แม่ทัพหนุ่มเดินไปหาพ่อบ้าน ก่อนจะสั่งการอะไรบางอย่าง เจาหยางค้อมหัวเล็กน้อยก่อนจะถอยฉากออกไป หลี่จ้านยังคงเดินเสมือนคนป่วยอยู่
ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป รถม้าจวนหลี่ได้เคลื่อนตัวออกไปยังทิศทางของจวนราชครู เกาจิ้งผู้นี้ชรามากแล้วแต่ยังฝักใฝ่ในอำนาจมิรู้จักพอ ชักใยอยู่เบื้องหลังองค์ชายห้า
เพื่อให้ช่วงชิงราชตำแหน่งรัชทายาท โดยแสร้งร่วมมือกับพระนางหรู่เฟย เพื่อหาช่องทางกำจัดองค์ชายสี่ ความเป็นคนหัวอ่อนขององค์ชายห้าทำให้ง่ายต่อการควบคุม
แม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาไม่เลือกที่จะยืนข้างองค์ชายคนไหนเลย เพราะตัวเขานั้นยืนเคียงข้างองค์ฮ่องเต้แต่ผู้เดียว หากมีการผลัดแผ่นดิน ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องมิใช่การช่วงชิง
เขาหลี่จ้านก็จะภักดีจนลมหายใจสุดท้ายเช่นกัน แต่เพราะเขามิเลือกข้างจึงทำให้ต้องเหนื่อยใจอยู่อย่างนี้ หากภรรยาไม่ส่งคนไปช่วยเหลือ ป่านนี้มีหรือเขาจะยังมีลมหายใจ
ฮี่ ๆ เสียงม้าร้องด้วยความแตกตื่น
รถม้าโคลงไปมาอย่างแรง หลี่จ้านรีบคว้าตัวภรรยาเขามาสวมกอด เมื่อรถม้าหยุดลง เสียงการต่อสู้ด้านนอกเกิดในทันที
“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินมีคนร้ายขอรับ”
ตูหลงตะโกนบอกคนด้านในด้วยอาการแตกตื่น สองสามีภรรยารีบลงจากรถม้า ก่อนจะพากันวิ่งไปอีกด้านของถนน โดยมีรองแม่ทัพตูติดตามไปพร้อมทหารอีกหลายคน
หลี่จ้านสบตากับภรรยา แม่ทัพหนุ่มใจชื้นขึ้นมาในทันที เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง ทั้งคู่วิ่งมาหยุดยังลานกว้าง ก่อนจะหันไปยังผู้ติดตามทั้งหมด
เจาหยางกับเสี่ยวเชี่ยนนั้นมิได้ติดตามมา เพราะน่าจะยังติดพันอยู่กับกลุ่มคนร้าย
“ไยพวกเจ้ามิอยู่เจาหยางก่อนเล่า ข้ากับฮูหยินดูแลตัวเองได้”
หลี่จ้านเอ่ยกับรองแม่ทัพของตน แต่ทว่าเมื่อรองแม่ทัพหันกลับมาที่พวกเขาสองคน แววตานั้นดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด หลี่จ้านวาดแขนกันภรรยาเอาไว้ด้านหลังตนในทันที
เขาผ่านศึกมามิน้อย แววตาเช่นนี้มิต่างอะไรกับสุนัขล่าเหยื่อ และเขาไม่คิดว่าสุนัขตัวนั้น จะเคียงข้างเขาในสนามรบมานานหลายปีเช่นกัน
