Share

ตอนที่ 10.  พยายามหาเหตุผล

ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งผู้เป็นน้องสาว แค่ตัวเขาและนางมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็มิอาจปล่อยให้น้องสาวออกนอกเมืองมาเพียงลำพังเช่นเดียวกัน

ชีวิตในราชสำนักมีหรือเขาจะไม่รู้ว่า เรื่องที่น้องสาวของเขาได้ก่อเอาไว้นั้น รู้ไปถึงหูของพระมารดาในองค์ชายสี่แล้ว แน่นอนว่าชีวิตของน้องสาวหาได้ปลอดภัยอีกต่อไป

แต่เพราะนิสัยเอาแต่ใจของนาง ทำให้น้องสาวของเขามองข้ามเรื่องนี้ไป นางคิดแค่เพียงว่าองค์ชายสี่ต้องพึ่งพาบารมีของบิดาพวกเขา เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท แต่นางคงลืมไปแล้วว่ายังมีท่านหญิงจากอีกหลายตระกูลที่มีอำนาจมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

“หลี่จ้านหลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้นถึงปานนั้น ท่านพี่คิดหรือว่าเขาจะใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ นังแพศยานั้นมิได้สำคัญต่อหลี่จ้าน หากมันตายเขาสิต้องขอบคุณข้า”

“เอาเป็นว่าระวังไว้หน่อยก็ดี เรื่องที่เขารักเจ้านั้นมันผ่านมาหลายปี เวลาผ่านเลยใช่ว่าใจคนจะมิผันเปลี่ยนตาม”

อ๋องน้อยสกุลจ้าว ทำได้เพียงทอดถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของน้องสาวเพียงคนเดียว เขาอยากให้นางใช้ความคิดในเรื่องนี้มากกว่าที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาจะไม่เป็นผลเอาเสียเลย

หากเขาจะมองผ่านปล่อยน้องสาวมาเพียงลำพัง ก็มิต่างจากปล่อยให้นางเอาชีวิตออกมาทิ้ง ศัตรูของจ้าวอี้เหมยใช่จะมีเพียงจ้าวหลิวหลีเท่านั้น

แต่คนที่มีอำนาจมากกว่ากำลังหมายชีวิตของนางอยู่ นางอาจรู้อยู่บ้างแล้ว หรือจะไม่รู้เลยก็เป็นได้ แต่ในวันนี้เขาจะต้องปกป้องนางในฐานะของพี่ชายให้ถึงที่สุดเช่นเดียวกัน

“แต่ก็น่าแปลกที่หลีเค่อไม่ยอมรับงานของเรา”

หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อนึกถึงเมื่อหลายวันก่อน นางกับพี่ชายได้ไปยังร้านหลีเค่อ พร้อมเสนอเงินจำนวนมากเพื่อจัดการกับศัตรูหัวใจของนาง มีเพียงความเคลื่อนไหวของจ้าวหลิวหลีเท่านั้น ที่หลีเค่อยินยอมซื้อขายข่าวกับนาง

“หลีเค่อซื้อขายข่าว มิใช่รับจ้างฆ่าคน ไม่แปลกที่เขาจะปฏิเสธเรา”

“เงินมากถึงปานนั้นยังไม่รับ ท่านพี่มิว่ามันแปลกหรืออย่างไร”

“เห้อ! ไยเจ้าจึงมิเคยรับฟังผู้อื่นบ้างอี้เหมย เจ้าคิดแค่ว่าพวกเขาต้องการเงินเช่นนั้นรึ รู้เอาไว้นะว่าหลีเค่อ ร่ำรวยกว่าเราสกุลจ้าวเสียอีก พวกเขาจะรับงานตามความพอใจเท่านั้น มิสนว่าจะจ่ายมากหรือน้อย เพราะราคาซื้อขายมิใช่เราเสนอ แต่เป็นพวกเขาเรียกเอาจากเราต่างหาก”

“ท่านพี่แน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเขามิรับงานลอบสังหาร”

“อี้เหมย เจ้ามิใช่คนเขลา อย่าให้อารมณ์บดบังสติปัญญาที่เจ้ามี”

เอ่ยจบร่างสูงได้ก้าวออกจากที่ซ่อน เพื่อกลับไปยังที่พักของพวกตน โดยไม่ลืมคว้าข้อมือน้องสาวให้เดินตาม ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขากำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญไป แม้ไม่รู้ว่าคืออะไรแต่เขาก็มิพร้อมจะให้สิ่งใดหายไปจากชีวิต

จ้าวอี้เหมยเดินตามพี่ชายด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด แม้จะไม่เต็มใจแต่ก็มิอาจขัดพี่ชายได้ หากเรื่องที่นางทำไม่รู้ถึงหูพระสวามี นางคงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่ในสภาพของหญิงสาวชาวบ้านชั้นต่ำนี่หรอก

‘ข้าเสียไปมิน้อยกับข่าวของเจ้าหลิวหลี ครั้งนี้เจ้าต้องหายไปจากโลกนี้อย่าได้อยู่รกหูรกตาของข้าอีกเลย’

ลับร่างของทั้งคู่ไปเพียงครู่เดียว ชายหนุ่มในชุดชาวบ้านก็ได้ออกมายืนแทนที่ พร้อมกับอาการส่ายหน้าน้อย ๆ

…….

