“ลูกรักเจ้าต้องมั่นใจในตนเองให้มาก ความงามและสติปัญญาของเจ้าเหนือกว่านางมากนัก อย่าได้แยแสต่อบุรุษที่มิเห็นค่าของเจ้า แต่จงยืนให้เหนือผู้ที่ทำร้ายเจ้าเท่านั้น”
“แต่ข้ารักเขา”
“ความรักย่อมต้องมิทำให้เกิดความทุกข์ หากมันไร้ซึ่งความสุขมันย่อมมิใช่ความรัก นับจากนี้จงฟังแม่เจ้าต้องใส่ใจเพียงอำนาจในมือ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เจ้าอยู่รอด”
“แต่ว่า...”
ชุ่ยเหนียงเฟยยกนิ้วทาบริมฝีปากบุตรสาว ความรักทำให้จ้าวอี้เหมยมองไม่เห็นความเป็นจริง นางผู้เป็นมารดามีหน้าที่ปกป้องลูก ดังนั้นนางจำต้องสอนให้บุตรสาว ยืนอยู่บนความจริงมากกว่าความรู้สึกอันเลื่อนลอย
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ใกล้เข้ามา ทำให้สองแม่หยุดการสนทนาลงในทันที เพราะหากเดาไม่ผิดก็คงเป็นจ้าวอ๋องอย่างแน่นอน
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นลูกพ่อ”
คำถามจากคนด้านหน้าประตูดังขึ้น ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวเข้ามาด้านใน จ้าวอี้เหมยผละออกจากอ้อมกอดของมารดา วิ่งเข้าสวมกอดผู้เป็นพ่อ พร้อมสะอื้อไห้ปานจะขาดใจ
“น้องหญิงเจ้าเป็นอันใดไป”
เสียงทุ้มลึกดังมาจากด้านหลังจ้าวอ๋อง ทำให้ชุ่ยเหนียงเฟยรีบตีหน้าเศร้า ก้าวเข้าหาบุตรชาย ที่เดินมาหยุดอยู่ข้างน้องสาวและผู้เป็นพ่อ
เรื่องราวต่าง ๆ ถูกเล่าออกมาพร้อมเสียงสะอื้นของจ้าวอี้เหมย สี่พ่อแม่ลูกต่างเอ่ยปลอบโยนกันไปมา โดยไม่รู้เลยว่าเรื่องราวนั้นถูกบิดเบือนโดยสองแม่ลูก
ทว่าคนที่รู้เรื่องราวแท้จริงเป็นอย่างดี ได้หายไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อกลับไปแจ้งข่าวแก่ผู้เป็นนาย
จวนแม่ทัพหลี่จ้าน
จ้าวหลิวหลีนั่งปักผ้าในมืออย่างใจเย็น โดยมีคำรายงานเรื่องราวที่นางมองว่าเป็นเรื่องตลกขบขัน หญิงสาวหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี นางยังไม่ทันได้ลงมือจริงจังเสียหน่อย
แต่กลับมีคนเดือดร้อนจนมิอาจนิ่งเฉยได้ ต่อให้เรื่องนี้นางไม่คิดทำอะไร คนเช่นสองแม่ลูกนั้นก็คงหาเรื่องมาให้นางอยู่ดี
“เรื่องสองแม่ลูกนั้น ให้ผู้เป็นใหญ่จัดการไปเถอะ เอาเรื่องสำคัญที่ข้าเพิ่งรู้มาวันนี้จะดีกว่า บอกแก่อีกาว่าเร่งหายาถอนพิษและคนบงการมาให้ข้า ก่อนที่สามีของข้าจะเข้ามาถึงเมืองหลวง”
จ้าวหลิวหลีเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นใบหน้าเคร่งเครียด นางจะให้อิสระของตนเองถูกพรากไปมิได้เป็นอันขาด เพราะหากเกิดสิ่งใดขึ้นกับสามี ความยุ่งยากจะต้องตามมาไม่ขาดสายเป็นแน่
หลี่จ้านผู้เถรตรงย่อมมีคนต้องการกำจัดเขาอยู่ไม่น้อย และนางก็หวังว่าคงไม่ใช่คนในสายเลือดเดียวกันกับเขาหรือนาง เพราะหากเป็นเช่นนั้นคงยากจะทำใจยอมรับมันได้โดยง่าย
“นายหญิงโปรดวางใจ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยดีขอรับ”
ชายหนุ่มในชุดดำประสานมือให้แก่จ้าวหลิวหลี ก่อนจะหายตัวไปทางด้านหลังห้องอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวเชี่ยน”
