“เจ้าบีบบังคับข้าเองนะน้องรัก”
“หุบปากเจ้าซะ! สิ่งเดียวที่เจ้ามีสิทธิ์พูด คือร้องขอความตายจากข้าหลิวหลี”
เคร้ง! ยังไม่ทันที่ปลายกระบี่จะเฉียดผ่านกายจ้าวหลิวหลี กระบี่คมของเสี่ยวเชี่ยนก็ได้ต้านรับเอาไว้ได้ทัน จ้าวอี้เหมยสบเข้ากับดวงตาสุกใสของเสี่ยวเชี่ยน ที่กำลังยกยิ้มเย้ยหยันตัวนางอยู่ในตอนนี้
ความกรุ่นโกรธปะทุขึ้นกว่าเดิมนับเท่าตัว จ้าวลู่ถงดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าสาวใช้ข้างกายของพี่สาวนั้น มีฝีมือในการต่อสู้ ซึ่งตลอดเวลาที่เสี่ยวเชี่ยนอยู่ในจวน เขาไม่เคยเห็นนางฝึกฝนกระบี่เลยสักครั้ง จ้าวลู่ถงจำต้องพุ่งเข้าหาเสี่ยวเชี่ยนเพื่อช่วยน้องสาว แต่ทว่า...
“ท่านอ๋องน้อยเป็นบุรุษ ไยถึงได้กล้าลงมือต่อสตรีบอบบางด้วยเล่าขอรับ”
เป็นเจาหยางที่เข้ามาขัดขวางชายหนุ่มเอาไว้ ทางด้านจ้าวหลิวหลีนั้น ยังคงนั่งดื่มชาโดยไร้ร่องรอยของคามตื่นตระหนกใด ๆ หวี๊ด! จ้าวลู่ถงเป่าปากเป็นสัญญาณบางอย่าง
เพียงครู่เดียวได้มีกลุ่มชายชุดดำจำนวนหลายคน ได้พุ่งออกจากราวป่า จ้าวหลิวหลีทำเพียงโยนท่อนฟืนเข้าไปในกองไฟอีกหลายท่อน เพื่อโหมไฟให้ลุกโซนกว่าเดิม
ชายชุดดำพุ่งเข้าหาจ้าวหลิวหลีที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม หญิงสาวเบี่ยงกายหลบดาบได้ทันท่วงที ทุกการเคลื่อนไหวของนางได้ตกอยู่ในสายตาของสองพี่น้อง
จ้าวอี้เหมยฉวยจังหวะที่คนของตนเองเข้าช่วยเหลือ ผละจากเสี่ยวเชี่ยนแล้วพุ่งเข้าหาพี่สาวแทน ควับ! เพี๊ยะ! จ้าวอี้เหมยรู้สึกใบหน้าด้านหนึ่งแสบร้อนในทันที
หญิงสาวได้ใช้มือกุมแก้มของตนเอาไว้ ก่อนจะตวัดสายมองไปยังผู้ที่ลงมือต่อนาง จ้าวอี้เหมยแทบกรีดร้องออกมาด้วยความคลั่งแค้น เมื่อเห็นว่าเวลานี้ในมือของพี่สาวนั้นกำลังถือสิ่งใดอยู่
แส้สีเงินยวงเมื่อต้องแสงจากกองไฟ มันกำลังขยับเคลื่อนประหนึ่งอสรพิษร้ายที่พร้อมฉกกัดผู้ที่เข้าใกล้ รอยยิ้มละมุนที่ประดับบนใบหน้าของจ้าวหลิวหลีในตอนนี้ มันมิต่างอะไรกับปีศาจที่พร้อมกลืนกินชีวิตของผู้คนภายในลานกว้างแห่งนี้
“เป็นไปไม่ได้ เจ้ามันสตรีไร้ค่า”
จ้าวอี้เหมยพึมพำกับตนเอง เมื่อเห็นว่าศัตรูหัวใจของนาง มิได้มีเพียงความงามที่มัดใจบุรุษ แต่ยังมีฝีมือในการต่อสู้อีกด้วย
“ข้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลาถกเถียงกับคนเช่นเจ้าอีก เมื่อเจ้าเลือกเส้นทางนี้ด้วยตนเอง ข้ามีหน้าที่เพียงทำตามปรารถนาของเจ้าเท่านั้น”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยกับน้องสาว ความอดทนของนางขาดสะบั้นนับตั้งแต่รู้ความจริงเรื่องมารดาแล้ว ถึงจะอย่างนั้นนางยังเมตตามอบทางเลือกให้แก่น้องสาวบ้าง
ทว่าเมื่ออีกฝ่ายไม่รับ นางก็ไม่จำเป็นต้องสนใจคำว่าสายเลือดเช่นเดียวกัน เจตจำนงของน้องสาวที่มีต่อนางมาตลอดคือลมหายใจ
“เส้นทางบ้าบออะไร ทางเลือกข้านั้นคือผู้ชนะ ส่วนเจ้าทางเลือกเดียวที่ข้ามีให้ คือความตายเท่านั้นหลิวหลี”
สิ้นคำพูดจ้าวอี้เหมยได้พุ่งเข้าหาพี่สาวอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าสิ่งที่นางคาดเอาไว้มันไม่เป็นอย่างที่ต้องการ
จ้าวหลิวหลี ไม่คิดที่จะหยอกเย้าน้องสาวอีกต่อไป แส้ในมือสะบัดออกไปพร้อมพลังแห่งการฆ่าฟัน เสียงแส้แหวกอากาศดัง ไม่ต่างจากมัจจุราชเรียกหาวิญญาณของมวลมนุษย์เลยทีเดียว
จ้าวอี้เหมยเม้มริมฝีปากแน่น เพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวดจากรอยแส้ของพี่สาว ดวงตาที่เต็มไปด้วยเกลียดชังมองฝ่าความมืดไปยังเป้าหมาย นางจะไม่มีคำว่าพ่ายแพ้เป็นอันขาด
จ้าวลู่ถงพยายามที่จะผละออกจากเจาหยางให้ได้ แต่ดูเหมือนพ่อบ้านสกุลหลี่ ไม่ได้ล้มลงง่าย ๆ อย่างที่คิด เขาคอยมองการต่อสู้ของน้องสาวกับพี่สาวด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง
กองไฟที่ได้รับการโหมกระพือจากสุราชั้นยอด ซึ่งอยู่ ๆ มีชายชาวบ้านโผล่ออกมาจากความมืด พร้อมโยนไหสุราเข้าไปในกองไฟ ทำให้รอบบริเวณสว่างจ้าสะท้อนเงาร่างของคนที่กำลังต่อสู้ดันอย่างดุเดือด
จากการต่อสู้ที่จะได้เปรียบ ในตอนนี้จ้าวลู่ถงจำต้องคิดใหม่แล้ว เพราะจำนวนคนของเขาดูจะค่อย ๆ หายไปทีคนสองคน ทั้งจากฝีมือของพี่สาวและเสี่ยวเชี่ยนแล้ว
ชายชาวบ้านที่มาใหม่ ดูจะมิใช่เพียงคนยากไร้โดยทั่วไปเสียแล้ว เพราะเพียงไม่กี่กระบวนท่า ชายผู้นั้นสามารถปลิดชีพคนของเขาไปหลายคนเลยทีเดียว
“อี้เหมย!”
