จ้าวลู่ถงลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพี่สาว เขารู้แล้วในตอนนี้ว่าหนทางที่จะหลบเลี่ยงคงไม่อาจเป็นไปได้ ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้น อย่างน้อยยังพอที่จะมีโอกาสรอดชีวิตไปได้บ้าง
“หึ ๆ ดูพี่หญิงจะมั่นใจเหลือเกินนะขอรับ”
“ข้าว่าเจ้ารู้ดีกว่าผู้ใดน้องพี่ จะอย่างไรเสียข้าก็ต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเองก็คิดจะสังหารสามีของข้า”
จ้าวลู่ถงหัวเราะในลำคอ เขาประเมินพี่สาวต่ำไปจริง ๆ นางมิเพียงมากด้วยฝีมือ แต่ยังเจ้าเล่ห์เสียจนไม่มีผู้ใดจับได้ ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง
ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกระหว่างสองพี่น้อง มีเพียงเสียงอาวุธกระทบกันอย่างดุเดือดเท่านั้น จ้าวหลิวหลีไร้ซึ่งความรักหรือเห็นใจในตัวน้องชาย เพราะจ้าวลู่ถงเกิดมา มารดาของนางจึงต้องจบชีวิต เพียงเพราะเกรงมารดาของนางจะกำเนิดบุตรชายอีกคน
ความแค้นระหว่างนางกับสกุลจ้าวหาได้ใหญ่หลวงไม่ แต่ความแค้นของมารดานั้นไม่อาจนำสิ่งใดมาลบเลือนได้เป็นอันขาด ยิ่งเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่
จ้าวหลิวหลียิ่งลงมือหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่าตัว เวลานี้จ้าวลู่ถงร่ำร้องอยู่ภายในใจ เขาอยากจะหลุดออกจากลานแห่งนี้เหลือเกิน ทุกครั้งที่แส้ฟาดลงบนกายของเขา มันไม่ต่างอะไรกับคมมีดที่กรีดเนื้อเลยทีเดียว
“ความเจ็บปวดของพวกเจ้า ยังมิถึงครึ่งที่คนเช่นข้าได้รับ”
เอ่ยจบปลายแส้เงินตวัดรัดรอบลำคอของจ้าวลู่ถง ชายหนุ่มดวงตาเบิกกว้าง เมื่อรู้ตนว่าพลาดพลั้งก็สายไปเสียแล้ว คำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินยังคงก้องอยู่ในหู ทว่าตัวเขามิอาจเอ่ยตอบโต้สิ่งใดได้อีก
ร่างสูงทรุดลงกับพื้น ดวงตายังคงเบิกกว้างมองจ้องไปยังพี่สาว ที่กลับไปยืนนิ่งอย่างคนไร้ความรู้สึกเช่นเดิม
“กรี๊ด!!!!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น ก่อนที่ร่างบางของจ้าวอี้เหมยจะสิ้นสติไปอีกครั้ง จ้าวหลิวหลีหรี่ตาลงเมื่ออยู่ ๆ ได้มีเงาร่างของใครบางคงพุ่งไปยังร่างของจ้าวอี้เหมย ก่อนที่ทุกอย่างจะเหลือเพียงความว่างเปล่า
จ้าวอี้เหมยหายไปพร้อมเงาสีดำนั้น จ้าวหลิวหลีสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านจากความแค้น คราแรกนางตั้งใจจะให้สองพี่น้องเพียงไร้ที่ยืน แต่เมื่อพวกเขาไม่ยินยอมที่จะละเว้นนาง
นางเองจึงไม่จำเป็นต้องมอบความเห็นใจใด ๆ แก่ทั้งคู่ เมื่อเลือกที่จะจับดาบ ก็ต้องยอมรับถึงคมดาบที่อาจหันเข้าหาตัว นางก็เช่นกันเมื่อเลือกที่จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับเมื่อถูกค้นพบ
