คนตระกูลหลิวจากเหิงเยว่ ยืนอ้าปากค้างเรียงกันอยู่หน้าจวนขนาดใหญ่อย่างตื่นตะลึง
บ้านเพิ่งโดนไฟไหม้จนไม่เหลืออะไรสักอย่าง แต่กลับได้จวนใหม่ไฉไลกว่าเดิม หากไม่เรียกว่าโชคช่วย แล้วจะเรียกว่าอะไร
ข้าคิดว่า ต่อให้เป็นดวงมหาโชคของหลี่เฉียงฮุยก็ยังไม่อาจเทียบกับเขาได้
“คุณชาย ที่นี่เป็นบ้านใหม่ของเราจริงหรือ” ตู้เจาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ท่าทางตอนนี้ มองจากร้อยเมตรก็มองออกว่านี่คือ บ้านนอกเข้ากรุง
“ท่านพี่ ก็ฮ่องเต้มีราชโองการประทานให้คุณชายหลิว พวกเราก็ได้ยินกันหมด ท่านอย่าทำท่าทางน่าอายเช่นนี้” ตู้ลี่จูปรามสามี ก่อนที่บุรุษผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมา
“คารวะคุณชายหลิว ข้าได้รับมอบหมายให้มาส่งมอบจวนหลังนี้ให้กับคุณชายหลิวและผู้ติดตาม จวนหลังนี้ฮ่องเต้พระราชทานมาให้เพราะความสามารถและคุณงามความดีของคุณชายที่เป็นกุนซือช่วยวางแผนรบ จนทัพเสริมสามารถมีชัยเหนือศัตรู ซ้ำยังช่วยชี้แนะและผลักดันให้องค์ชายห้าฉายแววโดดเด่นเพียงนี้”
หลิวซีซวนทำเพียงแค่ยิ้มจางๆ สิ่งเดียวที่เขาผลักดันองค์ชายห้าคือ ผลักให้ไปตามผู้ชายที่ชายแดนเท่านั้น
“ท่านไม่คิดว่าที่นี่ใหญ่เกินไปหรือ”
“ไม่หรอกขอรับ แท้จริงที่นี่เคยเป็นจวนของคนตระกูลหลิวมาก่อน ในบันทึกได้กล่าวถึงคนตระกูลหลิวที่มีบทบาทสำคัญในราชสำนักหลายคน แต่ภายหลังได้ย้ายกลับไปที่เหิงเยว่ เร้นกายอยู่อย่างสงบ แม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว แต่ฮ่องเต้ทุกพระองค์ก็ยังเก็บรักษาจวนเอาไว้ เพื่อให้ทายาทตระกูลหลิวกลับมาเสมอ”
ที่แท้ ต้นตระกูลของเขาก็มีความเกี่ยวพันกับราชสำนักมาก่อน เหอะ มัวแต่ทำงานวุ่นวายในราชสำนัก เพราะแบบนี้ล่ะสิ ทายาทจึงไม่ค่อยมี
พวกเขาเข้ามาสำรวจบ้านใหม่อย่างตื่นเต้น พวกเขาจัดสรรเรือนหลังใหม่ตามความเหมาะสม ก่อนจะช่วยกันไปเก็บข้าวของที่หอบหิ้วมาเพียงแค่หยิบมือเพราะโดนไฟเผาไปหมด
“ข้านี้โชคดีนักที่ติดตามเจ้ามา ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไร้ที่ซุกหัวนอนกันทั้งครอบครัว ลูกของข้าคงอยู่กันอย่างอดอยาก” ตู้ลี่จูเอ่ยขึ้นมาในตอนที่กำลังเอนหลังให้นมบุตรคนเล็ก แม้ว่าจะเหนื่อยสายตัวแทบขาด สุดท้ายลูกก็ยังสำคัญเสมอ
“ตู้ลี่จู เจ้าอย่าคิดมาก เจ้าอยู่ที่นี่ได้ตามที่เจ้าพอใจ บุตรของเจ้าก็อยู่ที่นี่ได้ หากอาจ้านอยากศึกษาที่เมืองหลวง ข้าจะส่งเสียเอง คิดว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้าอีกหลัง”
“ไม่ได้หรอกขอรับคุณชาย ข้าเกรงใจ อีกอย่าง ท่านปู่ยังอยู่ที่เหิงเยว่ พวกข้าคงไม่รั้งอยู่ที่นี่นานนัก” ตู้เจาเอ่ยอย่างนอบน้อมเช่นเคย
“จริงของท่านพี่ คุณชายหลิว ข้าขอบคุณทุกอย่างที่เจ้าทำให้พวกข้า แต่ข้าชอบเหิงเยว่มากกว่า”
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร คิดเสียว่าพาลูกมาเปิดหูเปิดตาเที่ยวเล่นพักผ่อน ดีหรือไม่”
“คุณชายหลิว คนอย่างพวกข้าเป็นชาวบ้านธรรมดา ตั้งแต่เล็กจนโตก็ทำงานหนักมาตลอด หากให้ข้ามานั่งๆ นอนๆ เที่ยวเล่น ข้าคงไม่ชิน ข้าคุยกับท่านพี่แล้ว พวกเราตั้งใจว่าจะริเริ่มทำการค้าบางอย่าง จะได้ไม่รบกวนท่าน”
“สำหรับข้า ตระกูลตู้ไม่เคยรบกวนข้า หากไม่ได้ท่านตาตู้เฉิงดูแลตระกูลหลิวมายาวนาน ข้าก็คงไม่มีวันนี้ แต่ข้าเข้าใจ เจ้าคงอยากได้เริ่มทำอะไรบางอย่างด้วยตนเอง”
“ข้าพอจะมีเส้นสายในเมืองหลวงอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการสิ่งใด สามารถแจ้งข้าได้” เซวียนจางหย่งที่นั่งอยู่ข้างๆ หลิวซีซวน เอ่ยขึ้นมาอย่างเป็นกันเอง
