“หลิวหลีคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ”
จ้าวหลิหลีย่อกายให้แก่ผู้เป็นบิดา ที่ดูเหมือนกำลังมีโทสะ และนางมิจำเป็นต้องคาดเดา ว่าผู้ใดคือต้นเหตุของความกรุ่นโกรธในครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นนางบุตรสาวผู้น่าชังอย่างแน่นอน
“ฮึ ! ยังมีหน้าเรียกข้าว่าพ่ออยู่เช่นนั้นรึ”
จ้าวอ๋องตอบกลับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ถึงแม้จะแสดงออกถึงความโกรธกริ้วมากเพียงใด ทว่าคนตรงหน้ากลับยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย
ยิ่งเป็นการเพิ่มไฟโทสะให้แก่จ้าวอ๋อง นับเท่าทวีคูณเลยก็ว่าได้ ที่บุตรสาวหาได้ยำเกรงต่อตนเองไม่
“มิทราบว่าท่านอ๋อง มีเรื่องอันใดกับข้าน้อยเช่นนั้นรึเจ้าคะ”
จ้าวหลิวหลีเปลี่ยนคำเรียกขานบิดาในทันที นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้เป็นพ่อที่เคยมีความฉลาดรอบรู้ มีความเที่ยงธรรมจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
แม้แต่ตอนที่นางถูกใส่ความ จนต้องแต่งแก่แม่ทัพหลี่จ้าน บิดาไม่แม้แต่จะคิดสืบหาความจริง ซ้ำยังมิเคยเหลียวแลนางแม้แต่หางตา ทุกคำของมารดาเลี้ยงและน้องสาวคือความถูกต้อง ส่วนคำของนางนั้น เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลของบุตรสาวผู้ไม่รักดีไปเสียหมด
ทุกอย่างเปลี่ยนไปมิใช่เพราะความรัก ที่บิดามีต่อมารดาเลี้ยงเท่านั้น แต่มันคืออำนาจที่บิดาของนาง พร้อมอ้าแขนรับ เมื่อมันถูกหยิบยื่นมา โดยแลกกับทั้งชีวิตของนาง ที่ต้องกลายเป็นความอัปยศของสกุลจ้าว หากบิดามีความเที่ยงธรรมสักหน่อย ถึงแม้นางมิได้แต่งเข้าจวนองค์ชายสี่ อย่างน้อยนางก็คงมิต้องแบกความเสื่อมเกียรตินี้ไปชั่วชีวิตเพียงลำพัง
แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นนางคือผู้กระทำเรื่องไร้ยางอาย แย่งคนรักของน้องสาว เพียงเพราะอยากเอาชนะจ้า;อี้เหมย ที่มีความงดงามและสมบูรณ์แบบกว่า
คงมีเพียงคนจิตใจคับแคบเท่านั้น ที่มองเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้น นางไม่เคยคิดจะไขว่คว้าสิ่งเกินตัวให้มันเหนื่อยยากเลยสักนิด นางรักที่จะอยู่อย่างสงบนับตั้งแต่มารดาสิ้นไป
ทว่าสิ่งที่นางได้รับนั้น เป็นเพราะความเหมาะสมที่ถูกวางเอาไว้นับตั้งแต่นางถือกำเนิด ในฐานธิดาคนโตในชายาเอกของจ้าวอ๋อง มิใช่ความต้องการของนางเลยแม้แต่น้อย
การแต่งงานของนาง ในวันนั้น เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกได้ ถึงอิสระในชีวิตใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว นางสบายใจเป็นที่สุด มิใช่เพราะได้สามีเป็นหลี่จ้าน แต่เพราะนางมิต้องก้าวเข้าสู่วังวนแห่งอำนาจหรือการแย่งชิง ในฐานะพระชายา
