ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งผู้เป็นน้องสาว แค่ตัวเขาและนางมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็มิอาจปล่อยให้น้องสาวออกนอกเมืองมาเพียงลำพังเช่นเดียวกัน
ชีวิตในราชสำนักมีหรือเขาจะไม่รู้ว่า เรื่องที่น้องสาวของเขาได้ก่อเอาไว้นั้น รู้ไปถึงหูของพระมารดาในองค์ชายสี่แล้ว แน่นอนว่าชีวิตของน้องสาวหาได้ปลอดภัยอีกต่อไป
แต่เพราะนิสัยเอาแต่ใจของนาง ทำให้น้องสาวของเขามองข้ามเรื่องนี้ไป นางคิดแค่เพียงว่าองค์ชายสี่ต้องพึ่งพาบารมีของบิดาพวกเขา เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท แต่นางคงลืมไปแล้วว่ายังมีท่านหญิงจากอีกหลายตระกูลที่มีอำนาจมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“หลี่จ้านหลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้นถึงปานนั้น ท่านพี่คิดหรือว่าเขาจะใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ นังแพศยานั้นมิได้สำคัญต่อหลี่จ้าน หากมันตายเขาสิต้องขอบคุณข้า”
“เอาเป็นว่าระวังไว้หน่อยก็ดี เรื่องที่เขารักเจ้านั้นมันผ่านมาหลายปี เวลาผ่านเลยใช่ว่าใจคนจะมิผันเปลี่ยนตาม”
อ๋องน้อยสกุลจ้าว ทำได้เพียงทอดถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของน้องสาวเพียงคนเดียว เขาอยากให้นางใช้ความคิดในเรื่องนี้มากกว่าที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาจะไม่เป็นผลเอาเสียเลย
หากเขาจะมองผ่านปล่อยน้องสาวมาเพียงลำพัง ก็มิต่างจากปล่อยให้นางเอาชีวิตออกมาทิ้ง ศัตรูของจ้าวอี้เหมยใช่จะมีเพียงจ้าวหลิวหลีเท่านั้น
แต่คนที่มีอำนาจมากกว่ากำลังหมายชีวิตของนางอยู่ นางอาจรู้อยู่บ้างแล้ว หรือจะไม่รู้เลยก็เป็นได้ แต่ในวันนี้เขาจะต้องปกป้องนางในฐานะของพี่ชายให้ถึงที่สุดเช่นเดียวกัน
“แต่ก็น่าแปลกที่หลีเค่อไม่ยอมรับงานของเรา”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อนึกถึงเมื่อหลายวันก่อน นางกับพี่ชายได้ไปยังร้านหลีเค่อ พร้อมเสนอเงินจำนวนมากเพื่อจัดการกับศัตรูหัวใจของนาง มีเพียงความเคลื่อนไหวของจ้าวหลิวหลีเท่านั้น ที่หลีเค่อยินยอมซื้อขายข่าวกับนาง
“หลีเค่อซื้อขายข่าว มิใช่รับจ้างฆ่าคน ไม่แปลกที่เขาจะปฏิเสธเรา”
“เงินมากถึงปานนั้นยังไม่รับ ท่านพี่มิว่ามันแปลกหรืออย่างไร”
“เห้อ! ไยเจ้าจึงมิเคยรับฟังผู้อื่นบ้างอี้เหมย เจ้าคิดแค่ว่าพวกเขาต้องการเงินเช่นนั้นรึ รู้เอาไว้นะว่าหลีเค่อ ร่ำรวยกว่าเราสกุลจ้าวเสียอีก พวกเขาจะรับงานตามความพอใจเท่านั้น มิสนว่าจะจ่ายมากหรือน้อย เพราะราคาซื้อขายมิใช่เราเสนอ แต่เป็นพวกเขาเรียกเอาจากเราต่างหาก”
“ท่านพี่แน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเขามิรับงานลอบสังหาร”
“อี้เหมย เจ้ามิใช่คนเขลา อย่าให้อารมณ์บดบังสติปัญญาที่เจ้ามี”
