กลางดึก ณ ตำหนักหรู่เฟย
ภายในห้องหนังสือกำลังมีสองร่างโอบกอดกันอยู่ ใบหน้าของชายหนุ่มที่เรือนร่างเปลือยเปล่า กำลังซุกไซ้ซอกคอขาวเนียนของฝ่ายหญิง เสียงครางเบา ๆ ดังออกมาจากเรียวปากอวบอิ่ม เมื่อมือหนาของชายหนุ่มเคล้นคลึงสองเต้างาม
“อื้อ…ส่งสารถึงนางหรือยัง อ๊า...”
เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมครางเบา ๆ ความเสียวซ่านแล่นทั่วกาย เมื่อถูกชายหนุ่มรุกเร้ามิหยุดมือ
“ข้าเคยทำให้พระนางผิดหวังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เอ่ยจบจมูกคมได้กดลงยังแก้มเนียน ก่อนจะเลื่อนลงมายังซอกคอหอมกรุ่นอีกครั้ง ริมฝีปากหนาจูบซับความเย้ายวนอย่างอ่อนโยน มือหยาบบีบคลึงสะโพกงอนงามหนัก ๆ ก่อนจะดันให้แนบกับแก่นกายของตนเอง
“ไม่ใช่เวลานี้”
เสียงสั่นระริกเอ่ยห้ามชายหนุ่ม ทว่าร่างกายนั้นหาได้ทำตามอย่างที่ปากพูด ยิ่งเมื่อมืออีกข้างของชายหนุ่มเลื่อนลงไปยังเนินดอกไม้ ความร้อนรุ่มกลับระอุร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
“ดึกแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเราอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาไม่อาจทนรออีกต่อไปได้แล้ว แม้ว่าเวลานี้จะค่อยเหมาะเท่าใดนัก ชายหนุ่มไม่รั้งรอรีบจับร่างงามให้หันหลังมาทางเขาในทันที
ความต้องการในตอนนี้คงไม่อาจที่จะหยุดลงได้ แก่นกายของเขากำลังแข็งชันจนเจ็บร้าว ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบปลดเปลื้องสิ่งกีดขวางออกจากร่างอวบอิ่มในทันที
สตรีในอ้อมแขนนั้นแม้จะมีวัยมากกว่าเขาอยู่มิน้อย แต่นางกลับยังคงความงามดั่งหญิงสาววัยแรกแย้มได้เป็นอย่างดี เรือนร่างที่หอมเย้ายวนนี้ ทำให้เขาไม่อาจหักห้ามใจที่จะเผลอไผลไปกับสิ่งที่นางเสนอมาให้แก่เขาตลอดหลายปี
“อ๊า!”
เสียงครางเบา ๆ ดังลอดไรฟันออกมาให้ได้ยิน เมื่อนิ้วเรียวแทรกเข้าไปในกลีบเกสร เพื่อดูความพร้อมของหญิงสาว น้ำหวานฉ่ำเยิ้มสัมผัสกับนิ้ว เป็นการบอกให้รู้ว่าเจ้าของร่างอวบอิ่มนั้น พร้อมสำหรับบทรักของเขาที่จะมอบแก่นางแล้ว
“คืนนี้เรามีเวลาไม่มาก แต่ข้าจะทำให้พระนางสุขจนล้นเลยทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มกระซิบข้างหูเจ้าของตำหนัก ก่อนจะจับแท่งหยกดันเข้าไปในเส้นทางฉ่ำเยิ้มในครั้งเดียวจนสุด หรู่เฟยกัดริมฝีปากเอาไว้แน่น เพื่อมิให้ส่งเสียงหวีดร้องออกมาด้วยความเสียวซ่าน
บทรักจากชายหนุ่มช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก นางอยู่ในตำหนักแห่งนี้เพื่อรอเพียงบุรุษเดียว ที่มิรู้ค่ำคืนไหนจะมาเยือน จนเมื่อมีเขาคนนี้มาอยู่ใกล้ชิด แทบทุกค่ำคืนนับแต่นั้นมา นางมิจำเป็นต้องรอใครอีกคนให้ห่อเหี่ยวหัวใจอีกเลย
ชายหนุ่มไม่รอช้า เริ่มขยับสะโพกสอบดันแก่นกายเข้าออกเส้นทางสวาทอย่างหนักหน่วง มือสองข้างเลื่อนขึ้นกอบกุมสองเต้างาม พร้อมบีบเค้นตามแรงอารมณ์อยู่ในตอนนี้
“แรงอีก อ๊า...อื้อ...ข้า...อ๊า...”