“เมื่อไหร่ที่เจ้าจะเลิกริษยาในตัวอี้เหมยเสียที เจ้ากล้าดีเยี่ยงไรที่ส่งยาขับเลือดปนไปกับยาบำรุงของอี้เหมย”
จ้าวอ๋องชี้นิ้วอันสั่นเทามายังจ้าวหลิวหลี สายตาชิงชังนั้นไม่มีคำว่าปิดบังเลยสักนิดเดียว
“มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือเจ้าคะ ว่าอย่างไรเสี่ยวเชี่ยนเจ้าได้รู้เห็นเรื่องนี้บ้างหรือไม่”
จ้าวหลิวหลีเลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมตั้งคำถามกับผู้เป็นพ่อ ก่อนที่จะหันไปถามสาวใช้ข้างกาย ก่อนจะมองกลับไปยังบิดาอีกครั้ง
“เรียนฮูหยิน ย่อมไม่มีเรื่องเช่นนั้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ เสี่ยวเชี่ยนเป็นพยานได้เจ้าค่ะ ว่าฮูหยินไม่เคยส่งสิ่งใดไปให้แก่พระชายาสี่เลยเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเชี่ยนยืนยันหนักแน่น ถึงความบริสุทธิ์ของผู้เป็นนาย ซึ่งนางเองคาดไม่ถึงเช่นกันว่าพระชายาสี่จะลงมือได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
“นายบ่าวย่อมไม่มีทางยอมรับความจริง วันนี้ข้าจะไม่ยินยอมนิ่งเฉยอีกต่อไปแล้ว กี่ครั้งแล้วหลิวหลีที่ข้าทนเงียบกับสิ่งที่เจ้ากระทำต่ออี้เหมย”
“เป็นข้าสินะเจ้าคะ ที่ลงมือต่อน้องสาวคนดี หากท่านพ่อมิได้ดวงตามืดบอด ก็น่าจะมองเห็นว่าเท็จจริงเป็นเช่นไร ข้าหรือเป็นผู้กระทำ และเป็นข้าอีกเช่นนั้นหรือที่เป็นผู้ริษยา ที่ใดกันท่านพ่อที่ข้าเป็นเช่นนั้น ชีวิตของข้าจ้าวหลิวหลีในจวนหลี่แห่งนี้ ย่อมสงบสุขหากไม่มีผู้อื่นมาก่อกวนอยู่มิขาดสาย เห็นข้ามิตอบโต้ ใช่ว่าข้าไร้ดวงตาที่จะมองไม่เห็นว่าผู้ใดบ้างหวังดีและหวังร้ายต่อข้า”
จ้าวอ๋องถึงกับนิ่งเงียบไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรสาวคนโต เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจ้าวหลิวหลีจะหาญกล้าต่อคำ เพราะที่ผ่านมามิว่าเกิดเรื่องใดขึ้น นางจะนิ่งเงียบและยอมรับมันแต่โดยดี
แล้วไยครั้งนี้นางจึงได้ลุกขึ้นตอบโต้เขาได้เล่า แม้จะมีคำถามที่ขัดแย้ง แต่เรื่องที่เกิดต่อบุตรสาวคนเล็กนั้น ส่งผลต่อความมั่นคงของตัวเขาและทุกคนในสกุลจ้าว
จะใช่เรื่องจริงหรือไม่เขามิคิดจะสนใจ ขอแค่เพียงบุตรสาวคนเล็กพึงพอใจ เขาก็ยินดีที่จะกระทำมัน
“อย่าคิดสรรหาคำแก้ตัวอีกเลย เจ้ารู้โทษของเรื่องนี้ดีใช่หรือไม่ ผู้ที่คิดทำร้ายสายเลือดมังกรจะต้องแบกรับสิ่งใดบ้าง แต่เพราะเจ้าคือพี่สาวที่พระชายาสี่รัก นางจึงให้เจ้าเลือกออกจากเมืองหลวงไปซะ!”
