สิบวันถัดมา
ข่าวการตายท่านอ๋องน้อยสกุลจ้าว และพระชายาในองค์ชายสี่ได้ถูกโจรปล้น ขณะที่ท่านอ๋องน้อยพาน้องสาวไปท่องเที่ยวยังอารามนอกเมือง ยังไม่ทันซา
ข่าวการสิ้นพระชนขององค์ชายห้าก็แผ่ออกไปทั่วเมืองหลวง องค์ชายห้าเกิดล้มป่วยจนสิ้นพระชนนับเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย และข่าวที่ชาวเมืองโจษจันไม่แพ้กัน ที่อยู่ ๆ ทางด้านองค์ชายสี่ได้ออกเดินทางสู่ชายแดนเหนือ หลังสูญเสียพระชายา
ชาวเมืองต่างแสดงความเห็นใจองค์ชาย ที่ทนทำใจกับการตายของพระชายาไม่ได้ จึงทรงเดินทางไปอยู่ชายแดนเพื่อรักษาบาดแผลทางใจ แม้ว่าชาวเมืองบางกลุ่มจะมีความคิดเห็นขัดแย้งอยู่บ้าง
ส่วนเรื่องของพระนางหรู่เฟย ถูกปิดเป็นความลับ อย่างไรเสียงเรื่องสตรีวังหลังหายตัวไปนับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พระนางหรู่เฟยทำเรื่องเสื่อมเสีย ย่อมไม่ได้รับให้ฝังในสุสานหลวงอย่างแน่นอน
ส่วนจวนแม่ทัพนั้นดูจะหอมอบอวลไปด้วยความสุข เมื่อแม่ทัพหลี่นั้นได้สั่งให้ย้ายข้าวของทั้งหมดจากเรือนหลิวหลี ไปยังเรือนใหญ่ของท่านตนเอง
เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังขึ้นเป็นระยะจากในสวนดอกไม้ คงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากเจ้าของจวนทั้งสองหยอกเย้ากันนั้นเอง
“ท่านพี่มิได้ชังข้าเช่นวันนั้นแล้วหรือเจ้าคะ”
“ชังเจ้าเช่นนั้นรึ ไม่เคยพี่มิเคยชังเจ้าแม้แต่ครั้งเดียว”
“แต่ว่า...”
หลี่จ้านเชยคางของภรรยาให้เงยขึ้นสบตาเขา ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวในค่ำคืนนั้นให้นางได้รับรู้
ในงานเลี้ยงที่จวนหยวนอ๋อง ณ ห้องรอบรองแขก
สายตาคู่งามมองไปยังเด็กสาวสองคนที่มีวัยไล่เลี่ยกัน แม้จะเกิดจากบิดาเดียวกันแต่ความแตกต่างนั้นมีมากเหลือเกิน บุตรสาวของนางแม้จะงดงามอ่อนหวาน ทว่ากลับมิได้รับโอกาสให้ก้าวสู่ตำแหน่งภรรยาของคนในวัง เพียงเพราะเกิดจากนางผู้เป็นภรรยารอง
ถึงแม้ในตอนนี้นางจะก้าวขึ้นมาเป็นเอก แต่อำนาจและบารมีของอดีตพระชายาเอกในสวามีนั้น ยังดูจะหนุนนำลูกเลี้ยงของนางให้เหนือกว่าอยู่นับเท่าตัว
“วันนี้ข้าอยากจะรู้นัก ว่าวิญญาณของแม่เจ้าจะช่วยให้เจ้ารอดจากความตกต่ำได้หรือไม่ จ้าวหลิวหลี”
หญิงสาวพึมพำกับตนเองเบา ๆ ก่อนจะก้าวตรงไปยังสามีและลูก ที่อยู่ภายในงานด้วยรอยยิ้มสุขใจ
“เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ ไยมินอนพักต่ออีกสักหน่อยเล่า กว่าที่เราจะกลับจวนคงดึกหน้าดู”
จ้าวอ๋องเอ่ยถามภรรยาด้วยความเป็นห่วง เพียงงานเลี้ยงเริ่มขึ้นได้มินาน ภรรยาของเขาได้บอกว่ารู้สึกวิงเวียนต้องการพักสักครู่ หยวนอ๋องจึงได้ให้คนพานางไปพักยังเรือนรับรอง
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นห่วงท่านพี่กับลูก ๆ เลยออกมาอยู่ด้วยเจ้าค่ะ”
ชุ่ยเหนียงเฟยเอ่ยตอบสวามี พร้อมส่งสายตายั่วเย้าให้แก่สวามี แน่นอนว่าหากเขายังอยู่กับลูก ๆ ตรงนี้ แผนการของนางหาได้สำเร็จ ดังนั้นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาห่างจากลูกได้
