บุรุษหน้าคมหันกลับมาที่เขาพร้อมกับยักคิ้วให้ ก่อนจะเดินเข้าจวนข้างๆ เขาไปทันที
อ้าว อ้าว อ้าว เราอยู่บ้านข้างกันเหรอ
หากใครเดินผ่านไปผ่านมาแถบจวนขุนนาง ก็คงเห็นเกอคนงามจากเหิงเยว่กำลังยืนอ้าปากค้างหน้าเรือนด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด ยืนช็อกอยู่ไม่นานก็มีบ่าวชายหญิงสี่คนเดินตรงจากข้างบ้านตรงมาหาเขา
“คุณชายหลิว พวกข้าเป็นบ่าวจากจวนของใต้เท้าเซวียน ถูกส่งมาให้รับใช้คุณชายเจ้าค่ะ”
“จวนใต้เท้าเซวียน ข้างบ้านข้าคือ จวนของเซวียนจางหย่งน่ะหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เป็นจวนส่วนตัวที่ใต้เท้าเซวียนได้รับพระราชทานมาจากฮ่องเต้ ใต้เท้าเซวียนยังฝากคำพูดกลับมาว่า หากคุณชายหลิวคิดถึงจนทนไม่ไหว สามารถปีนรั้วไปหาได้ทุกเมื่อเจ้าค่ะ”
หน็อย หน็อย เดี๋ยวนี้ร้ายกาจแพรวพราวนักนะ
เดี๋ยวพ่อก็ปีนรั้วไปหาซะเลย
เย็นวันนั้น หลิวซีซวนก็รับบริการจากบ่าวทั้งสี่อย่างเต็มที่ ทั้งบีบนวด ขัดสีฉวีวรรณ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่มาอยู่ในโลกนี้ที่เขาได้ทำสิ่งที่ใกล้เคียงกับสปามากที่สุด ผิวพรรณที่ดูแลตามมีตามเกิดแบบคนเหิงเยว่ กระจ่างใสขึ้น ผิดหูผิดตา ผิวกายนั้นเนียนนุ่มน่าสัมผัส กลิ่นกายหอมฟุ้งชวนหลงใหล ความปวดเมื่อยจากเรื่องตึงเครียดมากมาย ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ยามดึกคืนนี้ เขาจึงออกมาชมจันทร์เพื่อปลดปล่อยอารมณ์ด้านลบมากมายที่สะสมมาตั้งแต่เกิดใหม่ในโลกนี้
“นี่มันจบแล้วใช่มั้ย”
จวิ้นอ๋องออกบวช ไต้ซือไป๋ก็ได้ข่าวว่าฆ่าตัวตายในคุกไปแล้ว เช่นนี้ทุกอย่างก็ควรจะสงบสุขแล้วหรือไม่ เขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย และจางหย่งจะได้ไม่โชคร้ายถูกแทง
แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกสังหรณ์ใจประหลาด เขาสัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในเมืองหลวง ว่าที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ
หรือว่าเราจะคิดมากไป
คิดได้สักพัก เขาก็ได้ยินเสียงบรรเลงกู่เจิ้งดังขึ้นมาจากข้างบ้าน เสียงเพลงเรื่อยเอื่อย พลิ้วไหว เสนาะหู ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าผู้บรรเลงกำลังออดอ้อนอยู่
หลิวซีซวนลืมสิ้นความกังวลในจิตใจ เขาเดินตามเสียงเพลงไปเรื่อย จนไปถึงกำแพงที่กั้นระหว่างจวนของเขาและของเซวียนจางหย่ง
“ใครเล่นกันนะ เพลงเพราะจัง อยากฟังใกล้ๆ เลย เสียดายไม่มีทางเชื่อม”
สิ้นเสียงบ่นพึมพำ ดนตรีก็หยุดลงทันที ก่อนที่บนขอบกำแพงจะปรากฏร่างของบุรุษหนุ่มผู้คุ้นเคย ยืนเด่นเป็นสง่า
“เซวียนจางหย่ง!!”
