิดหรือว่าจะรอดไปได้” “ข้าไม่พูด เจ้าไม่พูด แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร” “แต่ข้าจะพูด!”
หมับ! ฟงวางมือทาบทับมือบางของหญิงสาว ก่อนจะปลดเอากระบี่ของตนมาถือไว้ ชายหนุ่มดันร่างงามให้ไปอยู่กับลุงสือ ส่วนตัวเขาก้าวตรงไปยังการต่อสู้ ที่ยังคงดุเดือดอยู่ไม่ไกลนักอัก! หญิงสาวทั้งสองกระเด็นไปคนละทิศทาง เมื่อถูกฝ่ามือของนักฆ่าที่ยังเหลืออยู่“หึ ๆ เจ้าคิดดีแล้วหรือ ที่จะฝืนใช้พลัง พิษในกายเจ้าจะแล่นทั่วร่างจนไม่อาจสั่งเสียต่อผู้ใดได้อีกเลยนะ”นักฆ่าหนุ่มหัวเราะในลำคอ พร้อมกับพูดจาเย้ยหยันชายหนุ่มที่ยืนแทบจะไม่อยู่แล้ว หากเขาไม่ใช้อาวุธลับอาบยาพิษ ให้ตัวเขาสู้ซึ่งหน้ากับคนผู้นี้ ย่อมยากที่จะรักษาชีวิตไว้ได้“อย่าพูดให้มากความ หากอยากได้สิ่งที่เจ้าหวัง ก็ต้องข้ามศพข้าไปให้ได้เสียก่อน”สิ้นคำพูดของฟง ชายชุดดำได้พุ่งเข้าหาเขา ด้วยหวังปลิดชีพชายหนุ่มในดาบเดียว ทว่า...นักฆ่าหนุ่มถึงกับมีสีหน้าตะลึงตะลาน เพราะสิ่งที่ดาบในมือของเขาวาดผ่าน มีเพียงความว่างเปล่า ผั๊วะ! ชายชุดดำถึงกับหน้าคะมำ เมื่อถูกฝ่ามือกระแทกเข้าที่กลางหลัง ด้วยพลังที่เขาไม่เคยรู้จัก หรือว่า...“ผู้มีพลังแฝงเช่นนั้นรึ”ผู้มีพลังแฝงนอกเหนือจากพลังห้าระดับ เรียกว่าหายากทีเดียว แต่หากใช้พลังแฝงมากเกินไปก็อาจบาดเจ็บสาหัส หรื
“ฮูหยินขอรับ ยาแก้ช้ำในขอรับ”“ขอใจท่านมากลุงสือ ว่าแต่มีเรื่องอะไรจะบอกข้าหรือไม่”“ข้าน้อยรู้ดีขอรับ ว่าฮูหยินคงอยากจะรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่ข้าน้อยมิอาจบอกได้ขอรับ ฮูหยินอดใจรอสักหน่อยนะขอรับ เรื่องทั้งหมดขอให้คุณชายใหญ่มาอธิบายเองจะดีกว่าขอรับ”ลุงสือบอกผู้เป็นนายไปตามความเป็นจริง เรื่องนี้แม้เขาจะรู้ดี แต่ก็ควรให้แม่ลูกได้ถามไถ่กันเองจะเป็นการดีที่สุด“เช่นนั้นก็ได้ อ่อ...มีอีกเรื่อง ไยป้าโจวกับเสี่ยวเตี๋ยถึงได้หลับมิรู้เรื่องอย่างนั้นเล่า คงมิใช่ถูกวางยาหรอกนะ”“มิผิดขอรับ”“ท่านเองก็งีบสักหน่อยเถิด พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า จะได้มิเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป”“ข้าน้อยขอไปจัดการด้านนอกสักครู่ ฮูหยินอย่าได้ออกไปไหนอีกนะขอรับ ปิดประตูลงกลอนให้แน่นหนาเลยนะขอรับ”“ได้”จางฮุ้ยเหมยรับคำของชายชรา ก่อนจะลุกเดินตามลุงสือไปปิดประตู แม้ตอนนี้นางอยากที่จะรู้เรื่องราวทั้งหมด แม้จะพอคาดเดาได้อยู่บ้าง ทว่าสู้นางรอฟังจากปากของคนที่นอนอยู่และลูก ๆ จะเป็นการดีที่สุด จางฮุ้ยเหมยนั่งลงด้านข้างเตียง ก่อนกระชับห่มผ้าให้ฟงอย่างเบามือ จางฮุ้นเหมยทำได้เพียง ทอดสายตามองร่างที่อ่อนแรง ด้วยความห่วงใยเป็นที่ส
