Share

ตอนที่ 11 เก่งเพียงใดย่อมพลาดพลั้ง

            แก๊ก! ยังมิทันจบกันสนทนา เสียงกิ่งไม้แห้งหักได้ดังมาจากความมืด เจาหยางกระชับอาวุธในมือแน่น เมื่อรับรู้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมากดดันเขาและผู้เป็นนาย

            ถึงเขาจะพอประเมินฝีมือของผู้มาเยือนได้ ใช่ว่าเขาจะละเลยต่อหน้าที่ เก่งเพียงใดย่อมพลาดพลั้งได้เพียงเสี้ยวเวลาหากประมาทต่อศัตรู

            “มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่ ไยมิเข้ามาดื่มชากับพี่สาวสักถ้วยเล่าน้องพี่”

            จ้าวหลิวหลีพูดขึ้น พร้อมส่งยิ้มไปยังทิศทางของเสียงกิ่งไม้เมื่อครู่ ร่างงามนั่งรินชาที่อยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ถูกจัดวางอยู่ข้างกองไฟ ซึ่งได้ก่อเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว

            จ้าวหลิวหลีค่อย ๆ รินชาใส่ถ้วยอย่างใจเย็น เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้มุมปากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ สองร่างเดินเคียงกันออกจากเงามืด ทำให้เจาหยางดวงตาเบิกค้างชั่วขณะ

            เขาไม่คิดว่าแขกที่ผู้เป็นนายหญิงเอ่ยถึง จะเป็นพี่น้องต่างมารดาของนางเอง และแน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นคงมิได้มาดีอย่างแน่นอน

            “พี่หญิงดูสำราญดีนะขอรับ”

            จ้าวลู่ถงเอ่ยทักทายพี่สาวต่างมารดา เขารู้สึกกดดันอย่างไรไม่รู้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากของพี่สาว ที่มีแสงไฟสลัวตกกระทบ ชายหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มละมุนไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกภายในออกมาให้ผู้ใดได้เห็น

            “หากเทียบกับเจ้าและน้องหญิงแล้ว พี่สาวผู้นี้คงไม่อาจเทียบเคียงได้เลย”

            “พี่หญิงกล่าวเกินไปแล้ว”

            จ้าวหลิวหลีมองไปยังน้องสาว ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญทั้งคู่ให้นั่งลง แน่นอนว่าจ้าวอี้เหมยตั้งใจที่จะกำจัดพี่สาวเสียในตอนนี้ แต่เพราะมือบางถูกพี่ชายกุมเอาไว้แน่น ทำให้นางจำใจต้องนั่งลงตรงข้ามกับผู้เป็นพี่สาว

            “ชาของสามัญชนย่อมมีรสชาติที่มิหวานล้ำเท่าใดนัก แต่พี่มั่นใจว่ามันลื่นคอไม่แพ้ชาในวังหลวง”

            จ้าวหลิวหลียังคงพูดคุยกับทั้งคู่ด้วยความใจเย็น ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวใด ๆ ออกมาให้เห็น

            จ้าวลู่ถงเริ่มรู้สึกกดดันมากกว่าในคราแรก ที่ก้าวมาถึงลานแห่งนี้นับเท่าตัว เพราะสิ่งที่พี่สาวของเขากำลังกระทำอยู่ มันคือสงครามประสาทดี ๆ นี่เอง

            ผู้ใดเพี้ยงพล้ำก่อน ย่อมต้องได้รับความพ่ายแพ้เป็นรางวัลนั่นเอง เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าพี่สาว ที่แต่งออกจากบ้านมาหลายปี จะเปลี่ยนไปได้มากถึงเพียงนี้ หรือแท้จริงแล้วนางไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เพราะบางทีแล้วตัวตนของพี่สาวคือสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ก็เป็นได้

            เพียงแค่ไม่เคยมีใครได้เห็นมันมาก่อนก็เท่านั้น และหากเป็นเช่นนั้นจริง พี่สาวนับเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในลานชมดาวแห่งนี้เลยทีเดียว เพราะผู้ที่ใช้ปัญญาในการต่อสู้ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว

            ชายหนุ่มชำเลืองมองน้องสาว ที่กำลังพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการเกาะกุมของเขาแล้ว ความแตกต่างช่างเห็นได้อย่างชัดเจน จนเขาหวาดหวั่นอยู่ภายในใจ แต่ก็มิอาจแสดงความรู้สึกนั้นออกมาได้

            “ข้ากับน้องหญิงรู้สึกผิดยิ่งนัก ที่มารบกวนเวลาพักผ่อนของพี่หญิงเช่นนี้”

            “หึ ๆ ไม่เลยน้องพี่ นาน ๆ ทีเราพี่น้องจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน ดีเสียอีกมีอะไรจะได้เล่าสู่กันฟัง”

            “หุบปากแพศยาของเจ้าเสียทีหลิวหลี อย่ามาเสแสร้งทำตัวสูงส่งต่อหน้าข้า เจ้ามันไร้ยางอาย อยากช่วงชิงสามีของข้าจนตัวสั่น มิใช่เพราะความร่านของเจ้าหรอกหรือ ที่ทำให้ตำแหน่งพระชายาเอกกลายเป็นของข้า”