“ท่านแม่ทัพหลี่ผู้เกรียงไกร ไยวันนี้จึงไปมิถึงจวนของข้าเล่า มาแวะชมนกชมมาทำไมกันยังป่าข้างทาง”
เสียงดังมาจากอีกด้านของชายป่า หลี่จ้านมองไปยังคนพูดที่เพิ่งก้าวออกมา พร้อมกับผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง
“ท่านราชครูเกานี่เอง ไยมิรอข้าอยู่ที่จวนเล่าขอรับ ไม่เห็นต้องลำบากออกมาต้อนรับกันถึงที่นี่เลย”
หลี่จ้านถามผู้มาใหม่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เขาเองก็ไม่นึกว่าจิ้งจอกเท่าจะก้าวออกจากถ้ำมาให้เขาเชือดถึงที่ แม่ทัพหนุ่มขบขันอยู่ภายในใจ กับการเดินหมากของอีกฝ่าย
ถึงเขาจะอยู่แต่ในเรือนกว่าค่อนวันกับภรรยา ใช่จะไม่รู้เรื่องราวจากภายนอกเสียเมื่อไหร่กัน พระนางหรู่เฟยได้รับโทษตาย องค์ชายสี่กำลังจะถูกส่งตัวไปอยู่ชายแดนเหนือที่หนาวเหน็บ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ซึ่งเป็นการยืนยันไปในตัวว่าองค์ชายสี่ มิอาจได้รับเลือกให้เป็นองค์รัชทายาท ด้วยพระชายาและพระมารดานั้นมีมลทินติดตัว องค์ชายสี่จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะขึ้นครองบัลลังก์เป็นคนต่อไป
“หึ ๆ หลี่จ้าน ข้ามอบโอกาสที่ดีให้แก่เจ้า ไยจึงไม่รับเอาไว้เล่า”
ราชครูเกายังคงหยั่งเชิงชายหนุ่มดูอีกสักครั้ง แม้หลี่จ้านจะเป็นแม่ทัพที่อายุยังน้อย แต่ความสำคัญต่อราชวงศ์นั้นมีอยู่มากทีเดียว หากแม่ทัพหนุ่มเลือกที่จะยืนข้างเขา
สิ่งที่ตั้งใจจะกระทำต่อสองสามีภรรยา เขาจะเปลี่ยนมันทันที แต่หากหลี่จ้านยังดื้อรั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องปราณีต่อทั้งคู่อีก
“สำหรับข้านั้น ยึดมั่นในความถูกต้อง มิได้หลงใหลในอำนาจจนพาตนเองและครอบครัวลำบากหรอกนะขอรับ”
“เจ้าเลือกเองนะ”
“ข้าไม่เลือก เพราะข้าเป็นข้ามิใช่เครื่องมือของผู้ใด”
“เช่นนั้นเราก็ลาขาดกันเสียตรงนี้ก็แล้วกัน”
ราชครูเกาส่งสัญญาณให้แก่ตูหลง และเหล่าผู้ติดตามให้ลงมือต่อแม่ทัพหนุ่มและภรรยา ตูหลงยกยิ้มอย่างหยามใจ เขาเป็นผู้มอบยาพิษให้แก่แม่ทัพหนุ่มด้วยตนเองมาตลอด
จึงมั่นใจว่าการลงมือต่อหลี่จ้านเป็นเรื่องง่ายดาย เชร้ง! ทว่าเมื่ออาวุธของตูหลงจะต้องกายของแม่ทัพหนุ่ม ดาบในมือของอีกฝ่ายกลับตั้งรับได้ทันท่วงที อีกทั้งกำลังในการปะทะนั้น ดูจะไม่เหมือนคนที่ถูกวางยาพิษจนใกล้ตายเลยสักนิด
“นี่ท่าน...”
