จวนสกุลหลี่ เรือนหลิวหลี
ร่างเย้ายวนนั่งมองกระดาษที่อยู่ในมือ ก่อนจะวางลงยังเตาเล็กบนโต๊ะน้ำชา
“วันนี้เราจะออกไปร้านเครื่องหอมกัน ท่านพี่จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว”
หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบกับสาวใช้ข้างกาย นางแต่งเข้าจวนมาหลายปี ทว่าสามีนั้นแทบจะมิเคยย่างกรายมายังเรือนของนางเลย เรื่องการเสพสุขระหว่างสามีภรรยาหาได้เคยเกิดขึ้นแม้เพียงครั้ง
‘ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก เกิดมาชาติตระกูลดีสูงส่ง ทว่ากลับถูกสามีรังเกียจ บทนิยายน้ำเน่าสิ้นดี ยามนั้นข้ายังเยาว์ มิใช่ตอนนี้ที่ข้าพร้อมจะเปลี่ยนมันด้วยมือของข้าเอง ชะตาย่อมอยู่ในมือผู้กล้าที่จะเปลี่ยนเสมอ’
จ้าวหลิวหลีคิดอยู่ในใจก่อนจะลุกขึ้น หญิงสาวเดินไปนั่งลงยังกระจกทองเหลือง ร่างงามมองใบหน้าหมดจดของตนเอง ก่อนจะเริ่มแต่งแต้มสีสันให้เข้ากับใบหน้าอย่างใจเย็น
สามีเป็นแม่ทัพใหญ่ บุรุษที่สตรีทั่วแผ่นดินหมายปอง และเป็นอดีตคนรักของน้องสาวต่างมารดา ส่วนนางคือท่านหญิงใหญ่แห่งจวนจ้าวสตรีที่เขามองว่าไร้ค่า ซ้ำยังหาญกล้าปีนป่ายเตียงของเขาเมื่อหลายปีก่อน
นับแต่นั้นเป็นต้นมา นางเฝ้าเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างเงียบ ๆ จากท่านหญิงผู้ขลาดเขลาในสายตาผู้คน นางค่อย ๆ ถักทออำนาจขึ้นทีละน้อยจนกลายเป็นเสมือนใยแมงมุม ที่ควบคุมทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง โดยที่เขาหรือใคร ๆ มองไม่เห็นสิ่งนั้นเลยแม้แต่น้อย
เพียงอาหารหนึ่งมื้อ น้ำใจหนึ่งหน นางได้รับการตอบแทนจากผู้เป็นอาจารย์อย่างเหลือล้น นางไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศถึงความสำเร็จนั้นให้ผู้ใดได้รับรู้ เพราะนั้นคือการนำภัยมาสู่ตัวนางเอง
นางรอคอยวันที่คนเหล่านั้นพบจุดจบอย่างใจเย็น มิรีบร้อนให้พวกเขาตาย เพราะมันสบายจนเกินไป ความเจ็บปวดของนางมันยังมิทันคลายศัตรูจะสิ้นลมไปได้อย่างไรกันเล่า
รอยยิ้มงามปรากฏขึ้นช้า ๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของสามี เขาไม่เคยใยดีนาง แต่ก็มิเคยละสายตาจากนางได้เช่นกัน ตลอดสองปีที่เขาต้องเดินทางสู่ชายแดน สามีได้ส่งคนเฝ้าจับตานางเป็นพิเศษ
ตอนอยู่เมืองหลวงร่วมกัน เขามิแม้จะเรียกขานนางสักคำ พอต้องออกสู่ชายแดน กลับมิยินยอมให้นางคลาดสายตา ตัวอยู่ไกลแต่มีผู้เฝ้าจับตาดูนางทุกฝีก้าว ทั้งจากสามีและศัตรูเลยทีเดียว
จะเพราะห่วงหาหรือเพราะเกรงว่านางจะทำเรื่องเสื่อมเสีย ซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่อาจคาดเดาได้ แต่จะอย่างไรนางก็มิคิดจะเก็บมาใส่ใจ เพราะไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เขาและนางก็เปรียบเสมือนเส้นขนาด ที่เคียงคู่แต่ไม่มีวันบรรจบ
