ทว่ารอยยิ้มที่เขาเคยเห็นได้หายไปทีละน้อย นับตั้งแต่อดีตพระชายาเอกในจ้าวอ๋องตายไป ทุกอย่างเริ่มแปรเปลี่ยนแต่จ้าวหลิวหลียังคงเป็นหนึ่งดวงใจของเขาเช่นเดิม
แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ พระมารดาของเขาจึงได้ทำการสู่ขอจ้าวอี้เหมยเข้าจวนแทน พระมารดาคอยย้ำให้เขามองถึงจุดมุ่งหมายมากกว่าเรื่องความรัก ดังนั้นเขาจึงต้องปิดหูปิดตากับสิ่งที่จ้าวอี้เหมยทำมาโดยตลอด
“ยังทรงเชื่อความเสแสร้งของนางอยู่อีกหรือเพคะ หม่อมฉันมีตรงไหนสู้นางมิได้บ้างเพคะ”
จ้าวอี้เหมยเหมือนจะเริ่มควบคุมตนเองเอาไว้ไม่ได้บ้างแล้ว หญิงสาวหาญกล้าที่จะเอ่ยถามพระสวามี ที่เอาแต่โทษนางว่าทำเพียงเรื่องเลวร้าย โดยที่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ที่ผ่านมาเขาเองก็ใช้นางเป็นเพียงสะพานมุ่งสู่อำนาจเดียวเช่นกัน
“เจ้าคิดเช่นนั้นหรืออี้เหมย หากเจ้ามิเพียบพร้อมข้าจะเลือกเจ้ามายืนในฐานะพระชายาเอกของข้าจนถึงทุกวันนี้หรือ”
เสวี่ยเฟิงพยายามลดโทสะของตนเองลง เขายังไม่อยากให้เกิดความแตกหักขึ้นในตอนนี้ แต่ดูเหมือนจ้าวอี้เหมยจะรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน นางจึงใช้สิ่งนี้บีบบังคับเขาอยู่กลาย ๆ
“แล้วเหตุใดจึงมิทรงเชื่อคำของหม่อมฉันบ้างเล่าเพคะ”
จ้าวอี้เหมยฉวยจังหวะเหล็กร้อนให้รีบตี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เช่นที่นางคาดการณ์เอาไว้ แม้ว่ามันจะผิดพลาดตรงที่พระสวามีรู้เรื่องนี้ก่อนที่นางจะทำสำเร็จก็ตามที
เมื่อเขาล่วงรู้เรื่องนี้แล้ว นางก็แค่เพียงพลิกวิกฤตที่เกิดขึ้น ให้เป็นโอกาสอันดีแทนเสียเลย อย่างไรเสียพระสวามีก็มิอาจตัดขาดจากนางได้ในเวลานี้ นางจะทนรับรู้ถึงการมีอยู่ของจ้าวหลิวหลีอีกสักหน่อยก็มิเป็นไร
“จ้าวอี้เหมย ถึงเจ้าจะฉลาดเพียงใด จงจำไว้ว่าในโลกนี้ยังมีผู้ที่เหนือกว่าเจ้าและข้าอีกมาก เรื่องนี้ตามจริงเจ้ามิคิดที่จะให้ข้าล่วงรู้ แต่เพราะเหตุใดเล่าจึงมีผู้ส่งข่าวเรื่องนี้มาให้ข้าได้รู้”
“เป็นนางสินะเพคะ ที่คาบข่าวมาฟ้องพระองค์”
จ้าวอี้เหมยเชิดใบหน้าขึ้นสูง พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ นางไม่คิดเลยว่าจ้าวหลิวหลีคนเขลา จะหาญกล้ามาฟ้องสวามีของนาง เพื่อให้เขามาลงทัณฑ์แก่นางเช่นนี้
“เจ้าคิดผิดแล้ว! หลิวหลีมิเคยจะสนทนากับข้าเลย นับตั้งแต่นางแต่งแก่สกุลหลี่ และช่างน่าผิดหวังที่เจ้าทำมันจริง ๆ เสียด้วย”
จ้าวอี้เหมยถึงกับใบหน้าถอดสี เมื่อรู้ว่านางพลาดไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรนางก็นับว่าถือหมากเหนือกว่าพระสวามีอยู่ดี เขาจะไม่มีวันตัดขาดนางจากชีวิตได้ ตราบใดที่ยังต้องช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทอยู่
“หม่อมฉันไม่ได้ทำ ที่สำคัญพระองค์ทรงรู้ดีว่าข้าเหนือกว่าจ้าวหลิวหลีอยู่แล้ว หากต้องก้าวขึ้นสู่สิ่งที่ทรงวาดฝัน”
