แก๊ก! ยังมิทันจบกันสนทนา เสียงกิ่งไม้แห้งหักได้ดังมาจากความมืด เจาหยางกระชับอาวุธในมือแน่น เมื่อรับรู้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมากดดันเขาและผู้เป็นนาย
ถึงเขาจะพอประเมินฝีมือของผู้มาเยือนได้ ใช่ว่าเขาจะละเลยต่อหน้าที่ เก่งเพียงใดย่อมพลาดพลั้งได้เพียงเสี้ยวเวลาหากประมาทต่อศัตรู
“มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่ ไยมิเข้ามาดื่มชากับพี่สาวสักถ้วยเล่าน้องพี่”
จ้าวหลิวหลีพูดขึ้น พร้อมส่งยิ้มไปยังทิศทางของเสียงกิ่งไม้เมื่อครู่ ร่างงามนั่งรินชาที่อยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ถูกจัดวางอยู่ข้างกองไฟ ซึ่งได้ก่อเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว
จ้าวหลิวหลีค่อย ๆ รินชาใส่ถ้วยอย่างใจเย็น เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้มุมปากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ สองร่างเดินเคียงกันออกจากเงามืด ทำให้เจาหยางดวงตาเบิกค้างชั่วขณะ
เขาไม่คิดว่าแขกที่ผู้เป็นนายหญิงเอ่ยถึง จะเป็นพี่น้องต่างมารดาของนางเอง และแน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นคงมิได้มาดีอย่างแน่นอน
“พี่หญิงดูสำราญดีนะขอรับ”
จ้าวลู่ถงเอ่ยทักทายพี่สาวต่างมารดา เขารู้สึกกดดันอย่างไรไม่รู้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากของพี่สาว ที่มีแสงไฟสลัวตกกระทบ ชายหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มละมุนไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกภายในออกมาให้ผู้ใดได้เห็น
“หากเทียบกับเจ้าและน้องหญิงแล้ว พี่สาวผู้นี้คงไม่อาจเทียบเคียงได้เลย”
“พี่หญิงกล่าวเกินไปแล้ว”
จ้าวหลิวหลีมองไปยังน้องสาว ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญทั้งคู่ให้นั่งลง แน่นอนว่าจ้าวอี้เหมยตั้งใจที่จะกำจัดพี่สาวเสียในตอนนี้ แต่เพราะมือบางถูกพี่ชายกุมเอาไว้แน่น ทำให้นางจำใจต้องนั่งลงตรงข้ามกับผู้เป็นพี่สาว
“ชาของสามัญชนย่อมมีรสชาติที่มิหวานล้ำเท่าใดนัก แต่พี่มั่นใจว่ามันลื่นคอไม่แพ้ชาในวังหลวง”
จ้าวหลิวหลียังคงพูดคุยกับทั้งคู่ด้วยความใจเย็น ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวใด ๆ ออกมาให้เห็น
จ้าวลู่ถงเริ่มรู้สึกกดดันมากกว่าในคราแรก ที่ก้าวมาถึงลานแห่งนี้นับเท่าตัว เพราะสิ่งที่พี่สาวของเขากำลังกระทำอยู่ มันคือสงครามประสาทดี ๆ นี่เอง
ผู้ใดเพี้ยงพล้ำก่อน ย่อมต้องได้รับความพ่ายแพ้เป็นรางวัลนั่นเอง เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าพี่สาว ที่แต่งออกจากบ้านมาหลายปี จะเปลี่ยนไปได้มากถึงเพียงนี้ หรือแท้จริงแล้วนางไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เพราะบางทีแล้วตัวตนของพี่สาวคือสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ก็เป็นได้
