“ต่อไปอย่าได้ดื้อรั้นต่อสามีอีก เข้าใจหรือไม่น้องหญิง”
ชายหนุ่มกระซิบเย้าภรรยา ด้วยสายตากรุ่มกริ่ม จ้าวหลิวหลีวงหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี จะเก่งกาจปานใดย่อมต้องรู้สึกเขินอาย
เมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ของบุรุษ ช้ำเรือนร่างของนางยังไร้ซึ่งสิ่งปกปิด นางไม่คิดเลยว่าสามีผู้ไม่เคยเหลียวมองนางมาตลอด วันนี้จะเปลี่ยนไปเสียจนนางเองยังตั้งรับไม่ทัน
“ข้ามิเคยดื้อสักหน่อย”
จ้าวหลิวหลีเสหลบตาสามี พร้อมปฏิเสธสามีด้วยน้ำเสียกระเง้ากระงอด
“เช่นนั้นนับแต่นี้ไปอย่าให้ต้องออกแรง เข้าใจหรือไม่”
ปึก! กำปั้นของหญิงสาวทุบอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยความขัดเขิน เขาช่างกล้าพูดอย่างน่าไม่อาย เรื่องเช่นนี้มิจำเป็นต้องบอกก็ได้
“มิรู้จักอายบ้างหรือเจ้าคะ”
“ฮ่า ๆ อายทำไม ก็พี่อยากให้เจ้ามีความสุข”
“คนบ้า! หน้ามิอายพูดอันใดออกมา....อื้อ!”
ยังมิทันได้ต่อว่าสามีให้สาสมดังใจคิด ทว่าเรียวปากงามก็ถูกปิดลงอีกครั้ง และในครั้งนี้หญิงสาวมิได้ปฏิเสธ แต่กลับตอบสนองสามีด้วยความไร้เดียงสาในเรื่องเช่นนี้
สองร่างกอดรัดกันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความเร้าร้อนขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มสอนบทรักให้แก่หญิงสาวอย่างใจเย็น แม่ทัพหนุ่มตัดเรื่องของหัวใจออกไปในยามนี้
เพราะทุกสิ่งอย่างระหว่างเขาและนาง เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีเวลาอีกมากที่จะค้นหาความรู้สึกของเขาและนาง แต่มิว่าอย่างไรนางก็จะเป็นภรรยาเพียงหนึ่งของเขาเท่านั้น
เลยเที่ยงมานานแล้วเสี่ยวเชี่ยนเดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ เพราะตั้งแต่เช้านายหญิงของนางยังไม่ก้าวออกจากห้องเลย มีเพียงท่านแม่ทัพที่สั่งการให้จัดส่งอาหารไปวางไว้หน้าห้องเท่านั้น
“เจ้าไม่เหนื่อยบ้างรึไงเสี่ยวเชี่ยน เดินจนพื้นจะทรุดแล้ว”
เจาหยางเอ่ยเย้าสาวใช้ของฮูหยิน เขาผ่านชีวิตมาจนเริ่มจะเข้าวัยชรา มีหรือจะไม่รู้ว่าทำไมเจ้านายทั้งสองจึงยังไม่ออกจากห้อง
“ฮูหยินจะป่วยหรือไม่เจ้าคะ ไยวันนี้จึงมิออกมาด้านนอกเลย”
“เด็กโง่ เรื่องของสามีภรรยาเจ้าอาจไม่เข้าใจ แต่ด้านในนั้นมีท่านแม่ทัพอยู่ ฮูหยินจะเจ็บป่วยได้อย่างไรเล่า”
“แต่ว่า...”