“ขอบคุณพี่จางหย่ง เอ้ย ใต้เท้าเซวียน”
“เรียกธรรมดาเถิด คนกันเองทั้งนั้น”
“เช่นนั้นเอาตามนี้ก็ได้ ในเมืองหลวงมีโอกาสการค้ามากกว่าที่อื่น ข้าจะช่วยเจ้าคิดด้วยอีกแรง ดีหรือไม่”
“ดียิ่ง ขอบคุณคุณชายหลิวขอรับ” ตู้เจากระโดดกอดภรรยาเกอลูกดกอย่างดีใจ บรรยากาศในบ้านตระกูลหลิวในเมืองหลวง เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความเข้าอกเข้าใจเคล้ากับเสียงหัวเราะของเด็กน้อย สักพัก เซวียนจางหย่งจึงได้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันมาทางหลิวซีซวน
“คุณชายหลิว ข้าต้องกลับแล้ว”
จริงสิ เซวียนจางหย่งจากบ้านมานาน เขาไปสืบราชการลับแล้วถูกทำร้ายจนความจำเสื่อมแล้วยังติดตามเขาอยู่เกือบปี ป่านนี้คนที่บ้านของเขาต้องเป็นห่วงแล้วแน่ๆ
เกอคนงามคลี่ยิ้มบางที่แสนอ่อนโยนให้กับเขา ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ไปสิ ข้าจะไปส่งท่านเอง” หลิวซีซวนเอ่ย ก่อนจะเดินนำบุรุษร่างสูงไปยังหน้าจวนอย่างไม่อิดออด
“ข้านึกว่าท่านจะรั้งข้าไว้เสียอีก” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก สายตาคมเหลือบมองไปที่พู่หยกข้างเอวคนงามด้วยสายตาอบอุ่น
“ข้าหาใช่คนงี่เง่า ท่านมีครอบครัวที่รัก มีการงานให้ทำ ท่านไปเถอะ” แม้จะรู้สึกวูบโหวงเล็กน้อยเมื่อคนที่อยู่ข้างกายมานานต้องแยกไปอยู่อีกบ้าน แต่เขาก็ไม่อยากทำตัววุ่นวายให้มากความ
“งั้นข้าขอลา”
เซวียนจางหย่งเอ่ยลาแล้วหมุนตัวเดินจากไป
เฮ้อ เสียดายที่อยู่หน้าบ้าน ไม่อย่างนั้นจะแอบหอมแก้มบอกลาสักครั้งหน่อย แล้วไอ้พู่หยกข้างเอวที่ผูกให้เขาคืออะไร ก็ไม่พูดตรงๆ ไม่รู้จะขี้อายอะไรกันนักหนา
หลิวซีซวนนั้นยืนนิ่งไม่ไปไหน มองตามชายหนุ่มด้วยสายตาเอ็นดูไปจนสุดทาง
เดี๋ยวนะ ทำไมจางหย่งถึงหยุดอยู่ที่หน้าจวนข้างๆ จวนของเขา
บุรุษหน้าคมหันกลับมาที่เขาพร้อมกับยักคิ้วให้ ก่อนจะเดินเข้าจวนข้างๆ เขาไปทันทีอ้าว อ้าว อ้าว เราอยู่บ้านข้างกันเหรอหากใครเดินผ่านไปผ่านมาแถบจวนขุนนาง ก็คงเห็นเกอคนงามจากเหิงเยว่กำลังยืนอ้าปากค้างหน้าเรือนด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด ยืนช็อกอยู่ไม่นานก็มีบ่าวชายหญิงสี่คนเดินตรงจากข้างบ้านตรงมาหาเขา“คุณชายหลิว พวกข้าเป็นบ่าวจากจวนของใต้เท้าเซวียน ถูกส่งมาให้รับใช้คุณชายเจ้าค่ะ”“จวนใต้เท้าเซวียน ข้างบ้านข้าคือ จวนของเซวียนจางหย่งน่ะหรือ”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เป็นจวนส่วนตัวที่ใต้เท้าเซวียนได้รับพระราชทานมาจากฮ่องเต้ ใต้เท้าเซวียนยังฝากคำพูดกลับมาว่า หากคุณชายหลิวคิดถึงจนทนไม่ไหว สามารถปีนรั้วไปหาได้ทุกเมื่อเจ้าค่ะ”หน็อย หน็อย เดี๋ยวนี้ร้ายกาจแพรวพราวนักนะเดี๋ยวพ่อก็ปีนรั้วไปหาซะเลยเย็นวันนั้น หลิวซีซวนก็รับบริการจากบ่าวทั้งสี่อย่างเต็มที่ ทั้งบีบนวด ขัดสีฉวีวรรณ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่มาอยู่ในโลกนี้ที่เขาได้ทำสิ่งที่ใกล้เคียงกับสปามากที่สุด ผิวพรรณที่ดูแลตามมีตามเกิดแบบคนเหิงเยว่ กระจ่างใสขึ้น ผิดหูผิดตา ผิวกายนั้นเนียนนุ่มน่าสัมผัส กลิ่นกายหอมฟุ้งชวนหลงใหล ความปวดเมื่อยจากเรื่องตึงเครียด