เพียงแค่ไม่เคยมีใครได้เห็นมันมาก่อนก็เท่านั้น และหากเป็นเช่นนั้นจริง พี่สาวนับเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในลานชมดาวแห่งนี้เลยทีเดียว เพราะผู้ที่ใช้ปัญญาในการต่อสู้ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
ชายหนุ่มชำเลืองมองน้องสาว ที่กำลังพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการเกาะกุมของเขาแล้ว ความแตกต่างช่างเห็นได้อย่างชัดเจน จนเขาหวาดหวั่นอยู่ภายในใจ แต่ก็มิอาจแสดงความรู้สึกนั้นออกมาได้
“ข้ากับน้องหญิงรู้สึกผิดยิ่งนัก ที่มารบกวนเวลาพักผ่อนของพี่หญิงเช่นนี้”
“หึ ๆ ไม่เลยน้องพี่ นาน ๆ ทีเราพี่น้องจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน ดีเสียอีกมีอะไรจะได้เล่าสู่กันฟัง”
“หุบปากแพศยาของเจ้าเสียทีหลิวหลี อย่ามาเสแสร้งทำตัวสูงส่งต่อหน้าข้า เจ้ามันไร้ยางอาย อยากช่วงชิงสามีของข้าจนตัวสั่น มิใช่เพราะความร่านของเจ้าหรอกหรือ ที่ทำให้ตำแหน่งพระชายาเอกกลายเป็นของข้า”
“หยุดนะ! อี้เหมย”
จ้าวลู่ถงรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาในทันที เขารู้ดีว่าน้องสาวกำลังใช้อารมณ์เหนือสติ และดูจากสิ่งที่พี่สาวต่างมารดาได้ตระเตรียมทุกสิ่งตรงหน้านี้แล้ว เขามั่นใจว่าจ้าวหลิวหลี จะลงมืออย่างไร้ปราณีต่อเขาสองพี่น้องโดยไม่ลังเล
แค่การตระน้ำชาที่วางอยู่ตรงหน้า หากเป็นคนเขลาอาจมองว่าจ้าวหลิวหลีจัดขึ้นเพื่อชมจันทร์ในยามค่ำคืน แต่หากมองในแง่ของคนมีปัญญา นั่นคือจ้าวหลิวหลีรู้ทุกเรื่องอยู่ก่อนแล้ว และนางพร้อมลงมือโดยไม่จำเป็นไตร่ตรองสิ่งใดอีก
“ไยข้าต้องหยุดด้วยเล่าเจ้าคะพี่ใหญ่ ในเมื่อมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มีข้าต้องไม่มีนาง”
จ้าวอี้เหมยไม่สนใจคำของพี่ชายแล้วในตอนนี้ ยิ่งเมื่อนึกถึงสายตาของพระสวามีที่มองนางประหนึ่งปฏิกูลเหม็นเน่า ความเจ็บปวดพลันปะทุทิ่มแทงหัวใจจนไม่อาจทนต่อไปได้อีก
ไม่ว่าจ้าวหลิวหลีมีความผิดจริงหรือไม่ นางก็มิคิดจะสนใจสิ่งเดียวที่นางต้องการคือลมหายใจของจ้าวหลิวหลีเท่านั้น
“น้องหญิงดูจะซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเองยิ่งนัก เช่นนั้นพี่สาวมีคำหนึ่งกล่าวสักหน่อยจะได้หรือไม่”
“เจ้าอยากสั่งเสียเรื่องใดก็ว่ามาสิ”
“หึ ๆ ดูรีบร้อนเหลือเกินนะน้องรัก สิ่งที่พี่อยากจะพูดมีเพียงแค่คำว่า เจ้าจะหยุดหรือจะก้าวต่อ”
“ฮ่า ๆ จ้าวหลิวหลี เจ้าคิดว่าตัวเจ้ายิ่งใหญ่มาจากที่ใดกัน ถึงได้หาญกล้าเอ่ยคำนี้ออกมา หากเจ้ากลัวข้าไยมิก้าวลงหน้าผานั่นให้มันจบสิ้นเสียเล่า”
จ้าวอี้เหมยหัวเราะเสียงดัง โดยมิต้องคิดสำรวมใด ๆ อีก นางรู้สึกดีขึ้นอยู่มิน้อย ที่ได้เห็นความกลัวจากพี่สาวต่างมารดา
“ถือว่าข้าถามเจ้าแล้วนะ และเจ้าเลือกมันด้วยตนเอง”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่าแฝงไปด้วยความเย็นเยียบในหัวใจของคนฟังยิ่งนัก
จ้าวอี้เหมยหยุดเสียงหัวเราะลง ก่อนจะมองตรงไปยังพี่สาว แม้จะมั่นใจในฝีมือของตนเอง แต่ความรู้สึกกดดันที่กำลังก่อตัวขึ้นอยู่ในตอนนี้คืออะไรกัน
“คนเช่นข้ามิต้องเลือก เพราะสำหรับข้าทุกอย่างย่อมต้องสมบูรณ์แบบเท่านั้น”
“...”