‘หึ ๆ จิตใจของท่านทำด้วยสิ่งใดกันบิดาข้า’
“เรื่องนี้ข้าคิดว่าควรรอให้สามีของข้ากลับมาก่อนจะดีกว่านะเจ้าคะ เพราะสิ่งใดที่เกิดกับข้านั้น เขาย่อมต้องรับรู้และต้องร่วมออกความคิดเห็นด้วย อีกอย่างนะเจ้าคะ เรื่องนี้ไร้พยานและหลักฐานมายืนยัน กลับพากันกล่าวหาข้าอย่างเลื่อนลอย แล้วหากในวันนี้ข้าบอกว่าพระชายาสี่เป็นผู้ลงมือต่อข้า ท่านผู้เป็นบิดา จะเรียกร้องความเป็นธรรมนี่แก่ข้าบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
จ้าวหลิวหลีไม่คิดสนใจสีหน้าโกรธกริ้วของผู้เป็นพ่ออีกต่อไป หญิงสาวก้าวผ่านจ้าวอ๋องไปอย่างสงบ นางไม่ได้กระทำอย่างที่ถูกกล่าวหา ไยต้องเก็บมาคิดให้เปลืองสมองด้วยเล่า
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ข้าให้เจ้าไปได้แล้วรึ”
จ้าวอ๋องรู้สึกเสียหน้า ยิ่งเมื่อถูกบ่าวไพร่ภายในจวนหลี่มอง ซึ่งมันไม่ต่างอะไรกับการถูกตบหน้าจนชาหนึบ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าคนเช่นจ้าวหลิวหลี จะมีชีวิตที่งดงามอยู่ในจวนแห่งนี้ได้
“เรียนท่านอ๋อง ข้าเป็นเจ้าของบ้าน ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเดินไปที่ใดก็ได้ มิเหมือนท่านกับพระชายาที่เป็นคนนอกซึ่งข้ามิได้เชื้อเชิญ”
“จ้าวหลิวหลี! ต่ำช้านัก ทำความผิดใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ เจ้ายังมีหน้าเอ่ยวาจาสามหาวกับข้าอยู่อีกหรือ”
“หากมันเป็นเรื่องจริงอย่างที่ท่านอ๋องกล่าวมา เหตุใดองค์ชายสี่ยังคงมิลงมือต่อข้า หรือร้องเรียนต่อฮ่องเต้ ไยยังคงนิ่งเฉยอยู่เช่นนี้ด้วยเล่า นอกเสียจากเรื่องนี้มีสิ่งที่บอกแก่ผู้อื่นมิได้”
จ้าวหลิวหลีหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่ออีกครั้ง นางอาจดูโง่เขลาเมื่อครั้งในอดีต แต่นั้นมันเมื่อก่อนมิใช่ปัจจุบัน ที่นางไม่มีคำว่ายินยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไป “เพราะอี้เหมยเห็นแก่คำว่าพี่น้อง เรื่องนี้นางจึงยังมิได้ทูลให้องค์ชายสี่ได้ทรงทราบ” เป็นชุ่ยเหนียงเฟย พระชายาเอกคนปัจจุบันในจ้าวอ๋องกล่าวแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นพระสวามีเริ่มจนในคำพูด “ไม่มีความจำเป็นที่นางต้องทำเช่นนั้น เพราะการวางยาหมายกำจัดสายเลือดมังกร นับเป็นเรื่องใหญ่ที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้ มิเว้นแม้แต่สายเลือดเดียวกัน คำว่าพี่น้องมิใช่ข้ออ้างให้ท่านอ๋องกับพระชายา มากล่าวหาข้าโดยไร้มูลความจริงอยู่อย่างนี้” “เอ่อ...” สองสามีภรรยาจนในคำพูด เมื่อเจ้าของบ้านตอบกลับมาด้วยเหตุผลที่หนักแน่นกว่า จ้าวอ๋องมองไปยังภรรยาที่ตอนนี้เอาแต่หลบสายตาของบุตรสาว แม้แต่เขาที่เป็นพ่อ ยังไม่หาญกล้าที่จะมองตาเอาเรื่องของบุตรสาวคนโตได้เลย คราแรกเขานับว่าถือหมากเหนือกว่า ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่ตกเป็นรองในคำพูด “จะอย่างไรเรื่องนี้ ข้าก็ต้องหาความจริงให้จงได้”