การต่อสู้ดูจะจบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้นำของเหล่าคนชุดดำได้สิ้นใจ ถึงคนที่เหลือจะหลบออกจากลานแห่งนี้ไปได้ แต่ก็มิอาจออกพ้นนอกเขตอารามได้อยู่ดี
“นายหญิงปลอดภัยดีนะขอรับ”
ชายหนุ่มในชุดชาวบ้านได้เดินเข้ามาถามผู้เป็นนายสาว เขามองดูรอบกายของผู้เป็นนายแล้วได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ หากหัวหน้าจางรู้ว่าเขาปล่อยให้นายหญิงต้องรับมือคนร้ายจำนวนมากถึงเพียงนี้ มีหวังคงถูกส่งไปอยู่ต่างแคว้นหลายปีเป็นแน่
“เจ้าไม่พูดข้าไม่พูด เขาก็ไม่รู้หรอก”
จ้าวหลิวหลีเดาความคิดของชายหนุ่มออก ด้วยเขาทำงานให้นางมานาน นางรู้จักนิสัยของคนสนิทดี
“ถ้าพี่ใหญ่เป็นคนเชื่ออะไรง่าย ๆ ก็ดีสิขอรับนายหญิง”
“กลัวไปแล้วได้อะไรขึ้นมา ยังไงเขาก็ไม่กล้าที่จะตำหนิข้าอยู่แล้ว”
“ไม่ตำหนิท่าน แต่ลงโทษข้าได้นี่ขอรับ”
ชายหนุ่มพึมพำเบา ๆ เมื่อเจาหยางและเสี่ยวเชี่ยนเดินมาถึง ร่างสูงได้ก้าวยาว ๆ จากไปอย่างรวดเร็ว หน้าที่ของเขาตรงนี้เสร็จสิ้นแล้ว ตัวตนของเขามิควรให้ผู้อื่นรู้เห็นมากจนเกินไป
“ฮูหยิน คนผู้นั้นเขาคือ...”
เจาหยางเอ่ยถามด้วยความสงสัย พ่อบ้านสูงวัยมองตามไปร่างนั้นจนลับสายตา
“บางคนเราควรรู้จัก บางคนเราก็ไม่ควรที่จะรู้จัก”
“ขอรับ”
คำตอบของผู้เป็นนายนั้นชัดเจนยิ่งนัก เจาหยางจึงไม่คิดที่จะซักถามสิ่งใดอีก ตราบใดที่ฮูหยินปลอดภัยเรื่องอื่นเขาจะมิก้าวก่าย
“ดึกมากแล้วข้าน้อยคิดว่าฮูหยินควรกลับที่พักนะขอรับ ส่วนทางนี้ข้าน้อยจะจัดการเองขอรับ”
“กลับด้วยกันนั้นแหละ ทางนี้มีคนจัดการแล้วท่านลุงเจามิต้องเหนื่อย”
“ขอรับ”
เจาหยางไม่คิดจะถามสิ่งใดต่อ เพราะมิว่าเขาจะสงสัยกี่สิบเรื่อง คำตอบที่ได้จากฮูหยินก็มิต่างจากเดิม สู้เขาปิดหูปิดตาเสียก็สิ้นเรื่อง ทั้งสามก้าวออกจากลานชมดาวอย่างใจเย็น
ความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้นั้นก็มีกันอยู่บ้าง แต่มันคือสิ่งที่มิอาจหลบเลี่ยงได้ จึงนับว่าเป็นเรื่องปกติสามัญไปเสีย จ้าวหลิวหลีได้กลับเข้าเรือนพักของตนเอง พร้อมจัดแจงลงแช่น้ำร้อน ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดี
ส่วนเสี่ยวเชี่ยนก็ได้กลับห้องพักของตน เพื่อชำระร่างกายเช่นเดียวกับผู้เป็นนาย หญิงสาวทั้งสองรู้สึกขำขันอยู่ภายในใจ เมื่อนึกถึงใบหน้าช่างสงสัยของเจาหยาง
ที่ป่านนี้คงจะลงแช่น้ำร้อน ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ พร้อมคำถามในใจมากมายเช่นเดิม จ้าวหลิวหลีรู้สึกเห็นใจพ่อบ้านของสามีอยู่ไม่น้อย แต่จะทำอย่างไรได้หากนางเปิดเผยทุกอย่างไป อาจเป็นการหันคมดาบเข้าหาตนเองก็เป็นได้
“เรียนนายหญิง นายท่านใกล้จะมาถึงแล้วขอรับ”
เสียงจากด้านนอกตัวห้องอาบน้ำ เอ่ยรายงานให้แก่คนที่กำลังเพลิดเพลินกับน้ำร้อนด้านในได้รับรู้
