ชุ่ยเหนียงเฟยเสมือนคนสติไม่อยู่กับตัว ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้ดูแทบไม่ได้เลย คำพูดที่พรั่งพรูออกมา ล้วนหยาบคายมิสมฐานะที่เป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย
“ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดต่ำช้าจากปากพระชายาอ๋องเช่นท่าน และโปรดรู้เอาไว้ด้วยว่าข้าคือสามีของหลีเอ๋อร์ มิใช่คนรักของธิดาท่านอย่างที่กล่าวมา โปรดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนนะขอรับ จึงค่อยพูดสิ่งใดออกมา”
หลี่จ้านไม่ได้หันมองภรรยา แต่ทุกถ้อยคำของเขานั้นหนักแน่น สิ่งที่มารดาเลี้ยงของภรรยาพูดมานั้น อาจเป็นฉนวนทำลายเขาได้ทั้งตระกูลเลยทีเดียว
“อย่าบอกนะว่าเจ้าเสียท่าให้แก่นางแล้ว นางมันนังจิ้กจอก”
ชุ่ยเหนียงเฟยชี้นิ้วไปยังจ้าวหลิวหลี ที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องสามี มุมบากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ นางไม่จำเป็นต้องเห็นใจผู้ที่ทำร้ายนางก่อน
“พระชายาโปรดสำรวมคำพูด ข้าและนางเป็นสามีภรรยา เรื่องในห้องมิจำเป็นต้องประกาศให้ผู้อื่นรู้ หรือท่านชื่นชอบเล่าเรื่องเช่นนั้นให้สหายและชาวเมืองฟังขอรับ”
“หยุดสามหาวได้แล้วนะหลี่จ้าน”
ในที่สุดจ้าวอ๋องก็หาเสียงของตนเองเจอ เมื่อภรรยารักไม่ได้รับความเคารพจากบุตรเขย
“ท่านพ่อตาเองก็ควรที่จะต้องอบรมสั่งสอน พระชายาจ้าวด้วยนะขอรับ มิใช่ปล่อยให้มากล่าวหา หรือจิกหัวเรียกผู้อื่นด้วยถ้อยคำต่ำช้าเช่นนี้ ประเดี๋ยวผู้คนจะเอาไปพูดได้ ว่าพระชายาเป็นสตรีร้านตลาด”
“จะมากเกินไปแล้วนะ”
จ้าวอ๋องสะบัดมือให้หลุดจากการจับของบุตรเขย ก่อนจะเข้าไปโอบประคองชายาของตนเอง ดวงตาแดงก่ำที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก มองตรงไปยังบุตรสาวคนโต
ที่ยืนทำหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ด้านหลังแม่ทัพหนุ่ม จ้าวอ๋องขบกรามแน่นด้วยความคลั่งแค้น เขาไม่คิดมาก่อนว่าจ้าวหลิวหลีจะไร้หัวใจถึงเพียงนี้
“เจ้าทำได้อย่างไรหลิวหลี นั้นน้องของเจ้านะ”
“ทำอันใดเจ้าคะ ข้ามิเห็นรู้เรื่องเลย ตัวข้าไปสวดมนต์ให้ท่านแม่ยังอารามนอกเมือง แล้วมันเกิดสิ่งใดขึ้นกับน้อง ๆ หรือเจ้าคะ”
จ้าวหลิวหลีเลิกคิ้วขึ้นสูง หญิงสาวแสดงสีหน้าใคร่สงสัยกับคำพูดของบิดายิ่งนัก ใบหน้างามที่สะท้อนแสงไฟยามค่ำคืน ช่างบาดลึกหัวใจของจ้าวอ๋องและพระชายายิ่งนัก
“เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจหลิวหลี ข้าไม่คิดเลยว่าความริษยาที่เจ้ามีจะอำมหิตถึงเพียงนี้”
“ท่านพ่อ! หากข้าเป็นเช่นนั้นจริง ตัวท่านและครอบครัวมิยิ่งกว่าข้าเสียอีกหรือเจ้าคะ แม้ในตอนนั้นข้าจะยังเล็ก แต่ข้ามิได้หูหนวกตาบอดจนไม่รู้เห็นสิ่งใด”