เขาเงยหน้ามองเซวียนจางหย่งในสภาพที่ไม่สวมเสื้อตัวใน มีเพียงแค่เสื้อคลุมตัวนอกตัวเดียวที่คลุมร่างอย่างหมิ่นเหม่
โอ้แม่เจ้า ข้ากำลังโดนธาตุไฟเข้าแทรกเพราะความร้อนแรงของผู้ชาย
“เจ้าชอบเพลงที่ข้าเล่นหรือ”
“เมื่อกี้เป็นฝีมือท่านบรรเลงเพลงหรือ” เขาเอ่ยตะกุกตะกัก ใบหน้างามแดงเถือกเหมือนผลพุทราสุก ถึงบ่อยครั้งจะเป็นฝ่ายเกี้ยวบุรุษ แต่พอเจอจางหย่งในสภาพนี้เขาก็ถึงกับวางสายตาไม่ถูก ท่าทางน่าเอ็นดูราวกับลูกนกตัวน้อย
“ใช่ เป็นข้า ได้ยินว่าเจ้าอยากฟังเพลง เช่นนั้นก็ข้ามมาฟังสิ”
“ว๊ากกก” สิ้นเสียง เซวียนจางหย่งก็ไม่รั้งรอ เขากระโดดลงมาคว้าเอวบางแล้วกระโดดข้ามกลับไปที่เรือนของตนในเวลาชั่วพริบตา
“ว๊ากกกก” ตุ๊บ
หลิวซีซวนข้ามฝั่งมาเยือนเรือนของใต้เท้าเซวียนอย่างสวัสดิภาพ เขาไม่คิดเลยว่ายามดึกเช่นนี้จะมีโอกาสได้มาเยือนเรือนของคนอื่น ซ้ำยังเป็นคนที่แต่งกายหมิ่นเหม่ราวกับจะยั่วยวนกันเสียด้วย
นี่คิดจะแก้แค้นกันรึยังไง
“ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม” คนงามเอ่ยถามเสียงสั่น
“ข้ากลัวเจ้าเหงา เลยจะบรรเลงเพลงกู่เจิ้งให้ฟัง เผื่อเจ้าจะคิดถึงบ้านที่เหิงเยว่”
จากนั้น เซวียนจางหย่งก็นั่งลงบรรเลงเพลงด้วยท่วงท่าสง่างามพร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี ไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่เป็นถึงจอหงวนบู๊ เป็นขุนนางในหน่วยสืบราชการลับแต่กลับมีฝีมือด้านดนตรีอย่างร้ายกาจ ชายหนุ่มรูปงามเหลือบสายตามามองคนงามตัวเล็กด้วยสายตาแพรวพราว ยิ่งเห็นพวงแก้มสองข้างแดงระเรื่อก็ยิ่งมีสีหน้าพอใจมากขึ้น
“คืนนี้ดึกแล้ว ท่านกลับไปคงลำบาก”
จ้า ลำบากมาก บ้านข้างกัน แถมเขายังกระโดดไปมาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจด้วยซ้ำ
ใต้เท้าเซวียนเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก คิดจะหลอกล่อเกอไร้เดียงสาเช่นเขาให้หลับนอนด้วยกันน่ะเหรอ เห็นข้าเป็นเกอใจง่ายหรืออย่างไร
“เช่นนั้น คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่”
ใช่แล้ว ข้าเป็นคนใจง่ายจ้า ในเมื่อได้โอกาสงามเช่นนี้ก็ต้องไขว่คว้าเอาไว้
เกอตัวเล็กขยับเข้าไปหาเซวียนจางหย่ง ก่อนจะมุดเข้าไปในอ้อมกอดอย่างออดอ้อน“งือ คืนนี้เก๊าขอนอนด้วยนะก๊าบ”“เจ้าพูดอะไรรึ”“เป็นภาษาสวรรค์ ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย” เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะซุกตัวเขาไปแนบอกอุ่นให้แนบชิดมากขึ้น ทว่าจู่ๆ ร่างกายก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานาน เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาก็กลายเป็นสีทองพลังแห่งการพยากรณ์กลับคืนมาแล้ว!ยามนี้เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย บ้านเมืองสงบเรียบร้อย จวิ้นอ๋องออกบวช แต่เหตุใดเขายังคงเห็นเซวียนจางหย่งถูกแทงเข้าที่อก โดยมีบุรุษในชุดสีทองลายมังกรจับอยู่ที่ด้ามดาบเช่นเดิมเล่าถึงแม้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป แต่เซวียนจางหย่งก็ยังต้องถูกฮ่องเต้แทงเช่นเดิมน่ะหรือ“เจ้าร้องไห้ทำไมหลิวซีซวน เกิดอะไรขึ้น” เซวียนจางหย่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแตกตื่น ก่อนจะทั้งกอดทั้งปลอบคนตัวเล็กให้คลายกังวลเกือบทั้งคืนณ จวนรองเจ้ากรมโยธากลางดึกคืนนี้ก็เป็นเช่นอีกหลายคืน ถานตงหยางนั้นยุ่งวุ่นวายกับการปรับเปลี่ยนแผนการกับเซี่ยโม่โฉวจนดึกดื่น ฮูหยินคนใหม่ที่เพิ่งแต่งกันมาได้ไม่นาน หาใช่คนที่อ่อนหวานหรือเข้าอกเข้าใจสามีนัก เซี่ยอ้ายเหม่ยเคยได้บุร