“ใช่แล้ว! ท่านไม่ควรถือสาเด็ก ต่อให้ต้องมอบศีรษะให้เด็กเช่นข้าก็ไม่ควรถือโทษ”“สามหาว”นักฆ่าที่ถูกยอกย้อน พุ่งเข้าหาหยางเจี่ยนด้วยโทสะ ตั้งแต่เกิดมาเขามิเคยถูกหยามหยัน จากลูกนกมิทันผลัดขนเช่นนี้มาก่อน เคร้ง! ฟึ่บ! นักฆ่าจำต้องเบี่ยงกายหลบ เมื่อพัดในมือของเด็กสาว กลายเป็นอาวุธสังหาร ที่ได้ชิมเลือดของเขาโดยที่มิทันได้โต้ตอบใด ๆ“คิดจะทำร้ายพี่ชายข้า ควรถามข้าก่อนว่าอนุญาตหรือไม่”ใบหน้างามของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นดุดัน แตกต่างจากเมื่อครู่ เสมือนคนละคนเลยก็ว่าได้“พวกเจ้า! คิดว่ามีฝีมือแค่นี้จะทำอะไรข้าได้เช่นนั้นรึ”“ไม่มีคำตอบ”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ เมื่ออีกฝ่ายเปิดศึกอย่างเป็นทางการแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องปิดซ่อนสิ่งใดอีกต่อไป เหลียนฮวาหันไปสบตากับพี่ชาย ก่อนจะพุ่งเข้าหาชายคนเมื่อครู่“กำจัดพวกเขาซะ!”เอ่ยจบหัวหน้านักฆ่าและคนที่เหลือ ได้พุ่งเข้าหาสองแฝด มีเพียงหนึ่งที่ตรงขึ้นไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ในห้วงการหลับใหล วื๊ด! นักฆ่าหนุ่มถึงกับดวงตาเบิกกว้าง เมื่อร่างของคนที่นอนอยู่ หายไปอย่างรวดเร็ว ปึก! ตุบ!ร่างสูงได้กระเด็นลงจากระเบียงกระท่อม สายตาคมมองกลับขึ้นไปด้านบน เด็กหนุ่มยืนถ
“เส้นทางที่เลือกเอง มิว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับมันให้ได้”ชายหนุ่มคว้าจับแส้บนพื้นขึ้นมากอีกครั้ง เพื่อเข้าช่วยเหลือเงาปีศาจ ที่บาดเจ็บซึ่งอยู่ไม่ห่างกับเขาเท่าใดนัก ฉึก! หยางเจี่ยนหันกลับไปมองด้านหลัง สิ่งที่เห็นคือร่างของนักฆ่า ทรุดลงแน่นิ่งอยู่กับพื้น โดยมีอาวุธของน้องชายปักคาอยู่ ก่อนจะยิ้มกว้างให้กับน้องชาย หยางไท้ดึงอาวุธที่ปักอยู่บนหลังศัตรู กลับไปไว้ในมือ ข้อดีของอาวุธที่พี่ชายมอบให้ มากด้วยกลไกสะดวกต่อการใช้ยิ่งนัก การต่อสู้ยังคงเป็นไปอย่างดุเดือด เพราะศัตรูมีมากกว่าเท่าตัว สองแฝดและเงา พยายามที่จะคุ้มกันหยางไท้ให้มากที่สุด ตัวเด็กหนุ่มเองก็รับรู้เรื่องนี้ดี จึงเพิ่มความระวังและมิออกห่างจากผู้คุ้มกันมากนัก เพื่อไม่ให้ทุกคนเสียสมาธิฉับ! หยางเจี่ยนขบกรามแน่น เพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวด ร่างกายของเขาในตอนนี้ เริ่มจะเรียกได้ว่าเกินขีดจำกัดแล้ว ภายในของเขาบอบช้ำอย่างหนัก แต่เขาจะล้มลงตอนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด ชายหนุ่มไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็น“คุณชาย!”