“เจ้าค่ะ”
“ข้าจะไปอยู่ที่อารามหมิงเหล่ยสักหลายวันหน่อย เพื่อสวดมนต์ให้แก่ดวงวิญญาณของท่านแม่ เจ้านำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่พ่อบ้านเจาที ข้าจะออกเดินทางเย็นนี้เลย”
เป็นอันรู้กันระหว่างนายบ่าว ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเดินทางไปนอกเมืองหลวงในครานี้
“เสี่ยวเชี่ยนทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเชี่ยนรับคำของผู้เป็นนาย ก่อนจะรีบออกก้าวออกจากห้องไปในทันที
จ้าวหลิวหลีรู้ดี ว่าการเดินทางออกจากเมืองหลวงเวลานี้ ดูจะไม่เหมาะเท่าใดนัก แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อศัตรูหมายจะปลิดชีพนาง จะให้นั่งรออยู่ภายในจวน แล้วเบื้องหลังอีกด้านของนางถูกค้นพบเช่นนั้นหรือ นางไม่มีวันให้เกิดขึ้นเสียล่ะ และนางก็ไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผลที่แท้จริงแก่ผู้ใดเช่นกัน
ใช้เวลาเพียงไม่นานรถม้าจวนหลี่ได้เคลื่อนออกนอกประตูเมือง โดยมีทหารคุ้มกันติดตามไปหลายคน แม้ว่าพ่อบ้านเจาพยายามทัดทานฮูหยิน แต่เขาก็มิอาจเปลี่ยนใจผู้เป็นนายสาวได้เลย
พ่อบ้านเจาจึงตัดสินใจ ติดตามฮูหยินไปยังอารามนอกเมืองหลวง ด้วยคำสั่งของท่านแม่ทัพ คือความปลอดภัยของฮูหยินมาเป็นที่หนึ่ง เขาไม่อาจวางใจในผู้อื่นได้ จำต้องติดตามอารักษ์ขานางด้วยตนเอง
“ข้าจะบาปหรือไม่นะ ที่พาคนแก่มาลำบากด้วยเช่นนี้”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยทีเล่นทีจริงกับเสี่ยวเชี่ยน นางไม่ได้อยากที่จะให้ผู้ใดมาลำบากด้วย ต่อให้นางเดินทางมาเพียงสองคนกับเสี่ยวเชี่ยน นางก็มั่นใจว่าจะไร้รอยขีดข่วนจากศัตรู และยิ่งจะเป็นการดีที่พวกนางลงมือต่อผู้ไม่หวังดีได้อย่างสะดวก
แต่เมื่อหลีกเลี่ยงคนเช่นเจาหยางมิได้ พวกนางทำได้เพียงนิ่งเงียบเอาไว้เท่านั้น แน่นอนว่าทหารของสกุลหลี่ คงไม่ชอบใจกับความดื้อรั้นของนางในวันนี้เท่าใดนัก
จะชอบหรือไม่นางไม่คิดจะใส่ใจ เพราะตอนนี้หมากในกระดานเริ่มขยับบ้างแล้ว นางจำต้องกำจัดเบี้ยของศัตรูทิ้งไปเสียบ้าง จะได้มิรกกระดานจนเกินไป
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ท่านลุงเจาแม้ภายนอกจะดูชรา แต่ฝีมือยังคงเดิมอยู่นะเจ้าคะ”
เสี่ยวเชี่ยนตอบผู้เป็นนายพร้อมส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ทำให้จ้าวหลิวหลีเอ็นดูกับความสดใสของสาวใช้ข้างกายยิ่งนัก
“ช่างคิดนะเจ้า”
สองนายบ่าวเงียบเสียงลง เมื่อรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่อยู่ด้านนอก รถม้ามุ่งตรงไปตามเส้นทางป่าไผ่ ความเร็วที่ใช้เสมือนการแข่งขันกับดวงตะวันที่กำลังลับเหลี่ยมเขา
เจาหยางหันมองรถม้าเป็นระยะ พ่อบ้านสูงวัยเก็บงำความสงสัยเอาไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบ แม้ว่าเขาต้องการที่จะรู้ในสิ่งที่ผู้เป็นนายกำลังคิดจะกระทำให้มากกว่านี้ แต่ด้วยฐานะเพียงพ่อบ้านของเขาก็มิอาจก้าวล่วงความคิดของผู้เป็นนายได้