เกอตัวเล็กขยับเข้าไปหาเซวียนจางหย่ง ก่อนจะมุดเข้าไปในอ้อมกอดอย่างออดอ้อน“งือ คืนนี้เก๊าขอนอนด้วยนะก๊าบ”“เจ้าพูดอะไรรึ”“เป็นภาษาสวรรค์ ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย” เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะซุกตัวเขาไปแนบอกอุ่นให้แนบชิดมากขึ้น ทว่าจู่ๆ ร่างกายก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานาน เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาก็กลายเป็นสีทองพลังแห่งการพยากรณ์กลับคืนมาแล้ว!ยามนี้เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย บ้านเมืองสงบเรียบร้อย จวิ้นอ๋องออกบวช แต่เหตุใดเขายังคงเห็นเซวียนจางหย่งถูกแทงเข้าที่อก โดยมีบุรุษในชุดสีทองลายมังกรจับอยู่ที่ด้ามดาบเช่นเดิมเล่าถึงแม้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป แต่เซวียนจางหย่งก็ยังต้องถูกฮ่องเต้แทงเช่นเดิมน่ะหรือ“เจ้าร้องไห้ทำไมหลิวซีซวน เกิดอะไรขึ้น” เซวียนจางหย่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแตกตื่น ก่อนจะทั้งกอดทั้งปลอบคนตัวเล็กให้คลายกังวลเกือบทั้งคืนณ จวนรองเจ้ากรมโยธากลางดึกคืนนี้ก็เป็นเช่นอีกหลายคืน ถานตงหยางนั้นยุ่งวุ่นวายกับการปรับเปลี่ยนแผนการกับเซี่ยโม่โฉวจนดึกดื่น ฮูหยินคนใหม่ที่เพิ่งแต่งกันมาได้ไม่นาน หาใช่คนที่อ่อนหวานหรือเข้าอกเข้าใจสามีนัก เซี่ยอ้ายเหม่ยเคยได้บุร
“ท่านตา ท่านตาช่วยข้าด้วย ท่านตา” เสียงร้องเรียกโวยวายดังขึ้นมาทุกครั้งที่หลานชายคนเดียวบุกเข้ามาในมิติส่วนตัว หลิวหงชิงที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ถึงกับยกยิ้มมุมปากพร้อมกับส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะหันไปหาหลิวซีซวนที่มีท่าทางแตกตื่น“คราวนี้บุรุษของเจ้ามีปัญหาอะไร”“ท่านตา ท่านรู้หรือ” “สีหน้าแตกตื่นเช่นนี้ ย่อมเกี่ยวกับบุรุษแซ่เซวียนผู้นั้น ข้ารู้จักหลานข้าดี” นี่ท่านกำลังด่าข้าทางอ้อมว่าข้าบ้าผู้ชายหรือ ท่านตา“เกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะ เจ้าจงเล่ามาให้หมด เผื่อตาแก่อย่างข้าจะช่วยอะไรเจ้าได้”“เรื่องมันเป็นแบบนี้ท่านตา ข้าเข้ามาอยู่เมืองหลวงวันแรกก็พบว่าเซวียนจางหย่งอยู่จวนข้างๆ เขาบุกเข้ามาอุ้มข้าถึงในเรือนแล้วกระโดดข้ามกำแพงกลับไปยังจวนของตน จากนั้นก็บรรเลงเพลงกู่เจิ้งไพเราะจับใจให้ข้าฟัง แล้วจากนั้นเราก็กอดกัน”“หยุดก่อน นี่เจ้าจะปรับทุกข์หรือจะอวดกันแน่ ไม่เห็นใจตาแก่ที่อยู่ในมิติส่วนตัวเพียงลำพังหรือ”“โธ่ ท่านฟังให้จบก่อนท่านตา ตอนที่เรากอดกัน พลังวิเศษด้านการพยากรณ์ของข้ามันก็กลับมา”“หืม ดียิ่ง จากนี้ไปพลังด้านอื่นๆ ที่ข้าถ่ายทอดให้ไปก่อนหน้านี้ก็จะค่อยๆ ทยอยกลับมา เจ้าจะได้มีความร
หลิวหงชิงกระตุกมุมปากมองหลานชายคนงามราวกับกำลังจะรับชมเรื่องสนุก ก่อนที่ฉากทัศน์ของหลิวซีซวนจะเปลี่ยนไปกลายเป็นความมืดมิด เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนกำลังอยู่ในอ้อมกอดของเซวียนจางหย่งบนเตียงของเขา ร่างกายทั้งสองแนบชิดกันทุกส่วนจนคนที่ตื่นก่อน อดไม่ได้ที่จะกระดากอาย เขาค่อยๆ ขยับกายผละออกมา ทว่าคนตัวโตกลับแสดงด้านงอแงออกมาอย่างคาดไม่ถึง“เจ้าจะไปไหน จะทิ้งข้าไปหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นมาจากบุรุษร่างใหญ่ที่กำลังโอบกอดเขาอยู่แนบชิด ที่เอ่ยออกมาโดยที่ยังไม่ลืมตาเลยด้วยซ้ำ“เจ้าตื่นแล้วหรือ ปล่อยข้าก่อน”“ยังเช้าอยู่เลย เหตุใดต้องรีบร้อน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่ากระเส่า ทำเอาอ่อนระทวย“เมื่อก่อน เจ้าตื่นเช้ายิ่งกว่าใคร เหตุใดกลับเมืองหลวงแล้วจึงดูเกียจคร้านนัก”“คงเพราะบนเตียงมีเจ้าอยู่ด้วยกระมัง ข้าจึงไม่อยากจากไปไหน”โอ๊ย โดนอ้อนขนาดนี้ ใจเขาเหลวเป็นน้ำใครจะคิดว่าการได้ตื่นมาร่วมเตียงกับเซวียนจางหย่ง จะทำให้ค้นพบว่าบุรุษผู้นี้ช่างออดอ้อนยิ่งนัก“ไม่ได้ ข้าต้องกลับแล้ว เดี๋ยวคนในจวนจะตกใจที่ข้าหายไป คนในจวนเจ้าก็อาจจะเอาไปนินทาได้” เขาผละออกมาอย่างเสียดาย ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห
เขาเอ่ยตอบด้วยความสัตย์จริง เขาคิดจะคบหากับเซวียนจางหย่งอย่างจริงจัง ไม่ควรมีความลับอะไรปิดบังบิดาของเขา เขามองเซวียนอี้หางด้วยสายตามั่นคง ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายนั้นมีสายตาอ่อนลงมาก“ซีซวนเองหรือ ไม่ต้องเรียกว่าท่านแม่ทัพหรอก เรียกข้าว่าท่านอาอี้หางเสียเถิด อย่างไรเสีย ข้ากับพ่อเจ้าก็รู้จักกันมานาน ข้านึกเป็นห่วงเจ้าไม่น้อย หลังจากที่เหอชางจากไป รู้ข่าวอีกทีก็พบว่าตระกูลถานขับไล่เจ้าออกไปแล้ว เหตุใดเกิดเรื่องใหญ่โต จึงไม่มาหาข้า”“ข้าขอโทษ ท่านอา ยามนั้นข้ามืดแปดด้านซ้ำยังอับอาย จึงไม่กล้าอยู่เมืองหลวง ข้าถูกใส่ร้ายขอรับ”เซวียนอี้หางยิ่งมองเขาด้วยสายตาเวทนามากขึ้น“น่าสงสารเหอชางยิ่งนัก บุตรเกอคนงามถูกเอาเปรียบใส่ร้าย ส่วนบุตรชายก็ไร้สมอง ทำตัวเสเพลเหลวไหล วันๆ คิดแต่จะล้างผลาญสมบัติของบิดา” แม่ทัพเซวียนถอนหายใจยาวให้กับชะตากรรมของตระกูลเหอ ก่อนจะเอ่ยถามบุตรชายของตน“ยามนี้ใช้แซ่หลิว ชื่อหลิวซีซวน ใช่คนเดียวกับที่ได้ปูนบำเหน็จในตำแหน่งกุนซือทัพเสริมขององค์ชายห้าหรือไม่” “ใช่ขอรับ คุณชายหลิวผู้นี้นอกจากจะช่วยองค์ชายห้าแล้ว ยังช่วยข้าบุกเข้าไปทำลายพิธีชิงดวงของจวิ้นอ๋องด้วย หากไม่ได้เขา
ในวันต่อมา หลังจากที่ได้คลุกคลีทำความรู้จักกับบ้านตระกูลเซวียน วันนี้ก็เป็นวันที่เขาตั้งใจจะให้เวลากับตัวเองเต็มที่ ซึ่งสิ่งแรกที่เขาเลือกที่จะทำนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้นั่นคือ การพบหมอนั่นเอง“คุณชายหลิว ท่านหายไปนอนข้างบ้านมาหนึ่งคืน แล้วถึงกับต้องตรวจร่างกายเลยรึ” ลี่จูถึงกับต้องกลั้นขำ เมื่อเซวียนจางหย่งจัดหาหมอชื่อดังมาตรวจอาการของหลิวซีซวนถึงในบ้าน“ตู้ลี่จู!!”“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ตอนข้าท้องอาจ้านก็เพราะแอบไปค้างกับท่านพี่ตู้เจาก่อนแต่งงานเช่นกัน” “อะแฮ่ม เจ้าอย่าคิดไปไกล ข้าแค่แวะไปนอนหลับ หาได้หลับนอนร่วมกับใครไม่ พูดเช่นนี้ข้าเสียหาย”“เสียหายอะไร ท่านชอบล่ะสิไม่ว่า” ตู้ลี่จูเอ่ยอย่างรู้ทัน“เจ้าพูดถูก ข้าชอบยิ่งนัก ฮี่ๆ รู้หรือไม่ว่าเขาบอกว่าจะแต่งให้ข้าเพียงผู้เดียว ในที่สุดข้าก็มีคนรักแล้ว”เมื่อมีโอกาสจะรอช้าอยู่ไย อวดแฟนเข้าไปสิ กว่าจะได้คนนี้มา ไม่ใช่ง่ายๆ หลิวซีซวนอยากจะวิ่งออกไปประกาศหน้าจวนว่า เขากำลังคบหากับเซวียนจางหย่ง“ทุกคนดูออกกันตั้งนานแล้วว่าพี่จางหย่งน่ะ มีใจให้ท่านมาตลอด ไม่เห็นจะมีอะไรต้องตื่นเต้นเลย ท่านหมอ คุณชายหลิวช่วงนี้คงตื่นเต้นไปห
นานแล้วนะ ที่เมืองหลวงไม่มีเกอที่งดงามเช่นนี้“เกอผู้นี้คือใคร งามเหลือเกิน“คงมาจากเมืองอื่น ไม่รู้มาจากเมืองไหน คนรับใช้ใส่เสื้อผ้าเก่าไร้รสนิยม คงมาจากที่ห่างไกลมาก”“ใบหน้างามหวานหยดย้อย แต่ท่าทางสดใสกระฉับกระเฉงซุกซน มีเสน่ห์เหลือร้ายเสียจริง”“ข้าว่าใบหน้าเขาดูคุ้นๆ นะ เหมือนฮูหยินถานคนเก่าเลย หรือว่าจะเป็นเขา”“เจ้าอย่าพูดถึงเรื่องอัปมงคล คนงามเช่นนี้จะเป็นพวกสวมหมวกเขียวให้สามีได้อย่างไร”“คล้ายเหอซีซวน บุตรของคหบดีเหอชางผู้ล่วงลับจริงๆ”เขาควงแขนตู้ลี่จูไปยังร้านผ้าอย่างอารมณ์ดี แม้ว่าสองหูจะได้ยินเสียงนินทามาตลอด แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนักเขาคือหลิวซีซวน แซ่หลิว ไม่ใช่แซ่เหอเมื่อเข้ามาที่ร้านขายผ้า หลิวซีซวนก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ร้านขายผ้าร้านนี้แต่เดิมเป็นร้านชื่อดังของตระกูลเหอ มีแพรพรรณสีสันสดใสทันสมัยละลานตา ทว่าในยามนี้ ร้านกลับดูทรุดโทรมลงไปมาก ซ้ำคนงานยังดูเกียจคร้าน ไร้มารยาทอีก“ข้าต้องการชุดสำเร็จรูปให้สหายสักสามสี่ชุด เจ้ามีแบบใดบ้างหรือ” คนงานหนุ่มเหลือบมองมาทางพวกเขาอย่างรำคาญ ก่อนจะโบกมือไล่“ออกไปซะ ข้าไม่ขายหรอก”“ทำไมล่ะ”“ชุดสำเร็จรูปที่ร้านนี้ไม่มีมานานแล
