แม่ทัพหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบคนที่อยู่อีกด้านของห้องนอน เขาทำได้เพียงทอดถอนหายใจ เพราะสิ่งที่ศัตรูรับรู้คือเขาใกล้จะตายด้วยพิษร้าย แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ย่อมต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง
การต่อสู้ด้านนอกดูเหมือนจะดุเดือดขึ้นทุกขณะ ทว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงทำได้เพียงนิ่งเงียบ ปัง! เสียงประตูถูกเปิดออกเสมือนจงใจให้คนที่หลับใหลอยู่ได้รู้สึกตัว
“แค่ก ๆ พวกเจ้าเป็นใครกัน บังอาจบุกรุกห้องนอนของข้า”
แม่ทัพหนุ่มแค่นเสียงอันแหบแห้ง เอ่ยถามผู้มาเยือนด้วยความอ่อนแรง ชายหนุ่มขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ ที่เขาต้องกลายเป็นเพียงคนป่วยใกล้ตาย ทั้งที่มันมิได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น
“หึ ๆ ข้าก็แค่มาส่งท่านแม่ทัพลงนรกให้เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นขอรับ”
เสียงหัวเราะอย่างหยามใจของผู้บุกรุก ไม่ได้ทำให้คนบนเตียงรู้สึกตื่นกลัวเลยสักนิด แต่ด้วยความสมจริงเขาต้องแสดงถึงความหวั่นเกรงอีกฝ่ายให้มาก
“คิดว่าข้าจะยินยอมง่าย ๆ เช่นนั้นรึ”
“ยินยอมหรือไม่ กระบี่ในมือของข้าคือผู้ที่ตอบได้”
“หึ ๆ”
ควับ! เมื่อได้ยินเสียงของใครอีกคนในอีกมุมของห้อง ชายชุดดำทั้งหมดต่างพากันตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครอื่นอยู่ร่วมห้องนี้ เพราะจากที่รู้มาคือแม่ทัพหนุ่มอยู่ที่นี่เพียงลำพัง
“ออกมาเดี๋ยว เจ้าเป็นใครกันไยกล้าสอดมือเรื่องของผู้อื่น”
หัวหน้าของชายชุดดำเอ่ยเสียงเข้ม เขาไม่อาจประมาทต่อใครก็ตามที่รู้เห็นเรื่องนี้
“อยากรู้จักข้าเช่นนั้นรึ อย่างนั้นเจ้าบอกมาก่อนว่าพวกเจ้าทุกคนมีค่าอันใดที่จะรู้จักข้า”
“อย่ามายอกย้อนข้า”
ชายชุดดำเอ่ยเสียงกร้าว ด้วยเวลานี้พวกเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังของอีกฝ่าย ยิ่งทำให้พวกเขามิอาจประมาทคนผู้นี้ได้ ใครก็ตามที่หาญกล้าเปิดเผยตนเองต่อศัตรู แต่สามารถเก็บงำพลังอันแท้จริงเอาไว้ได้อย่างมิดชิด ย่อมเป็นบุคคลที่อันตรายมิใช่น้อย
ฉึก! ไม่มีคำตอบใดจากคนในเงามืด มีเพียงความรู้สึกแปลบยังช่องอก ก่อนที่ร่างของชายชุดดำจะทรุดลงกับพื้น เสียงอาวุธปะทะกันเกิดขึ้นชั่วครู่เท่านั้น ทุกอย่างก็ได้กลับมาสงบเงียบดังเดิม
“ยังไม่ถึงเวลาของท่านแม่ทัพ โปรดนอนพักผ่อนต่อเถิด ส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของข้า”
“นางสบายดีหรือไม่”
“หึ ๆ กลับไปดูด้วยตาของท่านแม่ทัพเองจะดีกว่า ถามข้าไปก็เท่านั้น ท่านลืมไปแล้วหรือหน้าที่ของข้าคือคุ้มกันท่าน มิใช่ติดตามนาง”
ชายหนุ่มตอบเจ้าของห้องตามความเป็นจริง แม้ว่าเขาจะรู้เรื่องของผู้เป็นนายดี แต่คำสั่งที่ได้รับ ทำให้เขามิอาจแพร่งพรายสิ่งที่รู้แก่เจ้าของห้องได้
…..