จ้าวลู่ถงตะโกนเสียงหลง เมื่อเวลานี้ร่างของน้องสาวถูกเหวี่ยงไปชนเข้ากับขอบผาอีกด้านอย่างแรง ก่อนที่ร่างบางจะค่อย ๆ รูดลงกองอยู่กับพื้น ใบหน้าที่เคยเชิดสูงก้มลงจนแทบจะเงยไม่ขึ้น
ชายหนุ่มสั่นเทาไปทั้งร่าง ความหวาดกลัวน้องสาวจะเป็นอันตราย บวกกับความโกรธที่กำลังปะทุออกมา ทำให้เขาลงมือต่อเจาหยางหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่า
ทางด้านเจาหยางนั้น เขายังรับมืออ๋องน้อยสกุลจ้าวได้อย่างสบาย แต่เมื่อเห็นสัญญาณจากฮูหยิน ให้ปล่อยชายหนุ่มไปหาจ้าวอี้เหมย เขาจึงหลบฉากออกไปเสีย
จ้าวลู่ถงขบกรามแน่น วิ่งตรงเข้าประคองร่างน้องสาว ชายหนุ่มใจหายวาบ เมื่อเห็นสภาพของจ้าวอี้เหมย ใบหน้าที่เคยงดงามราวเทพธิดา บัดนี้แตกยับเสียไม่มีชิ้นดี ลมหายใจของน้องสาวแผ่วเบาราวปุยนุ่น
“อำมหิตเกินไปแล้วหลิวหลี เจ้ามันคนไร้หัวใจ”
จ้าวลู่ถงคำรามก้อง ดวงตาแข็งกร้าวมองไปยังพี่สาวต่างมารดา ที่ยังคงยืนนิ่งมิห่างออกไป
“หึ ๆ ช่างมิอายปากนะน้องรัก ใช้สมองอันชาญฉลาดของเขาตรองสักหน่อยเถิด ว่าเป็นพี่สาวผู้นี้หรือใครกันแน่ที่เป็นเช่นนั้น”
จ้าวลู่ถงใบหน้าชาหนึบ เมื่อถูกพี่สาวย้อนถาม แน่นอนว่าเขารู้มาโดยตลอดในเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพี่สาว แต่ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะไม่ได้เห็นมุมอ่อนแอของนางอีก
แม้น้องสาวของเขา จะทำผิดต่อจ้าวหลิวหลีมากมายเพียงใดก็ตาม แต่เขาผู้ในฐานะพี่ชายร่วมมารดา จะไม่มีวันยินยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายนางได้เช่นกัน
“อย่าหาว่าข้ามิเกรงใจ”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดเช่นนั้นลู่ถง ข้ามิได้ดวงตามืดบอดจนมองไม่เห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำต่อข้า การนิ่งเฉยของข้ามิใช่เกรงกลัว แต่เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น ในเมื่อวันนี้พวกเจ้าเลือกเส้นทางที่จะตัดขาด ข้าก็จะชำระให้สิ้นไปเสียแต่ตอนนี้ ส่วนคนที่กระทำต่อมารดาข้า ข้าสาบานว่ามันจะได้รับผลที่ทำอย่างสาสม”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากปากของจ้าวหลิวหลี มิต่างอะไรจากประกาศิตที่ตัดสินชีวิตของสองพี่น้อง คนที่น่ากลัวคือรู้จักการเฝ้ารอเวลาอย่างใจเย็น เพียงเพื่อผลลัพธ์เดียวที่คุ้มค่า
จ้าวลู่ถงลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพี่สาว เขารู้แล้วในตอนนี้ว่าหนทางที่จะหลบเลี่ยงคงไม่อาจเป็นไปได้ ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้น อย่างน้อยยังพอที่จะมีโอกาสรอดชีวิตไปได้บ้าง “หึ ๆ ดูพี่หญิงจะมั่นใจเหลือเกินนะขอรับ” “ข้าว่าเจ้ารู้ดีกว่าผู้ใดน้องพี่ จะอย่างไรเสียข้าก็ต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเองก็คิดจะสังหารสามีของข้า” จ้าวลู่ถงหัวเราะในลำคอ เขาประเมินพี่สาวต่ำไปจริง ๆ นางมิเพียงมากด้วยฝีมือ แต่ยังเจ้าเล่ห์เสียจนไม่มีผู้ใดจับได้ ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกระหว่างสองพี่น้อง มีเพียงเสียงอาวุธกระทบกันอย่างดุเดือดเท่านั้น