ย่อมต้องมีสิ่งดึงดูดใจ มือบางวางยังท่อนแขนแกร่ง ก่อนจะลูบเบา ๆ เป็นการสื่อถึงความนัย ซึ่งเป็นอันรู้กันดีระหว่างเขาและนาง
“พวกเจ้ารอพ่อกับแม่อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน พ่อจะพาแม่เจ้าออกไปเดินรับลมสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ/ขอรับ”
สามพี่น้องรับคำบิดา ก่อนจะหันมาสนใจอาหารตรงหน้า สองสามีภรรยาเดินหายออกไปจากงานเลี้ยง เหลือไว้เพียงบุตรชายหญิงเท่านั้น
เวลาผ่านไปได้เพียงครู่เดียว สาวใช้ของพระชายาชุ่ยเหนียงเฟย ได้เดินเข้ามากระซิบบางอย่างกับท่านหญิงรองจ้าวอี้เหมย
“พี่หญิง เราออกไปเดินเล่นกันดีหรือไม่เจ้าคะ อี้เหมยรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเลยเจ้าค่ะ”
จ้าวอี้เหมยคลึงขมับตนเองเบา ๆ พร้อมส่งสาวตาเว้าวอนให้แก่ผู้เป็นพี่สาว
“ไปสิ”
จ้าวหลิวหลีแสดงความเป็นห่วงในตัวน้องสาว หญิงสาวคว้าจับข้อมือบางของจ้าวอี้เหมย ก่อนจะพากันเดินหายออกจากงานเลี้ยงไป เช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อแม่ เหลือไว้เพียงจ้าวลู่ถงที่ต้องนั่งอยู่เพียงลำพัง
สองพี่น้องเดินออกมายังสวนดอกไม้ ที่อยู่ทางด้านเรือนรับรองอีกฝั่งของจวน ยังคงมีแขกในงานที่พากันเดินออกมาร่วมชมดอกไม้ยามค่ำคืนอยู่หลายคน
เป็นอันรู้กันว่ามันคือเวลาสร้างสัมพันธ์อันดีของคู่หนุ่มสาว นางสองพี่น้องได้ผ่านการปักปิ่นมาแล้วทั้งคู่ รอเพียงเวลาที่จะออกเรือน สองพี่น้องหัวเราะคิกคักหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
หลังจากที่ได้รับอากาศสดชื่นในยามค่ำคืน จ้าวหลิวหลีนั่งลงยังศาลาพักผ่อนริมสระบัว กลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยเข้าจมูก มันคือกลิ่นของดอกไม้กลางคืน แต่ทว่า...
“อื้อ! ปวดหัวจัง”
ร่างบางขยับตัวเล็กน้อย เมื่อรู้สึกถึงความหนักอึ้งที่อยู่ในหัว เพียงลืมตาขึ้นยังมิทันได้เรียกสติให้เป็นปกติ เพี๊ยะ! ใบหน้างามสะบัดตามแรงฝ่ามือที่กระทบผิวอ่อนนุ่มของนาง
“ต่ำช้านัก! เป็นถึงท่านหญิงสูงศักดิ์กลับทำตัวเยี่ยงคณิกา”
เสียงที่แผดก้องอยู่ตรงหน้า ทำให้จ้าวหลิวหลีที่ยังคงอยู่ในอาการมึนงง รู้สึกใบหน้าชาวูบ นางไม่เข้าใจว่าไยบิดาจึงได้กล่าวหานางรุนแรงถึงเพียงนี้
“ทะ...ท่านพ่อ นี่มันเรื่องอันใดกันเจ้าคะ”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงุนงง ก่อนจะมองเลยไปด้านหลังของบิดา ซึ่งมีผู้คนที่นางคุ้นเคยยืนอยู่ไม่น้อยเลย ไหนจะน้องสาวที่ยืนซับน้ำตาอยู่ในอ้อมแขนของมารดาเลี้ยงนั้นอีกเล่า
‘มันเรื่องอันใดกัน’
หญิงสาวยังคงพยายามคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น หมับ! ฝ่ามือของจ้าวอ๋องชะงักค้างอยู่ห่างใบหน้าของจ้าวหลิวหลีเพียงเล็กน้อย หญิงสาวค่อย ๆ เบนสายตาไปยังเจ้าของมืออย่างช้า ๆ
หญิงสาวถึงกับดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าเป็นมือของผู้ใด ‘หลี่จาน’จ้าวหลิวหลีสั่นเทาไปทั้งร่าง เมื่อสบเข้ากับสายตาไร้ความรู้สึกของชายหนุ่ม ดวงตาที่เคยสดใสดังแก้วเนื้อดี เวลานี้กลับมีน้ำใส ๆ เอ่อคลอเต็มหน่วยตา ก่อนที่จะไหลอาบแก้ม
“เกิดอะไรขึ้นกัน”
หญิงสาวพูดออกมาเหมือนคนกำลังสติเลื่อนลอย หลี่จ้านคือคนรักของน้องสาว แล้วมันเกิดอะไรขึ้นเขาและนางจึงได้ร่วมเตียงกันเช่นนี้ หญิงสาวซุกใบหน้าลงกับฝ่ามือ พร้อมกับสะอื้นไห้ด้วยความร้าวราน
“ไยเจ้าทำเช่นนี้หลิวหลี มิเห็นแก่น้องสาวเจ้าก็ควรเห็นแก่หน้าท่านอ๋องบ้าง เพียงอยากจะช่วงชิงทุกอย่างให้เหนืออี้เหมย มิเห็นต้องพลีกายให้แก่บุรุษเช่นนี้เลย”
ชุ่ยเหนียงเฟยเอ่ยขึ้นเสียงดังฟังชัด มือบางลูบหลังบุตรสาวเพื่อปลอบโยน ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มด้วยความสาแก่ใจ สภาพของลูกเลี้ยงในตอนนี้ เรียกได้ว่าไร้ซึ่งโอกาสเชิดหน้าในสังคมได้อีกต่อไป
“ไม่จริงนะเจ้าคะ หลิวหลีมิเคยคิดเช่นนั้นเลยสักครั้ง”
จ้าวหลิวหลีพยายามที่จะปฏิเสธในคำพูดของมารดาเลี้ยง นางไม่เคยคิดเช่นนั้นต่อน้องสาวเลยสักครั้ง แล้วเหตุใดมารดาเลี้ยงจึงได้กล่าวหานางด้วยเล่า
“ถึงข้าจะเป็นมารดาเลี้ยง แต่ข้ารักเจ้าเสมือนลูกแท้ ๆ มาตลอด แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะพาตนเองลงต่ำ เพียงเพื่อการเอาชนะแบบสิ้นคิดเช่นนี้ได้”
ชุ่ยเหนียงเฟยยังคงพูดย้ำให้ทุกคนได้ยิน แม้ว่าในใจของนางจะรู้สึกหวั่นเกรงต่อสายตาของชายหนุ่ม ที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงเคียงข้างจ้าวหลิวหลีอยู่ในตอนนี้
นางไม่รู้ว่าเพราะความผิดพลาดที่ใด คนที่อยู่บนเตียงกับจ้าวหลิวหลี จึงได้กลายมาเป็นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ ทั้งที่นางหมายจะเก็บเขาเอาไว้ใช้งาน เพื่อเป็นบันไดให้แก่ลูก ๆ ของนาง แต่ก็นั้นแหละหลี่จ้านเป็นเพียงแม่ทัพ มิรู้ว่าอนาคตจะไปได้ไกลสักเท่าใดกัน จะมีเขาหรือไม่ในตอนนี้ก็หาได้สำคัญต่อนางแล้ว “ไม่จริง! ข้าไม่ได้คิดต่ำช้าเช่นนั้น ฮือ ๆ” จ้าวหลิวหลีกรีดร้องด้วยความเสียใจ หญิงสาวร้องไห้จนสิ้นสติลงในอ้อมแขนของแม่ทัพหนุ่ม “ปล่อยนางซะ! หลี่จ้าน” จ้าวอ๋องคำรามก้อง เมื่อเห็นบุตรสาวสิ้นสติอยู่ในอ้อมกอดของแม่ทัพหนุ่ม เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ “ข้าหลี่จ้านขอพูดเพียงครั้งเดียว และจะทำอย่างที่พูด ข้าจะแต่งท่านหญิงใหญ่จ้าวหลิวหลีเข้าจวน ในฐานนะภรรยาเพียงหนึ่งเดียว ข้าหวังว่าทุกท่านจะเป็นพยาน และข้าหลี่จ้านต้องขออภัยต่อท่านอ๋องในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะตลบผ้าห่มผืนใหญ่พันร่างของคนในอ้อมแขนเอาไว้ ก่อนจะขยับลุกโดยมีร่างของหญิงสาวอยู่แนบกาย ชายหนุ
