Share

ตอนที่ 13. เผชิญหน้า

จ้าวลู่ถงลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพี่สาว เขารู้แล้วในตอนนี้ว่าหนทางที่จะหลบเลี่ยงคงไม่อาจเป็นไปได้ ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้น อย่างน้อยยังพอที่จะมีโอกาสรอดชีวิตไปได้บ้าง

            “หึ ๆ ดูพี่หญิงจะมั่นใจเหลือเกินนะขอรับ”

            “ข้าว่าเจ้ารู้ดีกว่าผู้ใดน้องพี่ จะอย่างไรเสียข้าก็ต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเองก็คิดจะสังหารสามีของข้า”

            จ้าวลู่ถงหัวเราะในลำคอ เขาประเมินพี่สาวต่ำไปจริง ๆ นางมิเพียงมากด้วยฝีมือ แต่ยังเจ้าเล่ห์เสียจนไม่มีผู้ใดจับได้ ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง

            ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกระหว่างสองพี่น้อง มีเพียงเสียงอาวุธกระทบกันอย่างดุเดือดเท่านั้น จ้าวหลิวหลีไร้ซึ่งความรักหรือเห็นใจในตัวน้องชาย เพราะจ้าวลู่ถงเกิดมา มารดาของนางจึงต้องจบชีวิต เพียงเพราะเกรงมารดาของนางจะกำเนิดบุตรชายอีกคน

            ความแค้นระหว่างนางกับสกุลจ้าวหาได้ใหญ่หลวงไม่ แต่ความแค้นของมารดานั้นไม่อาจนำสิ่งใดมาลบเลือนได้เป็นอันขาด ยิ่งเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่

            จ้าวหลิวหลียิ่งลงมือหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่าตัว เวลานี้จ้าวลู่ถงร่ำร้องอยู่ภายในใจ เขาอยากจะหลุดออกจากลานแห่งนี้เหลือเกิน ทุกครั้งที่แส้ฟาดลงบนกายของเขา มันไม่ต่างอะไรกับคมมีดที่กรีดเนื้อเลยทีเดียว

            “ความเจ็บปวดของพวกเจ้า ยังมิถึงครึ่งที่คนเช่นข้าได้รับ”

            เอ่ยจบปลายแส้เงินตวัดรัดรอบลำคอของจ้าวลู่ถง ชายหนุ่มดวงตาเบิกกว้าง เมื่อรู้ตนว่าพลาดพลั้งก็สายไปเสียแล้ว คำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินยังคงก้องอยู่ในหู ทว่าตัวเขามิอาจเอ่ยตอบโต้สิ่งใดได้อีก

            ร่างสูงทรุดลงกับพื้น ดวงตายังคงเบิกกว้างมองจ้องไปยังพี่สาว ที่กลับไปยืนนิ่งอย่างคนไร้ความรู้สึกเช่นเดิม

            “กรี๊ด!!!!”

            เสียงกรีดร้องดังขึ้น ก่อนที่ร่างบางของจ้าวอี้เหมยจะสิ้นสติไปอีกครั้ง จ้าวหลิวหลีหรี่ตาลงเมื่ออยู่ ๆ ได้มีเงาร่างของใครบางคงพุ่งไปยังร่างของจ้าวอี้เหมย ก่อนที่ทุกอย่างจะเหลือเพียงความว่างเปล่า

            จ้าวอี้เหมยหายไปพร้อมเงาสีดำนั้น จ้าวหลิวหลีสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านจากความแค้น คราแรกนางตั้งใจจะให้สองพี่น้องเพียงไร้ที่ยืน แต่เมื่อพวกเขาไม่ยินยอมที่จะละเว้นนาง

            นางเองจึงไม่จำเป็นต้องมอบความเห็นใจใด ๆ แก่ทั้งคู่ เมื่อเลือกที่จะจับดาบ ก็ต้องยอมรับถึงคมดาบที่อาจหันเข้าหาตัว นางก็เช่นกันเมื่อเลือกที่จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับเมื่อถูกค้นพบ

            การต่อสู้ดูจะจบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้นำของเหล่าคนชุดดำได้สิ้นใจ ถึงคนที่เหลือจะหลบออกจากลานแห่งนี้ไปได้ แต่ก็มิอาจออกพ้นนอกเขตอารามได้อยู่ดี

            “นายหญิงปลอดภัยดีนะขอรับ”

            ชายหนุ่มในชุดชาวบ้านได้เดินเข้ามาถามผู้เป็นนายสาว เขามองดูรอบกายของผู้เป็นนายแล้วได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ หากหัวหน้าจางรู้ว่าเขาปล่อยให้นายหญิงต้องรับมือคนร้ายจำนวนมากถึงเพียงนี้ มีหวังคงถูกส่งไปอยู่ต่างแคว้นหลายปีเป็นแน่

            “เจ้าไม่พูดข้าไม่พูด เขาก็ไม่รู้หรอก”

            จ้าวหลิวหลีเดาความคิดของชายหนุ่มออก ด้วยเขาทำงานให้นางมานาน นางรู้จักนิสัยของคนสนิทดี