จ้าวอี้เหมยเชิดใบหน้าขึ้นสูง นางยังมีบิดากับพี่ชายเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่พระสวามีก็มิอาจหย่าขาดจากนางได้ เพราะเขายังต้องการผู้หนุนหลังอยู่นั่นเอง
“อย่าได้มั่นใจมากจนเกินไปอี้เหมย ข้าอาจมองข้ามเรื่องครั้งนี้ไปได้ แต่มิใช่ตลอดไป”
เอ่ยจบร่างสูงได้ก้าวจากไปในทัน โดยไม่สนใจถึงอาการของพระชายา คราแรกเขาตั้งใจจะอ่อนข้อลงให้นางสักหลายส่วน เพื่อรักษาความรู้สึกมิให้แตกหักไปกว่านี้
แต่ด้วยนิสัยหยิ่งผยองของนางทำให้เขาต้องรีบไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ปีศาจในกายจะสำแดงออกมาให้นางได้เห็น
“กรี๊ดดดด”
เสียงกรีดดังขึ้นเมื่อลับร่างของพระสวามีไปแล้ว จ้าวอี้เหมยรู้สึกชาหนึบไปทั้งร่าง สิ่งที่สวามีของนางได้กระทำนั้น มันไม่ต่างจากการเอามีดกรีดใจนาง
‘ข้าแพ้เจ้าตรงไหนนังหลิวหลี ข้าไม่ดีตรงที่ใด ไยเขาจึงไม่เคยมองเห็นความรักของข้าบางเลย’
จ้าวอี้เหมยใช้หลังมือปาดน้ำตาก่อนจะก้าวไปยังห้องนอน นางจะทำให้พี่สาวตัวดีหายไปจากสาวตาของทุกคนให้เร็วที่สุด มีนางต้องไม่มีคนเช่นจ้าวหลิวหลี
จวนจ้าวอ๋อง
รถม้าคันหรูจอกเทียบหน้าบันได ก่อนที่ร่างระหงของธิดาคนรองของสกุลจ้าวจะก้าวลงจากรถม้า หญิงสาวไม่สนใจทหารยามและบ่าวไพร่ที่เอ่ยทำความเคารพ
หญิงสาวเร่งก้าวตรงไปยังเรือนของมารดา เวลานี้ความชอกช้ำใจที่นางได้รับมา จำต้องได้รับการเยียวยาให้เร็วที่สุด และสิ่งนั้นคือความพินาศจ้าวหลิวหลีเท่านั้น
“ท่านแม่!”
จ้าวอี้เหมยวิ่งเข้าสวมกอดมารดา เมื่อก้าวพ้นประตูเรือนเข้าไปด้านใน หญิงสาวส่งเสียงสะอื้นเบา ๆ กับอกของผู้เป็นแม่ ความอัดอั้นที่นางเพียรเก็บเอาไว้มาโดยตลอด เวลานี้มันไม่อาจทานทนได้อีกต่อไปแล้ว
“เกิดสิ่งใดขึ้น ไยเจ้าจึงร้องปานขาดใจเช่นนี้ลูกรัก”
“เพราะมันคนเดียวท่านแม่ฮือ ๆ องค์ชายทรงรู้เรืองนั้นแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่...”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะมายังจวนของมารดา ได้พรั่งพรูออกมาดั่งสายน้ำ ใบหน้าของชุ่ยเหนียงเฟยแสดงออกถึงความเจ็บแค้นแทนบุตรสาว มิว่าเวลาจะผ่านมานานเพียงใด
ยังไม่อาจลบความเป็นจริงเรื่องชาติกำเนิดของจ้าวอี้เหมยได้ แม้ว่าเวลานี้นางจะยืนในตำแหน่งชายาเอก แต่ความเป็นจริงก่อนที่นางจะก้าวสู่จุดนี้ได้ นางก็เป็นเพียงสนมลำดับท้าย ๆ
แต่เพราะนางเป็นที่เอ็นดูของอดีตพระชายาเอก จึงได้ชิดใกล้จ้าวอ๋องจนให้กำเนิดบุตรชาย ฐานะของนางจึงก้าวสู่คำว่าพระชายารอง จนเมื่อสิ้นอดีตพระชายาเอก
นางจึงก้าวสู่คำว่าพระชายาเอกแทนในทันที ส่วนสนมคนอื่นนางหาได้เก็บไว้เป็นเสี้ยนหนามแม้แต่คนเดียว จะมีเพียงจ้าวหลิวหลี ที่นางไม่อาจแตะต้องได้อย่างโจ่งแจ้ง