“หยุดนะ! อี้เหมย”

            จ้าวลู่ถงรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาในทันที เขารู้ดีว่าน้องสาวกำลังใช้อารมณ์เหนือสติ และดูจากสิ่งที่พี่สาวต่างมารดาได้ตระเตรียมทุกสิ่งตรงหน้านี้แล้ว เขามั่นใจว่าจ้าวหลิวหลี จะลงมืออย่างไร้ปราณีต่อเขาสองพี่น้องโดยไม่ลังเล

            แค่การตระน้ำชาที่วางอยู่ตรงหน้า หากเป็นคนเขลาอาจมองว่าจ้าวหลิวหลีจัดขึ้นเพื่อชมจันทร์ในยามค่ำคืน แต่หากมองในแง่ของคนมีปัญญา นั่นคือจ้าวหลิวหลีรู้ทุกเรื่องอยู่ก่อนแล้ว และนางพร้อมลงมือโดยไม่จำเป็นไตร่ตรองสิ่งใดอีก

            “ไยข้าต้องหยุดด้วยเล่าเจ้าคะพี่ใหญ่ ในเมื่อมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มีข้าต้องไม่มีนาง”

            จ้าวอี้เหมยไม่สนใจคำของพี่ชายแล้วในตอนนี้ ยิ่งเมื่อนึกถึงสายตาของพระสวามีที่มองนางประหนึ่งปฏิกูลเหม็นเน่า ความเจ็บปวดพลันปะทุทิ่มแทงหัวใจจนไม่อาจทนต่อไปได้อีก

            ไม่ว่าจ้าวหลิวหลีมีความผิดจริงหรือไม่ นางก็มิคิดจะสนใจสิ่งเดียวที่นางต้องการคือลมหายใจของจ้าวหลิวหลีเท่านั้น

            “น้องหญิงดูจะซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเองยิ่งนัก เช่นนั้นพี่สาวมีคำหนึ่งกล่าวสักหน่อยจะได้หรือไม่”

            “เจ้าอยากสั่งเสียเรื่องใดก็ว่ามาสิ”

            “หึ ๆ ดูรีบร้อนเหลือเกินนะน้องรัก สิ่งที่พี่อยากจะพูดมีเพียงแค่คำว่า เจ้าจะหยุดหรือจะก้าวต่อ”

            “ฮ่า ๆ จ้าวหลิวหลี เจ้าคิดว่าตัวเจ้ายิ่งใหญ่มาจากที่ใดกัน ถึงได้หาญกล้าเอ่ยคำนี้ออกมา หากเจ้ากลัวข้าไยมิก้าวลงหน้าผานั่นให้มันจบสิ้นเสียเล่า”

            จ้าวอี้เหมยหัวเราะเสียงดัง โดยมิต้องคิดสำรวมใด ๆ อีก นางรู้สึกดีขึ้นอยู่มิน้อย ที่ได้เห็นความกลัวจากพี่สาวต่างมารดา

            “ถือว่าข้าถามเจ้าแล้วนะ และเจ้าเลือกมันด้วยตนเอง”

จ้าวหลิวหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่าแฝงไปด้วยความเย็นเยียบในหัวใจของคนฟังยิ่งนัก

            จ้าวอี้เหมยหยุดเสียงหัวเราะลง ก่อนจะมองตรงไปยังพี่สาว แม้จะมั่นใจในฝีมือของตนเอง แต่ความรู้สึกกดดันที่กำลังก่อตัวขึ้นอยู่ในตอนนี้คืออะไรกัน

            “คนเช่นข้ามิต้องเลือก เพราะสำหรับข้าทุกอย่างย่อมต้องสมบูรณ์แบบเท่านั้น”

            “...”

            ไม่มีคำพูดใดตอบกลับจ้าวหลิวหลี มีเพียงรอยยิ้มมุมปากของคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ส่วนจ้าวลู่ถงนั้นเริ่มมือชื้นเหงื่อ เขาไม่ต้องคาดเดาสิ่งใดให้เสียเวลา

            เพราะการสนทนาของพี่สาวและน้องสาวนั้น คือชัดเจนจนเขาเองยังไร้ซุ่มเสียงที่จะเอ่ยแทรกเลยทีเดียว ความเกลียดชังของสตรีช่างน่ากลัวยิ่งนัก

            “เช่นนั้นเราพี่น้องมาร่วมดื่มชากันอีกสักครั้ง เพราะชาถ้วยนี้จะเป็นที่จดจำไปชั่วชีวิตถึงเราในฐานะพี่น้องร่วมสายเลือด”

            เชร้ง! จ้าวอี้เหมยลุกขึ้นพร้อมชักกระบี่ออกจากฝัก ชี้ตรงไปยังพี่สาว นางทนมามากพอแล้ว ทุกอย่างควรจบสิ้นเสียที

            “อี้เหมย!”

            จ้าวลู่ถงจำต้องขยับลุกขึ้นตามน้องสาว เขาเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าตนเองและน้องสาวจะรับมือกับพี่สาวคนโตได้หรือไม่ แม้รอบบริเวณจะมีคนของเขาซุ่มอยู่ก็ตามที

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status