ปักปิ่นเพียงขวบปีก็ต้องออกเรือน ความไร้เดียงสาทำให้นางต้องสูญเสียไปหลายสิ่งเหลือเกิน เมื่อผ่านพ้นวัยเหล่านั้นสู่คำว่าผู้ใหญ่ นางจึงเรียนรู้ที่จะควบคุมทุกอย่างเงียบ ๆ มากกว่าการกระทำอันสิ้นคิด
นางไม่อาจจะเข้าข้างตนเองว่าสามีนั้นมีใจ เพราะในคืนที่นางถูกมองว่าต่ำช้า แววตาของเขานั้นชิงชังนางยิ่งกว่าปฏิกูลเหม็นเน่าเสียอีก นางมิอาจลืมเลือนสายตาของทุกคนในค่ำคืนนั้นได้เลย ความไร้ยางอายที่ทุกคนประณามนั้น นางมิได้เป็นผู้ก่อมันขึ้นมา ทว่านางกลับเป็นผู้ที่ต้องรับความอัปยศติดตัวจนทุกวันนี้
“ฮูหยินจะไปที่ร้านผ้าด้วยไหมเจ้าคะ” เสี่ยวเชี่ยนเอ่ยถามผู้เป็นนายเบา ๆ
“มีสิ่งใดที่จางเค่อจัดการไม่ได้เช่นนั้นรึ”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยถามสาวใช้ พร้อมมองวงหน้างามของเสี่ยวเชี่ยน ที่คลี่ยิ้มพร้อมดวงตาเปล่งประกาย เสมือนหญิงสาวตรงหน้ากำลังมีเรื่องสนุกให้ต้องทำ
“นกน้อยในกรงทอง กำลังหมายจะทำลายหงส์เช่นฮูหยินอย่างไรเล่าเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเชี่ยนรีบบอกผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงเริงร่า หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นเสียทุกครั้ง ที่สตรีชั้นสูงผู้นั้นหลงเข้ามาในร้านหลีเค่อของผู้เป็นนาย
“หึ ๆ เจ้านี่นินะ ช่างเปรียบเสียเหลือเกิน นายเจ้าเคยเป็นหงส์งามเช่นนั้นรึ”
“ฮูหยินเป็นเช่นนั้นมาแต่กำเนิดเจ้าค่ะ”
“ปากหวานเหลือเกินนะเสี่ยวเชี่ยน เอาเป็นว่าให้จางเค่อจัดการไปตามสมควรก็แล้วกัน เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นอย่าได้ใส่ใจให้มาก”
จ้าวหลิวหลีบอกเสี่ยวเชี่ยน เสมือนเรื่องที่สาวใช้แจ้งให้รู้ เป็นเพียงเศษฝุ่นผงที่ปลิวผ่านมาเท่านั้น นางคิดเช่นนั้นจริง เพราะไม่ว่าน้องสาวคนดีของนางคิดจะทำสิ่งใดต่อนาง
นางก็มิได้รู้สึกตื่นเต้นอันใดเลย เมื่ออีกฝ่ายมิรู้จักพอในสิ่งที่ได้ไปแล้ว แต่ยังเพียรพยายามทำลายนางทุกอย่างเช่นในอดีต ต่อจากนี้ก็สุดแท้แต่ชะตากรรของน้องสาวแล้ว นางจะเป็นเพียงผู้ที่ยืนมองเท่านั้นพอ
‘อย่าบีบให้คนเช่นข้าได้ลงมือจ้าวอี้เหมย เพราะเจ้ามิอยากที่จะเห็นมันอย่างแน่นอน’
จ้าวหลิวหลีคลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงน้องสาวต่างมารดา ที่มิว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน จ้าวอี้เหมยก็ยังไม่รู้จักที่จะพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ซึ่งหากเทียบกับนางแล้ว ตำแหน่งพระชายาของจ้าวอี้เหมยนั้นก็สูงส่งมากพออยู่แล้ว
แต่ความริษยาของน้องสาวกลับมิคิดที่จะพึงพอใจ ต่อวาสนาในมือเท่าใดนัก จึงได้คอยวนเวียนที่จะทำลายนางอยู่ทุกลมหายใจก็ว่าได้