ยังไม่ทันที่เสี่ยวเชี่ยนจะพูดจบ รองแม่ทัพคนสนิทได้เดินมาด้วยความเร่งรีบ
“ท่านลุงเจา ท่านแม่ทัพเล่าขอรับ”
“มีเรื่องอันใดรึ หากไม่สำคัญเจ้าไม่ควรที่จะรบกวนท่านแม่ทัพในยามนี้”
“รบกวนท่านลุงแล้ว”
เจาหยางไม่เอ่ยสิ่งใดอีก พ่อบ้านสูงวัยเดินเข้าไปภายในเรือน ก่อนจะตรงไปยังห้องนอนของผู้เป็นนาย เจาหยางจงใจเดินให้มีเสียง เพื่อเป็นการบอกแก่ผู้เป็นนายว่าเขากำลังจะไปพบ
เขาไม่ต้องการให้ฮูหยินรู้สึกเขินอาย หากตัวเขาไปเรียกขานในทันที คงดูจะไม่ดีเท่าไหร่เพราะเขาไม่รู้ว่าเจ้านายทั้งสองกำลังทำสิ่งใดอยู่ในตอนนี้
แม่ทัพหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายภรรยาในทันที เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา คงเป็นใครอื่นไปมิได้นอกจากพ่อบ้านของเขาอย่างแน่นอน
จ้าวหลิวหลีลอบมองหน้าสามี ที่ตอนนี้ดูตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ใบหน้างามจะแดงระเรื่ออีกครั้ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาและสามี มิได้ย่างกลายออกจากห้องนอนเลย
หลี่จ้านก้มมองภรรยา ที่ตอนนี้ดึงผ้าห่มขึ้นปิดใบหน้าเหลือไว้เพียงดวงตากลมโต แม่ทัพหนุ่มหัวเราะในลำคอ ยามนางเขินอายช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก
“เรียนท่านแม่ทัพ รองแม่ทัพตูหลงมาขอพบขอรับ”
“ให้เขาไปรอที่ศาลาสระบัว ประเดี๋ยวข้าจะออกไป”
“ขอรับ”
เสียงฝีเท้าห่างออกไป หลี่จ้านจึงได้หันมองภรรยาอีกครั้ง ก่อนจะกดริมฝีปากลงยังแก้มเนียนของภรรยา เพี๊ยะ! จ้าวหลิวหลีตีต้นแขนสามี เมื่อเขายังไม่รีบลุกไปแต่งตัว
“ยังจะมัวชักช้าอยู่อีกนะเจ้าคะ ตูหลงอาจมีเรื่องด่วน”
“เรื่องด่วนอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับเวลาเข้าหอของเรา หึ ๆ”
“เข้าหออะไรกันเจ้าคะ แต่งงานกันมาตั้งหลายปีแล้ว จนจะแก่หัวหงอกล่ะไม่ว่า”
“เข้าหอแบบนี้อย่างไรเล่า”
เอ่ยจบชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ก่อนจะจูบภรรยาอย่างดูดดื่ม ทำให้คนใต้ร่างดิ้นคลุกคลัก ก่อนจะอ่อนระทวยเมื่อรสจูบนั้นอ่อนหวานกว่าในคราแรก
“อื้อ! ท่านพี่จะสายเอาได้นะเจ้าคะ”
ชายหนุ่มยังคงวนเวียนอยู่ที่วอกคอหอมกรุ่น แสร้งไม่สนใจคำพูดของหญิงสาวเสียอย่างนั้น
“เจ้าก็รู้ว่าเขาต้องการสิ่งใด ในเมื่อเขารอที่จะลงมือต่อข้ามาได้ตั้งหลายปี ให้รอต่ออีกสักชั่วยามก็คงไม่ขาดใจตายกระมัง”
พูดจบแม่ทัพหนุ่มก็ทำการปิดปากภรรยา ด้วยจูบอันเร้าร้อน บทรักของทั้งคู่เริ่มขึ้นอีกครั้ง แม่ทัพหนุ่มไม่ได้คิดจะสนใจคนสนิทที่มารออยู่ด้านนอกแม้แต่น้อย
เพราะคนสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือร่างอวบอิ่มที่กำลังบิดเร้าอยู่ในอ้อมแขนเขาต่างหาก กี่ปีแล้วที่คำว่าหน้าที่ทำให้เขาและนาง มิเคยได้สัมผัสคำว่าสามีภรรยา หรือแม้แต่เปิดใจคุยกันสักครั้งก็หาได้มีไม่
สองชั่วยามต่อมา