“ฮรึก!!” อาจ้านที่เจ็บตัวอยู่ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเจ็บใจ เป็นเพราะเขาเป็นคนบ้านนอกไร้การศึกษา จึงจำต้องก้มหัวยอมความฮูหยินขุนนางน่ะหรือ“อาจ้าน ไม่เป็นไรนะ เจ้าอย่าร้องเลย” เขากอดปลอบเด็กน้อยพร้อมกับลูบหัวปลอบประโลม ตวัดสายตามองไปยังอดีตสหายรัก“เอาเงินไปหนึ่งตำลึงเงินซะ แล้วไสหัวไปให้พ้นสายตาข้า” เซี่ยอ้ายเหม่ยโยนเงินให้กับตู้ลี่จูอย่างดูหมิ่น แล้วเดินหันหลังกลับไปขึ้นรถม้าแต่กลับมีเสียงของคนคุ้นเคยดังขึ้นมาเสียก่อน“เป็นฮูหยินขุนนาง แล้วคิดจะเอาเงินฟาดหัวชาวบ้านยังไงก็ได้น่ะหรือ บุตรชายของสหายของข้าเจ็บถึงเพียงนี้ แม้แต่คำขอโทษสักคำ ยังไม่มี ไม่รู้มาก่อนเลยว่าคนเมืองหลวงจะใจดำถึงเพียงนี้”เมื่อเซี่ยอ้ายเหม่ยหันกลับมาก็ถึงกับตกตะลึง เธอมองเกอรูปงามในชุดขาวลายหงส์แดงหรูหราที่รวบผมตึงราวกับบุรุษ ด้วยสีหน้าราวกับเห็นผี“เจ้า..เหอซีซวน เจ้าตายไปแล้ว”“ท่านพูดอะไร คนผู้นี้คือคุณชายหลิว หลิวซีซวนต่างหาก” “ไม่จริง นี่มันเหอซีซวน เกอแพศยาที่สวมหมวกเขียวให้สามีของข้า ข้าเป็นสหายของเจ้า ย่อมจำได้ เป็นเจ้าแน่นอน”“เป็นสหายแบบใดจึงได้แต่งกับสามีของสหายเล่า ฮูหยิน ท่านพูดแบบนี้มันดูแปลกๆ
ห้าปีต่อมาหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองหลวงเมื่อห้าปีก่อน จวนตระกูลหลิวก็ปิดเงียบมาตลอด ฮ่องเต้เฉินเฟยหลงนั้นเหนื่อยใจไม่น้อยที่อุตส่าห์พาตัวทายาทตระกูลหลิวกลับมาอยู่ในเมืองหลวง แต่อีกฝ่ายก็ยังคงมีนิสัยเหมือนกับต้นตระกูล นั่นคือเกลียดความวุ่นวาย สิ่งที่หลิวซีซวนขอพระราชทานเป็นรางวัลจากเขาคือ การที่เขาสามารถอยู่เฉยๆ ได้ และปฏิเสธการเข้าพบคนจากราชสำนักหรือใครหน้าไหนก็ตามเขาจะต้องการอะไรอีกเล่า ในเมื่อยามนี้ได้สามีแล้ว เงินทองก็มีจนไม่รู้จะใช้ยังไงหมด ทรัพย์สมบัติในคลังสมบัติตระกูลหลิวก็ถูกเก็บไว้อย่างดีที่บ้านตระกูลหลิวที่เหิงเยว่โดยมีท่านตาตู้เฉิงเป็นผู้ดูแลด้านตู้เจาและตู้ลี่จูนั้นหลังจากเริ่มกิจการของตัวเอง ยามนี้ก็กลายเป็นร้านค้าชื่อดังที่มีหลายสาขา การงานการเงินมั่นคง ส่วนบุตรชายอย่างอาจ้านก็กำลังเตรียมสอบเข้าโรงเรียนหมอตามที่ตั้งใจไว้ หลิวซีซวนภูมิใจไม่น้อยที่คนข้างกายเขากำลังไปได้ดีกันทุกคน“กรี๊ดดดด อ๊ากกกกกกก”ยามนี้เสียงกรีดร้องกลับดังออกมาจากจวนตระกูลหลิวในเมืองหลวง บ่าวไพร่พากันวิ่งวุ่น ยามนี้สองจวนทุบกำแพงเข้าหากันจนกลายเป็นจวนขนาดใหญ่ ยิ่งเป็นการเสริมบารมีให้หลิวซีซวนแ