“ไปกันเถอะ หากสายกว่านี้แดดจะแรงเอาได้”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยกับสาวใช้คนสนิทยิ้ม ๆ นางรู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่ได้ออกไปข้างนอกจวน
“เจ้าค่ะ”
เสี่ยวเชี่ยนรีบเดินไปหยิบร่มมาถือเอาไว้ในมือ หญิงสาวยิ้มจนดวงตาปิดให้แก่ผู้เป็นนาย พลอยทำให้จ้าวหลิวหลีหัวเราะร่าในความน่าเอ็นดูของเสี่ยวเชี่ยน
สองนายบ่าวก้าวออกจากห้องด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่า... เพียงก้าวพ้นตัวเรือน ทั้งคู่จำต้องหยุดลง
“เสี่ยวเชี่ยนคารวะ ท่านอ๋อง”
เสี่ยวเชี่ยนรีบย่อกายให้แก่ผู้มาเยือน ที่กำลังยืนใบหน้าโกรธเกรี้ยวอยู่ทางเดินหน้าเรือน
“จ้าวหลิวหลี!”
“หลิวหลีคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” จ้าวหลิหลีย่อกายให้แก่ผู้เป็นบิดา ที่ดูเหมือนกำลังมีโทสะ และนางมิจำเป็นต้องคาดเดา ว่าผู้ใดคือต้นเหตุของความกรุ่นโกรธในครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นนางบุตรสาวผู้น่าชังอย่างแน่นอน “ฮึ ! ยังมีหน้าเรียกข้าว่าพ่ออยู่เช่นนั้นรึ” จ้าวอ๋องตอบกลับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ถึงแม้จะแสดงออกถึงความโกรธกริ้วมากเพียงใด ทว่าคนตรงหน้ากลับยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย ยิ่งเป็นการเพิ่มไฟโทสะให้แก่จ้าวอ๋อง นับเท่าทวีคูณเลยก็ว่าได้ ที่บุตรสาวหาได้ยำเกรงต่อตนเองไม่ “มิทราบว่าท่านอ๋อง มีเรื่องอันใดกับข้าน้อยเช่นนั้นรึเจ้าคะ” จ้าวหลิวหลีเปลี่ยนคำเรียกขานบิดาในทันที นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้เป็นพ่อที่เคยมีความฉลาดรอบรู้ มีความเที่ยงธรรมจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แม้แต่ตอนที่นางถูกใส่ความ จนต้องแต่งแก่แม่ทัพหลี่จ้าน บิดาไม่แม้แต่จะคิดสืบหาความจริง ซ้ำยังมิเคยเหลียวแลนางแม้แต่หางตา ทุกคำของมารดาเลี้ยงและน้องสาวคือความถูกต้อง ส่วนคำของนางนั้น เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลของบุตรสาวผู้ไม่รักดีไปเสียหมด ทุกอย่างเป
จ้าวหลิวหลีหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่ออีกครั้ง นางอาจดูโง่เขลาเมื่อครั้งในอดีต แต่นั้นมันเมื่อก่อนมิใช่ปัจจุบัน ที่นางไม่มีคำว่ายินยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไป “เพราะอี้เหมยเห็นแก่คำว่าพี่น้อง เรื่องนี้นางจึงยังมิได้ทูลให้องค์ชายสี่ได้ทรงทราบ” เป็นชุ่ยเหนียงเฟย พระชายาเอกคนปัจจุบันในจ้าวอ๋องกล่าวแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นพระสวามีเริ่มจนในคำพูด “ไม่มีความจำเป็นที่นางต้องทำเช่นนั้น เพราะการวางยาหมายกำจัดสายเลือดมังกร นับเป็นเรื่องใหญ่ที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้ มิเว้นแม้แต่สายเลือดเดียวกัน