“นายท่านได้รับยาแล้วใช่หรือไม่”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ นายท่านยังคงมิแสดงพิรุธใด ๆ ให้ผู้อื่นรู้ว่าหายดีแล้ว”
“อืม! จับตาดูให้ดี อีกไม่กี่วันคงมีเรื่องให้พวกเราต้องเหนื่อยอีก”
“ขอรับนายหญิง ข้าน้อยขอตัว”
จ้าวหลิวหลีหลับตาลงอย่างช้า ๆ เพื่อให้ความร้อนจากน้ำในถัง ทำหน้าที่ของมันจนกว่านางจะรู้สึกผ่อนคลายมากกว่านี้
‘ทุกสิ่งย่อมมีเวลาของมัน พวกเจ้ามิยอมนิ่งเฉยเอง ข้าแค่ต้องการความสงบในชีวิตเท่านั้น’
หญิงพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนที่กำลังจะมาถึงในอีกมิกี่วันข้างหน้า เขาจะยังเหมือนเดิมอยู่ไม่ จะอ้วนขึ้นหรือผอมลงกันนะ
สิบวันต่อมา ณ เส้นทางสู่เมืองหลวง
หลี่จ้านขมวดคิ้วเป็นปม เมื่ออยู่ ๆ ขบวนทัพของเขาได้หยุดลง แม่ทัพหนุ่มเปิดม่านออกดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
“เรียนท่านแม่ทัพ มีขบวนรถม้าจอดขวางทางอยู่ขอรับ”
เสียงรายงานจากรองแม่ทัพคนสนิท ทำให้แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปมมากกว่าเดิมด้วยความสงสัย “สอบถามให้แน่ใจ ว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด” “เรียนท่านแม่ทัพ ท่านเจาหยางขอพบขอรับ” ยังไม่ทันที่รองแม่ทัพจะได้ไปยังหน้าขบวน ได้มีทหารวิ่งเข้ามาแจ้งความประสงค์จากคนอีกขบวนรถม้าเสียก่อน “เหตุใดตาเฒ่านั่นมาอยู่ที่นี่” แม่ทัพหนุ่มพึมพำเบา ๆ แต่ก็ส่งสัญญาณเป็นการอนุญาต เขาในตอนนี้ไม่อาจที่จะลงจากรถม้าได้ จำต้องนั่งรอพ่อบ้านของด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ด้วยห่วงใครอีกคนที่คงกำลังรอเขาอยู่ที่จวน “ท่านแม่ทัพ” “ตาเฒ่าไยจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วฮูหยินเล่าผู้ใดดูแล หากนางเป็นอันใดไป ข้าจะ...” “ท่านพี่” เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลังของเจาหยาง ทำให้คนในรถม้ารีบเปิดม่านออกทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาพยายามเก็บอาการยินดีเอาไว้ ภายใต้สีหน้านิ่งเรียบ “ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่อีกคนเล่า” หลี่จ้านเอ่ยถามภรรยาด้วยความสงสัย เขาไม่คิดว่านางจะออกมารอเขาถึงนอกเมืองเช่นนี้ “ข้าออกมาสวดมนต์ใ
จ้าวอ๋องรู้ดีว่าบุตรชายหญิงของตนนั้น ต้องการลมหายใจของจ้าวหลิวหลี แต่บุตรสาวอ่อนแอเช่นนางย่อมไม่มีทางทำอันตรายอันใดต่อลูก ๆ ของเขาได้ ยกเว้นหลี่จ้านที่อาจจ้างมือดีคอยปกป้องภรรยา “เพราะมัน...