เอ่ยจบร่างสูงได้ก้าวออกจากที่ซ่อน เพื่อกลับไปยังที่พักของพวกตน โดยไม่ลืมคว้าข้อมือน้องสาวให้เดินตาม ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขากำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญไป แม้ไม่รู้ว่าคืออะไรแต่เขาก็มิพร้อมจะให้สิ่งใดหายไปจากชีวิต
จ้าวอี้เหมยเดินตามพี่ชายด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด แม้จะไม่เต็มใจแต่ก็มิอาจขัดพี่ชายได้ หากเรื่องที่นางทำไม่รู้ถึงหูพระสวามี นางคงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่ในสภาพของหญิงสาวชาวบ้านชั้นต่ำนี่หรอก
‘ข้าเสียไปมิน้อยกับข่าวของเจ้าหลิวหลี ครั้งนี้เจ้าต้องหายไปจากโลกนี้อย่าได้อยู่รกหูรกตาของข้าอีกเลย’
ลับร่างของทั้งคู่ไปเพียงครู่เดียว ชายหนุ่มในชุดชาวบ้านก็ได้ออกมายืนแทนที่ พร้อมกับอาการส่ายหน้าน้อย ๆ
…….
“มิสมเกิดในสกุลชั้นสูง สมองคิดได้เพียงเท่านี้จริง ๆ หรือนี่”
ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง เมื่อเห็นการกระทำอันสิ้นคิดของลูกหลานสกุลใหญ่
“อย่านับรวมข้าเข้าไปด้วยก็แล้วกัน เพราะคนอย่างข้าเน้นคำว่าอยู่รอดมากกว่าการแย่งชิงกับสิ่งไร้สาระ”
เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลัง มันไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตกใจเลยสักนิด เพียงกลิ่นหอมละมุนที่โชยเข้าจมูก เขาก็รู้แล้วว่าคือผู้ใด
“ใครกันจะกล้าเอานายหญิงไปเทียบกับสตรีไร้สมองผู้นั้นเล่าขอรับ”
“อันที่จริงนางฉลาดมากนะ แค่ความริษยาบดบังดวงตาของนางจนมืดบอด ไม่เช่นนั้นนางจะยืนในจุดที่ได้รับอย่างสวยงามไร้ผู้ทัดเทียมเลยทีเดียว”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า คราแรกนางคิดว่าจะปล่อยให้คนหลังกำแพงสูงเป็นผู้จัดการเอง แต่ไม่คิดว่าน้องสาวคนงามจะดิ้นรนวิ่งตามนางถึงที่นี่
ใจนางก็มิอยากหักหาญสายเลือดเดียวกัน ทว่าหากปล่อยเอาไว้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ผู้ที่จะเจ็บหนักในวันข้างหน้าคงเป็นตัวนางเอง
“สิ่งที่นางทำมิใช่ความรัก แต่มันเพียงการอยากเอาชนะเท่านั้น”
จ้าวหลิวหลีพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะหมุนกายจากไป หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับเรื่องน้องสาวต่างมารดายิ่งนัก นางรู้ดีว่าองค์ชายสี่นั้นมีใจให้นาง แต่ระหว่างอำนาจและหัวใจ คนเช่นองค์ชายสี่ย่อมเลือกอย่างแรก
เพราะนางรู้มาตลอดแบบนี้ จึงไม่เคยที่จะวางหัวใจไว้ในมือของอดีตคู่หมายเลย นางไม่อยากมีชีวิตเช่นมารดา ที่ต้องทนยิ้มทั้งน้ำตาเพียงเพราะความทะเยอทะยานของบุรุษ
กลางดึก ณ อารามหมิงเหล่ย
จ้าวหลิวหลีนั่งมองพระจันทร์ยามค่ำคืนอย่างสบายใจ หญิงสาวเลือกที่จะออกมานั่งยังลานชมดาวด้านหลังอาราม โดยมีผู้ติดตามมาเพียงสองคนคือเสี่ยวเชี่ยนและเจาหยาง