ไม่มีคำพูดใดตอบกลับจ้าวหลิวหลี มีเพียงรอยยิ้มมุมปากของคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ส่วนจ้าวลู่ถงนั้นเริ่มมือชื้นเหงื่อ เขาไม่ต้องคาดเดาสิ่งใดให้เสียเวลา
เพราะการสนทนาของพี่สาวและน้องสาวนั้น คือชัดเจนจนเขาเองยังไร้ซุ่มเสียงที่จะเอ่ยแทรกเลยทีเดียว ความเกลียดชังของสตรีช่างน่ากลัวยิ่งนัก
“เช่นนั้นเราพี่น้องมาร่วมดื่มชากันอีกสักครั้ง เพราะชาถ้วยนี้จะเป็นที่จดจำไปชั่วชีวิตถึงเราในฐานะพี่น้องร่วมสายเลือด”
เชร้ง! จ้าวอี้เหมยลุกขึ้นพร้อมชักกระบี่ออกจากฝัก ชี้ตรงไปยังพี่สาว นางทนมามากพอแล้ว ทุกอย่างควรจบสิ้นเสียที
“อี้เหมย!”
จ้าวลู่ถงจำต้องขยับลุกขึ้นตามน้องสาว เขาเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าตนเองและน้องสาวจะรับมือกับพี่สาวคนโตได้หรือไม่ แม้รอบบริเวณจะมีคนของเขาซุ่มอยู่ก็ตามที
“เจ้าบีบบังคับข้าเองนะน้องรัก” “หุบปากเจ้าซะ! สิ่งเดียวที่เจ้ามีสิทธิ์พูด คือร้องขอความตายจากข้าหลิวหลี” เคร้ง! ยังไม่ทันที่ปลายกระบี่จะเฉียดผ่านกายจ้าวหลิวหลี กระบี่คมของเสี่ยวเชี่ยนก็ได้ต้านรับเอาไว้ได้ทัน จ้าวอี้เหมยสบเข้ากับดวงตาสุกใสของเสี่ยวเชี่ยน ที่กำลังยกยิ้มเย้ยหยันตัวนางอยู่ในตอนนี้ ความกรุ่นโกรธปะทุขึ้นกว่าเดิมนับเท่าตัว จ้าวลู่ถงดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าสาวใช้ข้างกายของพี่สาวนั้น มีฝีมือในการต่อสู้ ซึ่งตลอดเวลาที่เสี่ยวเชี่ยนอยู่ในจวน เขาไม่เคยเห็นนางฝึกฝนกระบี่เลยสักครั้ง จ้าวลู่ถงจำต้องพุ่งเข้าหาเสี่ยวเชี่ยนเพื่อช่วยน้องสาว แต่ทว่า... “ท่านอ๋องน้อยเป็นบุรุษ ไยถึงได้กล้าลงมือต่อสตรีบอบบางด้วยเล่าขอรับ” เป็นเจาหยางที่เข้ามาขัดขวางชายหนุ่มเอาไว้ ทางด้านจ้าวหลิวหลีนั้น ยังคงนั่งดื่มชาโดยไร้ร่องรอยของคามตื่นตระหนกใด ๆ หวี๊ด! จ้าวลู่ถงเป่าปากเป็นสัญญาณบางอย่าง เพียงครู่เดียวได้มีกลุ่มชายชุดดำจำนวนหลายคน ได้พุ่งออกจากราวป่า จ้าวหลิวหลีทำเพียงโยนท่อนฟืนเข้าไปในกองไฟอีกหลายท่อน เพื่อโหมไฟให้ลุก
จ้าวลู่ถงลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพี่สาว เขารู้แล้วในตอนนี้ว่าหนทางที่จะหลบเลี่ยงคงไม่อาจเป็นไปได้ ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้น อย่างน้อยยังพอที่จะมีโอกาสรอดชีวิตไปได้บ้าง “หึ ๆ ดูพี่หญิงจะมั่นใจเหลือเกินนะขอรับ” “ข้าว่าเจ้ารู้ดีกว่าผู้ใดน้องพี่ จะอย่างไรเสียข้าก็ต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเองก็คิดจะสังหารสามีของข้า” จ้าวลู่ถงหัวเราะในลำคอ เขาประเมินพี่สาวต่ำไปจริง ๆ นางมิเพียงมากด้วยฝีมือ แต่ยังเจ้าเล่ห์เสียจนไม่มีผู้ใดจับได้ ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกระหว่างสองพี่น้อง มีเพียงเสียงอาวุธกระทบกันอย่างดุเดือดเท่านั้น จ้าวหลิวหลีไร้ซึ่งความรักหรือเห็นใจในตัวน้องชาย เพราะจ้าวลู่ถงเกิดมา มารดาของนางจึงต้องจบชีวิต เพียงเพราะเกรงมารดาของนางจะกำเนิดบุตรชายอีกคน ความแค้นระหว่างนางกับสกุลจ้าวหาได้ใหญ่หลวงไม่ แต่ความแค้นของมารดานั้นไม่อาจนำสิ่งใดมาลบเลือนได้เป็นอันขาด ยิ่งเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่ จ้าวหลิวหลียิ่งลงมือหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่าตัว เวลานี้จ้าวลู่ถงร่ำร้องอยู่ภ
เสียงรายงานจากรองแม่ทัพคนสนิท ทำให้แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปมมากกว่าเดิมด้วยความสงสัย “สอบถามให้แน่ใจ ว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด” “เรียนท่านแม่ทัพ ท่านเจาหยางขอพบขอรับ” ยังไม่ทันที่รองแม่ทัพจะได้ไปยังหน้าขบวน ได้มีทหารวิ่งเข้ามาแจ้งความประสงค์จากคนอีกขบวนรถม้าเสียก่อน “เหตุใดตาเฒ่านั่นมาอยู่ที่นี่” แม่ทัพหนุ่มพึมพำเบา ๆ แต่ก็ส่งสัญญาณเป็นการอนุญาต เขาในตอนนี้ไม่อาจที่จะลงจากรถม้าได้ จำต้องนั่งรอพ่อบ้านของด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ด้วยห่วงใครอีกคนที่คงกำลังรอเขาอยู่ที่จวน “ท่านแม่ทัพ” “ตาเฒ่าไยจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วฮูหยินเล่าผู้ใดดูแล หากนางเป็นอันใดไป ข้าจะ...” “ท่านพี่” เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลังของเจาหยาง ทำให้คนในรถม้ารีบเปิดม่านออกทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาพยายามเก็บอาการยินดีเอาไว้ ภายใต้สีหน้านิ่งเรียบ “ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่อีกคนเล่า” หลี่จ้านเอ่ยถามภรรยาด้วยความสงสัย เขาไม่คิดว่านางจะออกมารอเขาถึงนอกเมืองเช่นนี้ “ข้าออกมาสวดมนต์ใ
จ้าวอ๋องรู้ดีว่าบุตรชายหญิงของตนนั้น ต้องการลมหายใจของจ้าวหลิวหลี แต่บุตรสาวอ่อนแอเช่นนางย่อมไม่มีทางทำอันตรายอันใดต่อลูก ๆ ของเขาได้ ยกเว้นหลี่จ้านที่อาจจ้างมือดีคอยปกป้องภรรยา “เพราะมัน...เพราะมันคนเดียวนังหลิวหลี เอาลูกข้าคืนมา ฮือ ๆ” จ้าวอ๋องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น หัวใจของเขาบีบคั้นจนเกินจะรับได้ ทายาทเพียงคนเดียวต้องจบชีวิตลง บุตรสาวที่เปรียบดังแก้วตาดวงใจก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นทีเรื่องนี้เขาคงต้องเลือกข้างให้ถูกเสียที ไม่ว่ามันผู้ใดที่แตะต้องครอบครัวของเขาในวันนี้ จะต้องชดใช้ให้แก่เขาอย่างสาสม ในมุมมืดร่างสูงของใครบางคน กำลังยืนมองเจ้าของจวนด้วยแววตาเฉยชา ‘ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังมิรู้จักสำนึกอีกหรือท่านอ๋อง นี่สินะที่เขาว่าผู้ที่รักต่ำช้าเพียงใดก็รัก ผู้ที่ชังความดีนับหมื่นก็ชิงชัง’ ร่างสูงหมุนกายจากไปอย่างเงียบ ๆ ภารกิจของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าจะเป็นเรื่องขัดใจเขาอยู่บางกับการนำร่างของอ๋องน้อยมาส่งคืน แต่นี่คือความประสงค์ของผู้เป็นนาย เขาจึงมิอาจ เสียงร้องไห้ค่ำครวญอาจทำใ
จางเค่อเข้าใจในอารมณ์ขอผู้เป็นนายดี เพราะตลอดสองปีที่ท่านแม่ทัพออกสู่ชายแดน นายหญิงของเขาต้องรับมือกับครอบครัวบิดาของนาง แล้วไหนจะผู้ที่คิดจะทำลายท่านแม่ทัพ ก็คอยจ้องเล่นงานผู้เป็นนายของเขามิเว้นวัน จ้าวหลิวหลี ลุกขึ้นก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อยให้แก่จางเค่อ สำหรับนางแล้วหากไร้ชายผู้นี้คอยเป็นดั่งแขนขา คงไม่อาจยืนอยู่ตรงนี้ได้ แม้จะมีเงินหากไร้ความเคารพต่อผู้อื่น ก็มิอาจที่จะซื้อใจผู้ใดได้เลย นางใช้ใจแลกกับความภักดี นางมองทุกคนเสมือนพี่น้อง สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในหลีเค่ออยู่ภายใต้อำนาจของนางโดยมิต้องบีบบังคับ เมื่อออกมายังห้องชั้นนอกแล้ว เสี่ยวเชี่ยนได้เรียกคนของร้านมายกพับผ้าที่นางเลือก เพื่อนำไปส่งยังจวนหลี่ สองนายบ่าวออกจากร้านเดินไปยังรถม้าที่เจาหยางรออยู่อย่างใจเย็น “ท่านลุงเจา เราไปนั่งกินขนมใกล้หน้าประตูวังกันดีกว่านะ ข้าจำได้ว่ามีร้านหนึ่งอร่อยมากเลย” “ได้ขอรับ” เจาหยางไม่คิดที่จะถามอะไรให้มากความ แค่นายหญิงของบ้านพยายามที่จะหาหนทางรอผู้เป็นนายของเขานั้น ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ฮูหยินเข้าไปในหลีเค่อ
ชุ่ยเหนียงเฟยเสมือนคนสติไม่อยู่กับตัว ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้ดูแทบไม่ได้เลย คำพูดที่พรั่งพรูออกมา ล้วนหยาบคายมิสมฐานะที่เป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย “ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดต่ำช้าจากปากพระชายาอ๋องเช่นท่าน และโปรดรู้เอาไว้ด้วยว่าข้าคือสามีของหลีเอ๋อร์ มิใช่คนรักของธิดาท่านอย่างที่กล่าวมา โปรดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนนะขอรับ จึงค่อยพูดสิ่งใดออกมา” หลี่จ้านไม่ได้หันมองภรรยา แต่ทุกถ้อยคำของเขานั้นหนักแน่น สิ่งที่มารดาเลี้ยงของภรรยาพูดมานั้น อาจเป็นฉนวนทำลายเขาได้ทั้งตระกูลเลยทีเดียว “อย่าบอกนะว่าเจ้าเสียท่าให้แก่นางแล้ว นางมันนังจิ้กจอก” ชุ่ยเหนียงเฟยชี้นิ้วไปยังจ้าวหลิวหลี ที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องสามี มุมบากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ นางไม่จำเป็นต้องเห็นใจผู้ที่ทำร้ายนางก่อน “พระชายาโปรดสำรวมคำพูด ข้าและนางเป็นสามีภรรยา เรื่องในห้องมิจำเป็นต้องประกาศให้ผู้อื่นรู้ หรือท่านชื่นชอบเล่าเรื่องเช่นนั้นให้สหายและชาวเมืองฟังขอรับ” “หยุดสามหาวได้แล้วนะหลี่จ้าน” ในที่สุดจ้าวอ๋องก็หาเสียงของตนเองเจอ เมื่อภรรยารักไม่ได้รับควา
