นางไม่รู้ว่าเพราะความผิดพลาดที่ใด คนที่อยู่บนเตียงกับจ้าวหลิวหลี จึงได้กลายมาเป็นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ ทั้งที่นางหมายจะเก็บเขาเอาไว้ใช้งาน เพื่อเป็นบันไดให้แก่ลูก ๆ ของนาง
แต่ก็นั้นแหละหลี่จ้านเป็นเพียงแม่ทัพ มิรู้ว่าอนาคตจะไปได้ไกลสักเท่าใดกัน จะมีเขาหรือไม่ในตอนนี้ก็หาได้สำคัญต่อนางแล้ว
“ไม่จริง! ข้าไม่ได้คิดต่ำช้าเช่นนั้น ฮือ ๆ”
จ้าวหลิวหลีกรีดร้องด้วยความเสียใจ หญิงสาวร้องไห้จนสิ้นสติลงในอ้อมแขนของแม่ทัพหนุ่ม
“ปล่อยนางซะ! หลี่จ้าน”
จ้าวอ๋องคำรามก้อง เมื่อเห็นบุตรสาวสิ้นสติอยู่ในอ้อมกอดของแม่ทัพหนุ่ม เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้
“ข้าหลี่จ้านขอพูดเพียงครั้งเดียว และจะทำอย่างที่พูด ข้าจะแต่งท่านหญิงใหญ่จ้าวหลิวหลีเข้าจวน ในฐานนะภรรยาเพียงหนึ่งเดียว ข้าหวังว่าทุกท่านจะเป็นพยาน และข้าหลี่จ้านต้องขออภัยต่อท่านอ๋องในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะตลบผ้าห่มผืนใหญ่พันร่างของคนในอ้อมแขนเอาไว้ ก่อนจะขยับลุกโดยมีร่างของหญิงสาวอยู่แนบกาย
ชายหนุ่มก้าวตรงไปยังประตูอย่างช้า ๆ ทุกก้าวหนักแน่นสมกับตำแหน่งแม่ทัพของเขายิ่งนัก ขณะที่กำลังจะก้าวผ่านคนรักไป ชายหนุ่มทำเพียงชำเลืองมองนาง
ไร้ซึ่งคำพูดหรือแม้แต่แววตาสำนึกผิด จะมีเพียงความรังเกียจที่ส่งผ่านไปยังหญิงสาว ที่เขาคิดว่านางคือที่หนึ่งในใจ ความรู้สึกผิดหวังรุนแรงจนเขาไม่อาจทนที่จะมองหน้านางได้อีก
“ขอให้เจ้ามีความสุขกับสิ่งที่เจ้าเลือกอี้เหมย”
ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ กับคนที่เขาเพิ่งเดินจากมา ก่อนจะมองตรงไปข้างหน้าพร้อมกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น แม้จะไร้สติรับรู้ทว่าร่างบางยังคงมีอาการสะอื้นเบา ๆ นางคงเจ็บปวดและเสียขวัญไม่น้อยเลย
‘เจ้าจะเป็นหนึ่งเดียวของข้าหลิวหลี เวลาจะรักษาเจ้าเอง’
ชายหนุ่มก้าวหายไปในความมืด โดยไม่คิดใส่ใจกับคำพูดของผู้คนที่ไล่หลังเขามา
จวนจ้าวอ๋องวันถัดมา
เสียงไม้กระทบเนื้อดังขึ้นเป็นระยะ เสียงสะอื้นไห้ของผู้ที่ถูกโบย ทุกครั้งที่ไม้กระทบแผ่นหลังของท่านหญิงใหญ่ บรรดาบ่าวไพร่ต่างพากันใจหาย เกรงว่าผู้เป็นนายจะมิอาจทนได้จนครบจำนวนที่ถูกสั่งลงทัณฑ์
“ท่านอ๋อง มีราชโองการมาพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารยามหน้าประตูรายงานถึงผู้มาเยือน ทุกคนที่อยู่ภายในห้องโถงต่างรีบพากันเดินออกไปรอรับคนจากในวัง
“จวิ๋นอ๋องจ้าวไค่ รับราชโองการ”
“ขอฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
ทุกคนคุกเข่าลงเพื่อรอรับราชโองการจากองค์ฮ่องเต้ เขาไม่อยากจะเดาว่าเป็นเรื่องของธิดาคนโต แต่ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของนางอย่างแน่นอน
“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง พระราชทานสมรสให้แก่แม่ทัพหลี่จ้านกับท่านหญิงใหญ่จ้าวหลิวหลี งานแต่งจะเริ่มขึ้นในอีกสิบวัน”