            “ถ้าพี่ใหญ่เป็นคนเชื่ออะไรง่าย ๆ ก็ดีสิขอรับนายหญิง”

            “กลัวไปแล้วได้อะไรขึ้นมา ยังไงเขาก็ไม่กล้าที่จะตำหนิข้าอยู่แล้ว”

            “ไม่ตำหนิท่าน แต่ลงโทษข้าได้นี่ขอรับ”

            ชายหนุ่มพึมพำเบา ๆ เมื่อเจาหยางและเสี่ยวเชี่ยนเดินมาถึง ร่างสูงได้ก้าวยาว ๆ จากไปอย่างรวดเร็ว หน้าที่ของเขาตรงนี้เสร็จสิ้นแล้ว ตัวตนของเขามิควรให้ผู้อื่นรู้เห็นมากจนเกินไป

            “ฮูหยิน คนผู้นั้นเขาคือ...”

            เจาหยางเอ่ยถามด้วยความสงสัย พ่อบ้านสูงวัยมองตามไปร่างนั้นจนลับสายตา

            “บางคนเราควรรู้จัก บางคนเราก็ไม่ควรที่จะรู้จัก”

            “ขอรับ”

            คำตอบของผู้เป็นนายนั้นชัดเจนยิ่งนัก เจาหยางจึงไม่คิดที่จะซักถามสิ่งใดอีก ตราบใดที่ฮูหยินปลอดภัยเรื่องอื่นเขาจะมิก้าวก่าย

            “ดึกมากแล้วข้าน้อยคิดว่าฮูหยินควรกลับที่พักนะขอรับ ส่วนทางนี้ข้าน้อยจะจัดการเองขอรับ”

            “กลับด้วยกันนั้นแหละ ทางนี้มีคนจัดการแล้วท่านลุงเจามิต้องเหนื่อย”

            “ขอรับ”

            เจาหยางไม่คิดจะถามสิ่งใดต่อ เพราะมิว่าเขาจะสงสัยกี่สิบเรื่อง คำตอบที่ได้จากฮูหยินก็มิต่างจากเดิม สู้เขาปิดหูปิดตาเสียก็สิ้นเรื่อง ทั้งสามก้าวออกจากลานชมดาวอย่างใจเย็น

            ความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้นั้นก็มีกันอยู่บ้าง แต่มันคือสิ่งที่มิอาจหลบเลี่ยงได้ จึงนับว่าเป็นเรื่องปกติสามัญไปเสีย จ้าวหลิวหลีได้กลับเข้าเรือนพักของตนเอง พร้อมจัดแจงลงแช่น้ำร้อน ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดี

            ส่วนเสี่ยวเชี่ยนก็ได้กลับห้องพักของตน เพื่อชำระร่างกายเช่นเดียวกับผู้เป็นนาย หญิงสาวทั้งสองรู้สึกขำขันอยู่ภายในใจ เมื่อนึกถึงใบหน้าช่างสงสัยของเจาหยาง

            ที่ป่านนี้คงจะลงแช่น้ำร้อน ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ พร้อมคำถามในใจมากมายเช่นเดิม จ้าวหลิวหลีรู้สึกเห็นใจพ่อบ้านของสามีอยู่ไม่น้อย แต่จะทำอย่างไรได้หากนางเปิดเผยทุกอย่างไป อาจเป็นการหันคมดาบเข้าหาตนเองก็เป็นได้

            “เรียนนายหญิง นายท่านใกล้จะมาถึงแล้วขอรับ”

            เสียงจากด้านนอกตัวห้องอาบน้ำ เอ่ยรายงานให้แก่คนที่กำลังเพลิดเพลินกับน้ำร้อนด้านในได้รับรู้

            “นายท่านได้รับยาแล้วใช่หรือไม่”

            “ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ นายท่านยังคงมิแสดงพิรุธใด ๆ ให้ผู้อื่นรู้ว่าหายดีแล้ว”

            “อืม! จับตาดูให้ดี อีกไม่กี่วันคงมีเรื่องให้พวกเราต้องเหนื่อยอีก”

            “ขอรับนายหญิง ข้าน้อยขอตัว”

            จ้าวหลิวหลีหลับตาลงอย่างช้า ๆ เพื่อให้ความร้อนจากน้ำในถัง ทำหน้าที่ของมันจนกว่านางจะรู้สึกผ่อนคลายมากกว่านี้

            ‘ทุกสิ่งย่อมมีเวลาของมัน พวกเจ้ามิยอมนิ่งเฉยเอง ข้าแค่ต้องการความสงบในชีวิตเท่านั้น’

            หญิงพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนที่กำลังจะมาถึงในอีกมิกี่วันข้างหน้า เขาจะยังเหมือนเดิมอยู่ไม่ จะอ้วนขึ้นหรือผอมลงกันนะ

สิบวันต่อมา ณ เส้นทางสู่เมืองหลวง

            หลี่จ้านขมวดคิ้วเป็นปม เมื่ออยู่ ๆ ขบวนทัพของเขาได้หยุดลง แม่ทัพหนุ่มเปิดม่านออกดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

            “เรียนท่านแม่ทัพ มีขบวนรถม้าจอดขวางทางอยู่ขอรับ”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status