จ้าวอ๋องถึงกับชาหนึบไปทั้งใบหน้า แม้สิ่งที่บุตรสาวพูดมาจะเป็นความจริง แล้วอย่างไรเล่าเขามิยอมรับมันเสียอย่าง
“ความคิดเหลวไหลใดกันที่เจ้าว่าข้าเช่นนั้น”
“อย่าให้ข้าต้องพูดเลย เอาเป็นว่าตอนนี้ข้ากับท่านแม่ทัพเหนื่อยมากแล้ว มิอยากเสียเวลากับเรื่องไร้สาระนี่อีกต่อไป หลิวหลีส่งท่านพ่อกับพระชายาเสียตรงนี้นะเจ้าคะ”
หญิงสาวแตะท่อนแขนสามีเบา ๆ เป็นการบอกถึงความต้องการของนาง หลี่จ้านเลื่อนมือโอบประคองเอวคอดของภรรยา หมับ! ทั้งคู่เดินได้เพียงสองก้าว ก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยมือเรียว ที่กำลังสั่นระริกของชายาในจ้าวอ๋อง
จ้าวหลิวหลีมองมือนั้นด้วยหางตา ก่อนจะสะบัดออกด้วยความชิงชัง ยิ่งเห็นใบหน้าทุกข์ระทมของสตรีผู้นี้ ภาพของมารดาได้ไหลบ่าเข้ามาในห้วงความคิดอย่างมิอาจห้ามได้
“มือของพระชายามิคู่ควรที่จะถูกตัวข้า เพราะคนที่ทำร้ายได้แม้แต่ผู้ที่เมตตาตนเอง ไม่คู่ควรที่จะให้ผู้ใดนับถือ”
ชุ่ยเหนียงเฟยผงะถอยหลังด้วยความตกใจ นางไม่เคยเห็นลูกเลี้ยงของนางแสดงกิริยาเช่นนี้มาก่อนเลย ทุกครั้งที่นางต้องการหรือกระทำสิ่งใดต่อจ้าวหลิวหลี นางจะเห็นเพียงสายตาหวาดกลัวเท่านั้น
“เอาอี้เหมยของข้าคือมา”
มันไม่ใช่คำขอร้องแต่มันคือการบังคับ ถึงอย่างไรนางก็คือพระชายาในจ้าวอ๋อง ย่อมมีฐานะที่สูงกว่าภรรยาแม่ทัพเช่นจ้าวหลิวหลี
“นางไม่ได้อยู่กับข้า แล้วจะให้ข้าไปนำตัวนางมาให้ท่านได้อย่างไรกัน”
“ท่านอ๋อง ลงโทษนางสิเจ้าค่ะ ฮือ ๆ”
จ้าวอ๋องก้าวเข้าสวมกอดภรรยา ดวงตาที่มองไปยังบุตรสาวดูแข็งกร้าวยิ่งนัก หลี่จ้านลูบเบา ๆ บนแผ่นหลังของภรรยาเพื่อเป็นการปลอบโยน เขาจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดแตะต้องนางเช่นกัน
เพียงแต่ครั้งนี้เขาได้รับสายตาร้องขอจากภรรยา ให้นิ่งเฉยเอาไว้เสียก่อน มิเช่นนั้นพ่อตากับมารดาเลี้ยงของภรรยาคงไม่ได้ยืนอยู่นานขนาดนี้เป็นแน่
“เจ้าช่างทำตัวก้าวร้าวต่อบิดามารดา คิดว่าตนเองมีสามีเป็นแม่ทัพจะทำสิ่งใดก็ได้เช่นนั้นรึ อีกาที่เกิดในหมู่หงส์เช่นเจ้า ไม่น่าเป็นลูกของข้าเลยจริง ๆ”
“หึ ๆ ท่านพ่อ ข้าหรืออีกาในหมู่หงส์ ท่านแน่ใจแล้วรึที่พูดแบบนี้ หากไม่มีมารดาผู้เป็นสายเลือดหงส์แต่กำเนิดคอยค้ำจุนท่าน ตำแหน่งอ๋องของท่านจะได้มันมาหรือไม่นะ อย่าให้ข้าผู้เป็นลูกต้องลำลึกความหลังเลยนะเจ้าคะ”
“สามหาว”
“นอกจากถ้อยคำเล่านี้ ไม่มีสิ่งอื่นใดจะกล่าวบ้างเลยหรือเจ้าคะ ข้าคิดว่าเวลานี้ท่านพ่อกลับไปพักผ่อนสักหน่อยน่าจะนะเจ้าคะ”
“สิ่งใดทำให้เจ้าเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้”
“ข้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ แต่การที่ข้านิ่งเฉยมาตลอด เพียงเพื่อรอเวลามิใช่ขลาดกลัวแต่อย่างใด”
“จะ...เจ้า...”