ด้วยความที่มารดาของจ้าวหลิวหลี คือพระนัดดาในฮองไทเฮา นางจึงต้องกลายเป็นมารดาเลี้ยงผู้เอ็นดูจ้าวหลิวหลีประหนึ่งลูกในอุทรชาติกำเนิดที่แตกต่าง ทำให้ผู้คนหันความสำคัญไปที่ลูกเลี้ยงของนางเสียหมด
ขนาดจ้าวหลิวหลีทำเรื่องเสื่อมเสีย ทว่าหญิงสาวยังคงเชิดหน้าอยู่ในตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพได้โดยไร้คำติเตียน
‘เจ้ามันตายยากเหลือเกินนักนะหลิวหลี ผู้ใดที่ทำให้ลูกของข้าชอกช้ำ มันผู้นั้นต้องชดใช้ด้วยชีวิต’
“ไม่ต้องร้องลูกแม่ เรื่องนี้เจ้าวางใจแม่จะจัดการทุกอย่างให้เอง”
ชุ่ยเหนียงเฟยลูบแผนหลังของบุตรสาวเบา ๆ พร้อมเอ่ยปลอบโยน นางต้องเร่งลงมือต่อลูกเลี้ยงให้เร็วที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายจนเกินแก้ไข
“ข้าไม่ดีตรงไหนหรือเจ้าคะท่านแม่”
“ลูกรักเจ้าต้องมั่นใจในตนเองให้มาก ความงามและสติปัญญาของเจ้าเหนือกว่านางมากนัก อย่าได้แยแสต่อบุรุษที่มิเห็นค่าของเจ้า แต่จงยืนให้เหนือผู้ที่ทำร้ายเจ้าเท่านั้น” “แต่ข้ารักเขา” “ความรักย่อมต้องมิทำให้เกิดความทุกข์ หากมันไร้ซึ่งความสุขมันย่อมมิใช่ความรัก นับจากนี้จงฟังแม่เจ้าต้องใส่ใจเพียงอำนาจในมือ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เจ้าอยู่รอด” “แต่ว่า...” ชุ่ยเหนียงเฟยยกนิ้วทาบริมฝีปากบุตรสาว ความรักทำให้จ้าวอี้เหมยมองไม่เห็นความเป็นจริง นางผู้เป็นมารดามีหน้าที่ปกป้องลูก ดังนั้นนางจำต้องสอนให้บุตรสาว ยืนอยู่บนความจริงมากกว่าความรู้สึกอันเลื่อนลอย เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ใกล้เข้ามา ทำให้สองแม่หยุดการสนทนาลงในทันที เพราะหากเดาไม่ผิดก็คงเป็นจ้าวอ๋องอย่างแน่นอน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นลูกพ่อ” คำถามจากคนด้านหน้าประตูดังขึ้น ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวเข้ามาด้านใน จ้าวอี้เหมยผละออกจากอ้อมกอดของมารดา วิ่งเข้าสวมกอดผู้เป็นพ่อ พร้อมสะอื้อไห้ปานจะขาดใจ “น้องหญิงเจ้าเป็นอันใดไป” เสียงทุ้มลึกดังมาจากด้านหลังจ้
ฟิ้ว! มีเสียงบางอย่างแหวงอากาศมาจากข้างทาง ทำให้ทุกความคิดของเจาหยางยุติลง มือหนาที่กรำศึกมานานคว้าจับสิ่งนั้นเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะพุ่งผ่านเขาไปยังรถม้าของผู้เป็นนาย เพียงครู่เดียวเสียงอาวุธกระทบกันเกิดขึ้นจากรอบด้าน เจาหยางเหินกายงจากหลังม้า เพื่อคุ้มกันรถม้าเอาไว้ โดยมีผู้ติดตามกว่าห้าคนล้อมรถม้าเอาไว้ ชายชุดดำจำนวนหลายคน พยายามที่จะฝ่าเข้ามาให้ถึงรถม้า ทำให้ทหารคุ้มกันบาดเจ็บล้มตายบ้างแล้ว “ฮูหยิน รอเสี่ยวเชี่ยนก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวเชี่ยนคว้าอาวุธ ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ที่นั่งในรถม้าออกมาถือไว้ในมือ ก่อนที่ร่างงามจะก้าวออกจากรถม้า หญิงสาวดึงกระบี่ออกจากฝัก พร้อมกับพุ่งเข้าหาคนร้ายด้วยความดุดัน เชร้ง! เสียงอาวุธกระทบกันจากทางด้านหลัง เรียกสายตาของเจาหยางในทันที ดวงตาของพ่อบ้านสูงวัยเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาในตอนนี้คือเสี่ยวเชี่ยน ไม่มีคำพูดใดจากคนทั้งคู่ ด้วยเวลานี้คนร้ายเหมือนจะได้เปรียบพวกเขาอยู่ไม่น้อย เสี่ยวเชี่ยนคอยมองไปยังรถม้าอยู่บ่อยครั้ง นางรู้ดีว่าผู้เป็นนายนั้นจะปลอดภ