“น้อมรับพระบัญชา”
“ท่านอ๋องฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ท่านหญิงใหญ่จะต้องสมบูรณ์พร้อม และไร้ริ้วรอยใด ๆ มิเช่นนั้นประหารผู้ที่แตะต้องนางทันทีโดยมิต้องไตร่สวน”
“จ้าวไค่รับพระบัญชา”
ชุ่ยเหนียงเฟย รู้สึกเจ็บใจจนอยากจะระบายโทสะออกมาเสียในตอนนี้เลยทีเดียว นางไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมฮ่องเต้จึงได้เมตตาจ้าวหลิวหลียิ่งนัก
ตั้งแต่เล็กจนโต จ้าวหลิวหลีจะเข้านอกออกในวังหลวงได้อย่างสะดวก แตกต่างจากนางและบุตรสาว ที่ไม่มีรับสั่งก็มิอาจก้าวเข้าไปภายในวังหลวงได้
“นำตัวนางไปขังไว้ในห้องเก็บฟืนจนกว่าจะถึงวันงาน ไม่มีคำสั่งของข้าห้ามผู้ใดเข้าไปพบนาง”
จ้าวอ๋องมองไปยังธิดาคนโต ที่ตอนนี้นอนแน่นิ่งอยู่บนลานลงทัณฑ์ ร่างโชกเลือดถูกนำไปยังห้องเก็บฟืน โดยมีสายตาเจ็บแค้นของเสี่ยวเชี่ยนสาวใช้ข้างกายของท่านหญิงมองตาม
นางถูกกันมิให้เข้าใกล้ผู้เป็นนาย หากนางได้ติดตามผู้เป็นนายไปในงานเลี้ยง ทุกอย่างอาจไม่เป็นเช่นนี้ แต่อยู่เมื่อคืนที่ผ่านมานางท้องเสียจนต้องนอนวมอยู่ในห้อง จึงมิได้ติดตามผู้เป็นนายไปเช่นปกติ
“ข้ายังมิเข้าใจเจ้าคะ”
หลี่จ้านมองแววตาช่างสงสัยของภรรยา นางรู้ไปเสียทุกเรื่อง ไยเรื่องเพียงเท่านี้จึงเดาไม่ออกเลยเล่า
“เป็นพี่ที่ชิงตัวเจ้ามาอย่างไรเล่า ทั้งหมดเป็นฝีมือของพระชายาชุ่ยเหนียงเฟยและอี้เหมย เรื่องนี้พี่เห็นโดยบังเอิญ”
“แต่ท่านพี่ หมางเมินต่อข้ามาตลอดหลายปีนะเจ้าคะ”
“แล้วเจ้าเล่ามิห่างเหินพี่หรืออย่างไร หากพี่ไม่ทำเช่นนี้ ศัตรูของพี่คงพุ่งเป้ามาที่เจ้าทั้งหมด ขนาดพี่หมางเมินต่อเจ้า คนพวกนั้นยังรังควานเจ้าแทบจะตลอดเลยมิใช่รึ”
“เจ้าค่ะ”
“พี่รอได้ เราค่อย ๆ เริ่มกันใหม่จะได้หรือไม่”
แม่ทัพหนุ่มหยอดคำหวาน ก่อนจะประทับจูบอ่อนโยนบนเรียวปากอวบอิ่ม ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธ มีเพียงเสียงครางแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาเท่านั้น
ความรู้สึกของทั้งคู่ที่แอบซ่อนเอาไว้นานปี ค่อย ๆ เปิดเผยให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ความสัมพันธ์ที่ห่างไกลในเมื่อก่อน ตอนนี้มันแนบชิดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวแล้ว
เวลาผ่านไปไวประหนึ่งเหมือนโกหก ความรักที่สุกงอมของแม่ทัพหลี่จ้าน กับท่านหญิงหลิวหลีผ่านมากว่าเจ็ดปี พร้อมกับมีทายาทฝาแฝดชายหญิง
“ท่านพ่อ หลีเกออยากไปเที่ยวชายแดนกับท่านพ่อขอรับ”
“ไม่ได้! พี่ใหญ่ต้องอยู่กับท่านแม่ ท่านพ่อเจ้าคะ ให้ลูกไปกับท่านพ่อนะเจ้าคะ”
หลี่หลิวหยาออดอ้อนบิดา เด็กน้อยอยากที่จะติดตามบิดาไปยังชายแดน แม้จะรู้ว่ามันอันตราย แต่นางมิอยากอยู่ที่บ้านเรียนวาดเขียน ปักผ้าให้เจ็บมือ นางชอบเล่นดาบไม้กับพี่ชายมากกว่า
“หึ ๆ ลูกรัก เรื่องนี้พ่อไม่สามารถตัดสินใจได้เลย พวกเจ้าต้องไปถามท่านแม่จะดีกว่า”
“เห้อ!”