ฉั๊วะ! หลงได้รอยแผลขนาดใหญ่บนหลัง เมื่อเขาพุ่งเข้าผลักผู้เป็นนายให้พ้นทางอาวุธ ชายหนุ่มไม่คิดใส่
สามพี่น้องคลี่ยิ้มกับแขกในงานตามมารยาท หลายสกุลเริ่มค้นหาตัวตนของทั้งสาม เพราะข่าวที่ได้ยินมานั้นคุณชายใหญ่ในท่านเสนาบดี ทำตัวราวอันธพาล น้องสาวฝาแฝดมากด้วยตัณหาทำตัวเหลวแหลกกับบุรุษมากหน้า บุตรชายคนเล็กในฮูหยินใหญ่สติปัญญามิเต็มเท่าใดนักทว่าในเวลานี้สามพี่น้องไร้ซึ่งลักษณ์ที่ถูกกล่าวอ้าง ทั้งยังไร้วี่แววของสติปัญญาอันอ่อนด้อยอย่างที่เป็นข่าวแผ่กระจาย ตรงกันข้ามทั้งสามดูสูงค่าสมสายเลือดของบิดามารดายิ่งนัก“ยินดีกับท่านราชครูขอรับ ที่คุณชายคุณหนูทั้งสามกลับสู่เมืองหลวงแล้ว ช่างเป็นนิมิตรหมายอันดียิ่งนักขอรับ”หนึ่งในขุนนางอาวุโสได้ลุกขึ้นเอ่ยขึ้นเสียงดัง คล้ายดังหมัดมือชกสามพี่น้องอยู่ในที ซึ่งทั้งสามยังคงความสงบนิ่งเอาไว้ได้เป็นอย่างดี“ย่อมต้องเป็นวันดีสิท่านเจ้ากรม หลาน ๆ ของข้าที่ติดตามสะใภ้ข้าไปรักษาตัวนานหลายปีกลับมาทั้งที คืนนี้เรามาร่วมฉลองกันเต็มที่ เชิญทุกท่านดื่ม”สาวใช้ได้ยกถาดใส่จอกสุรายื่นส่งให้สามพี่น้อง เพื่อร่วมดื่มอวยพร ตามคำเชื้อเชิญของเจ้าบ้าน หยางเจี่ยนรับมาอย่างว่าง่าย ก่อนจะช้อนสายตามองน้องสาวและน้องชายกลิ่นที่เจือจางอาจไม่สร้างความแคลงใจต่อผู้อื่น แต่มิใช่เขาส
เมื่อหนุ่มสาวอีกสามคน ได้ก้าวมายืนอยู่สองข้างชายหญิงผู้มาเยือน โดยเฉพาะเจ้าของงานและบุตรชาย ที่แทบเหมือนถูกฟ้าฝ่าลงมากลางแสกหน้าทำได้เพียงยิ้มแกน ๆ ก้าวออกไปต้อนรับแขกใบหน้าที่แทบจะเหมือนกับท่านเสนาบดีหรงจิ่ง ไม่ต้องให้ผู้ใดมาบอกว่าทั้งสามคนคือใคร สกุลหรงทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทั้งสามคือทายาทสายตรง ที่พวกเขาคิดว่าตายไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนเจียงชูเหนียงถึงกับเซถอยหลังไปหลายก้าว เมื่อเห็นชัดตาว่าใครที่ติดตามจางหย่งสือมาร่วมงาน ทุกปีสกุลจางเพียงแค่ส่งตัวแทนมาเท่านั้นทว่าปีนี้คุณชายใหญ่สกุลจางมาด้วยตนเอง ไม่ต้องคาดเดาถึงเหตุผลของการมาร่วมอวยพรในครานี้เลย หากไม่เพราะสามพี่น้องที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วจะมีสิ่งใดจูงใจคนหยิ่งผยองเช่นจางหย่งสือให้มาเหยียบสกุลหรงได้เล่า“คุณชายจาง เอ่อ...”