“แต่ว่า...ฮูหยินมิแปลกใจหรือเจ้าคะ ที่อยู่ ๆ เราก็ถูกคนจำนวนมากโจมตี อันที่จริงแล้วแค่คิดจะสังหารฮูหยิน ใช้คนเพียงหยิบมือก็ทำได้แล้วนะเจ้าคะ” “ต่อให้ข้าเลี้ยงหนอนให้อิ่มหนำสำราญเพียงใด ก็ย่อมมีบางตัวชื่นชอบอาหารที่ผู้อื่นหยิบยื่นมาให้มันอยู่ดี” จ้าวหลิวหลียังคงไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมาทางน้ำเสียง เป็นเรื่องยากที่เสี่ยวเชี่ยนจะเดาความรู้สึกของผู้เป็นนายออก “มีคนทรยศเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “จะว่าแบบนั้นก็ย่อมได้ แต่เรายังไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นที่คนของเรา หรือเป็นเพราะศัตรูล่วงรู้ด้วยตนเอง ฉะนั้นจงนิ่งเฉยเอาไว้ รอดูผลที่จะปารถกฎในมิช้าจะดีกว่า ไม่ต้องเร่งร้อนที่จะอยากรู้ เรายังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นให้ต้องทำ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำของผู้เป็นนาย แม้ว่านางจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งใดมากนัก นางก็ไม่คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือคำสั่ง ยกเว้นว่ามีอันตรายใดพุ่งตรงมาที่ผู้เป็นนาย สิ่งนั้นนางจะมิรั้งรอให้มันสายจนเกินแก้ไข นางพร้อมที่จะลงมือต่อสิ่งเหล่านั้นในทันที ทว่าตราบใดที่นายของนางยังปลอดภัย ทุกคำสั่งที่นางได้รับจะไม
แม่ทัพหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบคนที่อยู่อีกด้านของห้องนอน เขาทำได้เพียงทอดถอนหายใจ เพราะสิ่งที่ศัตรูรับรู้คือเขาใกล้จะตายด้วยพิษร้าย แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ย่อมต้องมีคนอยู่เบื้องหลังการต่อสู้ด้านนอกดูเหมือนจะดุเดือดขึ้นทุกขณะ ทว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงทำได้เพียงนิ่งเงียบ ปัง! เสียงประตูถูกเปิดออกเสมือนจงใจให้คนที่หลับใหลอยู่ได้รู้สึกตัว“แค่ก ๆ พวกเจ้าเป็นใครกัน บังอาจบุกรุกห้องนอนของข้า”แม่ทัพหนุ่มแค่นเสียงอันแหบแห้ง เอ่ยถามผู้มาเยือนด้วยความอ่อนแรง ชายหนุ่มขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ ที่เขาต้องกลายเป็นเพียงคนป่วยใกล้ตาย ทั้งที่มันมิได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น“หึ ๆ ข้าก็แค่มาส่งท่านแม่ทัพลงนรกให้เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นขอรับ”เสียงหัวเราะอย่างหยามใจของผู้บุกรุก ไม่ได้ทำให้คนบนเตียงรู้สึกตื่นกลัวเลยสักนิด แต่ด้วยความสมจริงเขาต้องแสดงถึงความหวั่นเกรงอีกฝ่ายให้มาก“คิดว่าข้าจะยินยอมง่าย ๆ เช่นนั้นรึ”“ยินยอมหรือไม่ กระบี่ในมือของข้าคือผู้ที่ตอบได้”“หึ ๆ”ควับ! เมื่อได้ยินเสียงของใครอีกคนในอีกมุมของห้อง ชายชุดดำทั้งหมดต่างพากันตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครอื่นอยู่ร่วมห้องนี้ เพราะจากที่รู้มาคือ