“ท่านตา ท่านตาช่วยข้าด้วย ท่านตา” เสียงร้องเรียกโวยวายดังขึ้นมาทุกครั้งที่หลานชายคนเดียวบุกเข้ามาในมิติส่วนตัว หลิวหงชิงที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ถึงกับยกยิ้มมุมปากพร้อมกับส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะหันไปหาหลิวซีซวนที่มีท่าทางแตกตื่น“คราวนี้บุรุษของเจ้ามีปัญหาอะไร”“ท่านตา ท่านรู้หรือ” “สีหน้าแตกตื่นเช่นนี้ ย่อมเกี่ยวกับบุรุษแซ่เซวียนผู้นั้น ข้ารู้จักหลานข้าดี” นี่ท่านกำลังด่าข้าทางอ้อมว่าข้าบ้าผู้ชายหรือ ท่านตา“เกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะ เจ้าจงเล่ามาให้หมด เผื่อตาแก่อย่างข้าจะช่วยอะไรเจ้าได้”“เรื่องมันเป็นแบบนี้ท่านตา ข้าเข้ามาอยู่เมืองหลวงวันแรกก็พบว่าเซวียนจางหย่งอยู่จวนข้างๆ เขาบุกเข้ามาอุ้มข้าถึงในเรือนแล้วกระโดดข้ามกำแพงกลับไปยังจวนของตน จากนั้นก็บรรเลงเพลงกู่เจิ้งไพเราะจับใจให้ข้าฟัง แล้วจากนั้นเราก็กอดกัน”“หยุดก่อน นี่เจ้าจะปรับทุกข์หรือจะอวดกันแน่ ไม่เห็นใจตาแก่ที่อยู่ในมิติส่วนตัวเพียงลำพังหรือ”“โธ่ ท่านฟังให้จบก่อนท่านตา ตอนที่เรากอดกัน พลังวิเศษด้านการพยากรณ์ของข้ามันก็กลับมา”“หืม ดียิ่ง จากนี้ไปพลังด้านอื่นๆ ที่ข้าถ่ายทอดให้ไปก่อนหน้านี้ก็จะค่อยๆ ทยอยกลับมา เจ้าจะได้มีความร
หลิวหงชิงกระตุกมุมปากมองหลานชายคนงามราวกับกำลังจะรับชมเรื่องสนุก ก่อนที่ฉากทัศน์ของหลิวซีซวนจะเปลี่ยนไปกลายเป็นความมืดมิด เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนกำลังอยู่ในอ้อมกอดของเซวียนจางหย่งบนเตียงของเขา ร่างกายทั้งสองแนบชิดกันทุกส่วนจนคนที่ตื่นก่อน อดไม่ได้ที่จะกระดากอาย เขาค่อยๆ ขยับกายผละออกมา ทว่าคนตัวโตกลับแสดงด้านงอแงออกมาอย่างคาดไม่ถึง“เจ้าจะไปไหน จะทิ้งข้าไปหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นมาจากบุรุษร่างใหญ่ที่กำลังโอบกอดเขาอยู่แนบชิด ที่เอ่ยออกมาโดยที่ยังไม่ลืมตาเลยด้วยซ้ำ“เจ้าตื่นแล้วหรือ ปล่อยข้าก่อน”“ยังเช้าอยู่เลย เหตุใดต้องรีบร้อน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่ากระเส่า ทำเอาอ่อนระทวย“เมื่อก่อน เจ้าตื่นเช้ายิ่งกว่าใคร เหตุใดกลับเมืองหลวงแล้วจึงดูเกียจคร้านนัก”“คงเพราะบนเตียงมีเจ้าอยู่ด้วยกระมัง ข้าจึงไม่อยากจากไปไหน”โอ๊ย โดนอ้อนขนาดนี้ ใจเขาเหลวเป็นน้ำใครจะคิดว่าการได้ตื่นมาร่วมเตียงกับเซวียนจางหย่ง จะทำให้ค้นพบว่าบุรุษผู้นี้ช่างออดอ้อนยิ่งนัก“ไม่ได้ ข้าต้องกลับแล้ว เดี๋ยวคนในจวนจะตกใจที่ข้าหายไป คนในจวนเจ้าก็อาจจะเอาไปนินทาได้” เขาผละออกมาอย่างเสียดาย ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห
เขาเอ่ยตอบด้วยความสัตย์จริง เขาคิดจะคบหากับเซวียนจางหย่งอย่างจริงจัง ไม่ควรมีความลับอะไรปิดบังบิดาของเขา เขามองเซวียนอี้หางด้วยสายตามั่นคง ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายนั้นมีสายตาอ่อนลงมาก“ซีซวนเองหรือ ไม่ต้องเรียกว่าท่านแม่ทัพหรอก เรียกข้าว่าท่านอาอี้หางเสียเถิด อย่างไรเสีย ข้ากับพ่อเจ้าก็รู้จักกันมานาน ข้านึกเป็นห่วงเจ้าไม่น้อย หลังจากที่เหอชางจากไป รู้ข่าวอีกทีก็พบว่าตระกูลถานขับไล่เจ้าออกไปแล้ว เหตุใดเกิดเรื่องใหญ่โต จึงไม่มาหาข้า”“ข้าขอโทษ ท่านอา ยามนั้นข้ามืดแปดด้านซ้ำยังอับอาย จึงไม่กล้าอยู่เมืองหลวง ข้าถูกใส่ร้ายขอรับ”เซวียนอี้หางยิ่งมองเขาด้วยสายตาเวทนามากขึ้น“น่าสงสารเหอชางยิ่งนัก บุตรเกอคนงามถูกเอาเปรียบใส่ร้าย ส่วนบุตรชายก็ไร้สมอง ทำตัวเสเพลเหลวไหล วันๆ คิดแต่จะล้างผลาญสมบัติของบิดา” แม่ทัพเซวียนถอนหายใจยาวให้กับชะตากรรมของตระกูลเหอ ก่อนจะเอ่ยถามบุตรชายของตน“ยามนี้ใช้แซ่หลิว ชื่อหลิวซีซวน ใช่คนเดียวกับที่ได้ปูนบำเหน็จในตำแหน่งกุนซือทัพเสริมขององค์ชายห้าหรือไม่” “ใช่ขอรับ คุณชายหลิวผู้นี้นอกจากจะช่วยองค์ชายห้าแล้ว ยังช่วยข้าบุกเข้าไปทำลายพิธีชิงดวงของจวิ้นอ๋องด้วย หากไม่ได้เขา