คำว่าพี่น้องมิใช่ข้ออ้างให้ท่านอ๋องกับพระชายา มากล่าวหาข้าโดยไร้มูลความจริงอยู่อย่างนี้” “เอ่อ...” สองสามีภรรยาจนในคำพูด เมื่อเจ้าของบ้านตอบกลับมาด้วยเหตุผลที่หนักแน่นกว่า จ้าวอ๋องมองไปยังภรรยาที่ตอนนี้เอาแต่หลบสายตาของบุตรสาว แม้แต่เขาที่เป็นพ่อ ยังไม่หาญกล้าที่จะมองตาเอาเรื่องของบุตรสาวคนโตได้เลย คราแรกเขานับว่าถือหมากเหนือกว่า ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่ตกเป็นรองในคำพูด “จะอย่างไรเรื่องนี้ ข้าก็ต้องหาความจริงให้จงได้”
ทว่ารอยยิ้มที่เขาเคยเห็นได้หายไปทีละน้อย นับตั้งแต่อดีตพระชายาเอกในจ้าวอ๋องตายไป ทุกอย่างเริ่มแปรเปลี่ยนแต่จ้าวหลิวหลียังคงเป็นหนึ่งดวงใจของเขาเช่นเดิม แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ พระมารดาของเขาจึงได้ทำการสู่ขอจ้าวอี้เหมยเข้าจวนแทน พระมารดาคอยย้ำให้เขามองถึงจุดมุ่งหมายมากกว่าเรื่องความรัก ดังนั้นเขาจึงต้องปิดหูปิดตากับสิ่งที่จ้าวอี้เหมยทำมาโดยตลอด “ยังทรงเชื่อความเสแสร้งของนางอยู่อีกหรือเพคะ หม่อมฉันมีตรงไหนสู้นางมิได้บ้างเพคะ” จ้าวอี้เหมยเหมือนจะเริ่มควบคุมตนเองเอาไว้ไม่ได้บ้างแล้ว หญิงสาวหาญกล้าที่จะเอ่ยถามพระสวามี ที่เอาแต่โทษนางว่าทำเพียงเรื่องเลวร้าย โดยที่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ที่ผ่านมาเขาเองก็ใช้นางเป็นเพียงสะพานมุ่งสู่อำนาจเดียวเช่นกัน “เจ้าคิดเช่นนั้นหรืออี้เหมย หากเจ้ามิเพียบพร้อมข้าจะเลือกเจ้ามายืนในฐานะพระชายาเอกของข้าจนถึงทุกวันนี้หรือ” เสวี่ยเฟิงพยายามลดโทสะของตนเองลง เขายังไม่อยากให้เกิดความแตกหักขึ้นในตอนนี้ แต่ดูเหมือนจ้าวอี้เหมยจะรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน นางจึงใช้สิ่งนี้บีบบังคับเขาอยู่กลาย ๆ
“ลูกรักเจ้าต้องมั่นใจในตนเองให้มาก ความงามและสติปัญญาของเจ้าเหนือกว่านางมากนัก อย่าได้แยแสต่อบุรุษที่มิเห็นค่าของเจ้า แต่จงยืนให้เหนือผู้ที่ทำร้ายเจ้าเท่านั้น” “แต่ข้ารักเขา” “ความรักย่อมต้องมิทำให้เกิดความทุกข์ หากมันไร้ซึ่งความสุขมันย่อมมิใช่ความรัก นับจากนี้จงฟังแม่เจ้าต้องใส่ใจเพียงอำนาจในมือ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เจ้าอยู่รอด” “แต่ว่า...” ชุ่ยเหนียงเฟยยกนิ้วทาบริมฝีปากบุตรสาว ความรักทำให้จ้าวอี้เหมยมองไม่เห็นความเป็นจริง นางผู้เป็นมารดามีหน้าที่ปกป้องลูก ดังนั้นนางจำต้องสอนให้บุตรสาว ยืนอยู่บนความจริงมากกว่าความรู้สึกอันเลื่อนลอย เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ใกล้เข้ามา ทำให้สองแม่หยุดการสนทนาลงในทันที เพราะหากเดาไม่ผิดก็คงเป็นจ้าวอ๋องอย่างแน่นอน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นลูกพ่อ” คำถามจากคนด้านหน้าประตูดังขึ้น ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวเข้ามาด้านใน จ้าวอี้เหมยผละออกจากอ้อมกอดของมารดา วิ่งเข้าสวมกอดผู้เป็นพ่อ พร้อมสะอื้อไห้ปานจะขาดใจ “น้องหญิงเจ้าเป็นอันใดไป” เสียงทุ้มลึกดังมาจากด้านหลังจ้