“เจ้ารู้ข่าวของถานตงหยางแล้วใช่หรือไม่”“ตอนนั้น ข้าเห็นเขาจากในภาพนิมิตแล้ว สุดท้ายคนผู้นั้นก็ถูกฆ่าตายอย่างไร้ค่ายิ่งนัก”“แล้วเจ้า..ไม่เสียใจหรือ” เซวียนจางหย่งนั้นเป็นบุรุษใจกว้าง เขารู้ดีว่าเขากำลังแต่งให้กับคนงามที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว เขาตระหนักอยู่เสมอว่า แม้หลิวซีซวนจะเลิกรากับอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เยื่อใย อย่างไรก็คนที่เคยอยู่กินกันมาหลายปี“ไม่หรอก เขาสมควรตายจริงๆ คนเช่นนั้นอย่างไรก็คิดไม่ได้ วันข้างหน้าย่อมต้องก่อการเลวร้ายอีกแน่ นับว่าความแค้นระหว่างข้าและเขาได้จบสิ้นในชาตินี้อย่างสมบูรณ์แล้ว” หลิวซีซวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เรียกรอยยิ้มจากบุรุษรูปงามได้ไม่น้อยตัดเวรกันได้แล้วก็ดีชายหนุ่มก้าวเข้ามา ก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมกอดแนบชิดทั้งสองร่างจากทางด้านหลัง แก้มนวลขึ้นสีเล็กน้อยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง ที่ผ่านมาเหอซีซวนนั้นเป็นคนซุกซนชอบเรื่องสนุกสนาน แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็ซึมลงไปถนัดตาจนน่าเป็นห่วง เขานึกไปว่าอีกฝ่ายเสียอกเสียใจเรื่องอดีตสามีเสียอีก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กำลังมีบางเรื่องรบกวนจิตใจเกอคนงามอยู่“แล้วเมื่อกี้ เจ้ากำลั
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นเมืองหลวง ก็ถึงเวลาแห่งการฟื้นฟู โชคดีที่นอกจากจัตุรัสกลางเมืองแล้ว ไม่มีสิ่งใดพังทลาย ทว่าก็มีชาวบ้านโดนลูกหลงจนบาดเจ็บเป็นจำนวนไม่น้อย จนฮ่องเต้ต้องประกาศเรียกตัวหมอตามเมืองต่างๆ ให้เร่งเข้ามาช่วยรักษาอาการให้ปลอดภัยสิ่งที่ทำให้ผู้คนนึกทึ่งในช่วงเวลาวิกฤตก็คือ องค์ชายห้าจอมเสเพลนั้น แท้จริงแล้วเป็นเจ้าของที่แท้จริงของห้องอาหารส่องดาว พระองค์นำอาหารจากห้องอาหารมาเปิดโรงทานแจกจ่ายให้กับผู้คนอย่างไม่รอช้า เหล่าองค์ชายคนอื่นก็ไม่น้อยหน้า เมื่อได้เวลาแสดงความสามารถก็ต่างพากันช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันอย่างเต็มกำลังสถานการณ์ในเมืองจึงกลับมาสู่สภาพปกติดังเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือกลุ่มขุนนางชั่ว งานนี้ความผิดประจักษ์เห็นต่อหน้า จวิ้นอ๋องกำเริบเสิบสาน ตั้งใจชิงบัลลังก์ถึงขั้นกล้าลงมือกับประชาชนโดยมีขุนนางหลายคนหนุนหลัง ฮ่องเต้แต่ไหนแต่ไรประนีประนอม ใจอ่อนให้จวิ้นอ๋องที่มีอำนาจฝั่งมารดาถ่วงดุลอยู่ไม่น้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายตายไปแล้ว เขาก็ไม่คิดจะยั้งมือกับพวกขุนนางทั้งหมดที่ร่วมก่อการในครั้งนี้หนึ่งในนั้นก็คือ เสนาบดีเซี่ยโม่โฉว วันนั้นเลี่ยงชิงและเลี่ยงหรงใ
“หลานรัก” เสียงเพรียกดังขึ้นมาแต่ไกล เขาหลับตาลง ก่อนจะพบว่าตนเองมาโผล่อยู่ในมิติส่วนตัวของตนอีกครั้งในที่นี้นั้นสงบเงียบและปลอดโปร่ง ต่างจากโลกแห่งความจริงที่เขากำลังเผชิญ ท่านตาหลิวหงชิงกำลังจิบชาร้อนด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะหันมายิ้มให้เขา“ท่านตา เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“ข้ารู้แล้ว เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหา”“แต่ท่านตา ผู้คนกำลังจะตาย ข้าเองก็จะไม่ไหวแล้ว”“ชู่ หลานรัก ทำใจให้สบาย ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่า วันนี้เจ้าต้องมีสติให้มาก” หลิวหงชิงยกยิ้มอ่อนโยนให้กับหลานคนเดียว ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้“ข้าพยายามเต็มที่แล้ว ท่านตา แต่ข้าจัดการพวกมันไม่ได้ ข้าช่วยใครไม่ได้เลย”“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าทำดีแล้ว เด็กดี ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อให้มีชีวิตที่ดี ได้สร้างครอบครัวดั่งที่ใจปรารถนา ข้าไม่ได้ตั้งใจจะให้เจ้าต้องรับศึกหนักเช่นนี้” ชายชราปลอบหลานชาย ก่อนจะเอ่ยต่อ“เวลาที่ผ่านมา ข้าติดอยู่ในมิติส่วนตัวนี้มานานเกินไปเหลือเกิน ยามนี้เหอซีซวนได้รับการปลดปล่อยแล้ว ตัวข้าที่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยววิญญาณก็ควรถึงเวลาต้องไปแล้วเช่นกัน”“ท่านตา ท่านจะไปไหน ท่านไปแล้ว ข้าจะอยู่กับใคร” “เจ้าก็อยู่กับสามี