“คิดจะเป็นใหญ่ เรื่องเพียงเท่านี้ยังขลาดกลัว เจ้าก็ไม่สมควรจะออกความคิดเห็นใด ๆ อีก” ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าชาหนึบด้วยความอับอาย แม้ทุกคนจะไม่เอ่ยสิ่งใดต่อเขาอีก ทว่าสายตาที่มองมานั้น มันทิ่มแทงยิ่งกว่าดูถูกที่เอ่ยออกจากปากเสียอีก “ข้าจะไม่ทำให้ท่านลุงผิดหวังขอรับ” เอ่ยจบร่างสูงได้ลุกขึ้น ประสานมือโค้งตัวให้แก่ทุกคนภายในห้อง ก่อนจะก้าวออกไปด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธ เขาจะเสียหน้าเพียงเพราะสังหารสตรีอ่อนแอผู้เดียวมิได้ เขาก็คงไม่สมควรที่จะก้าวสู่ตำแหน่งใหญ่โตในภายหน้า อย่างที่ผู้เป็นลุงได้พูดเมื่อครู่นี้จริง ๆ เขาไม่เชื่อว่าหลี่จ้านหายอดฝีมือมาไว้ข้างกายจ้าวหลิวหลีอย่างที่หลายคนคิด “จะวางใจเขาได้หรือขอรับท่านผู้นำ” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมเอ่ยถามขึ้นในที่สุด เขารู้ดีว่าชายหนุ่มนั้นมุทะลุเพียงใด ไร้ประสบการณ์ในแทบทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ “หึ ๆ หรือเจ้าจะเป็นผู้ทำแทนเขา” “เอ่อ...คือว่า...” “เจ้าควรจดจำเอาไว้บ้าง ว่านกจะบินได้ก็ต่อเมื่อเราฝึกฝนให้มันรู้จักกางปีก” เมื่อถูกต
ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งผู้เป็นน้องสาว แค่ตัวเขาและนางมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็มิอาจปล่อยให้น้องสาวออกนอกเมืองมาเพียงลำพังเช่นเดียวกันชีวิตในราชสำนักมีหรือเขาจะไม่รู้ว่า เรื่องที่น้องสาวของเขาได้ก่อเอาไว้นั้น รู้ไปถึงหูของพระมารดาในองค์ชายสี่แล้ว แน่นอนว่าชีวิตของน้องสาวหาได้ปลอดภัยอีกต่อไปแต่เพราะนิสัยเอาแต่ใจของนาง ทำให้น้องสาวของเขามองข้ามเรื่องนี้ไป นางคิดแค่เพียงว่าองค์ชายสี่ต้องพึ่งพาบารมีของบิดาพวกเขา เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท แต่นางคงลืมไปแล้วว่ายังมีท่านหญิงจากอีกหลายตระกูลที่มีอำนาจมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“หลี่จ้านหลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้นถึงปานนั้น ท่านพี่คิดหรือว่าเขาจะใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ นังแพศยานั้นมิได้สำคัญต่อหลี่จ้าน หากมันตายเขาสิต้องขอบคุณข้า”“เอาเป็นว่าระวังไว้หน่อยก็ดี เรื่องที่เขารักเจ้านั้นมันผ่านมาหลายปี เวลาผ่านเลยใช่ว่าใจคนจะมิผันเปลี่ยนตาม”อ๋องน้อยสกุลจ้าว ทำได้เพียงทอดถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของน้องสาวเพียงคนเดียว เขาอยากให้นางใช้ความคิดในเรื่องนี้มากกว่าที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาจะไม่เป็นผลเอาเสีย