ฟิ้ว! มีเสียงบางอย่างแหวงอากาศมาจากข้างทาง ทำให้ทุกความคิดของเจาหยางยุติลง มือหนาที่กรำศึกมานานคว้าจับสิ่งนั้นเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะพุ่งผ่านเขาไปยังรถม้าของผู้เป็นนาย เพียงครู่เดียวเสียงอาวุธกระทบกันเกิดขึ้นจากรอบด้าน เจาหยางเหินกายงจากหลังม้า เพื่อคุ้มกันรถม้าเอาไว้ โดยมีผู้ติดตามกว่าห้าคนล้อมรถม้าเอาไว้ ชายชุดดำจำนวนหลายคน พยายามที่จะฝ่าเข้ามาให้ถึงรถม้า ทำให้ทหารคุ้มกันบาดเจ็บล้มตายบ้างแล้ว “ฮูหยิน รอเสี่ยวเชี่ยนก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวเชี่ยนคว้าอาวุธ ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ที่นั่งในรถม้าออกมาถือไว้ในมือ ก่อนที่ร่างงามจะก้าวออกจากรถม้า หญิงสาวดึงกระบี่ออกจากฝัก พร้อมกับพุ่งเข้าหาคนร้ายด้วยความดุดัน เชร้ง! เสียงอาวุธกระทบกันจากทางด้านหลัง เรียกสายตาของเจาหยางในทันที ดวงตาของพ่อบ้านสูงวัยเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาในตอนนี้คือเสี่ยวเชี่ยน ไม่มีคำพูดใดจากคนทั้งคู่ ด้วยเวลานี้คนร้ายเหมือนจะได้เปรียบพวกเขาอยู่ไม่น้อย เสี่ยวเชี่ยนคอยมองไปยังรถม้าอยู่บ่อยครั้ง นางรู้ดีว่าผู้เป็นนายนั้นจะปลอดภ
“แต่ว่า...ฮูหยินมิแปลกใจหรือเจ้าคะ ที่อยู่ ๆ เราก็ถูกคนจำนวนมากโจมตี อันที่จริงแล้วแค่คิดจะสังหารฮูหยิน ใช้คนเพียงหยิบมือก็ทำได้แล้วนะเจ้าคะ” “ต่อให้ข้าเลี้ยงหนอนให้อิ่มหนำสำราญเพียงใด ก็ย่อมมีบางตัวชื่นชอบอาหารที่ผู้อื่นหยิบยื่นมาให้มันอยู่ดี” จ้าวหลิวหลียังคงไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมาทางน้ำเสียง เป็นเรื่องยากที่เสี่ยวเชี่ยนจะเดาความรู้สึกของผู้เป็นนายออก “มีคนทรยศเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “จะว่าแบบนั้นก็ย่อมได้ แต่เรายังไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นที่คนของเรา หรือเป็นเพราะศัตรูล่วงรู้ด้วยตนเอง ฉะนั้นจงนิ่งเฉยเอาไว้ รอดูผลที่จะปารถกฎในมิช้าจะดีกว่า ไม่ต้องเร่งร้อนที่จะอยากรู้ เรายังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นให้ต้องทำ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำของผู้เป็นนาย แม้ว่านางจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งใดมากนัก นางก็ไม่คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือคำสั่ง ยกเว้นว่ามีอันตรายใดพุ่งตรงมาที่ผู้เป็นนาย สิ่งนั้นนางจะมิรั้งรอให้มันสายจนเกินแก้ไข นางพร้อมที่จะลงมือต่อสิ่งเหล่านั้นในทันที ทว่าตราบใดที่นายของนางยังปลอดภัย ทุกคำสั่งที่นางได้รับจะไม