“ฮูหยินควรกลับเข้าที่พักได้แล้วนะขอรับ น้ำค้างเริ่มแรงแล้ว ข้าเกรงฮูหยินจะเป็นหวัดเอาได้นะขอรับ”
“จะทิ้งให้แขกของเรารอเก้อได้อย่างไรกันท่านลุงเจา อีกอย่างข้ามิชอบให้ห้องนอนมีกลิ่นแปลกปลอม มันทำให้ข้านอนไม่หลับ”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยเบา ๆ ให้ได้ยินเพียงสามคนเท่านั้น นางรู้ดีว่านับตั้งแต่น้องสาวและน้องชายได้เดินทางมาถึงอารามแห่งนี้ ทุกฝีก้าวของนางแทบจะมิเคยหลุดรอดสายตาของอีกฝ่ายเลย
แม้ว่าทุกสิ่งอย่างที่สองพี่น้องได้เห็น เป็นความตั้งใจของนางทั้งหมดก็ตามที อย่างไรเสียที่นี่ก็คืออารามสำหรับปฏิบัติธรรม มิใช่สนามรบที่ต้องนองไปด้วยเลือด
หากวันนี้สองคนนั้นยินยอมจะถอยสักก้าว นางอาจละเว้นลมหายใจของทั้งคู่ในฐานะพี่น้อง ทว่าพวกเขามิยินยอมนางก็จะไม่ละเว้นเช่นเดียวกัน
แก๊ก! ยังมิทันจบกันสนทนา เสียงกิ่งไม้แห้งหักได้ดังมาจากความมืด เจาหยางกระชับอาวุธในมือแน่น เมื่อรับรู้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมากดดันเขาและผู้เป็นนาย ถึงเขาจะพอประเมินฝีมือของผู้มาเยือนได้ ใช่ว่าเขาจะละเลยต่อหน้าที่ เก่งเพียงใดย่อมพลาดพลั้งได้เพียงเสี้ยวเวลาหากประมาทต่อศัตรู “มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่ ไยมิเข้ามาดื่มชากับพี่สาวสักถ้วยเล่าน้องพี่” จ้าวหลิวหลีพูดขึ้น พร้อมส่งยิ้มไปยังทิศทางของเสียงกิ่งไม้เมื่อครู่ ร่างงามนั่งรินชาที่อยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ถูกจัดวางอยู่ข้างกองไฟ ซึ่งได้ก่อเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว จ้าวหลิวหลีค่อย ๆ รินชาใส่ถ้วยอย่างใจเย็น เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้มุมปากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ สองร่างเดินเคียงกันออกจากเงามืด ทำให้เจาหยางดวงตาเบิกค้างชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าแขกที่ผู้เป็นนายหญิงเอ่ยถึง จะเป็นพี่น้องต่างมารดาของนางเอง และแน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นคงมิได้มาดีอย่างแน่นอน “พี่หญิงดูสำราญดีนะขอรับ” จ้าวลู่ถงเอ่ยทักทายพี่สาวต่างมารดา เขารู้สึกกดดันอย่างไรไม่รู้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากของพี่สาว