แม้ว่าการออกเดินทางในวันนี้นั้น นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาของฮูหยิน ที่ไปพำนักยังอารามนอกเมือง เพื่อสวดมนต์ให้แก่ดวงวิญญาณอดีตพระชายาเอกในจ้าวอ๋อง แต่ที่ต่างออกไปจากทุกครั้งคือความเร่งรีบในการเดินทาง ในทุกปีนั้นฮูหยินจะบอกเขาล่วงหน้าอยู่หลายวันก่อนออกเดินทาง
แต่ในวันนี้กลับสั่งการ โดยไม่ใส่ใจคำทัดทานของเขาเลยแม้แต่น้อย ยามนี้ท่านแม่ทัพหาได้ไร้ซึ่งศัตรูไม่ อันตรายย่อมมีมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
แต่ก็น่าแปลกใจที่ครั้งนี้ฮูหยิน เลือกที่จะออกไปนอกเมืองในขณะที่ขบวนทัพของท่านแม่ทัพ กำลังมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงด้วยเส้นทางนี้เช่นเดียวกัน
หรือฮูหยินต้องการออกมารอรับท่านแม่ทัพยังนอกเมือง ซึ่งความห่างไกลกันอาจทำให้นางคิดถึงผู้เป็นนายของเขาขึ้นมาก็เป็นได้ จนมิอาจทนรออยู่แต่ภายในจวนได้
ฟิ้ว! มีเสียงบางอย่างแหวงอากาศมาจากข้างทาง ทำให้ทุกความคิดของเจาหยางยุติลง มือหนาที่กรำศึกมานานคว้าจับสิ่งนั้นเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะพุ่งผ่านเขาไปยังรถม้าของผู้เป็นนาย เพียงครู่เดียวเสียงอาวุธกระทบกันเกิดขึ้นจากรอบด้าน เจาหยางเหินกายงจากหลังม้า เพื่อคุ้มกันรถม้าเอาไว้ โดยมีผู้ติดตามกว่าห้าคนล้อมรถม้าเอาไว้ ชายชุดดำจำนวนหลายคน พยายามที่จะฝ่าเข้ามาให้ถึงรถม้า ทำให้ทหารคุ้มกันบาดเจ็บล้มตายบ้างแล้ว “ฮูหยิน รอเสี่ยวเชี่ยนก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวเชี่ยนคว้าอาวุธ ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ที่นั่งในรถม้าออกมาถือไว้ในมือ ก่อนที่ร่างงามจะก้าวออกจากรถม้า หญิงสาวดึงกระบี่ออกจากฝัก พร้อมกับพุ่งเข้าหาคนร้ายด้วยความดุดัน เชร้ง! เสียงอาวุธกระทบกันจากทางด้านหลัง เรียกสายตาของเจาหยางในทันที ดวงตาของพ่อบ้านสูงวัยเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาในตอนนี้คือเสี่ยวเชี่ยน ไม่มีคำพูดใดจากคนทั้งคู่ ด้วยเวลานี้คนร้ายเหมือนจะได้เปรียบพวกเขาอยู่ไม่น้อย เสี่ยวเชี่ยนคอยมองไปยังรถม้าอยู่บ่อยครั้ง นางรู้ดีว่าผู้เป็นนายนั้นจะปลอดภ
“แต่ว่า...ฮูหยินมิแปลกใจหรือเจ้าคะ ที่อยู่ ๆ เราก็ถูกคนจำนวนมากโจมตี อันที่จริงแล้วแค่คิดจะสังหารฮูหยิน ใช้คนเพียงหยิบมือก็ทำได้แล้วนะเจ้าคะ” “ต่อให้ข้าเลี้ยงหนอนให้อิ่มหนำสำราญเพียงใด ก็ย่อมมีบางตัวชื่นชอบอาหารที่ผู้อื่นหยิบยื่นมาให้มันอยู่ดี” จ้าวหลิวหลียังคงไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมาทางน้ำเสียง เป็นเรื่องยากที่เสี่ยวเชี่ยนจะเดาความรู้สึกของผู้เป็นนายออก “มีคนทรยศเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “จะว่าแบบนั้นก็ย่อมได้ แต่เรายังไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นที่คนของเรา