สองพี่น้องพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกัน มีหรือพวกเขาจะไม่รู้คำตอบของผู้เป็นแม่ ไม่ว่าจะขอไปที่ใดมักจะได้คำตอบเช่นเดิมทุกที
“พวกเจ้ามากวนอะไรท่านพ่อ ไยมิรู้จักไปจัดเตรียมสิ่งของจำเป็น เดินทางไกลไม่ได้สุขสบายเช่นอยู่ที่จวนนะ”
“ท่านแม่!! หมายความว่า...”
“หรือจะให้แม่เปลี่ยนใจ”
“ไม่ขอรับ/ไม่เจ้าค่ะ”
สองพี่น้องตอบอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะวิ่งหายออกไปจากห้องของบิดาอย่างรวดเร็ว
“เจ้าแน่ใจแล้วรึ”
“เขาสองคนคือทายาทของแม่ทัพนะเจ้าคะ ควรที่จะเรียนรู้อะไรให้มากกว่าอยู่แต่ภายในจวน และครั้งนี้ข้าจะติดตามท่านพี่ไปด้วยเจ้าค่ะ”
หมับ! หลี่จ้านรวบกอดภรรยาเอาไว้แนบอก ก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มเนียน การเดินทางครั้งนี้ของเขาคงจะมีทั้งความสุข และความป่วนจากสองแฝดอย่างแน่นอน
“พี่รักเจ้าหลิวหลี”
“บอกรักข้าทุกวัน ท่านพี่มิเบื่อหรือเจ้าคะ”
“เจ้ามิอยากฟังแล้วอย่างนั้นรึ”
“ไม่เลยเจ้าค่ะ ข้าชอบที่จะได้ยินมันทุกวันเจ้าค่ะ อื้อ…”
หลี่จ้านไม่รอช้า เขาหยุดคำพูดของภรรยาด้วยจูบอันเร้าร้อน ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ปี คนในอ้อมแขนของเขาก็ยังดูอ่อนเยาว์มิเคยเปลี่ยน ความหวานของนางช่างเย้ายวนเขายิ่งนัก
‘ข้าจะรักท่านจนลมหายใจสุดท้าย หลี่จ้าน’
จบบริบูรณ์
จวนสกุลหลี่ เรือนหลิวหลี ร่างเย้ายวนนั่งมองกระดาษที่อยู่ในมือ ก่อนจะวางลงยังเตาเล็กบนโต๊ะน้ำชา “วันนี้เราจะออกไปร้านเครื่องหอมกัน ท่านพี่จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบกับสาวใช้ข้างกาย นางแต่งเข้าจวนมาหลายปี ทว่าสามีนั้นแทบจะมิเคยย่างกรายมายังเรือนของนางเลย เรื่องการเสพสุขระหว่างสามีภรรยาหาได้เคยเกิดขึ้นแม้เพียงครั้ง ‘ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก เกิดมาชาติตระกูลดีสูงส่ง ทว่ากลับถูกสามีรังเกียจ บทนิยายน้ำเน่าสิ้นดี ยามนั้นข้ายังเยาว์ มิใช่ตอนนี้ที่ข้าพร้อมจะเปลี่ยนมันด้วยมือของข้าเอง ชะตาย่อมอยู่ในมือผู้กล้าที่จะเปลี่ยนเสมอ’ จ้าวหลิวหลีคิดอยู่ในใจก่อนจะลุกขึ้น หญิงสาวเดินไปนั่งลงยังกระจกทองเหลือง ร่างงามมองใบหน้าหมดจดของตนเอง ก่อนจะเริ่มแต่งแต้มสีสันให้เข้ากับใบหน้าอย่างใจเย็น สามีเป็นแม่ทัพใหญ่ บุรุษที่สตรีทั่วแผ่นดินหมายปอง และเป็นอดีตคนรักของน้องสาวต่างมารดา ส่วนนางคือท่านหญิงใหญ่แห่งจวนจ้าวสตรีที่เขามองว่าไร้ค่า ซ้ำยังหาญกล้าปีนป่ายเตียงของเขาเมื่อหลายปีก่อน นับแต่นั้นเป็นต้นมา นางเฝ้าเปลี
“หลิวหลีคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” จ้าวหลิหลีย่อกายให้แก่ผู้เป็นบิดา ที่ดูเหมือนกำลังมีโทสะ และนางมิจำเป็นต้องคาดเดา ว่าผู้ใดคือต้นเหตุของความกรุ่นโกรธในครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นนางบุตรสาวผู้น่าชังอย่างแน่นอน “ฮึ ! ยังมีหน้าเรียกข้าว่าพ่ออยู่เช่นนั้นรึ” จ้าวอ๋องตอบกลับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ถึงแม้จะแสดงออกถึงความโกรธกริ้วมากเพียงใด ทว่าคนตรงหน้ากลับยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย ยิ่งเป็นการเพิ่มไฟโทสะให้แก่จ้าวอ๋อง นับเท่าทวีคูณเลยก็ว่าได้ ที่บุตรสาวหาได้ยำเกรงต่อตนเองไม่ “มิทราบว่าท่านอ๋อง มีเรื่องอันใดกับข้าน้อยเช่นนั้นรึเจ้าคะ” จ้าวหลิวหลีเปลี่ยนคำเรียกขานบิดาในทันที นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้เป็นพ่อที่เคยมีความฉลาดรอบรู้ มีความเที่ยงธรรมจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แม้แต่ตอนที่นางถูกใส่ความ จนต้องแต่งแก่แม่ทัพหลี่จ้าน บิดาไม่แม้แต่จะคิดสืบหาความจริง ซ้ำยังมิเคยเหลียวแลนางแม้แต่หางตา ทุกคำของมารดาเลี้ยงและน้องสาวคือความถูกต้อง ส่วนคำของนางนั้น เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลของบุตรสาวผู้ไม่รักดีไปเสียหมด ทุกอย่างเป
จ้าวหลิวหลีหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่ออีกครั้ง นางอาจดูโง่เขลาเมื่อครั้งในอดีต แต่นั้นมันเมื่อก่อนมิใช่ปัจจุบัน ที่นางไม่มีคำว่ายินยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไป “เพราะอี้เหมยเห็นแก่คำว่าพี่น้อง เรื่องนี้นางจึงยังมิได้ทูลให้องค์ชายสี่ได้ทรงทราบ” เป็นชุ่ยเหนียงเฟย พระชายาเอกคนปัจจุบันในจ้าวอ๋องกล่าวแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นพระสวามีเริ่มจนในคำพูด “ไม่มีความจำเป็นที่นางต้องทำเช่นนั้น เพราะการวางยาหมายกำจัดสายเลือดมังกร นับเป็นเรื่องใหญ่ที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้ มิเว้นแม้แต่สายเลือดเดียวกัน คำว่าพี่น้องมิใช่ข้ออ้างให้ท่านอ๋องกับพระชายา มากล่าวหาข้าโดยไร้มูลความจริงอยู่อย่างนี้” “เอ่อ...” สองสามีภรรยาจนในคำพูด เมื่อเจ้าของบ้านตอบกลับมาด้วยเหตุผลที่หนักแน่นกว่า จ้าวอ๋องมองไปยังภรรยาที่ตอนนี้เอาแต่หลบสายตาของบุตรสาว แม้แต่เขาที่เป็นพ่อ ยังไม่หาญกล้าที่จะมองตาเอาเรื่องของบุตรสาวคนโตได้เลย คราแรกเขานับว่าถือหมากเหนือกว่า ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่ตกเป็นรองในคำพูด “จะอย่างไรเรื่องนี้ ข้าก็ต้องหาความจริงให้จงได้”
ทว่ารอยยิ้มที่เขาเคยเห็นได้หายไปทีละน้อย นับตั้งแต่อดีตพระชายาเอกในจ้าวอ๋องตายไป ทุกอย่างเริ่มแปรเปลี่ยนแต่จ้าวหลิวหลียังคงเป็นหนึ่งดวงใจของเขาเช่นเดิม แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ พระมารดาของเขาจึงได้ทำการสู่ขอจ้าวอี้เหมยเข้าจวนแทน พระมารดาคอยย้ำให้เขามองถึงจุดมุ่งหมายมากกว่าเรื่องความรัก ดังนั้นเขาจึงต้องปิดหูปิดตากับสิ่งที่จ้าวอี้เหมยทำมาโดยตลอด “ยังทรงเชื่อความเสแสร้งของนางอยู่อีกหรือเพคะ หม่อมฉันมีตรงไหนสู้นางมิได้บ้างเพคะ” จ้าวอี้เหมยเหมือนจะเริ่มควบคุมตนเองเอาไว้ไม่ได้บ้างแล้ว หญิงสาวหาญกล้าที่จะเอ่ยถามพระสวามี