จ้าวอ๋องไม่อาจเอ่ยคำพูดใดออกมาได้อีก สองสามีภรรยาได้แต่มองตามหลังแม่ทัพหนุ่มกับจ้าวหลิวหลีไป เสียงกรีดร้องปานจะขาดใจของพระชายาชุ่ยเหนียงเฟยนั้น
หาได้เป็นที่สนใจของเจ้าบ้านทั้งสองไม่ จ้าวหลิวหลีมิคิดที่จะไยดีกับเรื่องของคนสกุลจ้าวอีก นางทนมามากพอแล้วกับทุกสิ่ง การที่นางยังไม่ลงมือนั้นเพราะรั้งรอให้สามีทำหน้าที่สำเร็จกลับมาเสียก่อน
“ข้าใจดำมากหรือเจ้าคะ”
“แบบไหนกันที่เรียกว่าใจดำ หากสิ่งที่เราทำคือการปกป้องตนเองและครอบครัว ไม่ถือว่าใจดำอันใดเลย”
หลี่จ้านเอ่ยตอบภรรยาเสียงอ่อนนุ่ม ก่อนจะหันไปสั่งการกับเจาหยางเรื่องอาหารมื้อค่ำ แม้วันนี้เขาจะเหนื่อยล้าแค่ไหน แต่มันคืออาหารมื้อแรกกับภรรยา เขาจะไม่ยอมเสียโอกาสนี้ไปเป็นอันขาด
กลางดึก ณ ตำหนักหรู่เฟยภายในห้องหนังสือกำลังมีสองร่างโอบกอดกันอยู่ ใบหน้าของชายหนุ่มที่เรือนร่างเปลือยเปล่า กำลังซุกไซ้ซอกคอขาวเนียนของฝ่ายหญิง เสียงครางเบา ๆ ดังออกมาจากเรียวปากอวบอิ่ม เมื่อมือหนาของชายหนุ่มเคล้นคลึงสองเต้างาม “อื้อ…ส่งสารถึงนางหรือยัง อ๊า...” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมครางเบา ๆ ความเสียวซ่านแล่นทั่วกาย เมื่อถูกชายหนุ่มรุกเร้ามิหยุดมือ “ข้าเคยทำให้พระนางผิดหวังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบจมูกคมได้กดลงยังแก้มเนียน ก่อนจะเลื่อนลงมายังซอกคอหอมกรุ่นอีกครั้ง ริมฝีปากหนาจูบซับความเย้ายวนอย่างอ่อนโยน มือหยาบบีบคลึงสะโพกงอนงามหนัก ๆ ก่อนจะดันให้แนบกับแก่นกายของตนเอง “ไม่ใช่เวลานี้” เสียงสั่นระริกเอ่ยห้ามชายหนุ่ม ทว่าร่างกายนั้นหาได้ทำตามอย่างที่ปากพูด ยิ่งเมื่อมืออีกข้างของชายหนุ่มเลื่อนลงไปยังเนินดอกไม้ ความร้อนรุ่มกลับระอุร้อนขึ้นเรื่อย ๆ “ดึกแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเราอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาไม่อาจทนรออีกต่อไปได้แล้ว แม้ว่าเวลานี้จะค่อยเ
“คนเราเมื่อทำผิด ก็ต้องยอมรับผิด มิใช่หนีอย่างคนขี้ขลาด” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเสียงเรียบ มีเพียงดวงตาที่ฉายแววเยาะหยัน เสมือนการเพิ่มโทสะให้แก่องครักษ์หนุ่มนับเท่าทวีคูณ “เจ้าหลอกข้า” “เรื่องใดที่ข้าหลอกเจ้า ตำแหน่งของเจ้าเป็นถึงองครักษ์หลวง สติปัญญามิน่าจะดอยกว่าผู้ใด มีหรือคนเช่นข้าจะไปล่อลวงเจ้าได้” ชายหนุ่มขบกรามแน่น ตอนนี้นอกจากเขาจะหนีไม่ได้ ทหารได้เข้ามาคุมตัวของพระนางหรู่เฟยแล้วเช่นกัน “ปล่อยข้า” ชายหนุ่มพยายามที่จะให้ตนเองหลุดจากการควบคุม แต่ก็ไม่อาจทำได้แววตาโกรธแค้นมองไปยังชายสวมหน้ากาก “เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น” ชายสวมหน้ากากเอ่ยขึ้น ขณะก้าวผ่านองครักษ์หนุ่มเพื่อไปหาพระสนมคนงาม ที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “นายข้าแค่ส่งดาบคืนแก่ท่าน พระนางหรู่เฟย จุ๊ ๆ สิ่งที่ท่านรู้มันจะตายไปพร้อมตัวท่านเอง” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเบา ๆ ข้างหูของพระสนมที่ตอนนี้ได้แต่ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อฟังคำของชายสวมหน้ากากจบ “เป็นฝีมือนังแพศยาน