จ้าวหลิวหลีไร้ซึ่งความรักหรือเห็นใจในตัวน้องชาย เพราะจ้าวลู่ถงเกิดมา มารดาของนางจึงต้องจบชีวิต เพียงเพราะเกรงมารดาของนางจะกำเนิดบุตรชายอีกคน ความแค้นระหว่างนางกับสกุลจ้าวหาได้ใหญ่หลวงไม่ แต่ความแค้นของมารดานั้นไม่อาจนำสิ่งใดมาลบเลือนได้เป็นอันขาด ยิ่งเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่ จ้าวหลิวหลียิ่งลงมือหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่าตัว เวลานี้จ้าวลู่ถงร่ำร้องอยู่ภ
เสียงรายงานจากรองแม่ทัพคนสนิท ทำให้แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปมมากกว่าเดิมด้วยความสงสัย “สอบถามให้แน่ใจ ว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด” “เรียนท่านแม่ทัพ ท่านเจาหยางขอพบขอรับ” ยังไม่ทันที่รองแม่ทัพจะได้ไปยังหน้าขบวน ได้มีทหารวิ่งเข้ามาแจ้งความประสงค์จากคนอีกขบวนรถม้าเสียก่อน “เหตุใดตาเฒ่านั่นมาอยู่ที่นี่” แม่ทัพหนุ่มพึมพำเบา ๆ แต่ก็ส่งสัญญาณเป็นการอนุญาต เขาในตอนนี้ไม่อาจที่จะลงจากรถม้าได้ จำต้องนั่งรอพ่อบ้านของด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ด้วยห่วงใครอีกคนที่คงกำลังรอเขาอยู่ที่จวน “ท่านแม่ทัพ” “ตาเฒ่าไยจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วฮูหยินเล่าผู้ใดดูแล หากนางเป็นอันใดไป ข้าจะ...” “ท่านพี่” เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลังของเจาหยาง ทำให้คนในรถม้ารีบเปิดม่านออกทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาพยายามเก็บอาการยินดีเอาไว้ ภายใต้สีหน้านิ่งเรียบ “ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่อีกคนเล่า” หลี่จ้านเอ่ยถามภรรยาด้วยความสงสัย เขาไม่คิดว่านางจะออกมารอเขาถึงนอกเมืองเช่นนี้ “ข้าออกมาสวดมนต์ใ
จ้าวอ๋องรู้ดีว่าบุตรชายหญิงของตนนั้น ต้องการลมหายใจของจ้าวหลิวหลี แต่บุตรสาวอ่อนแอเช่นนางย่อมไม่มีทางทำอันตรายอันใดต่อลูก ๆ ของเขาได้ ยกเว้นหลี่จ้านที่อาจจ้างมือดีคอยปกป้องภรรยา “เพราะมัน...เพราะมันคนเดียวนังหลิวหลี เอาลูกข้าคืนมา ฮือ ๆ” จ้าวอ๋องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น หัวใจของเขาบีบคั้นจนเกินจะรับได้ ทายาทเพียงคนเดียวต้องจบชีวิตลง บุตรสาวที่เปรียบดังแก้วตาดวงใจก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นทีเรื่องนี้เขาคงต้องเลือกข้างให้ถูกเสียที ไม่ว่ามันผู้ใดที่แตะต้องครอบครัวของเขาในวันนี้ จะต้องชดใช้ให้แก่เขาอย่างสาสม ในมุมมืดร่างสูงของใครบางคน กำลังยืนมองเจ้าของจวนด้วยแววตาเฉยชา ‘ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังมิรู้จักสำนึกอีกหรือท่านอ๋อง นี่สินะที่เขาว่าผู้ที่รักต่ำช้าเพียงใดก็รัก ผู้ที่ชังความดีนับหมื่นก็ชิงชัง’ ร่างสูงหมุนกายจากไปอย่างเงียบ ๆ ภารกิจของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าจะเป็นเรื่องขัดใจเขาอยู่บางกับการนำร่างของอ๋องน้อยมาส่งคืน แต่นี่คือความประสงค์ของผู้เป็นนาย เขาจึงมิอาจ เสียงร้องไห้ค่ำครวญอาจทำใ