ที่เอาแต่โทษนางว่าทำเพียงเรื่องเลวร้าย โดยที่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ที่ผ่านมาเขาเองก็ใช้นางเป็นเพียงสะพานมุ่งสู่อำนาจเดียวเช่นกัน “เจ้าคิดเช่นนั้นหรืออี้เหมย หากเจ้ามิเพียบพร้อมข้าจะเลือกเจ้ามายืนในฐานะพระชายาเอกของข้าจนถึงทุกวันนี้หรือ” เสวี่ยเฟิงพยายามลดโทสะของตนเองลง เขายังไม่อยากให้เกิดความแตกหักขึ้นในตอนนี้ แต่ดูเหมือนจ้าวอี้เหมยจะรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน นางจึงใช้สิ่งนี้บีบบังคับเขาอยู่กลาย ๆ
“ลูกรักเจ้าต้องมั่นใจในตนเองให้มาก ความงามและสติปัญญาของเจ้าเหนือกว่านางมากนัก อย่าได้แยแสต่อบุรุษที่มิเห็นค่าของเจ้า แต่จงยืนให้เหนือผู้ที่ทำร้ายเจ้าเท่านั้น” “แต่ข้ารักเขา” “ความรักย่อมต้องมิทำให้เกิดความทุกข์ หากมันไร้ซึ่งความสุขมันย่อมมิใช่ความรัก นับจากนี้จงฟังแม่เจ้าต้องใส่ใจเพียงอำนาจในมือ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เจ้าอยู่รอด” “แต่ว่า...” ชุ่ยเหนียงเฟยยกนิ้วทาบริมฝีปากบุตรสาว ความรักทำให้จ้าวอี้เหมยมองไม่เห็นความเป็นจริง นางผู้เป็นมารดามีหน้าที่ปกป้องลูก ดังนั้นนางจำต้องสอนให้บุตรสาว ยืนอยู่บนความจริงมากกว่าความรู้สึกอันเลื่อนลอย เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ใกล้เข้ามา ทำให้สองแม่หยุดการสนทนาลงในทันที เพราะหากเดาไม่ผิดก็คงเป็นจ้าวอ๋องอย่างแน่นอน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นลูกพ่อ” คำถามจากคนด้านหน้าประตูดังขึ้น ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวเข้ามาด้านใน จ้าวอี้เหมยผละออกจากอ้อมกอดของมารดา วิ่งเข้าสวมกอดผู้เป็นพ่อ พร้อมสะอื้อไห้ปานจะขาดใจ “น้องหญิงเจ้าเป็นอันใดไป” เสียงทุ้มลึกดังมาจากด้านหลังจ้
ฟิ้ว! มีเสียงบางอย่างแหวงอากาศมาจากข้างทาง ทำให้ทุกความคิดของเจาหยางยุติลง มือหนาที่กรำศึกมานานคว้าจับสิ่งนั้นเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะพุ่งผ่านเขาไปยังรถม้าของผู้เป็นนาย เพียงครู่เดียวเสียงอาวุธกระทบกันเกิดขึ้นจากรอบด้าน เจาหยางเหินกายงจากหลังม้า เพื่อคุ้มกันรถม้าเอาไว้ โดยมีผู้ติดตามกว่าห้าคนล้อมรถม้าเอาไว้ ชายชุดดำจำนวนหลายคน พยายามที่จะฝ่าเข้ามาให้ถึงรถม้า ทำให้ทหารคุ้มกันบาดเจ็บล้มตายบ้างแล้ว “ฮูหยิน รอเสี่ยวเชี่ยนก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวเชี่ยนคว้าอาวุธ ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ที่นั่งในรถม้าออกมาถือไว้ในมือ ก่อนที่ร่างงามจะก้าวออกจากรถม้า หญิงสาวดึงกระบี่ออกจากฝัก พร้อมกับพุ่งเข้าหาคนร้ายด้วยความดุดัน เชร้ง! เสียงอาวุธกระทบกันจากทางด้านหลัง เรียกสายตาของเจาหยางในทันที ดวงตาของพ่อบ้านสูงวัยเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาในตอนนี้คือเสี่ยวเชี่ยน ไม่มีคำพูดใดจากคนทั้งคู่ ด้วยเวลานี้คนร้ายเหมือนจะได้เปรียบพวกเขาอยู่ไม่น้อย เสี่ยวเชี่ยนคอยมองไปยังรถม้าอยู่บ่อยครั้ง นางรู้ดีว่าผู้เป็นนายนั้นจะปลอดภ