“เจ้าบีบบังคับข้าเองนะน้องรัก” “หุบปากเจ้าซะ! สิ่งเดียวที่เจ้ามีสิทธิ์พูด คือร้องขอความตายจากข้าหลิวหลี” เคร้ง! ยังไม่ทันที่ปลายกระบี่จะเฉียดผ่านกายจ้าวหลิวหลี กระบี่คมของเสี่ยวเชี่ยนก็ได้ต้านรับเอาไว้ได้ทัน จ้าวอี้เหมยสบเข้ากับดวงตาสุกใสของเสี่ยวเชี่ยน ที่กำลังยกยิ้มเย้ยหยันตัวนางอยู่ในตอนนี้ ความกรุ่นโกรธปะทุขึ้นกว่าเดิมนับเท่าตัว จ้าวลู่ถงดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าสาวใช้ข้างกายของพี่สาวนั้น มีฝีมือในการต่อสู้ ซึ่งตลอดเวลาที่เสี่ยวเชี่ยนอยู่ในจวน เขาไม่เคยเห็นนางฝึกฝนกระบี่เลยสักครั้ง จ้าวลู่ถงจำต้องพุ่งเข้าหาเสี่ยวเชี่ยนเพื่อช่วยน้องสาว แต่ทว่า... “ท่านอ๋องน้อยเป็นบุรุษ ไยถึงได้กล้าลงมือต่อสตรีบอบบางด้วยเล่าขอรับ” เป็นเจาหยางที่เข้ามาขัดขวางชายหนุ่มเอาไว้ ทางด้านจ้าวหลิวหลีนั้น ยังคงนั่งดื่มชาโดยไร้ร่องรอยของคามตื่นตระหนกใด ๆ หวี๊ด! จ้าวลู่ถงเป่าปากเป็นสัญญาณบางอย่าง เพียงครู่เดียวได้มีกลุ่มชายชุดดำจำนวนหลายคน ได้พุ่งออกจากราวป่า จ้าวหลิวหลีทำเพียงโยนท่อนฟืนเข้าไปในกองไฟอีกหลายท่อน เพื่อโหมไฟให้ลุก
จ้าวลู่ถงลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพี่สาว เขารู้แล้วในตอนนี้ว่าหนทางที่จะหลบเลี่ยงคงไม่อาจเป็นไปได้ ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้น อย่างน้อยยังพอที่จะมีโอกาสรอดชีวิตไปได้บ้าง “หึ ๆ ดูพี่หญิงจะมั่นใจเหลือเกินนะขอรับ” “ข้าว่าเจ้ารู้ดีกว่าผู้ใดน้องพี่ จะอย่างไรเสียข้าก็ต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเองก็คิดจะสังหารสามีของข้า” จ้าวลู่ถงหัวเราะในลำคอ เขาประเมินพี่สาวต่ำไปจริง ๆ นางมิเพียงมากด้วยฝีมือ แต่ยังเจ้าเล่ห์เสียจนไม่มีผู้ใดจับได้ ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกระหว่างสองพี่น้อง มีเพียงเสียงอาวุธกระทบกันอย่างดุเดือดเท่านั้น จ้าวหลิวหลีไร้ซึ่งความรักหรือเห็นใจในตัวน้องชาย เพราะจ้าวลู่ถงเกิดมา มารดาของนางจึงต้องจบชีวิต เพียงเพราะเกรงมารดาของนางจะกำเนิดบุตรชายอีกคน ความแค้นระหว่างนางกับสกุลจ้าวหาได้ใหญ่หลวงไม่ แต่ความแค้นของมารดานั้นไม่อาจนำสิ่งใดมาลบเลือนได้เป็นอันขาด ยิ่งเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่ จ้าวหลิวหลียิ่งลงมือหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่าตัว เวลานี้จ้าวลู่ถงร่ำร้องอยู่ภ
เสียงรายงานจากรองแม่ทัพคนสนิท ทำให้แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปมมากกว่าเดิมด้วยความสงสัย “สอบถามให้แน่ใจ ว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด” “เรียนท่านแม่ทัพ ท่านเจาหยางขอพบขอรับ” ยังไม่ทันที่รองแม่ทัพจะได้ไปยังหน้าขบวน ได้มีทหารวิ่งเข้ามาแจ้งความประสงค์จากคนอีกขบวนรถม้าเสียก่อน “เหตุใดตาเฒ่านั่นมาอยู่ที่นี่” แม่ทัพหนุ่มพึมพำเบา ๆ แต่ก็ส่งสัญญาณเป็นการอนุญาต เขาในตอนนี้ไม่อาจที่จะลงจากรถม้าได้ จำต้องนั่งรอพ่อบ้านของด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ด้วยห่วงใครอีกคนที่คงกำลังรอเขาอยู่ที่จวน “ท่านแม่ทัพ” “ตาเฒ่าไยจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วฮูหยินเล่าผู้ใดดูแล หากนางเป็นอันใดไป ข้าจะ...” “ท่านพี่” เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลังของเจาหยาง ทำให้คนในรถม้ารีบเปิดม่านออกทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาพยายามเก็บอาการยินดีเอาไว้ ภายใต้สีหน้านิ่งเรียบ “ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่อีกคนเล่า” หลี่จ้านเอ่ยถามภรรยาด้วยความสงสัย เขาไม่คิดว่านางจะออกมารอเขาถึงนอกเมืองเช่นนี้ “ข้าออกมาสวดมนต์ใ
จ้าวอ๋องรู้ดีว่าบุตรชายหญิงของตนนั้น ต้องการลมหายใจของจ้าวหลิวหลี แต่บุตรสาวอ่อนแอเช่นนางย่อมไม่มีทางทำอันตรายอันใดต่อลูก ๆ ของเขาได้ ยกเว้นหลี่จ้านที่อาจจ้างมือดีคอยปกป้องภรรยา “เพราะมัน...เพราะมันคนเดียวนังหลิวหลี เอาลูกข้าคืนมา ฮือ ๆ” จ้าวอ๋องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น หัวใจของเขาบีบคั้นจนเกินจะรับได้ ทายาทเพียงคนเดียวต้องจบชีวิตลง บุตรสาวที่เปรียบดังแก้วตาดวงใจก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นทีเรื่องนี้เขาคงต้องเลือกข้างให้ถูกเสียที ไม่ว่ามันผู้ใดที่แตะต้องครอบครัวของเขาในวันนี้ จะต้องชดใช้ให้แก่เขาอย่างสาสม ในมุมมืดร่างสูงของใครบางคน กำลังยืนมองเจ้าของจวนด้วยแววตาเฉยชา ‘ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังมิรู้จักสำนึกอีกหรือท่านอ๋อง นี่สินะที่เขาว่าผู้ที่รักต่ำช้าเพียงใดก็รัก ผู้ที่ชังความดีนับหมื่นก็ชิงชัง’ ร่างสูงหมุนกายจากไปอย่างเงียบ ๆ ภารกิจของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าจะเป็นเรื่องขัดใจเขาอยู่บางกับการนำร่างของอ๋องน้อยมาส่งคืน แต่นี่คือความประสงค์ของผู้เป็นนาย เขาจึงมิอาจ เสียงร้องไห้ค่ำครวญอาจทำใ
จางเค่อเข้าใจในอารมณ์ขอผู้เป็นนายดี เพราะตลอดสองปีที่ท่านแม่ทัพออกสู่ชายแดน นายหญิงของเขาต้องรับมือกับครอบครัวบิดาของนาง แล้วไหนจะผู้ที่คิดจะทำลายท่านแม่ทัพ ก็คอยจ้องเล่นงานผู้เป็นนายของเขามิเว้นวัน จ้าวหลิวหลี ลุกขึ้นก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อยให้แก่จางเค่อ สำหรับนางแล้วหากไร้ชายผู้นี้คอยเป็นดั่งแขนขา คงไม่อาจยืนอยู่ตรงนี้ได้ แม้จะมีเงินหากไร้ความเคารพต่อผู้อื่น ก็มิอาจที่จะซื้อใจผู้ใดได้เลย นางใช้ใจแลกกับความภักดี นางมองทุกคนเสมือนพี่น้อง สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในหลีเค่ออยู่ภายใต้อำนาจของนางโดยมิต้องบีบบังคับ เมื่อออกมายังห้องชั้นนอกแล้ว เสี่ยวเชี่ยนได้เรียกคนของร้านมายกพับผ้าที่นางเลือก เพื่อนำไปส่งยังจวนหลี่ สองนายบ่าวออกจากร้านเดินไปยังรถม้าที่เจาหยางรออยู่อย่างใจเย็น “ท่านลุงเจา เราไปนั่งกินขนมใกล้หน้าประตูวังกันดีกว่านะ ข้าจำได้ว่ามีร้านหนึ่งอร่อยมากเลย” “ได้ขอรับ” เจาหยางไม่คิดที่จะถามอะไรให้มากความ แค่นายหญิงของบ้านพยายามที่จะหาหนทางรอผู้เป็นนายของเขานั้น ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ฮูหยินเข้าไปในหลีเค่อ