หรือเป็นเพราะศัตรูล่วงรู้ด้วยตนเอง ฉะนั้นจงนิ่งเฉยเอาไว้ รอดูผลที่จะปารถกฎในมิช้าจะดีกว่า ไม่ต้องเร่งร้อนที่จะอยากรู้ เรายังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นให้ต้องทำ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำของผู้เป็นนาย แม้ว่านางจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งใดมากนัก นางก็ไม่คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือคำสั่ง ยกเว้นว่ามีอันตรายใดพุ่งตรงมาที่ผู้เป็นนาย สิ่งนั้นนางจะมิรั้งรอให้มันสายจนเกินแก้ไข นางพร้อมที่จะลงมือต่อสิ่งเหล่านั้นในทันที ทว่าตราบใดที่นายของนางยังปลอดภัย ทุกคำสั่งที่นางได้รับจะไม
แม่ทัพหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบคนที่อยู่อีกด้านของห้องนอน เขาทำได้เพียงทอดถอนหายใจ เพราะสิ่งที่ศัตรูรับรู้คือเขาใกล้จะตายด้วยพิษร้าย แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ย่อมต้องมีคนอยู่เบื้องหลังการต่อสู้ด้านนอกดูเหมือนจะดุเดือดขึ้นทุกขณะ ทว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงทำได้เพียงนิ่งเงียบ ปัง! เสียงประตูถูกเปิดออกเสมือนจงใจให้คนที่หลับใหลอยู่ได้รู้สึกตัว“แค่ก ๆ พวกเจ้าเป็นใครกัน บังอาจบุกรุกห้องนอนของข้า”แม่ทัพหนุ่มแค่นเสียงอันแหบแห้ง เอ่ยถามผู้มาเยือนด้วยความอ่อนแรง ชายหนุ่มขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ ที่เขาต้องกลายเป็นเพียงคนป่วยใกล้ตาย ทั้งที่มันมิได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น“หึ ๆ ข้าก็แค่มาส่งท่านแม่ทัพลงนรกให้เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นขอรับ”เสียงหัวเราะอย่างหยามใจของผู้บุกรุก ไม่ได้ทำให้คนบนเตียงรู้สึกตื่นกลัวเลยสักนิด แต่ด้วยความสมจริงเขาต้องแสดงถึงความหวั่นเกรงอีกฝ่ายให้มาก“คิดว่าข้าจะยินยอมง่าย ๆ เช่นนั้นรึ”“ยินยอมหรือไม่ กระบี่ในมือของข้าคือผู้ที่ตอบได้”“หึ ๆ”ควับ! เมื่อได้ยินเสียงของใครอีกคนในอีกมุมของห้อง ชายชุดดำทั้งหมดต่างพากันตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครอื่นอยู่ร่วมห้องนี้ เพราะจากที่รู้มาคือ
“คิดจะเป็นใหญ่ เรื่องเพียงเท่านี้ยังขลาดกลัว เจ้าก็ไม่สมควรจะออกความคิดเห็นใด ๆ อีก” ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าชาหนึบด้วยความอับอาย แม้ทุกคนจะไม่เอ่ยสิ่งใดต่อเขาอีก ทว่าสายตาที่มองมานั้น มันทิ่มแทงยิ่งกว่าดูถูกที่เอ่ยออกจากปากเสียอีก “ข้าจะไม่ทำให้ท่านลุงผิดหวังขอรับ” เอ่ยจบร่างสูงได้ลุกขึ้น ประสานมือโค้งตัวให้แก่ทุกคนภายในห้อง ก่อนจะก้าวออกไปด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธ เขาจะเสียหน้าเพียงเพราะสังหารสตรีอ่อนแอผู้เดียวมิได้ เขาก็คงไม่สมควรที่จะก้าวสู่ตำแหน่งใหญ่โตในภายหน้า อย่างที่ผู้เป็นลุงได้พูดเมื่อครู่นี้จริง ๆ เขาไม่เชื่อว่าหลี่จ้านหายอดฝีมือมาไว้ข้างกายจ้าวหลิวหลีอย่างที่หลายคนคิด “จะวางใจเขาได้หรือขอรับท่านผู้นำ” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมเอ่ยถามขึ้นในที่สุด เขารู้ดีว่าชายหนุ่มนั้นมุทะลุเพียงใด ไร้ประสบการณ์ในแทบทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ “หึ ๆ หรือเจ้าจะเป็นผู้ทำแทนเขา” “เอ่อ...