“มิสมเกิดในสกุลชั้นสูง สมองคิดได้เพียงเท่านี้จริง ๆ หรือนี่”

ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง เมื่อเห็นการกระทำอันสิ้นคิดของลูกหลานสกุลใหญ่

“อย่านับรวมข้าเข้าไปด้วยก็แล้วกัน เพราะคนอย่างข้าเน้นคำว่าอยู่รอดมากกว่าการแย่งชิงกับสิ่งไร้สาระ”

เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลัง มันไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตกใจเลยสักนิด เพียงกลิ่นหอมละมุนที่โชยเข้าจมูก เขาก็รู้แล้วว่าคือผู้ใด

“ใครกันจะกล้าเอานายหญิงไปเทียบกับสตรีไร้สมองผู้นั้นเล่าขอรับ”

“อันที่จริงนางฉลาดมากนะ แค่ความริษยาบดบังดวงตาของนางจนมืดบอด ไม่เช่นนั้นนางจะยืนในจุดที่ได้รับอย่างสวยงามไร้ผู้ทัดเทียมเลยทีเดียว”

จ้าวหลิวหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า คราแรกนางคิดว่าจะปล่อยให้คนหลังกำแพงสูงเป็นผู้จัดการเอง แต่ไม่คิดว่าน้องสาวคนงามจะดิ้นรนวิ่งตามนางถึงที่นี่

ใจนางก็มิอยากหักหาญสายเลือดเดียวกัน ทว่าหากปล่อยเอาไว้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ผู้ที่จะเจ็บหนักในวันข้างหน้าคงเป็นตัวนางเอง

“สิ่งที่นางทำมิใช่ความรัก แต่มันเพียงการอยากเอาชนะเท่านั้น”

จ้าวหลิวหลีพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะหมุนกายจากไป หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับเรื่องน้องสาวต่างมารดายิ่งนัก นางรู้ดีว่าองค์ชายสี่นั้นมีใจให้นาง แต่ระหว่างอำนาจและหัวใจ คนเช่นองค์ชายสี่ย่อมเลือกอย่างแรก

เพราะนางรู้มาตลอดแบบนี้ จึงไม่เคยที่จะวางหัวใจไว้ในมือของอดีตคู่หมายเลย นางไม่อยากมีชีวิตเช่นมารดา ที่ต้องทนยิ้มทั้งน้ำตาเพียงเพราะความทะเยอทะยานของบุรุษ

กลางดึก ณ อารามหมิงเหล่ย

            จ้าวหลิวหลีนั่งมองพระจันทร์ยามค่ำคืนอย่างสบายใจ หญิงสาวเลือกที่จะออกมานั่งยังลานชมดาวด้านหลังอาราม โดยมีผู้ติดตามมาเพียงสองคนคือเสี่ยวเชี่ยนและเจาหยาง

            “ฮูหยินควรกลับเข้าที่พักได้แล้วนะขอรับ น้ำค้างเริ่มแรงแล้ว ข้าเกรงฮูหยินจะเป็นหวัดเอาได้นะขอรับ”

            “จะทิ้งให้แขกของเรารอเก้อได้อย่างไรกันท่านลุงเจา อีกอย่างข้ามิชอบให้ห้องนอนมีกลิ่นแปลกปลอม มันทำให้ข้านอนไม่หลับ”

            จ้าวหลิวหลีเอ่ยเบา ๆ ให้ได้ยินเพียงสามคนเท่านั้น นางรู้ดีว่านับตั้งแต่น้องสาวและน้องชายได้เดินทางมาถึงอารามแห่งนี้ ทุกฝีก้าวของนางแทบจะมิเคยหลุดรอดสายตาของอีกฝ่ายเลย

            แม้ว่าทุกสิ่งอย่างที่สองพี่น้องได้เห็น เป็นความตั้งใจของนางทั้งหมดก็ตามที อย่างไรเสียที่นี่ก็คืออารามสำหรับปฏิบัติธรรม มิใช่สนามรบที่ต้องนองไปด้วยเลือด

            หากวันนี้สองคนนั้นยินยอมจะถอยสักก้าว นางอาจละเว้นลมหายใจของทั้งคู่ในฐานะพี่น้อง ทว่าพวกเขามิยินยอมนางก็จะไม่ละเว้นเช่นเดียวกัน

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status