เสียงรายงานจากรองแม่ทัพคนสนิท ทำให้แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปมมากกว่าเดิมด้วยความสงสัย
“สอบถามให้แน่ใจ ว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด”
“เรียนท่านแม่ทัพ ท่านเจาหยางขอพบขอรับ”
ยังไม่ทันที่รองแม่ทัพจะได้ไปยังหน้าขบวน ได้มีทหารวิ่งเข้ามาแจ้งความประสงค์จากคนอีกขบวนรถม้าเสียก่อน
“เหตุใดตาเฒ่านั่นมาอยู่ที่นี่”
แม่ทัพหนุ่มพึมพำเบา ๆ แต่ก็ส่งสัญญาณเป็นการอนุญาต เขาในตอนนี้ไม่อาจที่จะลงจากรถม้าได้ จำต้องนั่งรอพ่อบ้านของด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ด้วยห่วงใครอีกคนที่คงกำลังรอเขาอยู่ที่จวน
“ท่านแม่ทัพ”
“ตาเฒ่าไยจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วฮูหยินเล่าผู้ใดดูแล หากนางเป็นอันใดไป ข้าจะ...”
“ท่านพี่”
เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลังของเจาหยาง ทำให้คนในรถม้ารีบเปิดม่านออกทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาพยายามเก็บอาการยินดีเอาไว้ ภายใต้สีหน้านิ่งเรียบ
“ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่อีกคนเล่า”
หลี่จ้านเอ่ยถามภรรยาด้วยความสงสัย เขาไม่คิดว่านางจะออกมารอเขาถึงนอกเมืองเช่นนี้
“ข้าออกมาสวดมนต์ให้ท่านแม่ที่อารามหมิงเหล่ยเจ้าค่ะ ท่านลุงเจาบอกว่าท่านพี่น่าจะใกล้ถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าเลยรอกลับเข้าเมืองพร้อมกันเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นขึ้นมาบนนี้เถอะ แดดร้อนประเดี๋ยวจะเจ็บป่วยเอาได้”
“เจ้าค่ะ”
จ้าวหลิวหลีรับคำสามี ก่อนจะก้าวขึ้นบนรถม้า หญิงสาวนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับสามี ก่อนจะหันมองไปด้านนอกหน้าต่าง ที่เปิดม่านออกเล็กน้อย แทนที่จะมองหน้าหรือสนทนากับผู้เป็นสามี
หลี่จ้านเองก็มิคิดที่จะพูดอะไรกับภรรยา จึงทำเพียงขยับกายพิงที่นั่งแล้วหลับตาลง ความเงียบของทั้งคู่ไม่เป็นที่แปลกใจอันใดสำหรับทุกคน เพราะเป็นที่รู้กันถึงความสัมผัสระหว่างแม่ทัพหนุ่มกับภรรยาดี
เวลาล่วงเลยมาหลายชั่วยาม พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ทว่ายังเหลือระยะทางอีกพอสมควรจึงจะเข้าใกล้เมืองหลวง เจาหยางจึงได้ให้หยุดพักยังนอกเมืองเสียก่อน
ยามเช้าค่อยเข้าเมือง ทั้งหมดจึงเร่งจัดเตรียมที่พักสำหรับเจ้านายทั้งสอง กระโจมหนังวัวถูกกางขึ้น เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวแก่ผู้เป็นนาย ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยพร้อมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าพอดี
จ้าวหลิวหลียังคงนิ่งเงียบ แต่ก็จัดเตรียมน้ำชาเอาไว้ให้แก่สามี ทั้งคู่ยังตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงบางจังหวะเท่านั้นที่เหลือบมองกัน