เพราะเหตุใดไม่รู้มันรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้ง ที่ร่างแกร่งขยับกายบดเบียดกับตัวนาง ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดข้างแก้มนางนั้น ทำให้หัวใจของนางเต้นมิเป็นส่ำตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว “ท่านพี่ควรตื่นได้แล้วนะเจ้าคะ สาย...อ๊ะ...” อุ๊บ! อื้อ! ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม เรียวปากงามก็ถูกปิดลงเสียก่อน สภาพของนางในตอนนี้ ยากที่จะขัดขืนอีกฝ่ายได้ เมื่อท่อนขาแกร่งทับขาของนางเอาไว้เสียก่อน มือบางที่หมายจะผลักไสเขาออกให้พ้นกาย ได้ถูกรวบเอาไว้เหนือศีรษะ ริมฝีปากอวบอิ่มถูกขบเม้ม ก่อนจะใช้ลิ้นสากดันเรียวปากของนางให้เปิดออก เพื่อให้เขาได้ควานหาความหวานที่ซ่อนอยู่ภายในเมื่อถูกบดจูบอย่างหิวกระหายจากสามีผู้ช่ำชอง ความเคลิบเคลิ้มทำให้หญิงสาวค่อย ๆ เผยอริมฝีปากออกอย่างลืมตัว ทั้งที่ในใจนั้นนางคิดที่จะขัดขืนเขาอย่างเต็มที่“อื้อ!”เสียงครางเบา ๆ ดังลอดออกมา หลี่จ้านมิปล่อยโอกาสให้หลุดมือ ชายหนุ่มเกี่ยวกวัดปลายลิ้มเล็ก ก่อนจะดูดดึงลิ้นบางนั้นอย่างพึงพอใจ ท่อขาแข็งแกร่งขยับแทรกเรียวขางามให้แยกออกก่อนจะขยับบดเบียดอย่างเนิบช้าเพื่อปลุกเร้าภรรยา โดยที่ลิ้นสากของเขายังคงกวัดรัดดึง
“ต่อไปอย่าได้ดื้อรั้นต่อสามีอีก เข้าใจหรือไม่น้องหญิง”ชายหนุ่มกระซิบเย้าภรรยา ด้วยสายตากรุ่มกริ่ม จ้าวหลิวหลีวงหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี จะเก่งกาจปานใดย่อมต้องรู้สึกเขินอายเมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ของบุรุษ ช้ำเรือนร่างของนางยังไร้ซึ่งสิ่งปกปิด นางไม่คิดเลยว่าสามีผู้ไม่เคยเหลียวมองนางมาตลอด วันนี้จะเปลี่ยนไปเสียจนนางเองยังตั้งรับไม่ทัน“ข้ามิเคยดื้อสักหน่อย”จ้าวหลิวหลีเสหลบตาสามี พร้อมปฏิเสธสามีด้วยน้ำเสียกระเง้ากระงอด“เช่นนั้นนับแต่นี้ไปอย่าให้ต้องออกแรง เข้าใจหรือไม่”ปึก! กำปั้นของหญิงสาวทุบอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยความขัดเขิน เขาช่างกล้าพูดอย่างน่าไม่อาย เรื่องเช่นนี้มิจำเป็นต้องบอกก็ได้ “มิรู้จักอายบ้างหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ๆ อายทำไม ก็พี่อยากให้เจ้ามีความสุข”“คนบ้า! หน้ามิอายพูดอันใดออกมา....อื้อ!”ยังมิทันได้ต่อว่าสามีให้สาสมดังใจคิด ทว่าเรียวปากงามก็ถูกปิดลงอีกครั้ง และในครั้งนี้หญิงสาวมิได้ปฏิเสธ แต่กลับตอบสนองสามีด้วยความไร้เดียงสาในเรื่องเช่นนี้สองร่างกอดรัดกันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความเร้าร้อนขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มสอนบทรักให้แก่หญิงสา