จางเค่อเข้าใจในอารมณ์ขอผู้เป็นนายดี เพราะตลอดสองปีที่ท่านแม่ทัพออกสู่ชายแดน นายหญิงของเขาต้องรับมือกับครอบครัวบิดาของนาง แล้วไหนจะผู้ที่คิดจะทำลายท่านแม่ทัพ ก็คอยจ้องเล่นงานผู้เป็นนายของเขามิเว้นวัน จ้าวหลิวหลี ลุกขึ้นก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อยให้แก่จางเค่อ สำหรับนางแล้วหากไร้ชายผู้นี้คอยเป็นดั่งแขนขา คงไม่อาจยืนอยู่ตรงนี้ได้ แม้จะมีเงินหากไร้ความเคารพต่อผู้อื่น ก็มิอาจที่จะซื้อใจผู้ใดได้เลย นางใช้ใจแลกกับความภักดี นางมองทุกคนเสมือนพี่น้อง สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในหลีเค่ออยู่ภายใต้อำนาจของนางโดยมิต้องบีบบังคับ เมื่อออกมายังห้องชั้นนอกแล้ว เสี่ยวเชี่ยนได้เรียกคนของร้านมายกพับผ้าที่นางเลือก เพื่อนำไปส่งยังจวนหลี่ สองนายบ่าวออกจากร้านเดินไปยังรถม้าที่เจาหยางรออยู่อย่างใจเย็น “ท่านลุงเจา เราไปนั่งกินขนมใกล้หน้าประตูวังกันดีกว่านะ ข้าจำได้ว่ามีร้านหนึ่งอร่อยมากเลย” “ได้ขอรับ” เจาหยางไม่คิดที่จะถามอะไรให้มากความ แค่นายหญิงของบ้านพยายามที่จะหาหนทางรอผู้เป็นนายของเขานั้น ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ฮูหยินเข้าไปในหลีเค่อ
ชุ่ยเหนียงเฟยเสมือนคนสติไม่อยู่กับตัว ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้ดูแทบไม่ได้เลย คำพูดที่พรั่งพรูออกมา ล้วนหยาบคายมิสมฐานะที่เป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย “ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดต่ำช้าจากปากพระชายาอ๋องเช่นท่าน และโปรดรู้เอาไว้ด้วยว่าข้าคือสามีของหลีเอ๋อร์ มิใช่คนรักของธิดาท่านอย่างที่กล่าวมา โปรดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนนะขอรับ จึงค่อยพูดสิ่งใดออกมา” หลี่จ้านไม่ได้หันมองภรรยา แต่ทุกถ้อยคำของเขานั้นหนักแน่น สิ่งที่มารดาเลี้ยงของภรรยาพูดมานั้น อาจเป็นฉนวนทำลายเขาได้ทั้งตระกูลเลยทีเดียว “อย่าบอกนะว่าเจ้าเสียท่าให้แก่นางแล้ว นางมันนังจิ้กจอก” ชุ่ยเหนียงเฟยชี้นิ้วไปยังจ้าวหลิวหลี ที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องสามี มุมบากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ นางไม่จำเป็นต้องเห็นใจผู้ที่ทำร้ายนางก่อน “พระชายาโปรดสำรวมคำพูด ข้าและนางเป็นสามีภรรยา เรื่องในห้องมิจำเป็นต้องประกาศให้ผู้อื่นรู้ หรือท่านชื่นชอบเล่าเรื่องเช่นนั้นให้สหายและชาวเมืองฟังขอรับ” “หยุดสามหาวได้แล้วนะหลี่จ้าน” ในที่สุดจ้าวอ๋องก็หาเสียงของตนเองเจอ เมื่อภรรยารักไม่ได้รับควา
กลางดึก ณ ตำหนักหรู่เฟยภายในห้องหนังสือกำลังมีสองร่างโอบกอดกันอยู่ ใบหน้าของชายหนุ่มที่เรือนร่างเปลือยเปล่า กำลังซุกไซ้ซอกคอขาวเนียนของฝ่ายหญิง เสียงครางเบา ๆ ดังออกมาจากเรียวปากอวบอิ่ม เมื่อมือหนาของชายหนุ่มเคล้นคลึงสองเต้างาม “อื้อ…ส่งสารถึงนางหรือยัง อ๊า...” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมครางเบา ๆ ความเสียวซ่านแล่นทั่วกาย เมื่อถูกชายหนุ่มรุกเร้ามิหยุดมือ “ข้าเคยทำให้พระนางผิดหวังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบจมูกคมได้กดลงยังแก้มเนียน ก่อนจะเลื่อนลงมายังซอกคอหอมกรุ่นอีกครั้ง ริมฝีปากหนาจูบซับความเย้ายวนอย่างอ่อนโยน มือหยาบบีบคลึงสะโพกงอนงามหนัก ๆ ก่อนจะดันให้แนบกับแก่นกายของตนเอง “ไม่ใช่เวลานี้” เสียงสั่นระริกเอ่ยห้ามชายหนุ่ม ทว่าร่างกายนั้นหาได้ทำตามอย่างที่ปากพูด ยิ่งเมื่อมืออีกข้างของชายหนุ่มเลื่อนลงไปยังเนินดอกไม้ ความร้อนรุ่มกลับระอุร้อนขึ้นเรื่อย ๆ “ดึกแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเราอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาไม่อาจทนรออีกต่อไปได้แล้ว แม้ว่าเวลานี้จะค่อยเ
“คนเราเมื่อทำผิด ก็ต้องยอมรับผิด มิใช่หนีอย่างคนขี้ขลาด” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเสียงเรียบ มีเพียงดวงตาที่ฉายแววเยาะหยัน เสมือนการเพิ่มโทสะให้แก่องครักษ์หนุ่มนับเท่าทวีคูณ “เจ้าหลอกข้า” “เรื่องใดที่ข้าหลอกเจ้า ตำแหน่งของเจ้าเป็นถึงองครักษ์หลวง สติปัญญามิน่าจะดอยกว่าผู้ใด มีหรือคนเช่นข้าจะไปล่อลวงเจ้าได้” ชายหนุ่มขบกรามแน่น ตอนนี้นอกจากเขาจะหนีไม่ได้ ทหารได้เข้ามาคุมตัวของพระนางหรู่เฟยแล้วเช่นกัน “ปล่อยข้า” ชายหนุ่มพยายามที่จะให้ตนเองหลุดจากการควบคุม แต่ก็ไม่อาจทำได้แววตาโกรธแค้นมองไปยังชายสวมหน้ากาก “เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น” ชายสวมหน้ากากเอ่ยขึ้น ขณะก้าวผ่านองครักษ์หนุ่มเพื่อไปหาพระสนมคนงาม ที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “นายข้าแค่ส่งดาบคืนแก่ท่าน พระนางหรู่เฟย จุ๊ ๆ สิ่งที่ท่านรู้มันจะตายไปพร้อมตัวท่านเอง” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเบา ๆ ข้างหูของพระสนมที่ตอนนี้ได้แต่ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อฟังคำของชายสวมหน้ากากจบ “เป็นฝีมือนังแพศยาน
เพราะเหตุใดไม่รู้มันรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้ง ที่ร่างแกร่งขยับกายบดเบียดกับตัวนาง ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดข้างแก้มนางนั้น ทำให้หัวใจของนางเต้นมิเป็นส่ำตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว “ท่านพี่ควรตื่นได้แล้วนะเจ้าคะ สาย...อ๊ะ...” อุ๊บ! อื้อ! ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม เรียวปากงามก็ถูกปิดลงเสียก่อน สภาพของนางในตอนนี้ ยากที่จะขัดขืนอีกฝ่ายได้ เมื่อท่อนขาแกร่งทับขาของนางเอาไว้เสียก่อน มือบางที่หมายจะผลักไสเขาออกให้พ้นกาย ได้ถูกรวบเอาไว้เหนือศีรษะ ริมฝีปากอวบอิ่มถูกขบเม้ม ก่อนจะใช้ลิ้นสากดันเรียวปากของนางให้เปิดออก เพื่อให้เขาได้ควานหาความหวานที่ซ่อนอยู่ภายในเมื่อถูกบดจูบอย่างหิวกระหายจากสามีผู้ช่ำชอง ความเคลิบเคลิ้มทำให้หญิงสาวค่อย ๆ เผยอริมฝีปากออกอย่างลืมตัว ทั้งที่ในใจนั้นนางคิดที่จะขัดขืนเขาอย่างเต็มที่“อื้อ!”เสียงครางเบา ๆ ดังลอดออกมา หลี่จ้านมิปล่อยโอกาสให้หลุดมือ ชายหนุ่มเกี่ยวกวัดปลายลิ้มเล็ก ก่อนจะดูดดึงลิ้นบางนั้นอย่างพึงพอใจ ท่อขาแข็งแกร่งขยับแทรกเรียวขางามให้แยกออกก่อนจะขยับบดเบียดอย่างเนิบช้าเพื่อปลุกเร้าภรรยา โดยที่ลิ้นสากของเขายังคงกวัดรัดดึง