ท่านราชครูหรงแสร้งไม่รู้ว่าหนุ่มสาวด้านข้างของจางหย่งสือคือผู้ใด แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แก่ใจแล้วก็ตามที รอยยิ้มที่คล้ายจริงใจของเจ้าบ้าน ทำให้สามพี่น้องแอบแอบเยาะหยันเจ้าของงานอยู่ภายในใจ“นี่คือคุณหนูฟางจื่อเยว่ คู่หมั้นของข้า”“จื่อเยว่ข้าคารวะท่านราชครู”จื่อเยว่ย่อกายงดงามราวสตรีในรั้ววัง ทำให้บุรุษหลาย
“อื้อ!” จางหย่งสือกดจูบหนัก ๆ ลงไปอีกครั้ง ก่อนจะถอนใบหน้าออกอย่างรวดเร็ว“ข้ามัดจำเอาไว้ก่อน หลังแต่งงานข้าจะไม่ปล่อยเจ้าให้รอดไปเป็นครั้งที่สอง”จื่อเว่ยทำได้เพียงก้มหน้างุด นางช่างไร้ยางอายนัก กล้าทำเรื่องบัดสีนี้ได้อย่างไรกัน“อย่าได้แม้แต่จะคิดหนีข้าไปอีกเข้าใจหรือไม่ เพราะสิ่งที่เจ้าทำข้าเสียหาย ช่วยรับผิดต่อข้าด้วย”“บ้าไปแล้ว!”จื่อเว่ยไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดได้มากกว่านี้ เพราะรอยยิ้มและแววตาหวานเชื่อมของจางหย่งสือ ทำให้นางแทบละลายกองอยู่เสียตรงนี้เลยทีเดียว“ไปกันได้แล้ว มัวเล่นอันใดกันอยู่”เอ่ยจบมือหนาได้กระชากเอวขอดให้ชิดกาย ก่อนจะพาหญิงสาวเดินออกจากตรงนั้นเพื่อไปขึ้นรถม้า แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าหลาน ๆ และผู้ติดตามล้วนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หยางเจี่ยนหันกลับไปยิ้มให้กับทุกคน เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นลุง แม้ว่าในชีวิตเก่าเขาจะผ่านอะไรมาไม่น้อย แต่เรื่องความรักประสบการณ์ของเขานับว่าเป็นศูนย์ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นอกจากจะเหนือความคาดหมาย ยังเป็นการบอกรักที่หลายคนคงลุ้นจนตัวโก่งมิแพ้คู่รักหมาด ๆ อย่างแน่นอน ว่าจะมีสิ่งใดพลิกผันอีกหรือไม่หยางเจี่ยนพยักหน้าน้อย ๆ พร้
ค่ำคืนในวันถัดมา ณ จวนสกุลหรง คืนนี้เป็นงานฉลองวันเกิดของท่านราชครูหรงอู่ฉี เหล่าขุนนางต่างก็ต้องประชันอวดความมั่งคั่งของตน เพื่อข่มกันในงานอยู่เนือง ๆ แน่นอนว่าหลานสาวคนโปรดเช่นหรงเหมยเหนียงย่อมต้องทำทุกวิถีทางให้ตนเองโดดเด่น และเหนือกว่าบุตรสาวสกุลอื่น หรงเหมยเหนียงกำลังพิศมองตนเองในคันช่องบนโต๊ะ ชุดสีหวานพลิ้วไหวดั่งต้องมนต์ของนาง งดงามสมกับเป็นช่างมือดีจากร้านผ้าสกุลเฉิน ใบหน้าในวัยแรกแย้มเติมแต่งได้อย่าลงตัวที่สำคัญไปกว่านั้น คืนนี้มารดาของนางจะขยับฐานะจากภรรยารอง ก้าวสู่การเป็นภรรยาเอก นางจะไม่ต้องทนกล้ำให้ใครมองว่าเป็นรองพี่สาวต่างมารดาอีกต่อไป“เรียนคุณหนู นายท่านกับฮูหยินพร้อมคุณชาย ได้รออยู่หน้าจวนแล้วเจ้าค่ะ”“อืม! ไปสิ!”