ในวันต่อมา หลังจากที่ได้คลุกคลีทำความรู้จักกับบ้านตระกูลเซวียน วันนี้ก็เป็นวันที่เขาตั้งใจจะให้เวลากับตัวเองเต็มที่ ซึ่งสิ่งแรกที่เขาเลือกที่จะทำนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้นั่นคือ การพบหมอนั่นเอง“คุณชายหลิว ท่านหายไปนอนข้างบ้านมาหนึ่งคืน แล้วถึงกับต้องตรวจร่างกายเลยรึ” ลี่จูถึงกับต้องกลั้นขำ เมื่อเซวียนจางหย่งจัดหาหมอชื่อดังมาตรวจอาการของหลิวซีซวนถึงในบ้าน“ตู้ลี่จู!!”“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ตอนข้าท้องอาจ้านก็เพราะแอบไปค้างกับท่านพี่ตู้เจาก่อนแต่งงานเช่นกัน” “อะแฮ่ม เจ้าอย่าคิดไปไกล ข้าแค่แวะไปนอนหลับ หาได้หลับนอนร่วมกับใครไม่ พูดเช่นนี้ข้าเสียหาย”“เสียหายอะไร ท่านชอบล่ะสิไม่ว่า” ตู้ลี่จูเอ่ยอย่างรู้ทัน“เจ้าพูดถูก ข้าชอบยิ่งนัก ฮี่ๆ รู้หรือไม่ว่าเขาบอกว่าจะแต่งให้ข้าเพียงผู้เดียว ในที่สุดข้าก็มีคนรักแล้ว”เมื่อมีโอกาสจะรอช้าอยู่ไย อวดแฟนเข้าไปสิ กว่าจะได้คนนี้มา ไม่ใช่ง่ายๆ หลิวซีซวนอยากจะวิ่งออกไปประกาศหน้าจวนว่า เขากำลังคบหากับเซวียนจางหย่ง“ทุกคนดูออกกันตั้งนานแล้วว่าพี่จางหย่งน่ะ มีใจให้ท่านมาตลอด ไม่เห็นจะมีอะไรต้องตื่นเต้นเลย ท่านหมอ คุณชายหลิวช่วงนี้คงตื่นเต้นไปห
นานแล้วนะ ที่เมืองหลวงไม่มีเกอที่งดงามเช่นนี้“เกอผู้นี้คือใคร งามเหลือเกิน“คงมาจากเมืองอื่น ไม่รู้มาจากเมืองไหน คนรับใช้ใส่เสื้อผ้าเก่าไร้รสนิยม คงมาจากที่ห่างไกลมาก”“ใบหน้างามหวานหยดย้อย แต่ท่าทางสดใสกระฉับกระเฉงซุกซน มีเสน่ห์เหลือร้ายเสียจริง”“ข้าว่าใบหน้าเขาดูคุ้นๆ นะ เหมือนฮูหยินถานคนเก่าเลย หรือว่าจะเป็นเขา”“เจ้าอย่าพูดถึงเรื่องอัปมงคล คนงามเช่นนี้จะเป็นพวกสวมหมวกเขียวให้สามีได้อย่างไร”“คล้ายเหอซีซวน บุตรของคหบดีเหอชางผู้ล่วงลับจริงๆ”เขาควงแขนตู้ลี่จูไปยังร้านผ้าอย่างอารมณ์ดี แม้ว่าสองหูจะได้ยินเสียงนินทามาตลอด แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนักเขาคือหลิวซีซวน แซ่หลิว ไม่ใช่แซ่เหอเมื่อเข้ามาที่ร้านขายผ้า หลิวซีซวนก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ร้านขายผ้าร้านนี้แต่เดิมเป็นร้านชื่อดังของตระกูลเหอ มีแพรพรรณสีสันสดใสทันสมัยละลานตา ทว่าในยามนี้ ร้านกลับดูทรุดโทรมลงไปมาก ซ้ำคนงานยังดูเกียจคร้าน ไร้มารยาทอีก“ข้าต้องการชุดสำเร็จรูปให้สหายสักสามสี่ชุด เจ้ามีแบบใดบ้างหรือ” คนงานหนุ่มเหลือบมองมาทางพวกเขาอย่างรำคาญ ก่อนจะโบกมือไล่“ออกไปซะ ข้าไม่ขายหรอก”“ทำไมล่ะ”“ชุดสำเร็จรูปที่ร้านนี้ไม่มีมานานแล
“ฮรึก!!” อาจ้านที่เจ็บตัวอยู่ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเจ็บใจ เป็นเพราะเขาเป็นคนบ้านนอกไร้การศึกษา จึงจำต้องก้มหัวยอมความฮูหยินขุนนางน่ะหรือ“อาจ้าน ไม่เป็นไรนะ เจ้าอย่าร้องเลย” เขากอดปลอบเด็กน้อยพร้อมกับลูบหัวปลอบประโลม ตวัดสายตามองไปยังอดีตสหายรัก“เอาเงินไปหนึ่งตำลึงเงินซะ แล้วไสหัวไปให้พ้นสายตาข้า” เซี่ยอ้ายเหม่ยโยนเงินให้กับตู้ลี่จูอย่างดูหมิ่น แล้วเดินหันหลังกลับไปขึ้นรถม้าแต่กลับมีเสียงของคนคุ้นเคยดังขึ้นมาเสียก่อน“เป็นฮูหยินขุนนาง แล้วคิดจะเอาเงินฟาดหัวชาวบ้านยังไงก็ได้น่ะหรือ บุตรชายของสหายของข้าเจ็บถึงเพียงนี้ แม้แต่คำขอโทษสักคำ ยังไม่มี ไม่รู้มาก่อนเลยว่าคนเมืองหลวงจะใจดำถึงเพียงนี้”เมื่อเซี่ยอ้ายเหม่ยหันกลับมาก็ถึงกับตกตะลึง เธอมองเกอรูปงามในชุดขาวลายหงส์แดงหรูหราที่รวบผมตึงราวกับบุรุษ ด้วยสีหน้าราวกับเห็นผี“เจ้า..