จวนสกุลหลี่ เรือนหลิวหลี ร่างเย้ายวนนั่งมองกระดาษที่อยู่ในมือ ก่อนจะวางลงยังเตาเล็กบนโต๊ะน้ำชา “วันนี้เราจะออกไปร้านเครื่องหอมกัน ท่านพี่จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบกับสาวใช้ข้างกาย นางแต่งเข้าจวนมาหลายปี ทว่าสามีนั้นแทบจะมิเคยย่างกรายมายังเรือนของนางเลย เรื่องการเสพสุขระหว่างสามีภรรยาหาได้เคยเกิดขึ้นแม้เพียงครั้ง ‘ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก เกิดมาชาติตระกูลดีสูงส่ง ทว่ากลับถูกสามีรังเกียจ บทนิยายน้ำเน่าสิ้นดี ยามนั้นข้ายังเยาว์ มิใช่ตอนนี้ที่ข้าพร้อมจะเปลี่ยนมันด้วยมือของข้าเอง ชะตาย่อมอยู่ในมือผู้กล้าที่จะเปลี่ยนเสมอ’ จ้าวหลิวหลีคิดอยู่ในใจก่อนจะลุกขึ้น หญิงสาวเดินไปนั่งลงยังกระจกทองเหลือง ร่างงามมองใบหน้าหมดจดของตนเอง ก่อนจะเริ่มแต่งแต้มสีสันให้เข้ากับใบหน้าอย่างใจเย็น สามีเป็นแม่ทัพใหญ่ บุรุษที่สตรีทั่วแผ่นดินหมายปอง และเป็นอดีตคนรักของน้องสาวต่างมารดา ส่วนนางคือท่านหญิงใหญ่แห่งจวนจ้าวสตรีที่เขามองว่าไร้ค่า ซ้ำยังหาญกล้าปีนป่ายเตียงของเขาเมื่อหลายปีก่อน นับแต่นั้นเป็นต้นมา นางเฝ้าเปลี
“หลิวหลีคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” จ้าวหลิหลีย่อกายให้แก่ผู้เป็นบิดา ที่ดูเหมือนกำลังมีโทสะ และนางมิจำเป็นต้องคาดเดา ว่าผู้ใดคือต้นเหตุของความกรุ่นโกรธในครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นนางบุตรสาวผู้น่าชังอย่างแน่นอน “ฮึ ! ยังมีหน้าเรียกข้าว่าพ่ออยู่เช่นนั้นรึ” จ้าวอ๋องตอบกลับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ถึงแม้จะแสดงออกถึงความโกรธกริ้วมากเพียงใด ทว่าคนตรงหน้ากลับยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย ยิ่งเป็นการเพิ่มไฟโทสะให้แก่จ้าวอ๋อง นับเท่าทวีคูณเลยก็ว่าได้ ที่บุตรสาวหาได้ยำเกรงต่อตนเองไม่ “มิทราบว่าท่านอ๋อง มีเรื่องอันใดกับข้าน้อยเช่นนั้นรึเจ้าคะ” จ้าวหลิวหลีเปลี่ยนคำเรียกขานบิดาในทันที นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้เป็นพ่อที่เคยมีความฉลาดรอบรู้ มีความเที่ยงธรรมจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แม้แต่ตอนที่นางถูกใส่ความ จนต้องแต่งแก่แม่ทัพหลี่จ้าน บิดาไม่แม้แต่จะคิดสืบหาความจริง ซ้ำยังมิเคยเหลียวแลนางแม้แต่หางตา ทุกคำของมารดาเลี้ยงและน้องสาวคือความถูกต้อง ส่วนคำของนางนั้น เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลของบุตรสาวผู้ไม่รักดีไปเสียหมด ทุกอย่างเป
จ้าวหลิวหลีหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่ออีกครั้ง นางอาจดูโง่เขลาเมื่อครั้งในอดีต แต่นั้นมันเมื่อก่อนมิใช่ปัจจุบัน ที่นางไม่มีคำว่ายินยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไป “เพราะอี้เหมยเห็นแก่คำว่าพี่น้อง เรื่องนี้นางจึงยังมิได้ทูลให้องค์ชายสี่ได้ทรงทราบ” เป็นชุ่ยเหนียงเฟย พระชายาเอกคนปัจจุบันในจ้าวอ๋องกล่าวแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นพระสวามีเริ่มจนในคำพูด “ไม่มีความจำเป็นที่นางต้องทำเช่นนั้น เพราะการวางยาหมายกำจัดสายเลือดมังกร นับเป็นเรื่องใหญ่ที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้ มิเว้นแม้แต่สายเลือดเดียวกัน คำว่าพี่น้องมิใช่ข้ออ้างให้ท่านอ๋องกับพระชายา มากล่าวหาข้าโดยไร้มูลความจริงอยู่อย่างนี้” “เอ่อ...” สองสามีภรรยาจนในคำพูด เมื่อเจ้าของบ้านตอบกลับมาด้วยเหตุผลที่หนักแน่นกว่า จ้าวอ๋องมองไปยังภรรยาที่ตอนนี้เอาแต่หลบสายตาของบุตรสาว แม้แต่เขาที่เป็นพ่อ ยังไม่หาญกล้าที่จะมองตาเอาเรื่องของบุตรสาวคนโตได้เลย คราแรกเขานับว่าถือหมากเหนือกว่า ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่ตกเป็นรองในคำพูด “จะอย่างไรเรื่องนี้ ข้าก็ต้องหาความจริงให้จงได้”
ทว่ารอยยิ้มที่เขาเคยเห็นได้หายไปทีละน้อย นับตั้งแต่อดีตพระชายาเอกในจ้าวอ๋องตายไป ทุกอย่างเริ่มแปรเปลี่ยนแต่จ้าวหลิวหลียังคงเป็นหนึ่งดวงใจของเขาเช่นเดิม แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ พระมารดาของเขาจึงได้ทำการสู่ขอจ้าวอี้เหมยเข้าจวนแทน พระมารดาคอยย้ำให้เขามองถึงจุดมุ่งหมายมากกว่าเรื่องความรัก ดังนั้นเขาจึงต้องปิดหูปิดตากับสิ่งที่จ้าวอี้เหมยทำมาโดยตลอด “ยังทรงเชื่อความเสแสร้งของนางอยู่อีกหรือเพคะ หม่อมฉันมีตรงไหนสู้นางมิได้บ้างเพคะ” จ้าวอี้เหมยเหมือนจะเริ่มควบคุมตนเองเอาไว้ไม่ได้บ้างแล้ว หญิงสาวหาญกล้าที่จะเอ่ยถามพระสวามี ที่เอาแต่โทษนางว่าทำเพียงเรื่องเลวร้าย โดยที่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ที่ผ่านมาเขาเองก็ใช้นางเป็นเพียงสะพานมุ่งสู่อำนาจเดียวเช่นกัน “เจ้าคิดเช่นนั้นหรืออี้เหมย หากเจ้ามิเพียบพร้อมข้าจะเลือกเจ้ามายืนในฐานะพระชายาเอกของข้าจนถึงทุกวันนี้หรือ” เสวี่ยเฟิงพยายามลดโทสะของตนเองลง เขายังไม่อยากให้เกิดความแตกหักขึ้นในตอนนี้ แต่ดูเหมือนจ้าวอี้เหมยจะรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน นางจึงใช้สิ่งนี้บีบบังคับเขาอยู่กลาย ๆ
“ลูกรักเจ้าต้องมั่นใจในตนเองให้มาก ความงามและสติปัญญาของเจ้าเหนือกว่านางมากนัก อย่าได้แยแสต่อบุรุษที่มิเห็นค่าของเจ้า แต่จงยืนให้เหนือผู้ที่ทำร้ายเจ้าเท่านั้น” “แต่ข้ารักเขา” “ความรักย่อมต้องมิทำให้เกิดความทุกข์ หากมันไร้ซึ่งความสุขมันย่อมมิใช่ความรัก นับจากนี้จงฟังแม่เจ้าต้องใส่ใจเพียงอำนาจในมือ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เจ้าอยู่รอด” “แต่ว่า...” ชุ่ยเหนียงเฟยยกนิ้วทาบริมฝีปากบุตรสาว ความรักทำให้จ้าวอี้เหมยมองไม่เห็นความเป็นจริง นางผู้เป็นมารดามีหน้าที่ปกป้องลูก ดังนั้นนางจำต้องสอนให้บุตรสาว ยืนอยู่บนความจริงมากกว่าความรู้สึกอันเลื่อนลอย เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ใกล้เข้ามา ทำให้สองแม่หยุดการสนทนาลงในทันที เพราะหากเดาไม่ผิดก็คงเป็นจ้าวอ๋องอย่างแน่นอน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นลูกพ่อ” คำถามจากคนด้านหน้าประตูดังขึ้น ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวเข้ามาด้านใน จ้าวอี้เหมยผละออกจากอ้อมกอดของมารดา วิ่งเข้าสวมกอดผู้เป็นพ่อ พร้อมสะอื้อไห้ปานจะขาดใจ “น้องหญิงเจ้าเป็นอันใดไป” เสียงทุ้มลึกดังมาจากด้านหลังจ้