คือว่า...” “เจ้าควรจดจำเอาไว้บ้าง ว่านกจะบินได้ก็ต่อเมื่อเราฝึกฝนให้มันรู้จักกางปีก” เมื่อถูกต
ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งผู้เป็นน้องสาว แค่ตัวเขาและนางมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็มิอาจปล่อยให้น้องสาวออกนอกเมืองมาเพียงลำพังเช่นเดียวกันชีวิตในราชสำนักมีหรือเขาจะไม่รู้ว่า เรื่องที่น้องสาวของเขาได้ก่อเอาไว้นั้น รู้ไปถึงหูของพระมารดาในองค์ชายสี่แล้ว แน่นอนว่าชีวิตของน้องสาวหาได้ปลอดภัยอีกต่อไปแต่เพราะนิสัยเอาแต่ใจของนาง ทำให้น้องสาวของเขามองข้ามเรื่องนี้ไป นางคิดแค่เพียงว่าองค์ชายสี่ต้องพึ่งพาบารมีของบิดาพวกเขา เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท แต่นางคงลืมไปแล้วว่ายังมีท่านหญิงจากอีกหลายตระกูลที่มีอำนาจมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“หลี่จ้านหลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้นถึงปานนั้น ท่านพี่คิดหรือว่าเขาจะใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ นังแพศยานั้นมิได้สำคัญต่อหลี่จ้าน หากมันตายเขาสิต้องขอบคุณข้า”“เอาเป็นว่าระวังไว้หน่อยก็ดี เรื่องที่เขารักเจ้านั้นมันผ่านมาหลายปี เวลาผ่านเลยใช่ว่าใจคนจะมิผันเปลี่ยนตาม”อ๋องน้อยสกุลจ้าว ทำได้เพียงทอดถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของน้องสาวเพียงคนเดียว เขาอยากให้นางใช้ความคิดในเรื่องนี้มากกว่าที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาจะไม่เป็นผลเอาเสีย
แก๊ก! ยังมิทันจบกันสนทนา เสียงกิ่งไม้แห้งหักได้ดังมาจากความมืด เจาหยางกระชับอาวุธในมือแน่น เมื่อรับรู้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมากดดันเขาและผู้เป็นนาย ถึงเขาจะพอประเมินฝีมือของผู้มาเยือนได้ ใช่ว่าเขาจะละเลยต่อหน้าที่ เก่งเพียงใดย่อมพลาดพลั้งได้เพียงเสี้ยวเวลาหากประมาทต่อศัตรู “มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่ ไยมิเข้ามาดื่มชากับพี่สาวสักถ้วยเล่าน้องพี่” จ้าวหลิวหลีพูดขึ้น พร้อมส่งยิ้มไปยังทิศทางของเสียงกิ่งไม้เมื่อครู่ ร่างงามนั่งรินชาที่อยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ถูกจัดวางอยู่ข้างกองไฟ ซึ่งได้ก่อเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว จ้าวหลิวหลีค่อย ๆ รินชาใส่ถ้วยอย่างใจเย็น เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้มุมปากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ สองร่างเดินเคียงกันออกจากเงามืด ทำให้เจาหยางดวงตาเบิกค้างชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าแขกที่ผู้เป็นนายหญิงเอ่ยถึง จะเป็นพี่น้องต่างมารดาของนางเอง และแน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นคงมิได้มาดีอย่างแน่นอน “พี่หญิงดูสำราญดีนะขอรับ” จ้าวลู่ถงเอ่ยทักทายพี่สาวต่างมารดา เขารู้สึกกดดันอย่างไรไม่รู้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากของพี่สาว
“เจ้าบีบบังคับข้าเองนะน้องรัก” “หุบปากเจ้าซะ! สิ่งเดียวที่เจ้ามีสิทธิ์พูด คือร้องขอความตายจากข้าหลิวหลี” เคร้ง! ยังไม่ทันที่ปลายกระบี่จะเฉียดผ่านกายจ้าวหลิวหลี กระบี่คมของเสี่ยวเชี่ยนก็ได้ต้านรับเอาไว้ได้ทัน จ้าวอี้เหมยสบเข้ากับดวงตาสุกใสของเสี่ยวเชี่ยน ที่กำลังยกยิ้มเย้ยหยันตัวนางอยู่ในตอนนี้ ความกรุ่นโกรธปะทุขึ้นกว่าเดิมนับเท่าตัว จ้าวลู่ถงดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าสาวใช้ข้างกายของพี่สาวนั้น มีฝีมือในการต่อสู้ ซึ่งตลอดเวลาที่เสี่ยวเชี่ยนอยู่ในจวน เขาไม่เคยเห็นนางฝึกฝนกระบี่เลยสักครั้ง จ้าวลู่ถงจำต้องพุ่งเข้าหาเสี่ยวเชี่ยนเพื่อช่วยน้องสาว แต่ทว่า... “ท่านอ๋องน้อยเป็นบุรุษ ไยถึงได้กล้าลงมือต่อสตรีบอบบางด้วยเล่าขอรับ” เป็นเจาหยางที่เข้ามาขัดขวางชายหนุ่มเอาไว้ ทางด้านจ้าวหลิวหลีนั้น ยังคงนั่งดื่มชาโดยไร้ร่องรอยของคามตื่นตระหนกใด ๆ หวี๊ด! จ้าวลู่ถงเป่าปากเป็นสัญญาณบางอย่าง เพียงครู่เดียวได้มีกลุ่มชายชุดดำจำนวนหลายคน ได้พุ่งออกจากราวป่า จ้าวหลิวหลีทำเพียงโยนท่อนฟืนเข้าไปในกองไฟอีกหลายท่อน เพื่อโหมไฟให้ลุก
จ้าวลู่ถงลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพี่สาว เขารู้แล้วในตอนนี้ว่าหนทางที่จะหลบเลี่ยงคงไม่อาจเป็นไปได้ ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้น อย่างน้อยยังพอที่จะมีโอกาสรอดชีวิตไปได้บ้าง “หึ ๆ ดูพี่หญิงจะมั่นใจเหลือเกินนะขอรับ” “ข้าว่าเจ้ารู้ดีกว่าผู้ใดน้องพี่ จะอย่างไรเสียข้าก็ต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเองก็คิดจะสังหารสามีของข้า” จ้าวลู่ถงหัวเราะในลำคอ เขาประเมินพี่สาวต่ำไปจริง ๆ นางมิเพียงมากด้วยฝีมือ แต่ยังเจ้าเล่ห์เสียจนไม่มีผู้ใดจับได้ ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกระหว่างสองพี่น้อง มีเพียงเสียงอาวุธกระทบกันอย่างดุเดือดเท่านั้น จ้าวหลิวหลีไร้ซึ่งความรักหรือเห็นใจในตัวน้องชาย เพราะจ้าวลู่ถงเกิดมา มารดาของนางจึงต้องจบชีวิต เพียงเพราะเกรงมารดาของนางจะกำเนิดบุตรชายอีกคน ความแค้นระหว่างนางกับสกุลจ้าวหาได้ใหญ่หลวงไม่ แต่ความแค้นของมารดานั้นไม่อาจนำสิ่งใดมาลบเลือนได้เป็นอันขาด ยิ่งเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่ จ้าวหลิวหลียิ่งลงมือหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่าตัว เวลานี้จ้าวลู่ถงร่ำร้องอยู่ภ