ทว่ารอยยิ้มที่เขาเคยเห็นได้หายไปทีละน้อย นับตั้งแต่อดีตพระชายาเอกในจ้าวอ๋องตายไป ทุกอย่างเริ่มแปรเปลี่ยนแต่จ้าวหลิวหลียังคงเป็นหนึ่งดวงใจของเขาเช่นเดิม แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ พระมารดาของเขาจึงได้ทำการสู่ขอจ้าวอี้เหมยเข้าจวนแทน พระมารดาคอยย้ำให้เขามองถึงจุดมุ่งหมายมากกว่าเรื่องความรัก ดังนั้นเขาจึงต้องปิดหูปิดตากับสิ่งที่จ้าวอี้เหมยทำมาโดยตลอด “ยังทรงเชื่อความเสแสร้งของนางอยู่อีกหรือเพคะ หม่อมฉันมีตรงไหนสู้นางมิได้บ้างเพคะ” จ้าวอี้เหมยเหมือนจะเริ่มควบคุมตนเองเอาไว้ไม่ได้บ้างแล้ว หญิงสาวหาญกล้าที่จะเอ่ยถามพระสวามี ที่เอาแต่โทษนางว่าทำเพียงเรื่องเลวร้าย โดยที่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ที่ผ่านมาเขาเองก็ใช้นางเป็นเพียงสะพานมุ่งสู่อำนาจเดียวเช่นกัน “เจ้าคิดเช่นนั้นหรืออี้เหมย หากเจ้ามิเพียบพร้อมข้าจะเลือกเจ้ามายืนในฐานะพระชายาเอกของข้าจนถึงทุกวันนี้หรือ” เสวี่ยเฟิงพยายามลดโทสะของตนเองลง เขายังไม่อยากให้เกิดความแตกหักขึ้นในตอนนี้ แต่ดูเหมือนจ้าวอี้เหมยจะรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน นางจึงใช้สิ่งนี้บีบบังคับเขาอยู่กลาย ๆ
“ลูกรักเจ้าต้องมั่นใจในตนเองให้มาก ความงามและสติปัญญาของเจ้าเหนือกว่านางมากนัก อย่าได้แยแสต่อบุรุษที่มิเห็นค่าของเจ้า แต่จงยืนให้เหนือผู้ที่ทำร้ายเจ้าเท่านั้น” “แต่ข้ารักเขา” “ความรักย่อมต้องมิทำให้เกิดความทุกข์ หากมันไร้ซึ่งความสุขมันย่อมมิใช่ความรัก นับจากนี้จงฟังแม่เจ้าต้องใส่ใจเพียงอำนาจในมือ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เจ้าอยู่รอด” “แต่ว่า...” ชุ่ยเหนียงเฟยยกนิ้วทาบริมฝีปากบุตรสาว ความรักทำให้จ้าวอี้เหมยมองไม่เห็นความเป็นจริง นางผู้เป็นมารดามีหน้าที่ปกป้องลูก ดังนั้นนางจำต้องสอนให้บุตรสาว ยืนอยู่บนความจริงมากกว่าความรู้สึกอันเลื่อนลอย เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ใกล้เข้ามา ทำให้สองแม่หยุดการสนทนาลงในทันที เพราะหากเดาไม่ผิดก็คงเป็นจ้าวอ๋องอย่างแน่นอน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นลูกพ่อ” คำถามจากคนด้านหน้าประตูดังขึ้น ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวเข้ามาด้านใน จ้าวอี้เหมยผละออกจากอ้อมกอดของมารดา วิ่งเข้าสวมกอดผู้เป็นพ่อ พร้อมสะอื้อไห้ปานจะขาดใจ “น้องหญิงเจ้าเป็นอันใดไป” เสียงทุ้มลึกดังมาจากด้านหลังจ้
ฟิ้ว! มีเสียงบางอย่างแหวงอากาศมาจากข้างทาง ทำให้ทุกความคิดของเจาหยางยุติลง มือหนาที่กรำศึกมานานคว้าจับสิ่งนั้นเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะพุ่งผ่านเขาไปยังรถม้าของผู้เป็นนาย เพียงครู่เดียวเสียงอาวุธกระทบกันเกิดขึ้นจากรอบด้าน เจาหยางเหินกายงจากหลังม้า เพื่อคุ้มกันรถม้าเอาไว้ โดยมีผู้ติดตามกว่าห้าคนล้อมรถม้าเอาไว้ ชายชุดดำจำนวนหลายคน พยายามที่จะฝ่าเข้ามาให้ถึงรถม้า ทำให้ทหารคุ้มกันบาดเจ็บล้มตายบ้างแล้ว “ฮูหยิน รอเสี่ยวเชี่ยนก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวเชี่ยนคว้าอาวุธ ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ที่นั่งในรถม้าออกมาถือไว้ในมือ ก่อนที่ร่างงามจะก้าวออกจากรถม้า หญิงสาวดึงกระบี่ออกจากฝัก พร้อมกับพุ่งเข้าหาคนร้ายด้วยความดุดัน เชร้ง! เสียงอาวุธกระทบกันจากทางด้านหลัง เรียกสายตาของเจาหยางในทันที ดวงตาของพ่อบ้านสูงวัยเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาในตอนนี้คือเสี่ยวเชี่ยน ไม่มีคำพูดใดจากคนทั้งคู่ ด้วยเวลานี้คนร้ายเหมือนจะได้เปรียบพวกเขาอยู่ไม่น้อย เสี่ยวเชี่ยนคอยมองไปยังรถม้าอยู่บ่อยครั้ง นางรู้ดีว่าผู้เป็นนายนั้นจะปลอดภ
“แต่ว่า...ฮูหยินมิแปลกใจหรือเจ้าคะ ที่อยู่ ๆ เราก็ถูกคนจำนวนมากโจมตี อันที่จริงแล้วแค่คิดจะสังหารฮูหยิน ใช้คนเพียงหยิบมือก็ทำได้แล้วนะเจ้าคะ” “ต่อให้ข้าเลี้ยงหนอนให้อิ่มหนำสำราญเพียงใด ก็ย่อมมีบางตัวชื่นชอบอาหารที่ผู้อื่นหยิบยื่นมาให้มันอยู่ดี” จ้าวหลิวหลียังคงไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมาทางน้ำเสียง เป็นเรื่องยากที่เสี่ยวเชี่ยนจะเดาความรู้สึกของผู้เป็นนายออก “มีคนทรยศเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “จะว่าแบบนั้นก็ย่อมได้ แต่เรายังไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นที่คนของเรา หรือเป็นเพราะศัตรูล่วงรู้ด้วยตนเอง ฉะนั้นจงนิ่งเฉยเอาไว้ รอดูผลที่จะปารถกฎในมิช้าจะดีกว่า ไม่ต้องเร่งร้อนที่จะอยากรู้ เรายังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นให้ต้องทำ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำของผู้เป็นนาย แม้ว่านางจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งใดมากนัก นางก็ไม่คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือคำสั่ง ยกเว้นว่ามีอันตรายใดพุ่งตรงมาที่ผู้เป็นนาย สิ่งนั้นนางจะมิรั้งรอให้มันสายจนเกินแก้ไข นางพร้อมที่จะลงมือต่อสิ่งเหล่านั้นในทันที ทว่าตราบใดที่นายของนางยังปลอดภัย ทุกคำสั่งที่นางได้รับจะไม
แม่ทัพหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบคนที่อยู่อีกด้านของห้องนอน เขาทำได้เพียงทอดถอนหายใจ เพราะสิ่งที่ศัตรูรับรู้คือเขาใกล้จะตายด้วยพิษร้าย แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ย่อมต้องมีคนอยู่เบื้องหลังการต่อสู้ด้านนอกดูเหมือนจะดุเดือดขึ้นทุกขณะ ทว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงทำได้เพียงนิ่งเงียบ ปัง! เสียงประตูถูกเปิดออกเสมือนจงใจให้คนที่หลับใหลอยู่ได้รู้สึกตัว“แค่ก ๆ พวกเจ้าเป็นใครกัน บังอาจบุกรุกห้องนอนของข้า”แม่ทัพหนุ่มแค่นเสียงอันแหบแห้ง เอ่ยถามผู้มาเยือนด้วยความอ่อนแรง ชายหนุ่มขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ ที่เขาต้องกลายเป็นเพียงคนป่วยใกล้ตาย ทั้งที่มันมิได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น“หึ ๆ ข้าก็แค่มาส่งท่านแม่ทัพลงนรกให้เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นขอรับ”เสียงหัวเราะอย่างหยามใจของผู้บุกรุก ไม่ได้ทำให้คนบนเตียงรู้สึกตื่นกลัวเลยสักนิด แต่ด้วยความสมจริงเขาต้องแสดงถึงความหวั่นเกรงอีกฝ่ายให้มาก“คิดว่าข้าจะยินยอมง่าย ๆ เช่นนั้นรึ”“ยินยอมหรือไม่ กระบี่ในมือของข้าคือผู้ที่ตอบได้”“หึ ๆ”ควับ! เมื่อได้ยินเสียงของใครอีกคนในอีกมุมของห้อง ชายชุดดำทั้งหมดต่างพากันตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครอื่นอยู่ร่วมห้องนี้ เพราะจากที่รู้มาคือ