ร่างงามก้าวออกจากเรือนด้วยท่วงท่าราวนางหงส์ คำตราหน้าที่นางแบกรับมาทั้งชีวิต กำลังจะได้รับการปลดปล่อยแล้วในวันนี้ บางครั้งความรักหาใช่สิ่งที่คู่ควรต่ออนาคตเบื้องหน้าเมื่อนึกถึงเรื่องหัวใจ ใบหน้าของใครบางคนได้ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัวราวกลองศึก เมื่อรอยยิ้มของชายหนุ่มผู้อยู่บนหลังอาชาสีดำทมิฬเมื่อหลายวันก่อน ได้ทำให้เรีย
ถนนห่างจากจวนแม่ทัพ คนชุดดำทั้งหกยืนหอบหายใจแรง ๆ ทุกคนล้วนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะพากันหลบหนีออกมา หลังจากฉินชี ซึ่งได้เป็นคนเข้าไปช่วยคุณหนูให้พ้นมือของท่านแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ย“เกือบไปแล้วไหมเล่า ฮ่า ๆ”ตัวตนเหตุยังมีหน้ามาหัวเราะร่า เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เป็นเรื่องธรรมดาเสียอย่างนั้น“พี่รองมิกลัวท่านแม่ทัพจะติดตามมาหรือขอรับ”หยางไท้ยังคงหันกลับไปมองทิศทางที่เพิ่งจากมา เขาเองก็ตกใจไม่น้อยในตอนที่เห็นพี่สาวถูกจับได้...ข้างกำแพงจวนแม่ทัพก่อนหน้า หมับ! ติ้งรีบคว้าร่างของคุณชายน้อยเอาไว้ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพุ่งลงจากกำแพง เพื่อที่จะไปช่วยคุณหนูใหญ่ ซึ่งกำลังต่อสู้โรมรันอยู่กับคนในจวนแม่ทัพ“มิได้ขอรับ หากคุณชายเข้าไปอาจเกิดอันตรายนะขอรับ”“แต่พี่สาวของข้าเล่า”“เป็นหน้าที่ขอข้าน้อยเองขอรับ”ติ้งเป็นคนเสนอตัวไปแทนคุณชายน้อย เพราะหากบุกกันเข้าไปหมด จากเรื่องเล็กน้อยจะกลายเป็นใหญ่โตขึ้นมาทันทีอย่างแน่นอนกึก! ติ้งจำต้องหยุดกายในทันที เมื่อมีเงาร่างของใครอีกคนพุ่งออกจากความมืด ตรงไปยังผู้เป็นนายและคนในจวนแม่ทัพ เมื่อเห็นว่าคุณหนูได้ถูกพาตัวออกจากการการต่อสู้ เขาจึงได้พ
‘คงมีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะ ที่จะออกไปให้เจ้าบั่นคอ’ เหลียนฮวาเริ่มมองหาทางหนี ขืนนางยังรั้งอยู่ต่อมีหวังคงไม่พ้นต้องปะทะกันเป็นแน่ ต่อให้นางมากด้วยฝีมือ แต่หากเทียบกับจ้าวหมิงเยี่ยนางยังอ่อนหัดนัก หมับ! ในจังหวะที่หญิงสาวกำลังจะหนีไป มือหนาคว้าไหล่ผู้บุกรุกเอาไว้ได้ทัน เหลียนฮวารีบหมุนตัวพร้อมคว้าจับข้อมือแกร่งเอาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพลิกข้อมือของแม่ทัพหนุ่มในทันที