ฟิ้ว! มีเสียงบางอย่างแหวงอากาศมาจากข้างทาง ทำให้ทุกความคิดของเจาหยางยุติลง มือหนาที่กรำศึกมานานคว้าจับสิ่งนั้นเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะพุ่งผ่านเขาไปยังรถม้าของผู้เป็นนาย เพียงครู่เดียวเสียงอาวุธกระทบกันเกิดขึ้นจากรอบด้าน เจาหยางเหินกายงจากหลังม้า เพื่อคุ้มกันรถม้าเอาไว้ โดยมีผู้ติดตามกว่าห้าคนล้อมรถม้าเอาไว้ ชายชุดดำจำนวนหลายคน พยายามที่จะฝ่าเข้ามาให้ถึงรถม้า ทำให้ทหารคุ้มกันบาดเจ็บล้มตายบ้างแล้ว “ฮูหยิน รอเสี่ยวเชี่ยนก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวเชี่ยนคว้าอาวุธ ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ที่นั่งในรถม้าออกมาถือไว้ในมือ ก่อนที่ร่างงามจะก้าวออกจากรถม้า หญิงสาวดึงกระบี่ออกจากฝัก พร้อมกับพุ่งเข้าหาคนร้ายด้วยความดุดัน เชร้ง! เสียงอาวุธกระทบกันจากทางด้านหลัง เรียกสายตาของเจาหยางในทันที ดวงตาของพ่อบ้านสูงวัยเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาในตอนนี้คือเสี่ยวเชี่ยน ไม่มีคำพูดใดจากคนทั้งคู่ ด้วยเวลานี้คนร้ายเหมือนจะได้เปรียบพวกเขาอยู่ไม่น้อย เสี่ยวเชี่ยนคอยมองไปยังรถม้าอยู่บ่อยครั้ง นางรู้ดีว่าผู้เป็นนายนั้นจะปลอดภ
“แต่ว่า...ฮูหยินมิแปลกใจหรือเจ้าคะ ที่อยู่ ๆ เราก็ถูกคนจำนวนมากโจมตี อันที่จริงแล้วแค่คิดจะสังหารฮูหยิน ใช้คนเพียงหยิบมือก็ทำได้แล้วนะเจ้าคะ” “ต่อให้ข้าเลี้ยงหนอนให้อิ่มหนำสำราญเพียงใด ก็ย่อมมีบางตัวชื่นชอบอาหารที่ผู้อื่นหยิบยื่นมาให้มันอยู่ดี” จ้าวหลิวหลียังคงไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมาทางน้ำเสียง เป็นเรื่องยากที่เสี่ยวเชี่ยนจะเดาความรู้สึกของผู้เป็นนายออก “มีคนทรยศเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “จะว่าแบบนั้นก็ย่อมได้ แต่เรายังไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นที่คนของเรา หรือเป็นเพราะศัตรูล่วงรู้ด้วยตนเอง ฉะนั้นจงนิ่งเฉยเอาไว้ รอดูผลที่จะปารถกฎในมิช้าจะดีกว่า ไม่ต้องเร่งร้อนที่จะอยากรู้ เรายังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นให้ต้องทำ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำของผู้เป็นนาย แม้ว่านางจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งใดมากนัก นางก็ไม่คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือคำสั่ง ยกเว้นว่ามีอันตรายใดพุ่งตรงมาที่ผู้เป็นนาย สิ่งนั้นนางจะมิรั้งรอให้มันสายจนเกินแก้ไข นางพร้อมที่จะลงมือต่อสิ่งเหล่านั้นในทันที ทว่าตราบใดที่นายของนางยังปลอดภัย ทุกคำสั่งที่นางได้รับจะไม