“ท่านพี่ไยต้องกินยาเหล่านี้ด้วยเจ้าคะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามสามี พร้อมกับขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อเห็นรองแม่ทัพนำยาที่กำลังร้อน ๆ เข้ามาให้หลังอาหารมื้อค่ำ
“ไม่มีอะไรหรอก เจ้าอย่าได้กังวล รีบพักผ่อนเถอะ”
แม่ทัพหนุ่มก้าวยาว ๆ ไปรับถ้วยยาจากมือภรรยา ก่อนจะยกขึ้นดื่มจนหมดรวดเดียว จ้าวหลิวหลีคิดที่จะทัดทานแต่ก็ช้ากว่าชายหนุ่ม หญิงสาวสาวได้แต่พร่ำบ่นสามีอยู่ภายในใจ แต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา นางทำเพียงจัดการกับตนเอง ก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย
“ท่านแม่ทัพขอรับ”
เสียงของพ่อบ้านดังอยู่หน้ากระโจม ชายหนุ่มหันมองภรรยาครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวออกไปพบกับเจาหยาง เมื่อสามีก้าวพ้นกระโจมออกไปแล้ว จ้าวหลิวหลีจึงได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจกับสิ่งที่สามีทำ ในเมื่อภายในกระโจมมีเพียงเขาและนาง ไยต้องทนดื่มยานั้นเข้าไปด้วย อยู่ ๆ ความรู้สึกขุ่นเคืองก็พลันเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
นางปกป้องเขาในฐานะสามี มิได้คิดเป็นอื่นใด และจะรู้สึกไม่พอใจไปทำไมกันเล่า ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงม่านกระโจมได้ถูกเปิดออกอย่างเบามือ
จ้าวหลิวหลีจำต้องหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ เพื่อมิให้เป็นที่สงสัยของสามี
“ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเหลือพี่”
เสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหูจากร่างสูง ที่เอนกายลงข้างภรรยา โดยใช้มือข้างหนึ่งค้ำศีรษะเอาไว้
“เรื่องใดกันเจ้าคะ”
“ทุกเรื่อง”
แม่ทัพหนุ่มเอนกายลงช้า ๆ เมื่อภรรยาไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก เขารู้เรื่องที่นางช่วยเขาโดยบังเอิญจากคนของนางเอง แม้เขาจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว ภรรยากำลังทำสิ่งใดบ้าง
แต่คนของนางที่ติดตามเขาประหนึ่งเงานั้น ย้ำแก่เขาว่านางทำเพื่อปกป้องตัวเขา และเขาไม่จำเป็นต้องรู้สิ่งใดให้มาก เพราะภัยอาจล่วงล้ำมาถึงตัวนางได้
“เราคือครอบครัวเจ้าค่ะ อย่าได้คิดเป็นอื่น”
ชายหนุ่มนอนหลับตานิ่ง เมื่อได้ยินคำสุดท้ายของภรรยา ใจของเขามิต่างอันใดกับถูกกดทับด้วยภูเขาลูกใหญ่ หากเป็นคำสั้น ๆ แค่ตอบรับเขาอาจรู้สึกดีกว่านี้หลายเท่า แต่เมื่อคำของภรรยาสิ้นสุดลงเรี่ยวแรงที่มีดูจะเหือดหายอย่างไรไม่รู้
หมับ! มือหนาคว้าจับมือบางที่วางอยู่ข้างตัวเอาไว้ ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง เมื่อเจ้าของมือยังคงไม่ได้ดึงมันออกจากการเกาะกุม
ยามค่ำคืนจวนจ้าวอ๋อง
“กรี๊ด!!!”