แม่ทัพหนุ่มเดินไปหาพ่อบ้าน ก่อนจะสั่งการอะไรบางอย่าง เจาหยางค้อมหัวเล็กน้อยก่อนจะถอยฉากออกไป หลี่จ้านยังคงเดินเสมือนคนป่วยอยู่ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป รถม้าจวนหลี่ได้เคลื่อนตัวออกไปยังทิศทางของจวนราชครู เกาจิ้งผู้นี้ชรามากแล้วแต่ยังฝักใฝ่ในอำนาจมิรู้จักพอ ชักใยอยู่เบื้องหลังองค์ชายห้าเพื่อให้ช่วงชิงราชตำแหน่งรัชทายาท โดยแสร้งร่วมมือกับพระนางหรู่เฟย เพื่อหาช่องทางกำจัดองค์ชายสี่ ความเป็นคนหัวอ่อนขององค์ชายห้าทำให้ง่ายต่อการควบคุมแม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาไม่เลือกที่จะยืนข้างองค์ชายคนไหนเลย เพราะตัวเขานั้นยืนเคียงข้างองค์ฮ่องเต้แต่ผู้เดียว หากมีการผลัดแผ่นดิน ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องมิใช่การช่วงชิงเขาหลี่จ้านก็จะภักดีจนลมหายใจสุดท้ายเช่นกัน แต่เพราะเขามิเลือกข้างจึงทำให้ต้องเหนื่อยใจอยู่อย่างนี้ หากภรรยาไม่ส่งคนไปช่วยเหลือ ป่านนี้มีหรือเขาจะยังมีลมหายใจฮี่ ๆ เสียงม้าร้องด้วยความแตกตื่น รถม้าโคลงไปมาอย่างแรง หลี่จ้านรีบคว้าตัวภรรยาเขามาสวมกอด เมื่อรถม้าหยุดลง เสียงการต่อสู้ด้านนอกเกิดในทันที“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินมีคนร้ายขอรับ”ตูหลงตะโกนบอกคนด้า
แต่วันนี้เขาคงต้องตัดความคิดนั้นออกไปเสีย ใครจะไปคาดคิดว่าท่านหญิงกำพร้ามารดาเช่นนาง จะมีฝีมือมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งหลี่จ้านที่ควรจะอ่อนแรงด้วยพิษที่เขาให้ตูหลงใส่ในอาหารยาบำรุงกลับไม่เป็นอะไรเลย ทั้งยังมายืนลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเขาอยู่ในตอนนี้“เจ้าคงไม่คิดที่จะทำเรื่องสิ้นคิดหรอกนะ หลี่จ้าน”“หากข้าปล่อยท่านราชครูกลับไปต่างหากเล่าขอรับ จึงจะถือว่าเป็นเรื่องสิ้นคิด”“เจ้ากล้ารึ”“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ท่านราชครูพ้นตำแหน่ง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ”“โอหังนัก กล้าแอบอ้างพระบัญชาในองค์ฮ่องเต้เชียวรึ”“ข้าว่าแอบอ้างหรือไม่ ท่านราชครูย่อมรู้ดีแก่ใจนะขอรับ”“ท่านราชครู หลบไปก่อนขอรับทางนี้ข้าจัดการเอง”อยู่ ๆ ได้มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้น หลี่จ้านมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อคนตรงหน้าเลย กระบี่ในมือของอีกฝ่ายเขาจำมันได้ดีว่าคือของผู้ใดองค์ชายที่ผู้คนมองว่าหัวอ่อน ทว่าแท้จริงแล้วแอบซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้อย่างมิดชิด แสร้งทำทีไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่กลับเป็นผู้ชักใยผู้คนให้กำจัดกันเอง เพื่อให้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวคือตนเอง“ทรงมาช่วยเหลือหรือกำจัดเขากันแน่พ่ะย่ะค่