แม่ทัพหนุ่มได้เดินไปยังศาลาริมสระบัว ที่คนสนิทรออยู่ใบหน้าที่เคยอิ่มเอิบเมื่อตอนอยู่กับภรรยา เวลานี้กลับซีดเซียวเช่นตอนที่เดินทางกลับจากชายแดน
“คารวะท่านแม่ทัพ”
“มีเรื่องร้อนใจอันใดรึตูหลง ข้ารู้สึกว่าพิษกำลังเล่นงานข้าหนักเหลือเกิน ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าต้องรอนาน”
“หามิได้ขอรับ เป็นข้าน้อยเองที่มารบกวนท่านแม่ทัพ พอดีว่าท่านราชครูเกาอยากที่จะพบท่านแม่ทัพสักหน่อยขอรับ จึงได้ให้ข้าเป็นผู้มาเชิญท่านแม่ทัพไปร่วมมื้อค่ำขอรับ”
“ไยมิส่งคนมาบอกแก่ข้าเอง เหตุใดเขาต้องไปหาเจ้าด้วย”
“เรียนท่านแม่ทัพ ท่านราชครูพบข้าน้อยโดยบังเอิญเมื่อเช้า ท่านราชครูจึงได้ไหว้วานข้าน้อยมาเรียนแก่ท่านแม่ทัพขอรับ”
“อ่อ...เป็นเช่นนั้นหรอกรึ ได้สิ! แต่ข้าต้องไปบอกฮูหยินก่อน”
“ท่านราชครูให้เชิญฮูหยินไปด้วยขอรับ”
แม่ทัพหนุ่มนิ่งค้างไปพักหนึ่ง ก่อนจะเก็บอาการไม่พอใจเอาไว้ได้อย่างมิดชิด เห็นทีคนพวกนี้มิอยากตายดี ถึงได้คิดที่จะแตะต้องภรรยาของเขา
“ได้สิข้าจะบอกให้นางเตรียมตัว”
แม่ทัพหนุ่มเดินไปหาพ่อบ้าน ก่อนจะสั่งการอะไรบางอย่าง เจาหยางค้อมหัวเล็กน้อยก่อนจะถอยฉากออกไป หลี่จ้านยังคงเดินเสมือนคนป่วยอยู่ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป รถม้าจวนหลี่ได้เคลื่อนตัวออกไปยังทิศทางของจวนราชครู เกาจิ้งผู้นี้ชรามากแล้วแต่ยังฝักใฝ่ในอำนาจมิรู้จักพอ ชักใยอยู่เบื้องหลังองค์ชายห้าเพื่อให้ช่วงชิงราชตำแหน่งรัชทายาท โดยแสร้งร่วมมือกับพระนางหรู่เฟย เพื่อหาช่องทางกำจัดองค์ชายสี่ ความเป็นคนหัวอ่อนขององค์ชายห้าทำให้ง่ายต่อการควบคุมแม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาไม่เลือกที่จะยืนข้างองค์ชายคนไหนเลย เพราะตัวเขานั้นยืนเคียงข้างองค์ฮ่องเต้แต่ผู้เดียว หากมีการผลัดแผ่นดิน ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องมิใช่การช่วงชิงเขาหลี่จ้านก็จะภักดีจนลมหายใจสุดท้ายเช่นกัน แต่เพราะเขามิเลือกข้างจึงทำให้ต้องเหนื่อยใจอยู่อย่างนี้ หากภรรยาไม่ส่งคนไปช่วยเหลือ ป่านนี้มีหรือเขาจะยังมีลมหายใจฮี่ ๆ เสียงม้าร้องด้วยความแตกตื่น รถม้าโคลงไปมาอย่างแรง หลี่จ้านรีบคว้าตัวภรรยาเขามาสวมกอด เมื่อรถม้าหยุดลง เสียงการต่อสู้ด้านนอกเกิดในทันที“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินมีคนร้ายขอรับ”ตูหลงตะโกนบอกคนด้า
แต่วันนี้เขาคงต้องตัดความคิดนั้นออกไปเสีย ใครจะไปคาดคิดว่าท่านหญิงกำพร้ามารดาเช่นนาง จะมีฝีมือมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งหลี่จ้านที่ควรจะอ่อนแรงด้วยพิษที่เขาให้ตูหลงใส่ในอาหารยาบำรุงกลับไม่เป็นอะไรเลย ทั้งยังมายืนลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเขาอยู่ในตอนนี้“เจ้าคงไม่คิดที่จะทำเรื่องสิ้นคิดหรอกนะ หลี่จ้าน”“หากข้าปล่อยท่านราชครูกลับไปต่างหากเล่าขอรับ จึงจะถือว่าเป็นเรื่องสิ้นคิด”“เจ้ากล้ารึ”“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ท่านราชครูพ้นตำแหน่ง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ”“โอหังนัก กล้าแอบอ้างพระบัญชาในองค์ฮ่องเต้เชียวรึ”“ข้าว่าแอบอ้างหรือไม่ ท่านราชครูย่อมรู้ดีแก่ใจนะขอรับ”“ท่านราชครู หลบไปก่อนขอรับทางนี้ข้าจัดการเอง”อยู่ ๆ ได้มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้น หลี่จ้านมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อคนตรงหน้าเลย กระบี่ในมือของอีกฝ่ายเขาจำมันได้ดีว่าคือของผู้ใดองค์ชายที่ผู้คนมองว่าหัวอ่อน ทว่าแท้จริงแล้วแอบซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้อย่างมิดชิด แสร้งทำทีไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่กลับเป็นผู้ชักใยผู้คนให้กำจัดกันเอง เพื่อให้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวคือตนเอง“ทรงมาช่วยเหลือหรือกำจัดเขากันแน่พ่ะย่ะค่
สิบวันถัดมา ข่าวการตายท่านอ๋องน้อยสกุลจ้าว และพระชายาในองค์ชายสี่ได้ถูกโจรปล้น ขณะที่ท่านอ๋องน้อยพาน้องสาวไปท่องเที่ยวยังอารามนอกเมือง ยังไม่ทันซา ข่าวการสิ้นพระชนขององค์ชายห้าก็แผ่ออกไปทั่วเมืองหลวง องค์ชายห้าเกิดล้มป่วยจนสิ้นพระชนนับเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย และข่าวที่ชาวเมืองโจษจันไม่แพ้กัน ที่อยู่ ๆ ทางด้านองค์ชายสี่ได้ออกเดินทางสู่ชายแดนเหนือ หลังสูญเสียพระชายา ชาวเมืองต่างแสดงความเห็นใจองค์ชาย ที่ทนทำใจกับการตายของพระชายาไม่ได้ จึงทรงเดินทางไปอยู่ชายแดนเพื่อรักษาบาดแผลทางใจ แม้ว่าชาวเมืองบางกลุ่มจะมีความคิดเห็นขัดแย้งอยู่บ้าง ส่วนเรื่องของพระนางหรู่เฟย ถูกปิดเป็นความลับ อย่างไรเสียงเรื่องสตรีวังหลังหายตัวไปนับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พระนางหรู่เฟยทำเรื่องเสื่อมเสีย ย่อมไม่ได้รับให้ฝังในสุสานหลวงอย่างแน่นอนส่วนจวนแม่ทัพนั้นดูจะหอมอบอวลไปด้วยความสุข เมื่อแม่ทัพหลี่นั้นได้สั่งให้ย้ายข้าวของทั้งหมดจากเรือนหลิวหลี ไปยังเรือนใหญ่ของท่านตนเอง เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังขึ้นเป็นระยะจากในสวนดอกไม้ คงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากเจ้าของจวนทั้งสองหย
นางไม่รู้ว่าเพราะความผิดพลาดที่ใด คนที่อยู่บนเตียงกับจ้าวหลิวหลี จึงได้กลายมาเป็นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ ทั้งที่นางหมายจะเก็บเขาเอาไว้ใช้งาน เพื่อเป็นบันไดให้แก่ลูก ๆ ของนาง แต่ก็นั้นแหละหลี่จ้านเป็นเพียงแม่ทัพ มิรู้ว่าอนาคตจะไปได้ไกลสักเท่าใดกัน จะมีเขาหรือไม่ในตอนนี้ก็หาได้สำคัญต่อนางแล้ว “ไม่จริง! ข้าไม่ได้คิดต่ำช้าเช่นนั้น ฮือ ๆ” จ้าวหลิวหลีกรีดร้องด้วยความเสียใจ หญิงสาวร้องไห้จนสิ้นสติลงในอ้อมแขนของแม่ทัพหนุ่ม “ปล่อยนางซะ! หลี่จ้าน” จ้าวอ๋องคำรามก้อง เมื่อเห็นบุตรสาวสิ้นสติอยู่ในอ้อมกอดของแม่ทัพหนุ่ม เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ “ข้าหลี่จ้านขอพูดเพียงครั้งเดียว และจะทำอย่างที่พูด ข้าจะแต่งท่านหญิงใหญ่จ้าวหลิวหลีเข้าจวน ในฐานนะภรรยาเพียงหนึ่งเดียว ข้าหวังว่าทุกท่านจะเป็นพยาน และข้าหลี่จ้านต้องขออภัยต่อท่านอ๋องในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะตลบผ้าห่มผืนใหญ่พันร่างของคนในอ้อมแขนเอาไว้ ก่อนจะขยับลุกโดยมีร่างของหญิงสาวอยู่แนบกาย ชายหนุ
จวนสกุลหลี่ เรือนหลิวหลี ร่างเย้ายวนนั่งมองกระดาษที่อยู่ในมือ ก่อนจะวางลงยังเตาเล็กบนโต๊ะน้ำชา “วันนี้เราจะออกไปร้านเครื่องหอมกัน ท่านพี่จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบกับสาวใช้ข้างกาย นางแต่งเข้าจวนมาหลายปี ทว่าสามีนั้นแทบจะมิเคยย่างกรายมายังเรือนของนางเลย เรื่องการเสพสุขระหว่างสามีภรรยาหาได้เคยเกิดขึ้นแม้เพียงครั้ง ‘ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก เกิดมาชาติตระกูลดีสูงส่ง ทว่ากลับถูกสามีรังเกียจ บทนิยายน้ำเน่าสิ้นดี ยามนั้นข้ายังเยาว์ มิใช่ตอนนี้ที่ข้าพร้อมจะเปลี่ยนมันด้วยมือของข้าเอง ชะตาย่อมอยู่ในมือผู้กล้าที่จะเปลี่ยนเสมอ’ จ้าวหลิวหลีคิดอยู่ในใจก่อนจะลุกขึ้น หญิงสาวเดินไปนั่งลงยังกระจกทองเหลือง ร่างงามมองใบหน้าหมดจดของตนเอง ก่อนจะเริ่มแต่งแต้มสีสันให้เข้ากับใบหน้าอย่างใจเย็น สามีเป็นแม่ทัพใหญ่ บุรุษที่สตรีทั่วแผ่นดินหมายปอง และเป็นอดีตคนรักของน้องสาวต่างมารดา ส่วนนางคือท่านหญิงใหญ่แห่งจวนจ้าวสตรีที่เขามองว่าไร้ค่า ซ้ำยังหาญกล้าปีนป่ายเตียงของเขาเมื่อหลายปีก่อน นับแต่นั้นเป็นต้นมา นางเฝ้าเปลี
“หลิวหลีคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” จ้าวหลิหลีย่อกายให้แก่ผู้เป็นบิดา ที่ดูเหมือนกำลังมีโทสะ และนางมิจำเป็นต้องคาดเดา ว่าผู้ใดคือต้นเหตุของความกรุ่นโกรธในครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นนางบุตรสาวผู้น่าชังอย่างแน่นอน “ฮึ ! ยังมีหน้าเรียกข้าว่าพ่ออยู่เช่นนั้นรึ” จ้าวอ๋องตอบกลับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ถึงแม้จะแสดงออกถึงความโกรธกริ้วมากเพียงใด ทว่าคนตรงหน้ากลับยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย ยิ่งเป็นการเพิ่มไฟโทสะให้แก่จ้าวอ๋อง นับเท่าทวีคูณเลยก็ว่าได้ ที่บุตรสาวหาได้ยำเกรงต่อตนเองไม่ “มิทราบว่าท่านอ๋อง มีเรื่องอันใดกับข้าน้อยเช่นนั้นรึเจ้าคะ” จ้าวหลิวหลีเปลี่ยนคำเรียกขานบิดาในทันที นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้เป็นพ่อที่เคยมีความฉลาดรอบรู้ มีความเที่ยงธรรมจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แม้แต่ตอนที่นางถูกใส่ความ จนต้องแต่งแก่แม่ทัพหลี่จ้าน บิดาไม่แม้แต่จะคิดสืบหาความจริง ซ้ำยังมิเคยเหลียวแลนางแม้แต่หางตา ทุกคำของมารดาเลี้ยงและน้องสาวคือความถูกต้อง ส่วนคำของนางนั้น เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลของบุตรสาวผู้ไม่รักดีไปเสียหมด ทุกอย่างเป