เพราะมันคนเดียวนังหลิวหลี เอาลูกข้าคืนมา ฮือ ๆ” จ้าวอ๋องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น หัวใจของเขาบีบคั้นจนเกินจะรับได้ ทายาทเพียงคนเดียวต้องจบชีวิตลง บุตรสาวที่เปรียบดังแก้วตาดวงใจก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นทีเรื่องนี้เขาคงต้องเลือกข้างให้ถูกเสียที ไม่ว่ามันผู้ใดที่แตะต้องครอบครัวของเขาในวันนี้ จะต้องชดใช้ให้แก่เขาอย่างสาสม ในมุมมืดร่างสูงของใครบางคน กำลังยืนมองเจ้าของจวนด้วยแววตาเฉยชา ‘ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังมิรู้จักสำนึกอีกหรือท่านอ๋อง นี่สินะที่เขาว่าผู้ที่รักต่ำช้าเพียงใดก็รัก ผู้ที่ชังความดีนับหมื่นก็ชิงชัง’ ร่างสูงหมุนกายจากไปอย่างเงียบ ๆ ภารกิจของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าจะเป็นเรื่องขัดใจเขาอยู่บางกับการนำร่างของอ๋องน้อยมาส่งคืน แต่นี่คือความประสงค์ของผู้เป็นนาย เขาจึงมิอาจ เสียงร้องไห้ค่ำครวญอาจทำใ
จางเค่อเข้าใจในอารมณ์ขอผู้เป็นนายดี เพราะตลอดสองปีที่ท่านแม่ทัพออกสู่ชายแดน นายหญิงของเขาต้องรับมือกับครอบครัวบิดาของนาง แล้วไหนจะผู้ที่คิดจะทำลายท่านแม่ทัพ ก็คอยจ้องเล่นงานผู้เป็นนายของเขามิเว้นวัน จ้าวหลิวหลี ลุกขึ้นก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อยให้แก่จางเค่อ สำหรับนางแล้วหากไร้ชายผู้นี้คอยเป็นดั่งแขนขา คงไม่อาจยืนอยู่ตรงนี้ได้ แม้จะมีเงินหากไร้ความเคารพต่อผู้อื่น ก็มิอาจที่จะซื้อใจผู้ใดได้เลย นางใช้ใจแลกกับความภักดี นางมองทุกคนเสมือนพี่น้อง สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในหลีเค่ออยู่ภายใต้อำนาจของนางโดยมิต้องบีบบังคับ เมื่อออกมายังห้องชั้นนอกแล้ว เสี่ยวเชี่ยนได้เรียกคนของร้านมายกพับผ้าที่นางเลือก เพื่อนำไปส่งยังจวนหลี่ สองนายบ่าวออกจากร้านเดินไปยังรถม้าที่เจาหยางรออยู่อย่างใจเย็น “ท่านลุงเจา เราไปนั่งกินขนมใกล้หน้าประตูวังกันดีกว่านะ ข้าจำได้ว่ามีร้านหนึ่งอร่อยมากเลย” “ได้ขอรับ” เจาหยางไม่คิดที่จะถามอะไรให้มากความ แค่นายหญิงของบ้านพยายามที่จะหาหนทางรอผู้เป็นนายของเขานั้น ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ฮูหยินเข้าไปในหลีเค่อ
ชุ่ยเหนียงเฟยเสมือนคนสติไม่อยู่กับตัว ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้ดูแทบไม่ได้เลย คำพูดที่พรั่งพรูออกมา ล้วนหยาบคายมิสมฐานะที่เป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย “ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดต่ำช้าจากปากพระชายาอ๋องเช่นท่าน และโปรดรู้เอาไว้ด้วยว่าข้าคือสามีของหลีเอ๋อร์ มิใช่คนรักของธิดาท่านอย่างที่กล่าวมา โปรดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนนะขอรับ จึงค่อยพูดสิ่งใดออกมา” หลี่จ้านไม่ได้หันมองภรรยา แต่ทุกถ้อยคำของเขานั้นหนักแน่น สิ่งที่มารดาเลี้ยงของภรรยาพูดมานั้น อาจเป็นฉนวนทำลายเขาได้ทั้งตระกูลเลยทีเดียว “อย่าบอกนะว่าเจ้าเสียท่าให้แก่นางแล้ว นางมันนังจิ้กจอก” ชุ่ยเหนียงเฟยชี้นิ้วไปยังจ้าวหลิวหลี