“ท่านแม่ทัพ”
ลับร่างของคนในเงามืด รองแม่ทัพคนสนิทของเขาก็ได้วิ่งพรวดเข้ามาด้วยอาการแตกตื่น หลี่จ้านสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะแสร้งไอถี่ ๆ แล้วเอนกายลงนอนด้วยความเหนื่อยล้า
“ข้าปลอดภัยดี โชคดีที่ข้ารู้สึกตัวตื่นมาทัน”
“เช่นนั้นท่านแม่ทัพนอนพักก่อนนะขอรับ”
รองแม่ทัพเก็บงำความสงสัยเอาไว้ภายในใจ แต่ก็ไม่คิดที่จะเอ่ยถามมากกว่านี้ ชายหนุ่มเดินตรวจตรารอบห้องนอน ก่อนจะจากไปด้วยใบหน้าอันเคร่งเครียด
เขามั่นใจว่าต้องมีการต่อสู้เกิดขึ้น แต่ไยภายในห้องของท่านแม่ทัพหาได้มีผู้อื่นอยู่เลย
เมืองหลวง ณ จวนขุนนางใหญ่ผู้หนึ่ง
ปัง! เพล้ง! กำปั้นหนาของเจ้าของจวน ทุบลงยังโต๊ะน้ำชาข้างตัว จนทำให้ถ้วยชาชั้นดีตกลงแตกเต็มพื้นห้อง
“มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ทำไมคนของเราถึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ ที่สำคัญพวกมันยังไม่ตาย”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของเจ้าของจวน ทำให้ชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าถึงกับสั่นเทาไปทั้งร่าง ชายหนุ่มภาวนาให้ความกรุ่นโกรธนี้ทุเลาลงสักเล็กน้อยก็ยังดี เขายังไม่อยากที่จะรับโทษตาย
“พี่ใหญ่ใจเย็น ๆ ก่อนดีไหมขอรับ บางทีคนที่หลี่จ้านเลือกข้างอาจยื่นมือเข้ามาช่วยเขาก็เป็นได้นะขอรับ”
หนึ่งในผู้ที่นั่งร่วมประชุมลับเอ่ยขึ้น เขาเองรู้สึกแปลกใจไม่ต่างจากผู้นำของตนเท่าใดนัก มิใช่เพียงแค่ครั้งนี้ที่คนของพวกเขาหายสาบสูญ
“หลี่จ้านจะถึงเมืองหลวงแล้ว เจ้ายังจะให้ข้าใจเย็นอยู่อีกรึ เมียของมันก็ออกนอกเมืองอย่างกะทันหัน เจ้าคิดว่าแม่ทัพเจ้าเล่ห์อย่างมันจะไม่คิดหาหนทางตลบหลังเรารึ”
“เรื่องนี้ข้ามิเถียงนะขอรับ ว่าการที่ท่านหญิงใหญ่ออกจากเมืองหลวงกะทันหันนั้น อาจเป็นหนึ่งในแผนการของหลี่จ้าน ที่จะใช้เมียของมันหลอกล่อให้เราติดกับ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงที่นางยังปลอดภัยแล้วคนของเราหายไป”
“นั่นน่ะสิ!”
ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความเคร่งเครียด สตรีอ่อนแอเช่นจ้าวหลิวหลีจะรอดจากการถูกลอบสังหารได้อย่างไร หากไม่มีคนคุ้มกันที่มากด้วยฝีมือ ลำพังอดีตขุนพลเช่นเจาหยางน่ะหรือ ที่จะปกป้องชีวิตของนางเอาไว้ได้ในทุกครั้ง ย่อมไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน
“ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะรอดไปได้ทุกครั้ง และข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำงานพลาดอีก”
เจ้าของจวนเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า เขาไม่ต้องการได้ยินคำว่าผิดพลาดอีก
“นายท่านโปรดวางใจ ครั้งนี้ข้าจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวังอย่างแน่นอนขอรับ”
ชายหนุ่มรับคำอย่างหนักแน่น เพราะเขารู้ดีว่าหากเขาทำไม่สำเร็จ นั่นหมายถึงชีวิตของเขาและครอบครัว จะต้องจบลงเช่นกัน
“ดี! ข้าจะรอฟังข่าว”
“ขอรับ”
ชายหนุ่มรับคำก่อนจะลุกออกไปจากห้อง ทุกสายตาที่มองตามมานั้น หาได้ห่วงใยในตัวเขาแม้แต่น้อย ทว่ามันคือการกดดันให้เขารู้ว่าชีวิตของเขานั้นได้ก้าวสู่ความตายแล้วกว่าครึ่ง
“ท่านลุงมั่นใจได้อย่างไร ว่าจะมิเกิดความผิดพลาดอีก”
“หึ ๆ เขาทำไม่สำเร็จแน่นอนหากไร้ผู้ช่วย ซึ่งข้าคิดเอาไว้แล้วว่างานนี้จะให้เจ้าเป็นผู้จัดการ”
“ตะ...แต่ข้า...”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก เมื่ออยู่ ๆ เขาถูกใช้ให้ไปสู่ความตาย ถึงคนที่เขาต้องไปเอาชีวิตเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ แต่จากสิ่งที่เขารู้มานั้น แม้แต่นักฆ่าชั้นยอด ยังไม่มีใครโผล่หน้ากลับมาให้เห็นสักคน เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าหลี่จ้านวางมือดีคนใดไว้ข้างกายภรรยา
“คิดจะเป็นใหญ่ เรื่องเพียงเท่านี้ยังขลาดกลัว เจ้าก็ไม่สมควรจะออกความคิดเห็นใด ๆ อีก” ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าชาหนึบด้วยความอับอาย แม้ทุกคนจะไม่เอ่ยสิ่งใดต่อเขาอีก ทว่าสายตาที่มองมานั้น มันทิ่มแทงยิ่งกว่าดูถูกที่เอ่ยออกจากปากเสียอีก “ข้าจะไม่ทำให้ท่านลุงผิดหวังขอรับ” เอ่ยจบร่างสูงได้ลุกขึ้น ประสานมือโค้งตัวให้แก่ทุกคนภายในห้อง ก่อนจะก้าวออกไปด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธ เขาจะเสียหน้าเพียงเพราะสังหารสตรีอ่อนแอผู้เดียวมิได้ เขาก็คงไม่สมควรที่จะก้าวสู่ตำแหน่งใหญ่โตในภายหน้า อย่างที่ผู้เป็นลุงได้พูดเมื่อครู่นี้จริง ๆ เขาไม่เชื่อว่าหลี่จ้านหายอดฝีมือมาไว้ข้างกายจ้าวหลิวหลีอย่างที่หลายคนคิด “จะวางใจเขาได้หรือขอรับท่านผู้นำ” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมเอ่ยถามขึ้นในที่สุด เขารู้ดีว่าชายหนุ่มนั้นมุทะลุเพียงใด ไร้ประสบการณ์ในแทบทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ “หึ ๆ หรือเจ้าจะเป็นผู้ทำแทนเขา” “เอ่อ...คือว่า...” “เจ้าควรจดจำเอาไว้บ้าง ว่านกจะบินได้ก็ต่อเมื่อเราฝึกฝนให้มันรู้จักกางปีก” เมื่อถูกต
ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งผู้เป็นน้องสาว แค่ตัวเขาและนางมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็มิอาจปล่อยให้น้องสาวออกนอกเมืองมาเพียงลำพังเช่นเดียวกันชีวิตในราชสำนักมีหรือเขาจะไม่รู้ว่า เรื่องที่น้องสาวของเขาได้ก่อเอาไว้นั้น รู้ไปถึงหูของพระมารดาในองค์ชายสี่แล้ว แน่นอนว่าชีวิตของน้องสาวหาได้ปลอดภัยอีกต่อไปแต่เพราะนิสัยเอาแต่ใจของนาง ทำให้น้องสาวของเขามองข้ามเรื่องนี้ไป นางคิดแค่เพียงว่าองค์ชายสี่ต้องพึ่งพาบารมีของบิดาพวกเขา เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท แต่นางคงลืมไปแล้วว่ายังมีท่านหญิงจากอีกหลายตระกูลที่มีอำนาจมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“หลี่จ้านหลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้นถึงปานนั้น ท่านพี่คิดหรือว่าเขาจะใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ นังแพศยานั้นมิได้สำคัญต่อหลี่จ้าน หากมันตายเขาสิต้องขอบคุณข้า”“เอาเป็นว่าระวังไว้หน่อยก็ดี เรื่องที่เขารักเจ้านั้นมันผ่านมาหลายปี เวลาผ่านเลยใช่ว่าใจคนจะมิผันเปลี่ยนตาม”อ๋องน้อยสกุลจ้าว ทำได้เพียงทอดถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของน้องสาวเพียงคนเดียว เขาอยากให้นางใช้ความคิดในเรื่องนี้มากกว่าที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาจะไม่เป็นผลเอาเสีย
แก๊ก! ยังมิทันจบกันสนทนา เสียงกิ่งไม้แห้งหักได้ดังมาจากความมืด เจาหยางกระชับอาวุธในมือแน่น เมื่อรับรู้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมากดดันเขาและผู้เป็นนาย ถึงเขาจะพอประเมินฝีมือของผู้มาเยือนได้ ใช่ว่าเขาจะละเลยต่อหน้าที่ เก่งเพียงใดย่อมพลาดพลั้งได้เพียงเสี้ยวเวลาหากประมาทต่อศัตรู “มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่ ไยมิเข้ามาดื่มชากับพี่สาวสักถ้วยเล่าน้องพี่” จ้าวหลิวหลีพูดขึ้น พร้อมส่งยิ้มไปยังทิศทางของเสียงกิ่งไม้เมื่อครู่ ร่างงามนั่งรินชาที่อยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ถูกจัดวางอยู่ข้างกองไฟ ซึ่งได้ก่อเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว จ้าวหลิวหลีค่อย ๆ รินชาใส่ถ้วยอย่างใจเย็น เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้มุมปากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ สองร่างเดินเคียงกันออกจากเงามืด ทำให้เจาหยางดวงตาเบิกค้างชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าแขกที่ผู้เป็นนายหญิงเอ่ยถึง จะเป็นพี่น้องต่างมารดาของนางเอง และแน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นคงมิได้มาดีอย่างแน่นอน “พี่หญิงดูสำราญดีนะขอรับ” จ้าวลู่ถงเอ่ยทักทายพี่สาวต่างมารดา เขารู้สึกกดดันอย่างไรไม่รู้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากของพี่สาว