เหอซีซวน เจ้าตายไปแล้ว”“ท่านพูดอะไร คนผู้นี้คือคุณชายหลิว หลิวซีซวนต่างหาก” “ไม่จริง นี่มันเหอซีซวน เกอแพศยาที่สวมหมวกเขียวให้สามีของข้า ข้าเป็นสหายของเจ้า ย่อมจำได้ เป็นเจ้าแน่นอน”“เป็นสหายแบบใดจึงได้แต่งกับสามีของสหายเล่า ฮูหยิน ท่านพูดแบบนี้มันดูแปลกๆ
บ่ายวันนั้น จบลงด้วยการที่พวกเขาพาอาจ้านไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายท่ามกลางสายตาชื่นชมของชาวบ้าน หลายคนที่หมั่นไส้เซี่ยอ้ายเหม่ยที่ชอบข่มคนอื่นมานาน ถึงกับเดินเข้ามาชื่นชมหลิวซีซวนที่แม้จะมาจากต่างเมือง ก็ยังกล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งถูกต้องโชคดีที่อาจ้านไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก มีแค่แผลถลอกและเสียขวัญเล็กน้อยเท่านั้น เขาซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียนและหนังสือมาปลอบใจเด็กน้อยตามประสาเศรษฐีตระกูลหลิวผู้ร่ำรวย ก่อนจะพากันกลับจวนอย่างอารมณ์ดี เมื่อมาถึง สาวใช้ที่เซวียนจางหย่งมอบให้ ก็ตรงเข้ามาแจ้งเขาทันที“คุณชายหลิว ท่านกลับมาแล้ว เมื่อครู่มีแขกของท่านมาพบเจ้าค่ะ เขากำลังรอท่านอยู่ที่ห้องโถงรับแขก” “แขกของข้าหรือ ใครกัน”“เขาแซ่จิน เขาบอกว่าหากแจ้งคุณชายเช่นนี้ คุณชายก็จะรู้เอง”หลิวซีซวนทำหน้างุนงงเล็กน้อย ก่อนจะนิ่งคิดคุณชายจิน แซ่จิน จิน..เดี๋ยวนะ องค์ชายพญานก องค์ชายห้าเฉินหนิงจินน่ะหรือเขารีบไปที่ห้องรับแขกที่มีแขกสูงศักดิ์กำลังนั่งคอยอยู่อย่างร้อนรน เมื่อถึงที่แล้วก็รีบทำความเคารพด้วยท่าทางที่ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดี“ถวายพระพร องค์ชายห้า”“ลุกขึ้นเถิด อย่ามากพิธีเลย คนกันเองทั้งนั้น” องค์ชายห
ห้าปีต่อมาหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองหลวงเมื่อห้าปีก่อน จวนตระกูลหลิวก็ปิดเงียบมาตลอด ฮ่องเต้เฉินเฟยหลงนั้นเหนื่อยใจไม่น้อยที่อุตส่าห์พาตัวทายาทตระกูลหลิวกลับมาอยู่ในเมืองหลวง แต่อีกฝ่ายก็ยังคงมีนิสัยเหมือนกับต้นตระกูล นั่นคือเกลียดความวุ่นวาย สิ่งที่หลิวซีซวนขอพระราชทานเป็นรางวัลจากเขาคือ การที่เขาสามารถอยู่เฉยๆ ได้ และปฏิเสธการเข้าพบคนจากราชสำนักหรือใครหน้าไหนก็ตามเขาจะต้องการอะไรอีกเล่า ในเมื่อยามนี้ได้สามีแล้ว เงินทองก็มีจนไม่รู้จะใช้ยังไงหมด ทรัพย์สมบัติในคลังสมบัติตระกูลหลิวก็ถูกเก็บไว้อย่างดีที่บ้านตระกูลหลิวที่เหิงเยว่โดยมีท่านตาตู้เฉิงเป็นผู้ดูแลด้านตู้เจาและตู้ลี่จูนั้นหลังจากเริ่มกิจการของตัวเอง ยามนี้ก็กลายเป็นร้านค้าชื่อดังที่มีหลายสาขา การงานการเงินมั่นคง ส่วนบุตรชายอย่างอาจ้านก็กำลังเตรียมสอบเข้าโรงเรียนหมอตามที่ตั้งใจไว้ หลิวซีซวนภูมิใจไม่น้อยที่คนข้างกายเขากำลังไปได้ดีกันทุกคน“กรี๊ดดดด อ๊ากกกกกกก”ยามนี้เสียงกรีดร้องกลับดังออกมาจากจวนตระกูลหลิวในเมืองหลวง บ่าวไพร่พากันวิ่งวุ่น ยามนี้สองจวนทุบกำแพงเข้าหากันจนกลายเป็นจวนขนาดใหญ่ ยิ่งเป็นการเสริมบารมีให้หลิวซีซวนแ