เพื่อมิให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวทันปึก! หญิงสาวกระแทกกำปั้นเข้าท้องแขนของแม่ทัพหนุ่ม เพื่อผลักอีกฝ่ายให้ออกห่าง พอที่จะทำให้นางหาจังหวะหลบหนี อ๊ะ! แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อมือหยาบของแม่ทัพหนุ่ม กลายเป็นตีนตุ๊กแกไปเสียอย่างนั้น ยิ่งพยายามผลักอีกฝ่ายยิ่งติดหนึบราวกาวดักหนูหญิงสาวได้แต่ด่าทอตนเองอยู่ภายในใจ สลับกับการสรรหาคำมาเปรียบเทียบจ้าวหมิงเยี่ยกับสิ่งต่าง ๆ ยิ่งเสียงหัวเราะในลำคอของเขาเล็ดลอดออกมาให้นางได้ยิน มันเสมือนเขากำลังลงมือกลั่นแกล้งเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้นแม่ทัพหนุ่มได้นึกสนุก ลงมือเย้าแขกที่เขามิได้เชิญสักหน่อย เหลียนฮวาเม้มริมฝีปากแน่น นางรู้ได้ไม่ยากว่าเขาไม่ได้จริงจังกับการต่อสู้ คน
“ขอรับท่านป้า ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ฉินชีจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะแต่ละคนใช่ธรรมดาที่ไหนกัน” หยางเจี่ยนตอบรับคำของผู้เป็นป้า“คนเราต้องรู้จักโลกภายนอก”จางหย่งสือรีบออกตัวแทนสองหลานรัก มีหรือเขาจะไม่รู้วีรกรรมของหลานชายหญิงที่กำลังออกท่องราตรี ใช่เขารักหลานลำเอียง แต่เพราะเขารู้ดีว่าภายหน้าหยางเจี่ยนต้องยืนในจุดใดและนี่คือความภูมิใจอีกหนึ่งอย่างของเขา ที่หลานชายคนโตสุขุมรอบคอบ สมกับตำแหน่งที่เขาจะส่งมอบให้ในอนาคต ส่วนสองแสบนั้นเขาให้สิทธิ์ในการเลือกทางเดินตามใจชอบ แต่ต้องอยู่ในสายตาของเขามิห่างไปไหนหยางเจี่ยนหันไปส่งยิ้มอย่างรู้กันกับผู้เป็นป้า ชายหนุ่มไม่เคยที่จะต้องเสียเวลาคาดเดา กับคำพูดของผู้เป็นลุงเกี่ยวกับน้อง ๆ เขาไม่เคยริษยาที่ทั้งคู่ได้อิสระในการเที่ยวเล่นในโลกใบเดิมนั้น น้องสาวของเขาแทบไม่มีช่วงเวลาของวัยหนุ่มสาว ส่วนหยางไท้ยังเด็กนักหากเทียบกับเด็กหนุ่มในโลกเก่า ฉะนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย ที่ทั้งคู่สรรหาพาผู้ติดตามไปเที่ยวเล่นขอแค่ไม่มีใครเดือดร้อนและตนเองไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย จะเที่ยวเล่นแค่ไหนเขาก็ไม่ติดขัดอันใด เพราะอีกไม่นานความเป็นเด็กของพวกเขาก็จะสิ้