เสียงกรีดร้องปานใจจะขาดของนายหญิงของจวน ได้ดังก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ ใบหน้างามเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา จ้าวอ๋องกอดพระชายาเอาไว้แนบอก ร่างสูงสั่นเทาจนไม่อาจควบคุมได้
สิ่งที่เขาเห็นอยู่ใสตอนนี้ คือร่างของบุตรชายเพียงคนเดียว ที่นอนไร้ลมหายใจอยู่ลานหน้าเรือนใหญ่ ทุกอย่างเกิดขึ้นกระทันหันจนเขาไม่อาจตั้งรับได้ทัน
“เรียนท่านอ๋อง พระชายาในองค์ชายสี่มิได้อยู่ที่จวนขอรับ”
จ้าวอ๋องแทบล้มทั้งยืน เขาไม่อยากที่จะคาดเดาว่าเวลานี้บุตรสาวคนเล็กกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่เหมือนมีบางอย่างบอกแก่เขาให้รู้สึกเช่นนั้น
“องค์ชายสี่มิได้บอกหรือว่านางอยู่ที่ใด”
“เรียนท่านอ๋อง องค์ชายสี่เข้าวังเพราะเยี่ยมพระนางหรู่เฟยขอรับ”
คำตอบของคนสนิท ทำให้สองสามีภรรยารู้สึกหน้ามืด จนทรุดลงกับพื้น บรรดาบ่าวไพร่จำต้องรีบเข้าพยุงผู้เป็นนายเอาไว้
“ลูกข้าหายตัวไป ไยองค์ชายสี่ดูมิร้อนใจเลยสักนิด”
“ส่งคนไปตามตัวท่านหญิงใหญ่มาพบข้าเดี๋ยวนี้”
“เรียนท่านอ๋อง ท่านหญิงใหญ่ยังมิกลับเข้าเมืองหลวงขอรับ”
“นางไปที่ใด ไยมิอยู่ในเมืองหลวง”
“อารามหมิงเหล่ยขอรับ”
มือหนาสั่นเทาโอบกระชับชายารัก ความคิดหลายอย่างไหลวนเข้ามาในหัว อยู่ ๆ คืนนี้ร่างไร้ลมหายใจของบุตรชายได้ถูกส่งมาที่จวน โดยไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดนำกลับมา
‘ต้องเป็นมันแน่หลี่จ้าน’
จ้าวอ๋องรู้ดีว่าบุตรชายหญิงของตนนั้น ต้องการลมหายใจของจ้าวหลิวหลี แต่บุตรสาวอ่อนแอเช่นนางย่อมไม่มีทางทำอันตรายอันใดต่อลูก ๆ ของเขาได้ ยกเว้นหลี่จ้านที่อาจจ้างมือดีคอยปกป้องภรรยา “เพราะมัน...เพราะมันคนเดียวนังหลิวหลี เอาลูกข้าคืนมา ฮือ ๆ” จ้าวอ๋องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น หัวใจของเขาบีบคั้นจนเกินจะรับได้ ทายาทเพียงคนเดียวต้องจบชีวิตลง บุตรสาวที่เปรียบดังแก้วตาดวงใจก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นทีเรื่องนี้เขาคงต้องเลือกข้างให้ถูกเสียที ไม่ว่ามันผู้ใดที่แตะต้องครอบครัวของเขาในวันนี้ จะต้องชดใช้ให้แก่เขาอย่างสาสม ในมุมมืดร่างสูงของใครบางคน กำลังยืนมองเจ้าของจวนด้วยแววตาเฉยชา ‘ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังมิรู้จักสำนึกอีกหรือท่านอ๋อง นี่สินะที่เขาว่าผู้ที่รักต่ำช้าเพียงใดก็รัก ผู้ที่ชังความดีนับหมื่นก็ชิงชัง’ ร่างสูงหมุนกายจากไปอย่างเงียบ ๆ ภารกิจของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าจะเป็นเรื่องขัดใจเขาอยู่บางกับการนำร่างของอ๋องน้อยมาส่งคืน แต่นี่คือความประสงค์ของผู้เป็นนาย เขาจึงมิอาจ เสียงร้องไห้ค่ำครวญอาจทำใ