ตูหลงดวงตาเบิกกว้างมองหน้าของแม่ทัพหนุ่ม ที่ดูเหมือนกำลังขบขันต่ออาการตื่นตกใจของเขาอยู่ในตอนนี้
“ข้าผ่านศึกมามิน้อยตูหลง แม้เจ้าคือคนสนิท แต่เจ้ามิใช่ผู้ที่เป็นดั่งแขนขาของขาแต่ผู้เดียว เงินตราอาจซื้อเจ้าได้แต่มิใช่กับทุกคน”
ตูหลงถอยหลังหลายก้าว เมื่อถูกแรงกระแทกจากฝ่ามือของแม่ทัพหนุ่ม แต่กระนั้นตูหลงยังคงพุ่งเข้าหาหลี่จ้านอย่างอุกอาจ โดยที่เหล่าผู้ติดตามมานั้น ตรงเข้าหาภรรยาของแม่ทัพหนุ่มแทน
ควับ! เสียงบางอย่าง แหวกอากาศตรงเข้าปะทะกับทหารที่พุ่งเข้าหาหลี่ฮูหยิน เสียงแส้กระทบร่างดังเข้ามาในหูของตู่หลง ทำให้ชายหนุ่มสั่นสะท้านไปทั้งกายโดยมิรู้ตัว
เมื่อเห็นว่าตอนนี้ฮูหยินในท่านแม่ทัพ กำลังตวัดแส้สีเงินในมือใส่ร่างของผู้ติดตาม เคร้ง! ตูหลงต้านรับการโจมตีได้ทันก่อนที่ดาบของท่านแม่ทัพจะถูกร่างของตนเอง
การต่อสู้ดูจะดุเดือดขึ้นตามลำดับ เกาจิ้งที่ตั้งใจจะจากไปในคราแรก ได้หยุดดูการต่อสู้และเมื่อเห็นว่าตูหลงกำลังจะพ่ายให้แก่สองสามีภรรยา เขาจึงได้สั่งให้ผู้ติดตามข้างกาย ลงมือกำจัดทั้งคู่เสีย
เวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยาม การต่อสู้ดูจะเห็นผลแล้วว่าฝ่ายจะเป็นผู้กำชัย เกาจิ้งรีบก้าวไปยังทิศทางของรถม้าที่จอดรอท่าอยู่ กึก! ทว่า..
“จะรีบไปไหนหรือท่านราชครู ท่านเชิญข้ามาร่วมมื้อค่ำมิใช่หรือ แล้วไยจึงไม่รอข้าก่อนเล่าขอรับ ท่านราชครูก็เห็นว่าข้ามีธุระติดพันอยู่”
เกาจิ้งกำหมัดแน่น ด้วยวัยของเขาในตอนนี้คงไม่อาจที่จะต่อกรกับหลี่จ้านได้อย่างแน่นอน เขาเคยคิดว่าหลี่จ้านมียอดฝีมือคอยดูแลจ้าวหลิวหลี
แต่วันนี้เขาคงต้องตัดความคิดนั้นออกไปเสีย ใครจะไปคาดคิดว่าท่านหญิงกำพร้ามารดาเช่นนาง จะมีฝีมือมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งหลี่จ้านที่ควรจะอ่อนแรงด้วยพิษที่เขาให้ตูหลงใส่ในอาหารยาบำรุงกลับไม่เป็นอะไรเลย ทั้งยังมายืนลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเขาอยู่ในตอนนี้“เจ้าคงไม่คิดที่จะทำเรื่องสิ้นคิดหรอกนะ หลี่จ้าน”“หากข้าปล่อยท่านราชครูกลับไปต่างหากเล่าขอรับ จึงจะถือว่าเป็นเรื่องสิ้นคิด”“เจ้ากล้ารึ”“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ท่านราชครูพ้นตำแหน่ง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ”“โอหังนัก กล้าแอบอ้างพระบัญชาในองค์ฮ่องเต้เชียวรึ”“ข้าว่าแอบอ้างหรือไม่ ท่านราชครูย่อมรู้ดีแก่ใจนะขอรับ”“ท่านราชครู หลบไปก่อนขอรับทางนี้ข้าจัดการเอง”อยู่ ๆ ได้มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้น หลี่จ้านมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อคนตรงหน้าเลย กระบี่ในมือของอีกฝ่ายเขาจำมันได้ดีว่าคือของผู้ใดองค์ชายที่ผู้คนมองว่าหัวอ่อน ทว่าแท้จริงแล้วแอบซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้อย่างมิดชิด แสร้งทำทีไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่กลับเป็นผู้ชักใยผู้คนให้กำจัดกันเอง เพื่อให้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวคือตนเอง“ทรงมาช่วยเหลือหรือกำจัดเขากันแน่พ่ะย่ะค่
สิบวันถัดมา ข่าวการตายท่านอ๋องน้อยสกุลจ้าว และพระชายาในองค์ชายสี่ได้ถูกโจรปล้น ขณะที่ท่านอ๋องน้อยพาน้องสาวไปท่องเที่ยวยังอารามนอกเมือง ยังไม่ทันซา ข่าวการสิ้นพระชนขององค์ชายห้าก็แผ่ออกไปทั่วเมืองหลวง องค์ชายห้าเกิดล้มป่วยจนสิ้นพระชนนับเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย และข่าวที่ชาวเมืองโจษจันไม่แพ้กัน ที่อยู่ ๆ ทางด้านองค์ชายสี่ได้ออกเดินทางสู่ชายแดนเหนือ หลังสูญเสียพระชายา ชาวเมืองต่างแสดงความเห็นใจองค์ชาย ที่ทนทำใจกับการตายของพระชายาไม่ได้ จึงทรงเดินทางไปอยู่ชายแดนเพื่อรักษาบาดแผลทางใจ แม้ว่าชาวเมืองบางกลุ่มจะมีความคิดเห็นขัดแย้งอยู่บ้าง ส่วนเรื่องของพระนางหรู่เฟย ถูกปิดเป็นความลับ อย่างไรเสียงเรื่องสตรีวังหลังหายตัวไปนับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พระนางหรู่เฟยทำเรื่องเสื่อมเสีย ย่อมไม่ได้รับให้ฝังในสุสานหลวงอย่างแน่นอนส่วนจวนแม่ทัพนั้นดูจะหอมอบอวลไปด้วยความสุข เมื่อแม่ทัพหลี่นั้นได้สั่งให้ย้ายข้าวของทั้งหมดจากเรือนหลิวหลี ไปยังเรือนใหญ่ของท่านตนเอง เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังขึ้นเป็นระยะจากในสวนดอกไม้ คงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากเจ้าของจวนทั้งสองหย
นางไม่รู้ว่าเพราะความผิดพลาดที่ใด คนที่อยู่บนเตียงกับจ้าวหลิวหลี จึงได้กลายมาเป็นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ ทั้งที่นางหมายจะเก็บเขาเอาไว้ใช้งาน เพื่อเป็นบันไดให้แก่ลูก ๆ ของนาง แต่ก็นั้นแหละหลี่จ้านเป็นเพียงแม่ทัพ มิรู้ว่าอนาคตจะไปได้ไกลสักเท่าใดกัน จะมีเขาหรือไม่ในตอนนี้ก็หาได้สำคัญต่อนางแล้ว “ไม่จริง! ข้าไม่ได้คิดต่ำช้าเช่นนั้น ฮือ ๆ” จ้าวหลิวหลีกรีดร้องด้วยความเสียใจ หญิงสาวร้องไห้จนสิ้นสติลงในอ้อมแขนของแม่ทัพหนุ่ม “ปล่อยนางซะ! หลี่จ้าน” จ้าวอ๋องคำรามก้อง เมื่อเห็นบุตรสาวสิ้นสติอยู่ในอ้อมกอดของแม่ทัพหนุ่ม เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ “ข้าหลี่จ้านขอพูดเพียงครั้งเดียว และจะทำอย่างที่พูด ข้าจะแต่งท่านหญิงใหญ่จ้าวหลิวหลีเข้าจวน ในฐานนะภรรยาเพียงหนึ่งเดียว ข้าหวังว่าทุกท่านจะเป็นพยาน และข้าหลี่จ้านต้องขออภัยต่อท่านอ๋องในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะตลบผ้าห่มผืนใหญ่พันร่างของคนในอ้อมแขนเอาไว้ ก่อนจะขยับลุกโดยมีร่างของหญิงสาวอยู่แนบกาย ชายหนุ