“เจ้ารู้ข่าวของถานตงหยางแล้วใช่หรือไม่”“ตอนนั้น ข้าเห็นเขาจากในภาพนิมิตแล้ว สุดท้ายคนผู้นั้นก็ถูกฆ่าตายอย่างไร้ค่ายิ่งนัก”“แล้วเจ้า..ไม่เสียใจหรือ” เซวียนจางหย่งนั้นเป็นบุรุษใจกว้าง เขารู้ดีว่าเขากำลังแต่งให้กับคนงามที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว เขาตระหนักอยู่เสมอว่า แม้หลิวซีซวนจะเลิกรากับอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เยื่อใย อย่างไรก็คนที่เคยอยู่กินกันมาหลายปี“ไม่หรอก เขาสมควรตายจริงๆ คนเช่นนั้นอย่างไรก็คิดไม่ได้ วันข้างหน้าย่อมต้องก่อการเลวร้ายอีกแน่ นับว่าความแค้นระหว่างข้าและเขาได้จบสิ้นในชาตินี้อย่างสมบูรณ์แล้ว” หลิวซีซวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เรียกรอยยิ้มจากบุรุษรูปงามได้ไม่น้อยตัดเวรกันได้แล้วก็ดีชายหนุ่มก้าวเข้ามา ก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมกอดแนบชิดทั้งสองร่างจากทางด้านหลัง แก้มนวลขึ้นสีเล็กน้อยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง ที่ผ่านมาเหอซีซวนนั้นเป็นคนซุกซนชอบเรื่องสนุกสนาน แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็ซึมลงไปถนัดตาจนน่าเป็นห่วง เขานึกไปว่าอีกฝ่ายเสียอกเสียใจเรื่องอดีตสามีเสียอีก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กำลังมีบางเรื่องรบกวนจิตใจเกอคนงามอยู่“แล้วเมื่อกี้ เจ้ากำลั
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นเมืองหลวง ก็ถึงเวลาแห่งการฟื้นฟู โชคดีที่นอกจากจัตุรัสกลางเมืองแล้ว ไม่มีสิ่งใดพังทลาย ทว่าก็มีชาวบ้านโดนลูกหลงจนบาดเจ็บเป็นจำนวนไม่น้อย จนฮ่องเต้ต้องประกาศเรียกตัวหมอตามเมืองต่างๆ ให้เร่งเข้ามาช่วยรักษาอาการให้ปลอดภัยสิ่งที่ทำให้ผู้คนนึกทึ่งในช่วงเวลาวิกฤตก็คือ องค์ชายห้าจอมเสเพลนั้น แท้จริงแล้วเป็นเจ้าของที่แท้จริงของห้องอาหารส่องดาว พระองค์นำอาหารจากห้องอาหารมาเปิดโรงทานแจกจ่ายให้กับผู้คนอย่างไม่รอช้า เหล่าองค์ชายคนอื่นก็ไม่น้อยหน้า เมื่อได้เวลาแสดงความสามารถก็ต่างพากันช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันอย่างเต็มกำลังสถานการณ์ในเมืองจึงกลับมาสู่สภาพปกติดังเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือกลุ่มขุนนางชั่ว งานนี้ความผิดประจักษ์เห็นต่อหน้า จวิ้นอ๋องกำเริบเสิบสาน ตั้งใจชิงบัลลังก์ถึงขั้นกล้าลงมือกับประชาชนโดยมีขุนนางหลายคนหนุนหลัง ฮ่องเต้แต่ไหนแต่ไรประนีประนอม ใจอ่อนให้จวิ้นอ๋องที่มีอำนาจฝั่งมารดาถ่วงดุลอยู่ไม่น้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายตายไปแล้ว เขาก็ไม่คิดจะยั้งมือกับพวกขุนนางทั้งหมดที่ร่วมก่อการในครั้งนี้หนึ่งในนั้นก็คือ เสนาบดีเซี่ยโม่โฉว วันนั้นเลี่ยงชิงและเลี่ยงหรงใ
“หลานรัก” เสียงเพรียกดังขึ้นมาแต่ไกล เขาหลับตาลง ก่อนจะพบว่าตนเองมาโผล่อยู่ในมิติส่วนตัวของตนอีกครั้งในที่นี้นั้นสงบเงียบและปลอดโปร่ง ต่างจากโลกแห่งความจริงที่เขากำลังเผชิญ ท่านตาหลิวหงชิงกำลังจิบชาร้อนด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะหันมายิ้มให้เขา“ท่านตา เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“ข้ารู้แล้ว เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหา”“แต่ท่านตา ผู้คนกำลังจะตาย ข้าเองก็จะไม่ไหวแล้ว”“ชู่ หลานรัก ทำใจให้สบาย ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่า วันนี้เจ้าต้องมีสติให้มาก” หลิวหงชิงยกยิ้มอ่อนโยนให้กับหลานคนเดียว ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้“ข้าพยายามเต็มที่แล้ว ท่านตา แต่ข้าจัดการพวกมันไม่ได้ ข้าช่วยใครไม่ได้เลย”“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าทำดีแล้ว เด็กดี ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อให้มีชีวิตที่ดี ได้สร้างครอบครัวดั่งที่ใจปรารถนา ข้าไม่ได้ตั้งใจจะให้เจ้าต้องรับศึกหนักเช่นนี้” ชายชราปลอบหลานชาย ก่อนจะเอ่ยต่อ“เวลาที่ผ่านมา ข้าติดอยู่ในมิติส่วนตัวนี้มานานเกินไปเหลือเกิน ยามนี้เหอซีซวนได้รับการปลดปล่อยแล้ว ตัวข้าที่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยววิญญาณก็ควรถึงเวลาต้องไปแล้วเช่นกัน”“ท่านตา ท่านจะไปไหน ท่านไปแล้ว ข้าจะอยู่กับใคร” “เจ้าก็อยู่กับสามี