จางเค่อเข้าใจในอารมณ์ขอผู้เป็นนายดี เพราะตลอดสองปีที่ท่านแม่ทัพออกสู่ชายแดน นายหญิงของเขาต้องรับมือกับครอบครัวบิดาของนาง แล้วไหนจะผู้ที่คิดจะทำลายท่านแม่ทัพ ก็คอยจ้องเล่นงานผู้เป็นนายของเขามิเว้นวัน จ้าวหลิวหลี ลุกขึ้นก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อยให้แก่จางเค่อ สำหรับนางแล้วหากไร้ชายผู้นี้คอยเป็นดั่งแขนขา คงไม่อาจยืนอยู่ตรงนี้ได้ แม้จะมีเงินหากไร้ความเคารพต่อผู้อื่น ก็มิอาจที่จะซื้อใจผู้ใดได้เลย นางใช้ใจแลกกับความภักดี นางมองทุกคนเสมือนพี่น้อง สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในหลีเค่ออยู่ภายใต้อำนาจของนางโดยมิต้องบีบบังคับ เมื่อออกมายังห้องชั้นนอกแล้ว เสี่ยวเชี่ยนได้เรียกคนของร้านมายกพับผ้าที่นางเลือก เพื่อนำไปส่งยังจวนหลี่ สองนายบ่าวออกจากร้านเดินไปยังรถม้าที่เจาหยางรออยู่อย่างใจเย็น “ท่านลุงเจา เราไปนั่งกินขนมใกล้หน้าประตูวังกันดีกว่านะ ข้าจำได้ว่ามีร้านหนึ่งอร่อยมากเลย” “ได้ขอรับ” เจาหยางไม่คิดที่จะถามอะไรให้มากความ แค่นายหญิงของบ้านพยายามที่จะหาหนทางรอผู้เป็นนายของเขานั้น ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ฮูหยินเข้าไปในหลีเค่อ
ชุ่ยเหนียงเฟยเสมือนคนสติไม่อยู่กับตัว ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้ดูแทบไม่ได้เลย คำพูดที่พรั่งพรูออกมา ล้วนหยาบคายมิสมฐานะที่เป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย “ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดต่ำช้าจากปากพระชายาอ๋องเช่นท่าน และโปรดรู้เอาไว้ด้วยว่าข้าคือสามีของหลีเอ๋อร์ มิใช่คนรักของธิดาท่านอย่างที่กล่าวมา โปรดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนนะขอรับ จึงค่อยพูดสิ่งใดออกมา” หลี่จ้านไม่ได้หันมองภรรยา แต่ทุกถ้อยคำของเขานั้นหนักแน่น สิ่งที่มารดาเลี้ยงของภรรยาพูดมานั้น อาจเป็นฉนวนทำลายเขาได้ทั้งตระกูลเลยทีเดียว “อย่าบอกนะว่าเจ้าเสียท่าให้แก่นางแล้ว นางมันนังจิ้กจอก” ชุ่ยเหนียงเฟยชี้นิ้วไปยังจ้าวหลิวหลี ที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องสามี มุมบากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ นางไม่จำเป็นต้องเห็นใจผู้ที่ทำร้ายนางก่อน “พระชายาโปรดสำรวมคำพูด ข้าและนางเป็นสามีภรรยา เรื่องในห้องมิจำเป็นต้องประกาศให้ผู้อื่นรู้ หรือท่านชื่นชอบเล่าเรื่องเช่นนั้นให้สหายและชาวเมืองฟังขอรับ” “หยุดสามหาวได้แล้วนะหลี่จ้าน” ในที่สุดจ้าวอ๋องก็หาเสียงของตนเองเจอ เมื่อภรรยารักไม่ได้รับควา
กลางดึก ณ ตำหนักหรู่เฟยภายในห้องหนังสือกำลังมีสองร่างโอบกอดกันอยู่ ใบหน้าของชายหนุ่มที่เรือนร่างเปลือยเปล่า กำลังซุกไซ้ซอกคอขาวเนียนของฝ่ายหญิง เสียงครางเบา ๆ ดังออกมาจากเรียวปากอวบอิ่ม เมื่อมือหนาของชายหนุ่มเคล้นคลึงสองเต้างาม “อื้อ…ส่งสารถึงนางหรือยัง อ๊า...” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมครางเบา ๆ ความเสียวซ่านแล่นทั่วกาย เมื่อถูกชายหนุ่มรุกเร้ามิหยุดมือ “ข้าเคยทำให้พระนางผิดหวังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบจมูกคมได้กดลงยังแก้มเนียน ก่อนจะเลื่อนลงมายังซอกคอหอมกรุ่นอีกครั้ง ริมฝีปากหนาจูบซับความเย้ายวนอย่างอ่อนโยน มือหยาบบีบคลึงสะโพกงอนงามหนัก ๆ ก่อนจะดันให้แนบกับแก่นกายของตนเอง “ไม่ใช่เวลานี้” เสียงสั่นระริกเอ่ยห้ามชายหนุ่ม ทว่าร่างกายนั้นหาได้ทำตามอย่างที่ปากพูด ยิ่งเมื่อมืออีกข้างของชายหนุ่มเลื่อนลงไปยังเนินดอกไม้ ความร้อนรุ่มกลับระอุร้อนขึ้นเรื่อย ๆ “ดึกแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเราอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาไม่อาจทนรออีกต่อไปได้แล้ว แม้ว่าเวลานี้จะค่อยเ
“คนเราเมื่อทำผิด ก็ต้องยอมรับผิด มิใช่หนีอย่างคนขี้ขลาด” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเสียงเรียบ มีเพียงดวงตาที่ฉายแววเยาะหยัน เสมือนการเพิ่มโทสะให้แก่องครักษ์หนุ่มนับเท่าทวีคูณ “เจ้าหลอกข้า” “เรื่องใดที่ข้าหลอกเจ้า ตำแหน่งของเจ้าเป็นถึงองครักษ์หลวง สติปัญญามิน่าจะดอยกว่าผู้ใด มีหรือคนเช่นข้าจะไปล่อลวงเจ้าได้” ชายหนุ่มขบกรามแน่น ตอนนี้นอกจากเขาจะหนีไม่ได้ ทหารได้เข้ามาคุมตัวของพระนางหรู่เฟยแล้วเช่นกัน “ปล่อยข้า” ชายหนุ่มพยายามที่จะให้ตนเองหลุดจากการควบคุม แต่ก็ไม่อาจทำได้แววตาโกรธแค้นมองไปยังชายสวมหน้ากาก “เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น” ชายสวมหน้ากากเอ่ยขึ้น ขณะก้าวผ่านองครักษ์หนุ่มเพื่อไปหาพระสนมคนงาม ที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “นายข้าแค่ส่งดาบคืนแก่ท่าน พระนางหรู่เฟย จุ๊ ๆ สิ่งที่ท่านรู้มันจะตายไปพร้อมตัวท่านเอง” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเบา ๆ ข้างหูของพระสนมที่ตอนนี้ได้แต่ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อฟังคำของชายสวมหน้ากากจบ “เป็นฝีมือนังแพศยาน
เพราะเหตุใดไม่รู้มันรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้ง ที่ร่างแกร่งขยับกายบดเบียดกับตัวนาง ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดข้างแก้มนางนั้น ทำให้หัวใจของนางเต้นมิเป็นส่ำตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว “ท่านพี่ควรตื่นได้แล้วนะเจ้าคะ สาย...อ๊ะ...” อุ๊บ! อื้อ! ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม เรียวปากงามก็ถูกปิดลงเสียก่อน สภาพของนางในตอนนี้ ยากที่จะขัดขืนอีกฝ่ายได้ เมื่อท่อนขาแกร่งทับขาของนางเอาไว้เสียก่อน มือบางที่หมายจะผลักไสเขาออกให้พ้นกาย ได้ถูกรวบเอาไว้เหนือศีรษะ ริมฝีปากอวบอิ่มถูกขบเม้ม ก่อนจะใช้ลิ้นสากดันเรียวปากของนางให้เปิดออก เพื่อให้เขาได้ควานหาความหวานที่ซ่อนอยู่ภายในเมื่อถูกบดจูบอย่างหิวกระหายจากสามีผู้ช่ำชอง ความเคลิบเคลิ้มทำให้หญิงสาวค่อย ๆ เผยอริมฝีปากออกอย่างลืมตัว ทั้งที่ในใจนั้นนางคิดที่จะขัดขืนเขาอย่างเต็มที่“อื้อ!”เสียงครางเบา ๆ ดังลอดออกมา หลี่จ้านมิปล่อยโอกาสให้หลุดมือ ชายหนุ่มเกี่ยวกวัดปลายลิ้มเล็ก ก่อนจะดูดดึงลิ้นบางนั้นอย่างพึงพอใจ ท่อขาแข็งแกร่งขยับแทรกเรียวขางามให้แยกออกก่อนจะขยับบดเบียดอย่างเนิบช้าเพื่อปลุกเร้าภรรยา โดยที่ลิ้นสากของเขายังคงกวัดรัดดึง