เขาจะทำอะไรได้ ยามนี้แค่ทรงตัวยืนอยู่ แล้วตั้งรับดาบที่เข้ามารอบทิศก็ลำบากมากแล้ว และก่อนที่เขาพลาดท่าก็มีใครบางคน ปรี่มาช่วยเขาเสียก่อน“คุณชายหลี่” ใช่แล้ว คือพ่อหนุ่มดวงมหาโชคคนดีคนเดิมนั่นเอง ดูจากฝีไม้ลายมือ เขาก็พอจะดูออกว่าคนผู้นี้นั้นไม่สันทัดเรื่องการใช้กำลังเท่าไหร่นัก ไม่แปลกใจที่ได้ทำงานสายผู้ตรวจการมากกว่าจะไปทางทหาร แบบเซวียนจางหย่ง“หลิวซีซวน เจ้าระวังตัวด้วย”“สามีข้าเป็นอย่างไรบ้าง”หลี่เฉียงฮุยถึงกับหันกลับมามองเขา ด้วยสายตาเหลือเชื่อ“เจ้าห่วงชีวิตสหายข้ามากกว่าชีวิตตนเองอีกหรือ รีบเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ข้าเองก็ไม่รู้จะช่วยเจ้าต้านไว้ได้มากเพียงใด”“คุณชายหลี่ ท่านช่วยหยุดโจวเฟิง มันจะจุดเทียนอีกครั้ง ค่ายกลชิงดวงจะกลับมาทำงานได้ใหม่” หลี่เฉียงฮุยมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที เขาสองคนถูกรุมล้อมรอบด้าน จนแทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นนี้ จะทำอะไรได้“งั้นเอาเช่นนี้ก็แล้วกัน” หลี่เฉียงฮุยถือคติว่า อะไรทำได้ก็ให้ทำไปก่อน เขาดึงมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ออกมา ก่อนจะปาไปทางโจวเฟิงหวังปลิดชีพถึงจะปลิดชีพไม่ได้ แต่ทำลายสมาธิมันได้ก็ยังดีแต่ใครจะไปคาดคิดในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมีดสั้นพ
หลิวซีซวนค่อยๆ ลุกขึ้นมาช้าๆ ด้วยแรงแค้นที่แน่นอก หากคนตกใจสามารถยกโอ่งหนีไฟไหม้ได้ คนที่กำลังโกรธก็น่าจะยกภูเขาได้ไม่ต่างกัน โดยที่ไม่มีใครคาดฝัน เกอคนงามร่างบางที่เมื่อครู่ยังซวนเซ กลับเดินไปยกแท่นพิธีที่หักครึ่งแล้วทุ่มไปทางโจวเฟิงอย่างไม่ออมมือตู้ม!!!โจวเฟิงนั้นแม้บาดเจ็บอยู่ แต่ประสาทสัมผัสยังคงเฉียบคม เขาจึงกระโดดหลบแท่นหินขนาดใหญ่ได้อย่างหวุดหวิด“นี่เจ้า”“หมาลอบกัด เจ้าแอบซ่อนอยู่ข้างกายข้าและจางหย่งมาตลอด” หลิวซีซวนตวาดดังลั่น เสียงสั่นด้วยความโมโห“แล้วอย่างไร บุรุษผู้นี้มันโง่เอง มันกล้าบุกเข้ามาสอบสวนข้าเพียงลำพัง ทั้งที่รู้ว่าข้านั้นเป็นหลวงจีนที่มีวิชาอาคม สุดท้ายมันก็ถูกข้าใช้วิชาสับเปลี่ยนวิญญาณ และปล่อยให้มันตายไปกับร่างเดิมของข้าในคุก ฮ่าๆๆ”“เจ้ามันสารเลว เพราะเจ้า ผู้คนถึงได้เดือดร้อน เจ้าไม่ได้ต้องการช่วยจวิ้นอ๋องให้ครองบัลลังก์ เจ้าก็แค่ต้องการละเลงเลือดทาแผ่นดินก็เท่านั้น เจ้ามันปีศาจชัดๆ ไม่ต้องพูดมาก เจ้าจะเป็นใครก็ช่าง ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปได้แน่ กล้าทำร้ายคนของข้า เช่นนั้นเจ้าก็จงรับผลกรรม” หลิวซีซวนหยิบดาบขึ้นมาถือไว้พร้อมกับกระชับไว้แน่น พร้อมที่จะโ
ไต้ซือไป๋ในร่างของโจวเฟิงล้วงเข้าไปในปกเสื้อ ดึงเทียนทำพิธีสีแดงแท่งใหม่มาถือไว้อย่างหมายมาด เวลาเหลืออีกไม่มากนัก หากว่าเทียนเล่มเก่าดับ เช่นนั้นเขาก็จะจุดแท่งใหม่ด้วยตัวเองถึงอย่างไร เขาก็ต้องทำภารกิจวันนี้ให้สำเร็จให้ได้เขาควบม้ามุ่งหน้าเข้าไปใจกลางเมือง ถึงแม้เทียนจะดับ แต่หากเขาสามารถจุดเทียนสำรองนี้ได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามโดยที่เหยื่อบูชายัญทั้งสี่ทิศยังคงอยู่ที่เดิม ค่ายกลก็ยังกลับมาทำงานได้อีกครั้งไม่แน่ว่าป่านนี้ คนที่บุกไปทำลายพิธีอาจจะโดนทัณฑ์สวรรค์ผ่าร่างจนตายไปแล้วก็ได้โจวเฟิงมองออกไปไกลยังใจกลางเมือง ก็เห็นเมฆก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีอัสนีฟาดลงมาที่กลางเมืองจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนแผ่นดินสะเทือนเปรี้ยง!!