เขาจะทำอะไรได้ ยามนี้แค่ทรงตัวยืนอยู่ แล้วตั้งรับดาบที่เข้ามารอบทิศก็ลำบากมากแล้ว และก่อนที่เขาพลาดท่าก็มีใครบางคน ปรี่มาช่วยเขาเสียก่อน“คุณชายหลี่” ใช่แล้ว คือพ่อหนุ่มดวงมหาโชคคนดีคนเดิมนั่นเอง ดูจากฝีไม้ลายมือ เขาก็พอจะดูออกว่าคนผู้นี้นั้นไม่สันทัดเรื่องการใช้กำลังเท่าไหร่นัก ไม่แปลกใจที่ได้ทำงานสายผู้ตรวจการมากกว่าจะไปทางทหาร แบบเซวียนจางหย่ง“หลิวซีซวน เจ้าระวังตัวด้วย”“สามีข้าเป็นอย่างไรบ้าง”หลี่เฉียงฮุยถึงกับหันกลับมามองเขา ด้วยสายตาเหลือเชื่อ“เจ้าห่วงชีวิตสหายข้ามากกว่าชีวิตตนเองอีกหรือ รีบเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ข้าเองก็ไม่รู้จะช่วยเจ้าต้านไว้ได้มากเพียงใด”“คุณชายหลี่ ท่านช่วยหยุดโจวเฟิง มันจะจุดเทียนอีกครั้ง ค่ายกลชิงดวงจะกลับมาทำงานได้ใหม่” หลี่เฉียงฮุยมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที เขาสองคนถูกรุมล้อมรอบด้าน จนแทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นนี้ จะทำอะไรได้“งั้นเอาเช่นนี้ก็แล้วกัน” หลี่เฉียงฮุยถือคติว่า อะไรทำได้ก็ให้ทำไปก่อน เขาดึงมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ออกมา ก่อนจะปาไปทางโจวเฟิงหวังปลิดชีพถึงจะปลิดชีพไม่ได้ แต่ทำลายสมาธิมันได้ก็ยังดีแต่ใครจะไปคาดคิดในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมีดสั้นพ
หลิวซีซวนค่อยๆ ลุกขึ้นมาช้าๆ ด้วยแรงแค้นที่แน่นอก หากคนตกใจสามารถยกโอ่งหนีไฟไหม้ได้ คนที่กำลังโกรธก็น่าจะยกภูเขาได้ไม่ต่างกัน โดยที่ไม่มีใครคาดฝัน เกอคนงามร่างบางที่เมื่อครู่ยังซวนเซ กลับเดินไปยกแท่นพิธีที่หักครึ่งแล้วทุ่มไปทางโจวเฟิงอย่างไม่ออมมือตู้ม!!!โจวเฟิงนั้นแม้บาดเจ็บอยู่ แต่ประสาทสัมผัสยังคงเฉียบคม เขาจึงกระโดดหลบแท่นหินขนาดใหญ่ได้อย่างหวุดหวิด“นี่เจ้า”“หมาลอบกัด เจ้าแอบซ่อนอยู่ข้างกายข้าและจางหย่งมาตลอด” หลิวซีซวนตวาดดังลั่น เสียงสั่นด้วยความโมโห“แล้วอย่างไร บุรุษผู้นี้มันโง่เอง มันกล้าบุกเข้ามาสอบสวนข้าเพียงลำพัง ทั้งที่รู้ว่าข้านั้นเป็นหลวงจีนที่มีวิชาอาคม สุดท้ายมันก็ถูกข้าใช้วิชาสับเปลี่ยนวิญญาณ และปล่อยให้มันตายไปกับร่างเดิมของข้าในคุก ฮ่าๆๆ”“เจ้ามันสารเลว เพราะเจ้า ผู้คนถึงได้เดือดร้อน เจ้าไม่ได้ต้องการช่วยจวิ้นอ๋องให้ครองบัลลังก์ เจ้าก็แค่ต้องการละเลงเลือดทาแผ่นดินก็เท่านั้น เจ้ามันปีศาจชัดๆ ไม่ต้องพูดมาก เจ้าจะเป็นใครก็ช่าง ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปได้แน่ กล้าทำร้ายคนของข้า เช่นนั้นเจ้าก็จงรับผลกรรม” หลิวซีซวนหยิบดาบขึ้นมาถือไว้พร้อมกับกระชับไว้แน่น พร้อมที่จะโ
ไต้ซือไป๋ในร่างของโจวเฟิงล้วงเข้าไปในปกเสื้อ ดึงเทียนทำพิธีสีแดงแท่งใหม่มาถือไว้อย่างหมายมาด เวลาเหลืออีกไม่มากนัก หากว่าเทียนเล่มเก่าดับ เช่นนั้นเขาก็จะจุดแท่งใหม่ด้วยตัวเองถึงอย่างไร เขาก็ต้องทำภารกิจวันนี้ให้สำเร็จให้ได้เขาควบม้ามุ่งหน้าเข้าไปใจกลางเมือง ถึงแม้เทียนจะดับ แต่หากเขาสามารถจุดเทียนสำรองนี้ได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามโดยที่เหยื่อบูชายัญทั้งสี่ทิศยังคงอยู่ที่เดิม ค่ายกลก็ยังกลับมาทำงานได้อีกครั้งไม่แน่ว่าป่านนี้ คนที่บุกไปทำลายพิธีอาจจะโดนทัณฑ์สวรรค์ผ่าร่างจนตายไปแล้วก็ได้โจวเฟิงมองออกไปไกลยังใจกลางเมือง ก็เห็นเมฆก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีอัสนีฟาดลงมาที่กลางเมืองจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนแผ่นดินสะเทือนเปรี้ยง!!