“ต่อไปอย่าได้ดื้อรั้นต่อสามีอีก เข้าใจหรือไม่น้องหญิง”ชายหนุ่มกระซิบเย้าภรรยา ด้วยสายตากรุ่มกริ่ม จ้าวหลิวหลีวงหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี จะเก่งกาจปานใดย่อมต้องรู้สึกเขินอายเมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ของบุรุษ ช้ำเรือนร่างของนางยังไร้ซึ่งสิ่งปกปิด นางไม่คิดเลยว่าสามีผู้ไม่เคยเหลียวมองนางมาตลอด วันนี้จะเปลี่ยนไปเสียจนนางเองยังตั้งรับไม่ทัน“ข้ามิเคยดื้อสักหน่อย”จ้าวหลิวหลีเสหลบตาสามี พร้อมปฏิเสธสามีด้วยน้ำเสียกระเง้ากระงอด“เช่นนั้นนับแต่นี้ไปอย่าให้ต้องออกแรง เข้าใจหรือไม่”ปึก! กำปั้นของหญิงสาวทุบอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยความขัดเขิน เขาช่างกล้าพูดอย่างน่าไม่อาย เรื่องเช่นนี้มิจำเป็นต้องบอกก็ได้ “มิรู้จักอายบ้างหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ๆ อายทำไม ก็พี่อยากให้เจ้ามีความสุข”“คนบ้า! หน้ามิอายพูดอันใดออกมา....อื้อ!”ยังมิทันได้ต่อว่าสามีให้สาสมดังใจคิด ทว่าเรียวปากงามก็ถูกปิดลงอีกครั้ง และในครั้งนี้หญิงสาวมิได้ปฏิเสธ แต่กลับตอบสนองสามีด้วยความไร้เดียงสาในเรื่องเช่นนี้สองร่างกอดรัดกันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความเร้าร้อนขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มสอนบทรักให้แก่หญิงสา
แม่ทัพหนุ่มเดินไปหาพ่อบ้าน ก่อนจะสั่งการอะไรบางอย่าง เจาหยางค้อมหัวเล็กน้อยก่อนจะถอยฉากออกไป หลี่จ้านยังคงเดินเสมือนคนป่วยอยู่ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป รถม้าจวนหลี่ได้เคลื่อนตัวออกไปยังทิศทางของจวนราชครู เกาจิ้งผู้นี้ชรามากแล้วแต่ยังฝักใฝ่ในอำนาจมิรู้จักพอ ชักใยอยู่เบื้องหลังองค์ชายห้าเพื่อให้ช่วงชิงราชตำแหน่งรัชทายาท โดยแสร้งร่วมมือกับพระนางหรู่เฟย เพื่อหาช่องทางกำจัดองค์ชายสี่ ความเป็นคนหัวอ่อนขององค์ชายห้าทำให้ง่ายต่อการควบคุมแม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาไม่เลือกที่จะยืนข้างองค์ชายคนไหนเลย เพราะตัวเขานั้นยืนเคียงข้างองค์ฮ่องเต้แต่ผู้เดียว หากมีการผลัดแผ่นดิน ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องมิใช่การช่วงชิงเขาหลี่จ้านก็จะภักดีจนลมหายใจสุดท้ายเช่นกัน แต่เพราะเขามิเลือกข้างจึงทำให้ต้องเหนื่อยใจอยู่อย่างนี้ หากภรรยาไม่ส่งคนไปช่วยเหลือ ป่านนี้มีหรือเขาจะยังมีลมหายใจฮี่ ๆ เสียงม้าร้องด้วยความแตกตื่น รถม้าโคลงไปมาอย่างแรง หลี่จ้านรีบคว้าตัวภรรยาเขามาสวมกอด เมื่อรถม้าหยุดลง เสียงการต่อสู้ด้านนอกเกิดในทันที“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินมีคนร้ายขอรับ”ตูหลงตะโกนบอกคนด้า