แก๊ก! ยังมิทันจบกันสนทนา เสียงกิ่งไม้แห้งหักได้ดังมาจากความมืด เจาหยางกระชับอาวุธในมือแน่น เมื่อรับรู้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมากดดันเขาและผู้เป็นนาย ถึงเขาจะพอประเมินฝีมือของผู้มาเยือนได้ ใช่ว่าเขาจะละเลยต่อหน้าที่ เก่งเพียงใดย่อมพลาดพลั้งได้เพียงเสี้ยวเวลาหากประมาทต่อศัตรู “มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่ ไยมิเข้ามาดื่มชากับพี่สาวสักถ้วยเล่าน้องพี่” จ้าวหลิวหลีพูดขึ้น พร้อมส่งยิ้มไปยังทิศทางของเสียงกิ่งไม้เมื่อครู่ ร่างงามนั่งรินชาที่อยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ถูกจัดวางอยู่ข้างกองไฟ ซึ่งได้ก่อเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว จ้าวหลิวหลีค่อย ๆ รินชาใส่ถ้วยอย่างใจเย็น เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้มุมปากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ สองร่างเดินเคียงกันออกจากเงามืด ทำให้เจาหยางดวงตาเบิกค้างชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าแขกที่ผู้เป็นนายหญิงเอ่ยถึง จะเป็นพี่น้องต่างมารดาของนางเอง และแน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นคงมิได้มาดีอย่างแน่นอน “พี่หญิงดูสำราญดีนะขอรับ” จ้าวลู่ถงเอ่ยทักทายพี่สาวต่างมารดา เขารู้สึกกดดันอย่างไรไม่รู้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากของพี่สาว
“เจ้าบีบบังคับข้าเองนะน้องรัก” “หุบปากเจ้าซะ! สิ่งเดียวที่เจ้ามีสิทธิ์พูด คือร้องขอความตายจากข้าหลิวหลี” เคร้ง! ยังไม่ทันที่ปลายกระบี่จะเฉียดผ่านกายจ้าวหลิวหลี กระบี่คมของเสี่ยวเชี่ยนก็ได้ต้านรับเอาไว้ได้ทัน จ้าวอี้เหมยสบเข้ากับดวงตาสุกใสของเสี่ยวเชี่ยน ที่กำลังยกยิ้มเย้ยหยันตัวนางอยู่ในตอนนี้ ความกรุ่นโกรธปะทุขึ้นกว่าเดิมนับเท่าตัว จ้าวลู่ถงดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าสาวใช้ข้างกายของพี่สาวนั้น มีฝีมือในการต่อสู้ ซึ่งตลอดเวลาที่เสี่ยวเชี่ยนอยู่ในจวน เขาไม่เคยเห็นนางฝึกฝนกระบี่เลยสักครั้ง จ้าวลู่ถงจำต้องพุ่งเข้าหาเสี่ยวเชี่ยนเพื่อช่วยน้องสาว แต่ทว่า... “ท่านอ๋องน้อยเป็นบุรุษ ไยถึงได้กล้าลงมือต่อสตรีบอบบางด้วยเล่าขอรับ” เป็นเจาหยางที่เข้ามาขัดขวางชายหนุ่มเอาไว้ ทางด้านจ้าวหลิวหลีนั้น ยังคงนั่งดื่มชาโดยไร้ร่องรอยของคามตื่นตระหนกใด ๆ หวี๊ด! จ้าวลู่ถงเป่าปากเป็นสัญญาณบางอย่าง เพียงครู่เดียวได้มีกลุ่มชายชุดดำจำนวนหลายคน ได้พุ่งออกจากราวป่า จ้าวหลิวหลีทำเพียงโยนท่อนฟืนเข้าไปในกองไฟอีกหลายท่อน เพื่อโหมไฟให้ลุก