จวนสกุลหลี่ เรือนหลิวหลี ร่างเย้ายวนนั่งมองกระดาษที่อยู่ในมือ ก่อนจะวางลงยังเตาเล็กบนโต๊ะน้ำชา “วันนี้เราจะออกไปร้านเครื่องหอมกัน ท่านพี่จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบกับสาวใช้ข้างกาย นางแต่งเข้าจวนมาหลายปี ทว่าสามีนั้นแทบจะมิเคยย่างกรายมายังเรือนของนางเลย เรื่องการเสพสุขระหว่างสามีภรรยาหาได้เคยเกิดขึ้นแม้เพียงครั้ง ‘ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก เกิดมาชาติตระกูลดีสูงส่ง ทว่ากลับถูกสามีรังเกียจ บทนิยายน้ำเน่าสิ้นดี ยามนั้นข้ายังเยาว์ มิใช่ตอนนี้ที่ข้าพร้อมจะเปลี่ยนมันด้วยมือของข้าเอง ชะตาย่อมอยู่ในมือผู้กล้าที่จะเปลี่ยนเสมอ’ จ้าวหลิวหลีคิดอยู่ในใจก่อนจะลุกขึ้น หญิงสาวเดินไปนั่งลงยังกระจกทองเหลือง ร่างงามมองใบหน้าหมดจดของตนเอง ก่อนจะเริ่มแต่งแต้มสีสันให้เข้ากับใบหน้าอย่างใจเย็น สามีเป็นแม่ทัพใหญ่ บุรุษที่สตรีทั่วแผ่นดินหมายปอง และเป็นอดีตคนรักของน้องสาวต่างมารดา ส่วนนางคือท่านหญิงใหญ่แห่งจวนจ้าวสตรีที่เขามองว่าไร้ค่า ซ้ำยังหาญกล้าปีนป่ายเตียงของเขาเมื่อหลายปีก่อน นับแต่นั้นเป็นต้นมา นางเฝ้าเปลี
“หลิวหลีคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” จ้าวหลิหลีย่อกายให้แก่ผู้เป็นบิดา ที่ดูเหมือนกำลังมีโทสะ และนางมิจำเป็นต้องคาดเดา ว่าผู้ใดคือต้นเหตุของความกรุ่นโกรธในครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นนางบุตรสาวผู้น่าชังอย่างแน่นอน “ฮึ ! ยังมีหน้าเรียกข้าว่าพ่ออยู่เช่นนั้นรึ” จ้าวอ๋องตอบกลับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ถึงแม้จะแสดงออกถึงความโกรธกริ้วมากเพียงใด ทว่าคนตรงหน้ากลับยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย ยิ่งเป็นการเพิ่มไฟโทสะให้แก่จ้าวอ๋อง นับเท่าทวีคูณเลยก็ว่าได้ ที่บุตรสาวหาได้ยำเกรงต่อตนเองไม่ “มิทราบว่าท่านอ๋อง มีเรื่องอันใดกับข้าน้อยเช่นนั้นรึเจ้าคะ” จ้าวหลิวหลีเปลี่ยนคำเรียกขานบิดาในทันที นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้เป็นพ่อที่เคยมีความฉลาดรอบรู้ มีความเที่ยงธรรมจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แม้แต่ตอนที่นางถูกใส่ความ จนต้องแต่งแก่แม่ทัพหลี่จ้าน บิดาไม่แม้แต่จะคิดสืบหาความจริง ซ้ำยังมิเคยเหลียวแลนางแม้แต่หางตา ทุกคำของมารดาเลี้ยงและน้องสาวคือความถูกต้อง ส่วนคำของนางนั้น เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลของบุตรสาวผู้ไม่รักดีไปเสียหมด ทุกอย่างเป
จ้าวหลิวหลีหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่ออีกครั้ง นางอาจดูโง่เขลาเมื่อครั้งในอดีต แต่นั้นมันเมื่อก่อนมิใช่ปัจจุบัน ที่นางไม่มีคำว่ายินยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไป “เพราะอี้เหมยเห็นแก่คำว่าพี่น้อง เรื่องนี้นางจึงยังมิได้ทูลให้องค์ชายสี่ได้ทรงทราบ” เป็นชุ่ยเหนียงเฟย พระชายาเอกคนปัจจุบันในจ้าวอ๋องกล่าวแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นพระสวามีเริ่มจนในคำพูด “ไม่มีความจำเป็นที่นางต้องทำเช่นนั้น เพราะการวางยาหมายกำจัดสายเลือดมังกร นับเป็นเรื่องใหญ่ที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้ มิเว้นแม้แต่สายเลือดเดียวกัน คำว่าพี่น้องมิใช่ข้ออ้างให้ท่านอ๋องกับพระชายา