สายฟ้าฟาดลงมากลางแท่นพิธีที่จัตุรัสกลางเมืองเก้าครั้งติดกันไม่หยุด วันนี้ที่เมืองหลวงนั้นเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวมืดครึ้มเดี๋ยวสว่าง จู่ๆ ท้องฟ้านั้นกลับส่งสายฟ้าฟาดลงมา ท่ามกลางการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย“แฮ่กๆๆ รอดจริงๆ ด้วย” หลิวซีซวนที่ร่ายรำอยู่นาน สุดท้ายเขาก็สามารถเอาตัวรอดจากทัณฑ์สวรรค์ได้ เขามองไปรอบกายก็พบว่าจัตุรัสกลางเมืองนั้นเละ ไม่เหลือชิ้น
ในขณะพวกเขายังสู้กันต่อ แต่หลิวซีซวนกำลังตัวสั่นอยู่กลางพิธี ดวงตาสีทองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าแตกตื่นนี่เราลืมอะไรไปรึเปล่าอ๋อ เราลืมไปใช่หรือไม่ว่าหลังจากทำลายค่ายกลชิงดวงแล้ว จะได้รับทัณฑ์สวรรค์เป็นสายฟ้าฟาดเวรเอ๊ย กูจะโดนฟ้าผ่าอีกแล้วเหรอวะเนี่ย ครั้งที่แล้วโดนไปยังเกือบตายสักพัก เขากลับได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาจากภายใน เป็นเสียงของท่านตาที่คงอดทนไม่ไหว จึงแอบมาบอกเขา“ค่ายกลเทวาร่ายรำ” เขามองท้องฟ้าที่เริ่มมีเมฆตั้งเค้าอีกรอบด้วยความสยอง เวลานี้จำเป็นต้องงัดวิชาทุกวิชาของตระกูลหลิวออกมาเพื่อปกป้องตนเองเสียก่อน เทวาร่ายรำก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำเพื่อสร้างเกราะกำบังกายให้กับตนเองจะรออะไรล่ะ ร่ายรำไปเลยสิจ๊ะหลิวซีซวนขยับร่างกายไปพร้อมกับบริกรรมคาถาไปด้วย เขาต้องเรียกสติตนเองตลอดเวลาเพราะหาไม่แล้วอาจจะเผลอก่นด่าสวรรค์ไปแล้วหลายรอบ รอบกายของเกอคนงามเปล่งประกายสีทอง ราวกับแผ่ออกมาเพื่อเป็นเกราะกำบังภัย ตัวของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด กล้ามเนื้อถูกเคี่ยวกรำอย่างหนัก จนเริ่มรับพลังมหาศาลที่ไหลเวียนในกายไม่ไหว เขาไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ แต่เขาจะไม่ยอมโดนฟ้าผ่าตายอีกหนแน่ๆที่หน้าประตูเม
เซวียนจางหย่งถึงกับมีสีหน้ามืดครึ้ม ทัพของจวิ้นอ๋องและแม่ทัพหวงจะมีอะไรให้น่ากังวล ต่อให้พวกเขาบุกเข้ามาเวลานี้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีชัยเหนือคนที่เหลือสิ่งที่น่ากลัวคือ ทัพของหยวนหลี่เฉียงต่างหาก คนผู้นั้นเด็ดขาดโหดเหี้ยม ไม่เคยแพ้ให้กับผู้ใด ไม่เคยมีใครคิดระแวงว่าเขาจะย้ายฝั่งไปสนับสนุนจวิ้นอ๋อง“ข้านี่โชคดีเหลือเกินที่เลือกออกเดินทางไปศึกษาวิชากับพวกหลวงจีนและนักพรตตามเมืองต่างๆ จึงได้รู้จักหลวงจีนที่เชี่ยวชาญวิชานอกรีตอย่างหาตัวจับได้ยาก เขาเก่งถึงขนาดที่สามารถสับเปลี่ยนดวงวิญญาณของตนเองกับผู้อื่นได้ เช่นนี้ข้าคงไม่เหลืออะไรให้กังวล แม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ยังต้องยอมสยบให้กับข้า หึหึ” จวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับมองสงครามกลางเมืองที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด แม้ว่ายามนี้จะมีกองกำลังน้อยกว่าแต่กลับได้เปรียบกว่าทหารหาญและราชองครักษ์ในที่นี้ เซวียนจางหย่งต้องต่อสู้ไปพร้อมกับเฝ้าสังเกตอาการของคนรักที่อยู่กลางแท่นพิธีเพียงลำพังหลิวซีซวนหวนคิดถึงท่านตา ถึงว่าเมื่อคืนถึงคอยกำชับให้เราตั้งสติ เพราะจะเกิดเรื่องแบบนี้นี่เอง ครั้งก่อนเขาเป็นผู้ที่ทำลายพิธีชิงดวงของหลี่เฉียงฮุยเพียงผู้เดียว ครา