จ้าวหลิวหลีหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่ออีกครั้ง นางอาจดูโง่เขลาเมื่อครั้งในอดีต แต่นั้นมันเมื่อก่อนมิใช่ปัจจุบัน ที่นางไม่มีคำว่ายินยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไป “เพราะอี้เหมยเห็นแก่คำว่าพี่น้อง เรื่องนี้นางจึงยังมิได้ทูลให้องค์ชายสี่ได้ทรงทราบ” เป็นชุ่ยเหนียงเฟย พระชายาเอกคนปัจจุบันในจ้าวอ๋องกล่าวแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นพระสวามีเริ่มจนในคำพูด “ไม่มีความจำเป็นที่นางต้องทำเช่นนั้น เพราะการวางยาหมายกำจัดสายเลือดมังกร นับเป็นเรื่องใหญ่ที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้ มิเว้นแม้แต่สายเลือดเดียวกัน คำว่าพี่น้องมิใช่ข้ออ้างให้ท่านอ๋องกับพระชายา มากล่าวหาข้าโดยไร้มูลความจริงอยู่อย่างนี้” “เอ่อ...” สองสามีภรรยาจนในคำพูด เมื่อเจ้าของบ้านตอบกลับมาด้วยเหตุผลที่หนักแน่นกว่า จ้าวอ๋องมองไปยังภรรยาที่ตอนนี้เอาแต่หลบสายตาของบุตรสาว แม้แต่เขาที่เป็นพ่อ ยังไม่หาญกล้าที่จะมองตาเอาเรื่องของบุตรสาวคนโตได้เลย คราแรกเขานับว่าถือหมากเหนือกว่า ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่ตกเป็นรองในคำพูด “จะอย่างไรเรื่องนี้ ข้าก็ต้องหาความจริงให้จงได้”
ทว่ารอยยิ้มที่เขาเคยเห็นได้หายไปทีละน้อย นับตั้งแต่อดีตพระชายาเอกในจ้าวอ๋องตายไป ทุกอย่างเริ่มแปรเปลี่ยนแต่จ้าวหลิวหลียังคงเป็นหนึ่งดวงใจของเขาเช่นเดิม แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ พระมารดาของเขาจึงได้ทำการสู่ขอจ้าวอี้เหมยเข้าจวนแทน พระมารดาคอยย้ำให้เขามองถึงจุดมุ่งหมายมากกว่าเรื่องความรัก ดังนั้นเขาจึงต้องปิดหูปิดตากับสิ่งที่จ้าวอี้เหมยทำมาโดยตลอด “ยังทรงเชื่อความเสแสร้งของนางอยู่อีกหรือเพคะ หม่อมฉันมีตรงไหนสู้นางมิได้บ้างเพคะ” จ้าวอี้เหมยเหมือนจะเริ่มควบคุมตนเองเอาไว้ไม่ได้บ้างแล้ว หญิงสาวหาญกล้าที่จะเอ่ยถามพระสวามี ที่เอาแต่โทษนางว่าทำเพียงเรื่องเลวร้าย โดยที่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ที่ผ่านมาเขาเองก็ใช้นางเป็นเพียงสะพานมุ่งสู่อำนาจเดียวเช่นกัน “เจ้าคิดเช่นนั้นหรืออี้เหมย หากเจ้ามิเพียบพร้อมข้าจะเลือกเจ้ามายืนในฐานะพระชายาเอกของข้าจนถึงทุกวันนี้หรือ” เสวี่ยเฟิงพยายามลดโทสะของตนเองลง เขายังไม่อยากให้เกิดความแตกหักขึ้นในตอนนี้ แต่ดูเหมือนจ้าวอี้เหมยจะรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน นางจึงใช้สิ่งนี้บีบบังคับเขาอยู่กลาย ๆ