มากล่าวหาข้าโดยไร้มูลความจริงอยู่อย่างนี้” “เอ่อ...” สองสามีภรรยาจนในคำพูด เมื่อเจ้าของบ้านตอบกลับมาด้วยเหตุผลที่หนักแน่นกว่า จ้าวอ๋องมองไปยังภรรยาที่ตอนนี้เอาแต่หลบสายตาของบุตรสาว แม้แต่เขาที่เป็นพ่อ ยังไม่หาญกล้าที่จะมองตาเอาเรื่องของบุตรสาวคนโตได้เลย คราแรกเขานับว่าถือหมากเหนือกว่า ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่ตกเป็นรองในคำพูด “จะอย่างไรเรื่องนี้ ข้าก็ต้องหาความจริงให้จงได้”
ทว่ารอยยิ้มที่เขาเคยเห็นได้หายไปทีละน้อย นับตั้งแต่อดีตพระชายาเอกในจ้าวอ๋องตายไป ทุกอย่างเริ่มแปรเปลี่ยนแต่จ้าวหลิวหลียังคงเป็นหนึ่งดวงใจของเขาเช่นเดิม แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ พระมารดาของเขาจึงได้ทำการสู่ขอจ้าวอี้เหมยเข้าจวนแทน พระมารดาคอยย้ำให้เขามองถึงจุดมุ่งหมายมากกว่าเรื่องความรัก ดังนั้นเขาจึงต้องปิดหูปิดตากับสิ่งที่จ้าวอี้เหมยทำมาโดยตลอด “ยังทรงเชื่อความเสแสร้งของนางอยู่อีกหรือเพคะ หม่อมฉันมีตรงไหนสู้นางมิได้บ้างเพคะ” จ้าวอี้เหมยเหมือนจะเริ่มควบคุมตนเองเอาไว้ไม่ได้บ้างแล้ว หญิงสาวหาญกล้าที่จะเอ่ยถามพระสวามี ที่เอาแต่โทษนางว่าทำเพียงเรื่องเลวร้าย โดยที่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ที่ผ่านมาเขาเองก็ใช้นางเป็นเพียงสะพานมุ่งสู่อำนาจเดียวเช่นกัน “เจ้าคิดเช่นนั้นหรืออี้เหมย หากเจ้ามิเพียบพร้อมข้าจะเลือกเจ้ามายืนในฐานะพระชายาเอกของข้าจนถึงทุกวันนี้หรือ” เสวี่ยเฟิงพยายามลดโทสะของตนเองลง เขายังไม่อยากให้เกิดความแตกหักขึ้นในตอนนี้ แต่ดูเหมือนจ้าวอี้เหมยจะรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน นางจึงใช้สิ่งนี้บีบบังคับเขาอยู่กลาย ๆ
“ลูกรักเจ้าต้องมั่นใจในตนเองให้มาก ความงามและสติปัญญาของเจ้าเหนือกว่านางมากนัก อย่าได้แยแสต่อบุรุษที่มิเห็นค่าของเจ้า แต่จงยืนให้เหนือผู้ที่ทำร้ายเจ้าเท่านั้น” “แต่ข้ารักเขา” “ความรักย่อมต้องมิทำให้เกิดความทุกข์ หากมันไร้ซึ่งความสุขมันย่อมมิใช่ความรัก นับจากนี้จงฟังแม่เจ้าต้องใส่ใจเพียงอำนาจในมือ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เจ้าอยู่รอด” “แต่ว่า...” ชุ่ยเหนียงเฟยยกนิ้วทาบริมฝีปากบุตรสาว ความรักทำให้จ้าวอี้เหมยมองไม่เห็นความเป็นจริง นางผู้เป็นมารดามีหน้าที่ปกป้องลูก ดังนั้นนางจำต้องสอนให้บุตรสาว ยืนอยู่บนความจริงมากกว่าความรู้สึกอันเลื่อนลอย เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ใกล้เข้ามา ทำให้สองแม่หยุดการสนทนาลงในทันที เพราะหากเดาไม่ผิดก็คงเป็นจ้าวอ๋องอย่างแน่นอน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นลูกพ่อ” คำถามจากคนด้านหน้าประตูดังขึ้น ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวเข้ามาด้านใน จ้าวอี้เหมยผละออกจากอ้อมกอดของมารดา วิ่งเข้าสวมกอดผู้เป็นพ่อ พร้อมสะอื้อไห้ปานจะขาดใจ “น้องหญิงเจ้าเป็นอันใดไป” เสียงทุ้มลึกดังมาจากด้านหลังจ้