ที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องสามี มุมบากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ นางไม่จำเป็นต้องเห็นใจผู้ที่ทำร้ายนางก่อน “พระชายาโปรดสำรวมคำพูด ข้าและนางเป็นสามีภรรยา เรื่องในห้องมิจำเป็นต้องประกาศให้ผู้อื่นรู้ หรือท่านชื่นชอบเล่าเรื่องเช่นนั้นให้สหายและชาวเมืองฟังขอรับ” “หยุดสามหาวได้แล้วนะหลี่จ้าน” ในที่สุดจ้าวอ๋องก็หาเสียงของตนเองเจอ เมื่อภรรยารักไม่ได้รับควา
กลางดึก ณ ตำหนักหรู่เฟยภายในห้องหนังสือกำลังมีสองร่างโอบกอดกันอยู่ ใบหน้าของชายหนุ่มที่เรือนร่างเปลือยเปล่า กำลังซุกไซ้ซอกคอขาวเนียนของฝ่ายหญิง เสียงครางเบา ๆ ดังออกมาจากเรียวปากอวบอิ่ม เมื่อมือหนาของชายหนุ่มเคล้นคลึงสองเต้างาม “อื้อ…ส่งสารถึงนางหรือยัง อ๊า...” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมครางเบา ๆ ความเสียวซ่านแล่นทั่วกาย เมื่อถูกชายหนุ่มรุกเร้ามิหยุดมือ “ข้าเคยทำให้พระนางผิดหวังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบจมูกคมได้กดลงยังแก้มเนียน ก่อนจะเลื่อนลงมายังซอกคอหอมกรุ่นอีกครั้ง ริมฝีปากหนาจูบซับความเย้ายวนอย่างอ่อนโยน มือหยาบบีบคลึงสะโพกงอนงามหนัก ๆ ก่อนจะดันให้แนบกับแก่นกายของตนเอง “ไม่ใช่เวลานี้” เสียงสั่นระริกเอ่ยห้ามชายหนุ่ม ทว่าร่างกายนั้นหาได้ทำตามอย่างที่ปากพูด ยิ่งเมื่อมืออีกข้างของชายหนุ่มเลื่อนลงไปยังเนินดอกไม้ ความร้อนรุ่มกลับระอุร้อนขึ้นเรื่อย ๆ “ดึกแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเราอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาไม่อาจทนรออีกต่อไปได้แล้ว แม้ว่าเวลานี้จะค่อยเ
“คนเราเมื่อทำผิด ก็ต้องยอมรับผิด มิใช่หนีอย่างคนขี้ขลาด” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเสียงเรียบ มีเพียงดวงตาที่ฉายแววเยาะหยัน เสมือนการเพิ่มโทสะให้แก่องครักษ์หนุ่มนับเท่าทวีคูณ “เจ้าหลอกข้า” “เรื่องใดที่ข้าหลอกเจ้า ตำแหน่งของเจ้าเป็นถึงองครักษ์หลวง สติปัญญามิน่าจะดอยกว่าผู้ใด มีหรือคนเช่นข้าจะไปล่อลวงเจ้าได้” ชายหนุ่มขบกรามแน่น ตอนนี้นอกจากเขาจะหนีไม่ได้ ทหารได้เข้ามาคุมตัวของพระนางหรู่เฟยแล้วเช่นกัน “ปล่อยข้า” ชายหนุ่มพยายามที่จะให้ตนเองหลุดจากการควบคุม แต่ก็ไม่อาจทำได้แววตาโกรธแค้นมองไปยังชายสวมหน้ากาก “เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น” ชายสวมหน้ากากเอ่ยขึ้น ขณะก้าวผ่านองครักษ์หนุ่มเพื่อไปหาพระสนมคนงาม ที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “นายข้าแค่ส่งดาบคืนแก่ท่าน พระนางหรู่เฟย จุ๊ ๆ สิ่งที่ท่านรู้มันจะตายไปพร้อมตัวท่านเอง” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเบา ๆ ข้างหูของพระสนมที่ตอนนี้ได้แต่ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อฟังคำของชายสวมหน้ากากจบ “เป็นฝีมือนังแพศยาน