“แต่ว่า...ฮูหยินมิแปลกใจหรือเจ้าคะ ที่อยู่ ๆ เราก็ถูกคนจำนวนมากโจมตี อันที่จริงแล้วแค่คิดจะสังหารฮูหยิน ใช้คนเพียงหยิบมือก็ทำได้แล้วนะเจ้าคะ” “ต่อให้ข้าเลี้ยงหนอนให้อิ่มหนำสำราญเพียงใด ก็ย่อมมีบางตัวชื่นชอบอาหารที่ผู้อื่นหยิบยื่นมาให้มันอยู่ดี” จ้าวหลิวหลียังคงไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมาทางน้ำเสียง เป็นเรื่องยากที่เสี่ยวเชี่ยนจะเดาความรู้สึกของผู้เป็นนายออก “มีคนทรยศเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “จะว่าแบบนั้นก็ย่อมได้ แต่เรายังไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นที่คนของเรา หรือเป็นเพราะศัตรูล่วงรู้ด้วยตนเอง ฉะนั้นจงนิ่งเฉยเอาไว้ รอดูผลที่จะปารถกฎในมิช้าจะดีกว่า ไม่ต้องเร่งร้อนที่จะอยากรู้ เรายังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นให้ต้องทำ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำของผู้เป็นนาย แม้ว่านางจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งใดมากนัก นางก็ไม่คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือคำสั่ง ยกเว้นว่ามีอันตรายใดพุ่งตรงมาที่ผู้เป็นนาย สิ่งนั้นนางจะมิรั้งรอให้มันสายจนเกินแก้ไข นางพร้อมที่จะลงมือต่อสิ่งเหล่านั้นในทันที ทว่าตราบใดที่นายของนางยังปลอดภัย ทุกคำสั่งที่นางได้รับจะไม
แม่ทัพหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบคนที่อยู่อีกด้านของห้องนอน เขาทำได้เพียงทอดถอนหายใจ เพราะสิ่งที่ศัตรูรับรู้คือเขาใกล้จะตายด้วยพิษร้าย แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ย่อมต้องมีคนอยู่เบื้องหลังการต่อสู้ด้านนอกดูเหมือนจะดุเดือดขึ้นทุกขณะ ทว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงทำได้เพียงนิ่งเงียบ ปัง! เสียงประตูถูกเปิดออกเสมือนจงใจให้คนที่หลับใหลอยู่ได้รู้สึกตัว“แค่ก ๆ พวกเจ้าเป็นใครกัน บังอาจบุกรุกห้องนอนของข้า”แม่ทัพหนุ่มแค่นเสียงอันแหบแห้ง เอ่ยถามผู้มาเยือนด้วยความอ่อนแรง ชายหนุ่มขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ ที่เขาต้องกลายเป็นเพียงคนป่วยใกล้ตาย ทั้งที่มันมิได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น“หึ ๆ ข้าก็แค่มาส่งท่านแม่ทัพลงนรกให้เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นขอรับ”เสียงหัวเราะอย่างหยามใจของผู้บุกรุก ไม่ได้ทำให้คนบนเตียงรู้สึกตื่นกลัวเลยสักนิด แต่ด้วยความสมจริงเขาต้องแสดงถึงความหวั่นเกรงอีกฝ่ายให้มาก“คิดว่าข้าจะยินยอมง่าย ๆ เช่นนั้นรึ”“ยินยอมหรือไม่ กระบี่ในมือของข้าคือผู้ที่ตอบได้”“หึ ๆ”ควับ! เมื่อได้ยินเสียงของใครอีกคนในอีกมุมของห้อง ชายชุดดำทั้งหมดต่างพากันตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครอื่นอยู่ร่วมห้องนี้ เพราะจากที่รู้มาคือ