แม่ทัพหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบคนที่อยู่อีกด้านของห้องนอน เขาทำได้เพียงทอดถอนหายใจ เพราะสิ่งที่ศัตรูรับรู้คือเขาใกล้จะตายด้วยพิษร้าย แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ย่อมต้องมีคนอยู่เบื้องหลังการต่อสู้ด้านนอกดูเหมือนจะดุเดือดขึ้นทุกขณะ ทว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงทำได้เพียงนิ่งเงียบ ปัง! เสียงประตูถูกเปิดออกเสมือนจงใจให้คนที่หลับใหลอยู่ได้รู้สึกตัว“แค่ก ๆ พวกเจ้าเป็นใครกัน บังอาจบุกรุกห้องนอนของข้า”แม่ทัพหนุ่มแค่นเสียงอันแหบแห้ง เอ่ยถามผู้มาเยือนด้วยความอ่อนแรง ชายหนุ่มขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ ที่เขาต้องกลายเป็นเพียงคนป่วยใกล้ตาย ทั้งที่มันมิได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น“หึ ๆ ข้าก็แค่มาส่งท่านแม่ทัพลงนรกให้เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นขอรับ”เสียงหัวเราะอย่างหยามใจของผู้บุกรุก ไม่ได้ทำให้คนบนเตียงรู้สึกตื่นกลัวเลยสักนิด แต่ด้วยความสมจริงเขาต้องแสดงถึงความหวั่นเกรงอีกฝ่ายให้มาก“คิดว่าข้าจะยินยอมง่าย ๆ เช่นนั้นรึ”“ยินยอมหรือไม่ กระบี่ในมือของข้าคือผู้ที่ตอบได้”“หึ ๆ”ควับ! เมื่อได้ยินเสียงของใครอีกคนในอีกมุมของห้อง ชายชุดดำทั้งหมดต่างพากันตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครอื่นอยู่ร่วมห้องนี้ เพราะจากที่รู้มาคือ
“คิดจะเป็นใหญ่ เรื่องเพียงเท่านี้ยังขลาดกลัว เจ้าก็ไม่สมควรจะออกความคิดเห็นใด ๆ อีก” ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าชาหนึบด้วยความอับอาย แม้ทุกคนจะไม่เอ่ยสิ่งใดต่อเขาอีก ทว่าสายตาที่มองมานั้น มันทิ่มแทงยิ่งกว่าดูถูกที่เอ่ยออกจากปากเสียอีก “ข้าจะไม่ทำให้ท่านลุงผิดหวังขอรับ” เอ่ยจบร่างสูงได้ลุกขึ้น ประสานมือโค้งตัวให้แก่ทุกคนภายในห้อง ก่อนจะก้าวออกไปด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธ เขาจะเสียหน้าเพียงเพราะสังหารสตรีอ่อนแอผู้เดียวมิได้ เขาก็คงไม่สมควรที่จะก้าวสู่ตำแหน่งใหญ่โตในภายหน้า อย่างที่ผู้เป็นลุงได้พูดเมื่อครู่นี้จริง ๆ เขาไม่เชื่อว่าหลี่จ้านหายอดฝีมือมาไว้ข้างกายจ้าวหลิวหลีอย่างที่หลายคนคิด “จะวางใจเขาได้หรือขอรับท่านผู้นำ” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมเอ่ยถามขึ้นในที่สุด เขารู้ดีว่าชายหนุ่มนั้นมุทะลุเพียงใด ไร้ประสบการณ์ในแทบทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ “หึ ๆ หรือเจ้าจะเป็นผู้ทำแทนเขา” “เอ่อ...คือว่า...” “เจ้าควรจดจำเอาไว้บ้าง ว่านกจะบินได้ก็ต่อเมื่อเราฝึกฝนให้มันรู้จักกางปีก” เมื่อถูกต