“เวลาคนเรามีไม่เท่ากันนะขอรับ เมื่อรู้สึกตรงกันก็อย่าได้ปิดโอกาสเสียล่ะขอรับ”หยางเจี่ยนเอ่ยขึ้นในขณะที่ฉินชีก้าวห่างออกไปไม่มากนัก ชายหนุ่มอาจเป็นเพียงหนุ่มน้อยในโลกนี้ แต่ชีวิตเก่านั้นเขามีวัยใกล้เคียงกับฉินชี มีหรือจะมองไม่ออกถึงสายตาแบบชายหญิงเพราะเขาไม่มีโอกาสได้รักใครในชีวิตเก่า เขาเลยไม่อยากให้ใครต้องพลาดการมีความรักสักครั้งในชีวิต มีโอกาสก็ควรรีบคว้าไว้ เพราะคนเราบอกไม่ได้จะอยู่หรือตายตอนไหนฉินชีไม่คิดว่านี้คือการล้อเลียน แต่มันคือความหวังดีของผู้เป็นนาย ซึ่งเขาเองใช่ว่าไม่อยากให้โอกาสตนเอง แต่เพราะชีวิตที่อยู่กับความเสี่ยง เขาจึงไม่อยากดึงใครสักคนมาอยู่ในวงล้อมของอันตรายด้วยก็เท่านั้น เช่นเดียวกับที่ท่านหย่งสือเลือกมองท่านจื่อเว่ยอยู่ห่าง ๆ แทนการเดินเคียงข้างนาง“ไม่ตามไปดูว่าที่น้องเขยสักหน่อยหรือเจี่ยนเอ๋อร์”จางหย่งสือก้าวมายืนเคียงข้างหลานชาย ก่อนจะหัวเราะในลำคอ เขากับหยางเจี่ยนรู้เป้าหมายของสองแสบโดยบังเอิญ และแน่นอนว่างานหนักย่อมตกเป็นของฉินชี“เรายังมีเรื่องต้องทำอีกมิใช่หรือขอรับ อย่าได้ห่วงเจ้าสองแสบเลยขอรับ มีทั้งพี่หลงพี่ฉินชีติดตามไป คนที่น่าเป็นห่วงน่าจะเป็นเป
และทุกหน้าที่ผู้ชายคนนี้ทำได้ดีไม่มีที่ติ ขอแค่นายเอ่ยปากเขาจะไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ ไม่แปลกที่ท่านลุงวางใจให้เขาเคียงข้างนางสามพี่น้อง ฉินชีเหมือนพี่ชายใหญ่ที่คอยดูแลพวกนางที่เสมือนปูไม่อยู่นิ่งฉินชีแสร้งไม่รับรู้ถึงสายตาจากคนเบื้องหลัง ทั้งยังคำพดที่ดูจะตดขัดของผู้เป็นนาย เขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งย่อมต้องมีหวั่นไหวบ้า ในยามที่มีใครสักคนกล้าที่จะเผยความในใจ จะต่อหน้าหรือลับหลัง หากรู้ขนาดนี้แล้วเขาก็ต้องรู้สึกบ้างปึก! เจินจูกระพริบตาปริบ ๆ เมื่ออยู่ ๆ คนด้านหน้าหยุดลงกะทันหัน จนทำให้นางชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างเต็มแรง ฉินชีสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะหันกลับไปหาผู้เป็นนายกับเงาสาว“เชิญด้านในขอรับคุณหนู”ฉินชีผายมือให้แก่ผู้เป็นนายสาว ก่อนที่ตัวเขาจะขยับหลีกทางให้ เหลียนฮวาคลี่ยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย เป็นการขอบคุณก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังศาลาพักผ่อน ซึ่งครอบครัวของนางนั่งอยู่ส่วนสองหนุ่มสาวที่ต้องรั้งรออยู่ด้านนอก ต่างพากันเบนใบหน้าไปคนละทิศทาง มิใช่รังเกียจแต่มันคือความเก้อเขิน เจินจูถึงกับมือชื้นเหงื่อ เมื่อได้ลมหายใจที่ชายหนุ่มพยายามควบคุมให้มันสงบนิ่ง ดังชัดอยู่ข้างกาย“ท่านลุง ท่านป้า