ชุ่ยเหนียงเฟยเสมือนคนสติไม่อยู่กับตัว ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้ดูแทบไม่ได้เลย คำพูดที่พรั่งพรูออกมา ล้วนหยาบคายมิสมฐานะที่เป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย “ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดต่ำช้าจากปากพระชายาอ๋องเช่นท่าน และโปรดรู้เอาไว้ด้วยว่าข้าคือสามีของหลีเอ๋อร์ มิใช่คนรักของธิดาท่านอย่างที่กล่าวมา โปรดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนนะขอรับ จึงค่อยพูดสิ่งใดออกมา” หลี่จ้านไม่ได้หันมองภรรยา แต่ทุกถ้อยคำของเขานั้นหนักแน่น สิ่งที่มารดาเลี้ยงของภรรยาพูดมานั้น อาจเป็นฉนวนทำลายเขาได้ทั้งตระกูลเลยทีเดียว “อย่าบอกนะว่าเจ้าเสียท่าให้แก่นางแล้ว นางมันนังจิ้กจอก” ชุ่ยเหนียงเฟยชี้นิ้วไปยังจ้าวหลิวหลี ที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องสามี มุมบากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ นางไม่จำเป็นต้องเห็นใจผู้ที่ทำร้ายนางก่อน “พระชายาโปรดสำรวมคำพูด ข้าและนางเป็นสามีภรรยา เรื่องในห้องมิจำเป็นต้องประกาศให้ผู้อื่นรู้ หรือท่านชื่นชอบเล่าเรื่องเช่นนั้นให้สหายและชาวเมืองฟังขอรับ” “หยุดสามหาวได้แล้วนะหลี่จ้าน” ในที่สุดจ้าวอ๋องก็หาเสียงของตนเองเจอ เมื่อภรรยารักไม่ได้รับควา
กลางดึก ณ ตำหนักหรู่เฟยภายในห้องหนังสือกำลังมีสองร่างโอบกอดกันอยู่ ใบหน้าของชายหนุ่มที่เรือนร่างเปลือยเปล่า กำลังซุกไซ้ซอกคอขาวเนียนของฝ่ายหญิง เสียงครางเบา ๆ ดังออกมาจากเรียวปากอวบอิ่ม เมื่อมือหนาของชายหนุ่มเคล้นคลึงสองเต้างาม “อื้อ…ส่งสารถึงนางหรือยัง อ๊า...” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมครางเบา ๆ ความเสียวซ่านแล่นทั่วกาย เมื่อถูกชายหนุ่มรุกเร้ามิหยุดมือ “ข้าเคยทำให้พระนางผิดหวังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบจมูกคมได้กดลงยังแก้มเนียน ก่อนจะเลื่อนลงมายังซอกคอหอมกรุ่นอีกครั้ง ริมฝีปากหนาจูบซับความเย้ายวนอย่างอ่อนโยน มือหยาบบีบคลึงสะโพกงอนงามหนัก ๆ ก่อนจะดันให้แนบกับแก่นกายของตนเอง “ไม่ใช่เวลานี้” เสียงสั่นระริกเอ่ยห้ามชายหนุ่ม ทว่าร่างกายนั้นหาได้ทำตามอย่างที่ปากพูด ยิ่งเมื่อมืออีกข้างของชายหนุ่มเลื่อนลงไปยังเนินดอกไม้ ความร้อนรุ่มกลับระอุร้อนขึ้นเรื่อย ๆ “ดึกแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเราอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาไม่อาจทนรออีกต่อไปได้แล้ว แม้ว่าเวลานี้จะค่อยเ