สายฟ้าฟาดลงมากลางแท่นพิธีที่จัตุรัสกลางเมืองเก้าครั้งติดกันไม่หยุด วันนี้ที่เมืองหลวงนั้นเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวมืดครึ้มเดี๋ยวสว่าง จู่ๆ ท้องฟ้านั้นกลับส่งสายฟ้าฟาดลงมา ท่ามกลางการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย“แฮ่กๆๆ รอดจริงๆ ด้วย” หลิวซีซวนที่ร่ายรำอยู่นาน สุดท้ายเขาก็สามารถเอาตัวรอดจากทัณฑ์สวรรค์ได้ เขามองไปรอบกายก็พบว่าจัตุรัสกลางเมืองนั้นเละ ไม่เหลือชิ้น
ในขณะพวกเขายังสู้กันต่อ แต่หลิวซีซวนกำลังตัวสั่นอยู่กลางพิธี ดวงตาสีทองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าแตกตื่นนี่เราลืมอะไรไปรึเปล่าอ๋อ เราลืมไปใช่หรือไม่ว่าหลังจากทำลายค่ายกลชิงดวงแล้ว จะได้รับทัณฑ์สวรรค์เป็นสายฟ้าฟาดเวรเอ๊ย กูจะโดนฟ้าผ่าอีกแล้วเหรอวะเนี่ย ครั้งที่แล้วโดนไปยังเกือบตายสักพัก เขากลับได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาจากภายใน เป็นเสียงของท่านตาที่คงอดทนไม่ไหว จึงแอบมาบอกเขา“ค่ายกลเทวาร่ายรำ” เขามองท้องฟ้าที่เริ่มมีเมฆตั้งเค้าอีกรอบด้วยความสยอง เวลานี้จำเป็นต้องงัดวิชาทุกวิชาของตระกูลหลิวออกมาเพื่อปกป้องตนเองเสียก่อน เทวาร่ายรำก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำเพื่อสร้างเกราะกำบังกายให้กับตนเองจะรออะไรล่ะ ร่ายรำไปเลยสิจ๊ะหลิวซีซวนขยับร่างกายไปพร้อมกับบริกรรมคาถาไปด้วย เขาต้องเรียกสติตนเองตลอดเวลาเพราะหาไม่แล้วอาจจะเผลอก่นด่าสวรรค์ไปแล้วหลายรอบ รอบกายของเกอคนงามเปล่งประกายสีทอง ราวกับแผ่ออกมาเพื่อเป็นเกราะกำบังภัย ตัวของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด กล้ามเนื้อถูกเคี่ยวกรำอย่างหนัก จนเริ่มรับพลังมหาศาลที่ไหลเวียนในกายไม่ไหว เขาไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ แต่เขาจะไม่ยอมโดนฟ้าผ่าตายอีกหนแน่ๆที่หน้าประตูเม
เซวียนจางหย่งถึงกับมีสีหน้ามืดครึ้ม ทัพของจวิ้นอ๋องและแม่ทัพหวงจะมีอะไรให้น่ากังวล ต่อให้พวกเขาบุกเข้ามาเวลานี้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีชัยเหนือคนที่เหลือสิ่งที่น่ากลัวคือ ทัพของหยวนหลี่เฉียงต่างหาก คนผู้นั้นเด็ดขาดโหดเหี้ยม ไม่เคยแพ้ให้กับผู้ใด ไม่เคยมีใครคิดระแวงว่าเขาจะย้ายฝั่งไปสนับสนุนจวิ้นอ๋อง“ข้านี่โชคดีเหลือเกินที่เลือกออกเดินทางไปศึกษาวิชากับพวกหลวงจีนและนักพรตตามเมืองต่างๆ จึงได้รู้จักหลวงจีนที่เชี่ยวชาญวิชานอกรีตอย่างหาตัวจับได้ยาก เขาเก่งถึงขนาดที่สามารถสับเปลี่ยนดวงวิญญาณของตนเองกับผู้อื่นได้ เช่นนี้ข้าคงไม่เหลืออะไรให้กังวล แม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ยังต้องยอมสยบให้กับข้า หึหึ” จวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับมองสงครามกลางเมืองที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด แม้ว่ายามนี้จะมีกองกำลังน้อยกว่าแต่กลับได้เปรียบกว่าทหารหาญและราชองครักษ์ในที่นี้ เซวียนจางหย่งต้องต่อสู้ไปพร้อมกับเฝ้าสังเกตอาการของคนรักที่อยู่กลางแท่นพิธีเพียงลำพังหลิวซีซวนหวนคิดถึงท่านตา ถึงว่าเมื่อคืนถึงคอยกำชับให้เราตั้งสติ เพราะจะเกิดเรื่องแบบนี้นี่เอง ครั้งก่อนเขาเป็นผู้ที่ทำลายพิธีชิงดวงของหลี่เฉียงฮุยเพียงผู้เดียว ครา