เพราะเหตุใดไม่รู้มันรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้ง ที่ร่างแกร่งขยับกายบดเบียดกับตัวนาง ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดข้างแก้มนางนั้น ทำให้หัวใจของนางเต้นมิเป็นส่ำตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว “ท่านพี่ควรตื่นได้แล้วนะเจ้าคะ สาย...อ๊ะ...” อุ๊บ! อื้อ! ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม เรียวปากงามก็ถูกปิดลงเสียก่อน สภาพของนางในตอนนี้ ยากที่จะขัดขืนอีกฝ่ายได้ เมื่อท่อนขาแกร่งทับขาของนางเอาไว้เสียก่อน มือบางที่หมายจะผลักไสเขาออกให้พ้นกาย ได้ถูกรวบเอาไว้เหนือศีรษะ ริมฝีปากอวบอิ่มถูกขบเม้ม ก่อนจะใช้ลิ้นสากดันเรียวปากของนางให้เปิดออก เพื่อให้เขาได้ควานหาความหวานที่ซ่อนอยู่ภายในเมื่อถูกบดจูบอย่างหิวกระหายจากสามีผู้ช่ำชอง ความเคลิบเคลิ้มทำให้หญิงสาวค่อย ๆ เผยอริมฝีปากออกอย่างลืมตัว ทั้งที่ในใจนั้นนางคิดที่จะขัดขืนเขาอย่างเต็มที่“อื้อ!”เสียงครางเบา ๆ ดังลอดออกมา หลี่จ้านมิปล่อยโอกาสให้หลุดมือ ชายหนุ่มเกี่ยวกวัดปลายลิ้มเล็ก ก่อนจะดูดดึงลิ้นบางนั้นอย่างพึงพอใจ ท่อขาแข็งแกร่งขยับแทรกเรียวขางามให้แยกออกก่อนจะขยับบดเบียดอย่างเนิบช้าเพื่อปลุกเร้าภรรยา โดยที่ลิ้นสากของเขายังคงกวัดรัดดึง
“ต่อไปอย่าได้ดื้อรั้นต่อสามีอีก เข้าใจหรือไม่น้องหญิง”ชายหนุ่มกระซิบเย้าภรรยา ด้วยสายตากรุ่มกริ่ม จ้าวหลิวหลีวงหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี จะเก่งกาจปานใดย่อมต้องรู้สึกเขินอายเมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ของบุรุษ ช้ำเรือนร่างของนางยังไร้ซึ่งสิ่งปกปิด นางไม่คิดเลยว่าสามีผู้ไม่เคยเหลียวมองนางมาตลอด วันนี้จะเปลี่ยนไปเสียจนนางเองยังตั้งรับไม่ทัน“ข้ามิเคยดื้อสักหน่อย”จ้าวหลิวหลีเสหลบตาสามี พร้อมปฏิเสธสามีด้วยน้ำเสียกระเง้ากระงอด“เช่นนั้นนับแต่นี้ไปอย่าให้ต้องออกแรง เข้าใจหรือไม่”ปึก! กำปั้นของหญิงสาวทุบอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยความขัดเขิน เขาช่างกล้าพูดอย่างน่าไม่อาย เรื่องเช่นนี้มิจำเป็นต้องบอกก็ได้ “มิรู้จักอายบ้างหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ๆ อายทำไม ก็พี่อยากให้เจ้ามีความสุข”“คนบ้า! หน้ามิอายพูดอันใดออกมา....อื้อ!”ยังมิทันได้ต่อว่าสามีให้สาสมดังใจคิด ทว่าเรียวปากงามก็ถูกปิดลงอีกครั้ง และในครั้งนี้หญิงสาวมิได้ปฏิเสธ แต่กลับตอบสนองสามีด้วยความไร้เดียงสาในเรื่องเช่นนี้สองร่างกอดรัดกันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความเร้าร้อนขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มสอนบทรักให้แก่หญิงสา