Share

ตอนที่ 14.  เสียงรายงาน

            เสียงรายงานจากรองแม่ทัพคนสนิท ทำให้แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปมมากกว่าเดิมด้วยความสงสัย

            “สอบถามให้แน่ใจ ว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด”

            “เรียนท่านแม่ทัพ ท่านเจาหยางขอพบขอรับ”

            ยังไม่ทันที่รองแม่ทัพจะได้ไปยังหน้าขบวน ได้มีทหารวิ่งเข้ามาแจ้งความประสงค์จากคนอีกขบวนรถม้าเสียก่อน

            “เหตุใดตาเฒ่านั่นมาอยู่ที่นี่”

            แม่ทัพหนุ่มพึมพำเบา ๆ แต่ก็ส่งสัญญาณเป็นการอนุญาต เขาในตอนนี้ไม่อาจที่จะลงจากรถม้าได้ จำต้องนั่งรอพ่อบ้านของด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ด้วยห่วงใครอีกคนที่คงกำลังรอเขาอยู่ที่จวน

            “ท่านแม่ทัพ”

            “ตาเฒ่าไยจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วฮูหยินเล่าผู้ใดดูแล หากนางเป็นอันใดไป ข้าจะ...”

            “ท่านพี่”

            เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลังของเจาหยาง ทำให้คนในรถม้ารีบเปิดม่านออกทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาพยายามเก็บอาการยินดีเอาไว้ ภายใต้สีหน้านิ่งเรียบ

            “ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่อีกคนเล่า”

            หลี่จ้านเอ่ยถามภรรยาด้วยความสงสัย เขาไม่คิดว่านางจะออกมารอเขาถึงนอกเมืองเช่นนี้

            “ข้าออกมาสวดมนต์ให้ท่านแม่ที่อารามหมิงเหล่ยเจ้าค่ะ ท่านลุงเจาบอกว่าท่านพี่น่าจะใกล้ถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าเลยรอกลับเข้าเมืองพร้อมกันเจ้าค่ะ”

            “เช่นนั้นขึ้นมาบนนี้เถอะ แดดร้อนประเดี๋ยวจะเจ็บป่วยเอาได้”

            “เจ้าค่ะ”

            จ้าวหลิวหลีรับคำสามี ก่อนจะก้าวขึ้นบนรถม้า หญิงสาวนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับสามี ก่อนจะหันมองไปด้านนอกหน้าต่าง ที่เปิดม่านออกเล็กน้อย แทนที่จะมองหน้าหรือสนทนากับผู้เป็นสามี

            หลี่จ้านเองก็มิคิดที่จะพูดอะไรกับภรรยา จึงทำเพียงขยับกายพิงที่นั่งแล้วหลับตาลง ความเงียบของทั้งคู่ไม่เป็นที่แปลกใจอันใดสำหรับทุกคน เพราะเป็นที่รู้กันถึงความสัมผัสระหว่างแม่ทัพหนุ่มกับภรรยาดี

เวลาล่วงเลยมาหลายชั่วยาม พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ทว่ายังเหลือระยะทางอีกพอสมควรจึงจะเข้าใกล้เมืองหลวง เจาหยางจึงได้ให้หยุดพักยังนอกเมืองเสียก่อน

            ยามเช้าค่อยเข้าเมือง ทั้งหมดจึงเร่งจัดเตรียมที่พักสำหรับเจ้านายทั้งสอง กระโจมหนังวัวถูกกางขึ้น เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวแก่ผู้เป็นนาย ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยพร้อมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าพอดี

            จ้าวหลิวหลียังคงนิ่งเงียบ แต่ก็จัดเตรียมน้ำชาเอาไว้ให้แก่สามี ทั้งคู่ยังตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงบางจังหวะเท่านั้นที่เหลือบมองกัน

            “ท่านพี่ไยต้องกินยาเหล่านี้ด้วยเจ้าคะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเจ้าคะ”

            หญิงสาวเอ่ยถามสามี พร้อมกับขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อเห็นรองแม่ทัพนำยาที่กำลังร้อน ๆ เข้ามาให้หลังอาหารมื้อค่ำ

            “ไม่มีอะไรหรอก เจ้าอย่าได้กังวล รีบพักผ่อนเถอะ”

            แม่ทัพหนุ่มก้าวยาว ๆ ไปรับถ้วยยาจากมือภรรยา ก่อนจะยกขึ้นดื่มจนหมดรวดเดียว จ้าวหลิวหลีคิดที่จะทัดทานแต่ก็ช้ากว่าชายหนุ่ม หญิงสาวสาวได้แต่พร่ำบ่นสามีอยู่ภายในใจ แต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา นางทำเพียงจัดการกับตนเอง ก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย

            “ท่านแม่ทัพขอรับ”

            เสียงของพ่อบ้านดังอยู่หน้ากระโจม ชายหนุ่มหันมองภรรยาครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวออกไปพบกับเจาหยาง เมื่อสามีก้าวพ้นกระโจมออกไปแล้ว จ้าวหลิวหลีจึงได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

            หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจกับสิ่งที่สามีทำ ในเมื่อภายในกระโจมมีเพียงเขาและนาง ไยต้องทนดื่มยานั้นเข้าไปด้วย อยู่ ๆ ความรู้สึกขุ่นเคืองก็พลันเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

            นางปกป้องเขาในฐานะสามี มิได้คิดเป็นอื่นใด และจะรู้สึกไม่พอใจไปทำไมกันเล่า ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงม่านกระโจมได้ถูกเปิดออกอย่างเบามือ

            จ้าวหลิวหลีจำต้องหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ เพื่อมิให้เป็นที่สงสัยของสามี

            “ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเหลือพี่”

            เสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหูจากร่างสูง ที่เอนกายลงข้างภรรยา โดยใช้มือข้างหนึ่งค้ำศีรษะเอาไว้

            “เรื่องใดกันเจ้าคะ”

            “ทุกเรื่อง”

            แม่ทัพหนุ่มเอนกายลงช้า ๆ เมื่อภรรยาไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก เขารู้เรื่องที่นางช่วยเขาโดยบังเอิญจากคนของนางเอง แม้เขาจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว ภรรยากำลังทำสิ่งใดบ้าง

            แต่คนของนางที่ติดตามเขาประหนึ่งเงานั้น ย้ำแก่เขาว่านางทำเพื่อปกป้องตัวเขา และเขาไม่จำเป็นต้องรู้สิ่งใดให้มาก เพราะภัยอาจล่วงล้ำมาถึงตัวนางได้

            “เราคือครอบครัวเจ้าค่ะ อย่าได้คิดเป็นอื่น”

            ชายหนุ่มนอนหลับตานิ่ง เมื่อได้ยินคำสุดท้ายของภรรยา ใจของเขามิต่างอันใดกับถูกกดทับด้วยภูเขาลูกใหญ่ หากเป็นคำสั้น ๆ แค่ตอบรับเขาอาจรู้สึกดีกว่านี้หลายเท่า แต่เมื่อคำของภรรยาสิ้นสุดลงเรี่ยวแรงที่มีดูจะเหือดหายอย่างไรไม่รู้

            หมับ! มือหนาคว้าจับมือบางที่วางอยู่ข้างตัวเอาไว้ ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง เมื่อเจ้าของมือยังคงไม่ได้ดึงมันออกจากการเกาะกุม

ยามค่ำคืนจวนจ้าวอ๋อง

            “กรี๊ด!!!”

            เสียงกรีดร้องปานใจจะขาดของนายหญิงของจวน ได้ดังก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ ใบหน้างามเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา จ้าวอ๋องกอดพระชายาเอาไว้แนบอก ร่างสูงสั่นเทาจนไม่อาจควบคุมได้

            สิ่งที่เขาเห็นอยู่ใสตอนนี้ คือร่างของบุตรชายเพียงคนเดียว ที่นอนไร้ลมหายใจอยู่ลานหน้าเรือนใหญ่ ทุกอย่างเกิดขึ้นกระทันหันจนเขาไม่อาจตั้งรับได้ทัน

            “เรียนท่านอ๋อง พระชายาในองค์ชายสี่มิได้อยู่ที่จวนขอรับ”

            จ้าวอ๋องแทบล้มทั้งยืน เขาไม่อยากที่จะคาดเดาว่าเวลานี้บุตรสาวคนเล็กกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่เหมือนมีบางอย่างบอกแก่เขาให้รู้สึกเช่นนั้น

            “องค์ชายสี่มิได้บอกหรือว่านางอยู่ที่ใด”

            “เรียนท่านอ๋อง องค์ชายสี่เข้าวังเพราะเยี่ยมพระนางหรู่เฟยขอรับ”

            คำตอบของคนสนิท ทำให้สองสามีภรรยารู้สึกหน้ามืด จนทรุดลงกับพื้น บรรดาบ่าวไพร่จำต้องรีบเข้าพยุงผู้เป็นนายเอาไว้

            “ลูกข้าหายตัวไป ไยองค์ชายสี่ดูมิร้อนใจเลยสักนิด”

            “ส่งคนไปตามตัวท่านหญิงใหญ่มาพบข้าเดี๋ยวนี้”

            “เรียนท่านอ๋อง ท่านหญิงใหญ่ยังมิกลับเข้าเมืองหลวงขอรับ”

            “นางไปที่ใด ไยมิอยู่ในเมืองหลวง”

            “อารามหมิงเหล่ยขอรับ”

            มือหนาสั่นเทาโอบกระชับชายารัก ความคิดหลายอย่างไหลวนเข้ามาในหัว อยู่ ๆ คืนนี้ร่างไร้ลมหายใจของบุตรชายได้ถูกส่งมาที่จวน โดยไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดนำกลับมา

            ‘ต้องเป็นมันแน่หลี่จ้าน’

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status