กลางดึก ณ ตำหนักหรู่เฟยภายในห้องหนังสือกำลังมีสองร่างโอบกอดกันอยู่ ใบหน้าของชายหนุ่มที่เรือนร่างเปลือยเปล่า กำลังซุกไซ้ซอกคอขาวเนียนของฝ่ายหญิง เสียงครางเบา ๆ ดังออกมาจากเรียวปากอวบอิ่ม เมื่อมือหนาของชายหนุ่มเคล้นคลึงสองเต้างาม “อื้อ…ส่งสารถึงนางหรือยัง อ๊า...” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมครางเบา ๆ ความเสียวซ่านแล่นทั่วกาย เมื่อถูกชายหนุ่มรุกเร้ามิหยุดมือ “ข้าเคยทำให้พระนางผิดหวังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบจมูกคมได้กดลงยังแก้มเนียน ก่อนจะเลื่อนลงมายังซอกคอหอมกรุ่นอีกครั้ง ริมฝีปากหนาจูบซับความเย้ายวนอย่างอ่อนโยน มือหยาบบีบคลึงสะโพกงอนงามหนัก ๆ ก่อนจะดันให้แนบกับแก่นกายของตนเอง “ไม่ใช่เวลานี้” เสียงสั่นระริกเอ่ยห้ามชายหนุ่ม ทว่าร่างกายนั้นหาได้ทำตามอย่างที่ปากพูด ยิ่งเมื่อมืออีกข้างของชายหนุ่มเลื่อนลงไปยังเนินดอกไม้ ความร้อนรุ่มกลับระอุร้อนขึ้นเรื่อย ๆ “ดึกแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเราอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาไม่อาจทนรออีกต่อไปได้แล้ว แม้ว่าเวลานี้จะค่อยเ
“คนเราเมื่อทำผิด ก็ต้องยอมรับผิด มิใช่หนีอย่างคนขี้ขลาด” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเสียงเรียบ มีเพียงดวงตาที่ฉายแววเยาะหยัน เสมือนการเพิ่มโทสะให้แก่องครักษ์หนุ่มนับเท่าทวีคูณ “เจ้าหลอกข้า” “เรื่องใดที่ข้าหลอกเจ้า ตำแหน่งของเจ้าเป็นถึงองครักษ์หลวง สติปัญญามิน่าจะดอยกว่าผู้ใด มีหรือคนเช่นข้าจะไปล่อลวงเจ้าได้” ชายหนุ่มขบกรามแน่น ตอนนี้นอกจากเขาจะหนีไม่ได้ ทหารได้เข้ามาคุมตัวของพระนางหรู่เฟยแล้วเช่นกัน “ปล่อยข้า” ชายหนุ่มพยายามที่จะให้ตนเองหลุดจากการควบคุม แต่ก็ไม่อาจทำได้แววตาโกรธแค้นมองไปยังชายสวมหน้ากาก “เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น” ชายสวมหน้ากากเอ่ยขึ้น ขณะก้าวผ่านองครักษ์หนุ่มเพื่อไปหาพระสนมคนงาม ที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “นายข้าแค่ส่งดาบคืนแก่ท่าน พระนางหรู่เฟย จุ๊ ๆ สิ่งที่ท่านรู้มันจะตายไปพร้อมตัวท่านเอง” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเบา ๆ ข้างหูของพระสนมที่ตอนนี้ได้แต่ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อฟังคำของชายสวมหน้ากากจบ “เป็นฝีมือนังแพศยาน