“คิดจะเป็นใหญ่ เรื่องเพียงเท่านี้ยังขลาดกลัว เจ้าก็ไม่สมควรจะออกความคิดเห็นใด ๆ อีก” ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าชาหนึบด้วยความอับอาย แม้ทุกคนจะไม่เอ่ยสิ่งใดต่อเขาอีก ทว่าสายตาที่มองมานั้น มันทิ่มแทงยิ่งกว่าดูถูกที่เอ่ยออกจากปากเสียอีก “ข้าจะไม่ทำให้ท่านลุงผิดหวังขอรับ” เอ่ยจบร่างสูงได้ลุกขึ้น ประสานมือโค้งตัวให้แก่ทุกคนภายในห้อง ก่อนจะก้าวออกไปด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธ เขาจะเสียหน้าเพียงเพราะสังหารสตรีอ่อนแอผู้เดียวมิได้ เขาก็คงไม่สมควรที่จะก้าวสู่ตำแหน่งใหญ่โตในภายหน้า อย่างที่ผู้เป็นลุงได้พูดเมื่อครู่นี้จริง ๆ เขาไม่เชื่อว่าหลี่จ้านหายอดฝีมือมาไว้ข้างกายจ้าวหลิวหลีอย่างที่หลายคนคิด “จะวางใจเขาได้หรือขอรับท่านผู้นำ” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมเอ่ยถามขึ้นในที่สุด เขารู้ดีว่าชายหนุ่มนั้นมุทะลุเพียงใด ไร้ประสบการณ์ในแทบทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ “หึ ๆ หรือเจ้าจะเป็นผู้ทำแทนเขา” “เอ่อ...คือว่า...” “เจ้าควรจดจำเอาไว้บ้าง ว่านกจะบินได้ก็ต่อเมื่อเราฝึกฝนให้มันรู้จักกางปีก” เมื่อถูกต
ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งผู้เป็นน้องสาว แค่ตัวเขาและนางมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็มิอาจปล่อยให้น้องสาวออกนอกเมืองมาเพียงลำพังเช่นเดียวกันชีวิตในราชสำนักมีหรือเขาจะไม่รู้ว่า เรื่องที่น้องสาวของเขาได้ก่อเอาไว้นั้น รู้ไปถึงหูของพระมารดาในองค์ชายสี่แล้ว แน่นอนว่าชีวิตของน้องสาวหาได้ปลอดภัยอีกต่อไปแต่เพราะนิสัยเอาแต่ใจของนาง ทำให้น้องสาวของเขามองข้ามเรื่องนี้ไป นางคิดแค่เพียงว่าองค์ชายสี่ต้องพึ่งพาบารมีของบิดาพวกเขา เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท แต่นางคงลืมไปแล้วว่ายังมีท่านหญิงจากอีกหลายตระกูลที่มีอำนาจมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“หลี่จ้านหลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้นถึงปานนั้น ท่านพี่คิดหรือว่าเขาจะใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ นังแพศยานั้นมิได้สำคัญต่อหลี่จ้าน หากมันตายเขาสิต้องขอบคุณข้า”“เอาเป็นว่าระวังไว้หน่อยก็ดี เรื่องที่เขารักเจ้านั้นมันผ่านมาหลายปี เวลาผ่านเลยใช่ว่าใจคนจะมิผันเปลี่ยนตาม”อ๋องน้อยสกุลจ้าว ทำได้เพียงทอดถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของน้องสาวเพียงคนเดียว เขาอยากให้นางใช้ความคิดในเรื่องนี้มากกว่าที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาจะไม่เป็นผลเอาเสีย