“เจ้าบีบบังคับข้าเองนะน้องรัก” “หุบปากเจ้าซะ! สิ่งเดียวที่เจ้ามีสิทธิ์พูด คือร้องขอความตายจากข้าหลิวหลี” เคร้ง! ยังไม่ทันที่ปลายกระบี่จะเฉียดผ่านกายจ้าวหลิวหลี กระบี่คมของเสี่ยวเชี่ยนก็ได้ต้านรับเอาไว้ได้ทัน จ้าวอี้เหมยสบเข้ากับดวงตาสุกใสของเสี่ยวเชี่ยน ที่กำลังยกยิ้มเย้ยหยันตัวนางอยู่ในตอนนี้ ความกรุ่นโกรธปะทุขึ้นกว่าเดิมนับเท่าตัว จ้าวลู่ถงดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าสาวใช้ข้างกายของพี่สาวนั้น มีฝีมือในการต่อสู้ ซึ่งตลอดเวลาที่เสี่ยวเชี่ยนอยู่ในจวน เขาไม่เคยเห็นนางฝึกฝนกระบี่เลยสักครั้ง จ้าวลู่ถงจำต้องพุ่งเข้าหาเสี่ยวเชี่ยนเพื่อช่วยน้องสาว แต่ทว่า... “ท่านอ๋องน้อยเป็นบุรุษ ไยถึงได้กล้าลงมือต่อสตรีบอบบางด้วยเล่าขอรับ” เป็นเจาหยางที่เข้ามาขัดขวางชายหนุ่มเอาไว้ ทางด้านจ้าวหลิวหลีนั้น ยังคงนั่งดื่มชาโดยไร้ร่องรอยของคามตื่นตระหนกใด ๆ หวี๊ด! จ้าวลู่ถงเป่าปากเป็นสัญญาณบางอย่าง เพียงครู่เดียวได้มีกลุ่มชายชุดดำจำนวนหลายคน ได้พุ่งออกจากราวป่า จ้าวหลิวหลีทำเพียงโยนท่อนฟืนเข้าไปในกองไฟอีกหลายท่อน เพื่อโหมไฟให้ลุก
จ้าวลู่ถงลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพี่สาว เขารู้แล้วในตอนนี้ว่าหนทางที่จะหลบเลี่ยงคงไม่อาจเป็นไปได้ ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้น อย่างน้อยยังพอที่จะมีโอกาสรอดชีวิตไปได้บ้าง “หึ ๆ ดูพี่หญิงจะมั่นใจเหลือเกินนะขอรับ” “ข้าว่าเจ้ารู้ดีกว่าผู้ใดน้องพี่ จะอย่างไรเสียข้าก็ต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเองก็คิดจะสังหารสามีของข้า” จ้าวลู่ถงหัวเราะในลำคอ เขาประเมินพี่สาวต่ำไปจริง ๆ นางมิเพียงมากด้วยฝีมือ แต่ยังเจ้าเล่ห์เสียจนไม่มีผู้ใดจับได้ ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกระหว่างสองพี่น้อง มีเพียงเสียงอาวุธกระทบกันอย่างดุเดือดเท่านั้น จ้าวหลิวหลีไร้ซึ่งความรักหรือเห็นใจในตัวน้องชาย เพราะจ้าวลู่ถงเกิดมา มารดาของนางจึงต้องจบชีวิต เพียงเพราะเกรงมารดาของนางจะกำเนิดบุตรชายอีกคน ความแค้นระหว่างนางกับสกุลจ้าวหาได้ใหญ่หลวงไม่ แต่ความแค้นของมารดานั้นไม่อาจนำสิ่งใดมาลบเลือนได้เป็นอันขาด ยิ่งเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่ จ้าวหลิวหลียิ่งลงมือหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่าตัว เวลานี้จ้าวลู่ถงร่ำร้องอยู่ภ
เสียงรายงานจากรองแม่ทัพคนสนิท ทำให้แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปมมากกว่าเดิมด้วยความสงสัย “สอบถามให้แน่ใจ ว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด” “เรียนท่านแม่ทัพ ท่านเจาหยางขอพบขอรับ” ยังไม่ทันที่รองแม่ทัพจะได้ไปยังหน้าขบวน ได้มีทหารวิ่งเข้ามาแจ้งความประสงค์จากคนอีกขบวนรถม้าเสียก่อน “เหตุใดตาเฒ่านั่นมาอยู่ที่นี่” แม่ทัพหนุ่มพึมพำเบา ๆ แต่ก็ส่งสัญญาณเป็นการอนุญาต เขาในตอนนี้ไม่อาจที่จะลงจากรถม้าได้ จำต้องนั่งรอพ่อบ้านของด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ด้วยห่วงใครอีกคนที่คงกำลังรอเขาอยู่ที่จวน “ท่านแม่ทัพ” “ตาเฒ่าไยจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วฮูหยินเล่าผู้ใดดูแล หากนางเป็นอันใดไป ข้าจะ...” “ท่านพี่” เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลังของเจาหยาง ทำให้คนในรถม้ารีบเปิดม่านออกทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาพยายามเก็บอาการยินดีเอาไว้ ภายใต้สีหน้านิ่งเรียบ “ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่อีกคนเล่า” หลี่จ้านเอ่ยถามภรรยาด้วยความสงสัย เขาไม่คิดว่านางจะออกมารอเขาถึงนอกเมืองเช่นนี้ “ข้าออกมาสวดมนต์ใ
จ้าวอ๋องรู้ดีว่าบุตรชายหญิงของตนนั้น ต้องการลมหายใจของจ้าวหลิวหลี แต่บุตรสาวอ่อนแอเช่นนางย่อมไม่มีทางทำอันตรายอันใดต่อลูก ๆ ของเขาได้ ยกเว้นหลี่จ้านที่อาจจ้างมือดีคอยปกป้องภรรยา “เพราะมัน...เพราะมันคนเดียวนังหลิวหลี เอาลูกข้าคืนมา ฮือ ๆ” จ้าวอ๋องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น หัวใจของเขาบีบคั้นจนเกินจะรับได้ ทายาทเพียงคนเดียวต้องจบชีวิตลง บุตรสาวที่เปรียบดังแก้วตาดวงใจก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นทีเรื่องนี้เขาคงต้องเลือกข้างให้ถูกเสียที ไม่ว่ามันผู้ใดที่แตะต้องครอบครัวของเขาในวันนี้ จะต้องชดใช้ให้แก่เขาอย่างสาสม ในมุมมืดร่างสูงของใครบางคน กำลังยืนมองเจ้าของจวนด้วยแววตาเฉยชา ‘ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังมิรู้จักสำนึกอีกหรือท่านอ๋อง นี่สินะที่เขาว่าผู้ที่รักต่ำช้าเพียงใดก็รัก ผู้ที่ชังความดีนับหมื่นก็ชิงชัง’ ร่างสูงหมุนกายจากไปอย่างเงียบ ๆ ภารกิจของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าจะเป็นเรื่องขัดใจเขาอยู่บางกับการนำร่างของอ๋องน้อยมาส่งคืน แต่นี่คือความประสงค์ของผู้เป็นนาย เขาจึงมิอาจ เสียงร้องไห้ค่ำครวญอาจทำใ
จางเค่อเข้าใจในอารมณ์ขอผู้เป็นนายดี เพราะตลอดสองปีที่ท่านแม่ทัพออกสู่ชายแดน นายหญิงของเขาต้องรับมือกับครอบครัวบิดาของนาง แล้วไหนจะผู้ที่คิดจะทำลายท่านแม่ทัพ ก็คอยจ้องเล่นงานผู้เป็นนายของเขามิเว้นวัน จ้าวหลิวหลี ลุกขึ้นก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อยให้แก่จางเค่อ สำหรับนางแล้วหากไร้ชายผู้นี้คอยเป็นดั่งแขนขา คงไม่อาจยืนอยู่ตรงนี้ได้ แม้จะมีเงินหากไร้ความเคารพต่อผู้อื่น ก็มิอาจที่จะซื้อใจผู้ใดได้เลย นางใช้ใจแลกกับความภักดี นางมองทุกคนเสมือนพี่น้อง สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในหลีเค่ออยู่ภายใต้อำนาจของนางโดยมิต้องบีบบังคับ เมื่อออกมายังห้องชั้นนอกแล้ว เสี่ยวเชี่ยนได้เรียกคนของร้านมายกพับผ้าที่นางเลือก เพื่อนำไปส่งยังจวนหลี่ สองนายบ่าวออกจากร้านเดินไปยังรถม้าที่เจาหยางรออยู่อย่างใจเย็น “ท่านลุงเจา เราไปนั่งกินขนมใกล้หน้าประตูวังกันดีกว่านะ ข้าจำได้ว่ามีร้านหนึ่งอร่อยมากเลย” “ได้ขอรับ” เจาหยางไม่คิดที่จะถามอะไรให้มากความ แค่นายหญิงของบ้านพยายามที่จะหาหนทางรอผู้เป็นนายของเขานั้น ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ฮูหยินเข้าไปในหลีเค่อ