สิบวันถัดมา ข่าวการตายท่านอ๋องน้อยสกุลจ้าว และพระชายาในองค์ชายสี่ได้ถูกโจรปล้น ขณะที่ท่านอ๋องน้อยพาน้องสาวไปท่องเที่ยวยังอารามนอกเมือง ยังไม่ทันซา ข่าวการสิ้นพระชนขององค์ชายห้าก็แผ่ออกไปทั่วเมืองหลวง องค์ชายห้าเกิดล้มป่วยจนสิ้นพระชนนับเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย และข่าวที่ชาวเมืองโจษจันไม่แพ้กัน ที่อยู่ ๆ ทางด้านองค์ชายสี่ได้ออกเดินทางสู่ชายแดนเหนือ หลังสูญเสียพระชายา ชาวเมืองต่างแสดงความเห็นใจองค์ชาย ที่ทนทำใจกับการตายของพระชายาไม่ได้ จึงทรงเดินทางไปอยู่ชายแดนเพื่อรักษาบาดแผลทางใจ แม้ว่าชาวเมืองบางกลุ่มจะมีความคิดเห็นขัดแย้งอยู่บ้าง ส่วนเรื่องของพระนางหรู่เฟย ถูกปิดเป็นความลับ อย่างไรเสียงเรื่องสตรีวังหลังหายตัวไปนับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พระนางหรู่เฟยทำเรื่องเสื่อมเสีย ย่อมไม่ได้รับให้ฝังในสุสานหลวงอย่างแน่นอนส่วนจวนแม่ทัพนั้นดูจะหอมอบอวลไปด้วยความสุข เมื่อแม่ทัพหลี่นั้นได้สั่งให้ย้ายข้าวของทั้งหมดจากเรือนหลิวหลี ไปยังเรือนใหญ่ของท่านตนเอง เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังขึ้นเป็นระยะจากในสวนดอกไม้ คงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากเจ้าของจวนทั้งสองหย
นางไม่รู้ว่าเพราะความผิดพลาดที่ใด คนที่อยู่บนเตียงกับจ้าวหลิวหลี จึงได้กลายมาเป็นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ ทั้งที่นางหมายจะเก็บเขาเอาไว้ใช้งาน เพื่อเป็นบันไดให้แก่ลูก ๆ ของนาง แต่ก็นั้นแหละหลี่จ้านเป็นเพียงแม่ทัพ มิรู้ว่าอนาคตจะไปได้ไกลสักเท่าใดกัน จะมีเขาหรือไม่ในตอนนี้ก็หาได้สำคัญต่อนางแล้ว “ไม่จริง! ข้าไม่ได้คิดต่ำช้าเช่นนั้น ฮือ ๆ” จ้าวหลิวหลีกรีดร้องด้วยความเสียใจ หญิงสาวร้องไห้จนสิ้นสติลงในอ้อมแขนของแม่ทัพหนุ่ม “ปล่อยนางซะ! หลี่จ้าน” จ้าวอ๋องคำรามก้อง เมื่อเห็นบุตรสาวสิ้นสติอยู่ในอ้อมกอดของแม่ทัพหนุ่ม เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ “ข้าหลี่จ้านขอพูดเพียงครั้งเดียว และจะทำอย่างที่พูด ข้าจะแต่งท่านหญิงใหญ่จ้าวหลิวหลีเข้าจวน ในฐานนะภรรยาเพียงหนึ่งเดียว ข้าหวังว่าทุกท่านจะเป็นพยาน และข้าหลี่จ้านต้องขออภัยต่อท่านอ๋องในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะตลบผ้าห่มผืนใหญ่พันร่างของคนในอ้อมแขนเอาไว้ ก่อนจะขยับลุกโดยมีร่างของหญิงสาวอยู่แนบกาย ชายหนุ