เสียงเร่งเร้าปนเสียงคราง ยิ่งเพิ่มอารมณ์ให้แก่ชายหนุ่ม สองมือบีบเค้นอกอิ่ม สะโพกสอบดันแก่นกายเร่งจังหวะตามความต้องการของหญิงสาว
เสียงหายใจกระชั้นถี่ดังไม่มากนัก ภายในห้องหนังสือที่มีเพียงแสงสลัว ยิ่งเพิ่มความเร้าอารมณ์ให้แก่ทั้งคู่ ชายหนุ่มกระซิบให้พระสนมคนงามคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมใช้สองมือค้ำยันเอาไว้ ประหนึ่งมีสี่ขาโดยมีชายหนุ่มประกบอยู่ตรงบันท้ายเช่นเดิม
ชายหนุ่มเร่งจังหวะให้กระชั้นถี่ขึ้น เพิ่มแรงเสียดสีระหว่างแก่นกายแข็งขันกับช่องทางฉ่ำเยิ้ม สร้างความเสียวซ่านให้แล่นไปทั่วกายของทั้งคู่ ก่อนที่เขาจะรู้สึกถึงแรงบีบรัดจากเส้นทางสวาทของนาง ที่กำลังดูดกลืนท่อนรักของเขามิให้เข้าออกได้โดยง่าย
ชายหนุ่มไม่อาจต้านทานความกระสันนั้นได้อีกต่อไป จึงเร่งกระแทกแก่นกายเข้าออกถี่ ๆ ก่อนที่ตัวเขาจะกระตุกเกร็ง พร้อมกับปลดปล่อยความอุ่นซ่านเข้าสู่กายของนาง
เมื่อบทรักสิ้นสุดลง ทั้งคู่ยังคงประคองกอดกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะกระซิบคำหวานให้แก่กัน เพื่อเริ่มบทรักเร้าร้อนอีกครั้ง ก่อนที่จะแยกจากกันในคืนนี้ แต่ทว่า...
“หรู่อี้ เจ้าเผลอหลับในห้องหนังสืออีกแล้วหรือ”
ประตูห้องหนังสือเปิดออกกว้าง พร้อมคำถามจากคนที่ก้าวเข้ามาโดยมีขันทีและนางกำนัน ถือโคมไฟติดตามเข้าด้วย
“กรี๊ด!!! ฝ่าบาท ไม่นะเพคะ หม่อมฉัน...”
เสียงกรีดร้องจากเจ้าของตำหนัก ทำให้ทุกคนที่ก้าวตามโอรสสวรรค์เข้ามา ถึงกับนิ่งค้างก้มหน้ามองพื้นในทันที ด้วยสภาพของพระนางหรู่เฟยนั้นไม่ได้เรียบร้อยอย่างที่ควรจะเป็น
ฮ่องเต้ถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วร่าง ใบหน้าชาหนึบเสมือนถูกภาพตรงหน้าแช่แข็งเอาไว้ก็มิปาน ภาพเรือนร่างเปล่าเปลือยของชายารัก กำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มผู้เป็นองครักษ์
ความเจ็บปวดในใจนั้น ยังมิเท่าความอับอายที่ได้รับ เขาคงเป็นตัวตลกของผู้คนทั่วแผ่นดิน ที่สนมรักเล่นชู้อยู่ในตำหนักใต้จมูกของเขาเอง เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าสตรีหยิ่งผยองเช่นนาง จะหาญกล้าทำเช่นนี้กับเขาได้
“ตู้กงกง จัดการเสีย”
สิ้นคำสั่งร่างสูงในชุดสีทองได้ก้าวจากไป โดยไม่คิดแม้แต่จะเอ่ยสิ่งใดกับเจ้าของตำหนักเลย
“ฝ่าบาท ฟังหม่อมฉันก่อนเพคะ ฮือ ๆ ฝ่าบาทได้โปรดเถอะเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”
เสียงเว้าวอนของพระนางหรู่เฟยไม่เป็นผลใด ๆ เมื่อลับร่างของฮ่องเต้ไปแล้ว องครักษ์หนุ่มได้เคลื่อนกายอย่างรวดเร็ว พุ่งไปยังหน้าต่างห้องหนังสือ ตุบ! ทว่ายังไม่ทันออกพ้นหน้าต่าง
ร่างสูงกลับถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้าอย่างแรงที่กลางอก ก่อนจะกระเด็นมาตกยังแทบเท้าของพระนางหรู่เฟย
“เจ้าเป็นใครกัน นะ...นี่เจ้า...”
องครักษ์หนุ่มเอ่ยถามคนที่ขัดขวางเขา ก่อนที่ร่างสูงของใครอีกคนได้ปรากฏขึ้น หน้ากากที่ปิดบังใบหน้านี้เขาเคยพบมาก่อน ผู้ที่คอยชี้แนะเขามาตลอดหลายปี
และในคืนนี้ก็เช่นกัน เพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกแก่พระนางหรู่เฟย ทำให้เขาต้องลักลอบพบกับนางเพื่อแจ้งข่าว แต่เพราะความเย้ายวนที่เขาได้ลิ้มรสอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขามีความสัมพันธ์กับนางเช่นทุกครั้งที่พบกัน
ทั้งที่เขาเองก็รู้ดีว่าเวลานี้ มันไม่เหมาะที่เขาและนางจะทำเรื่องเช่นนี้ แต่เพราะความต้องการมันมากจนเขาไม่อาจห้ามใจตนเองได้ แต่ไม่คิดว่าวันนี้ฮ่องเต้จะเสด็จมาทั้งที่เขามั่นใจ ว่าฝ่าบาทจะไปยังตำหนักของพระสนมอีกคนแล้วแท้ ๆ
“คนเราเมื่อทำผิด ก็ต้องยอมรับผิด มิใช่หนีอย่างคนขี้ขลาด” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเสียงเรียบ มีเพียงดวงตาที่ฉายแววเยาะหยัน เสมือนการเพิ่มโทสะให้แก่องครักษ์หนุ่มนับเท่าทวีคูณ “เจ้าหลอกข้า” “เรื่องใดที่ข้าหลอกเจ้า ตำแหน่งของเจ้าเป็นถึงองครักษ์หลวง สติปัญญามิน่าจะดอยกว่าผู้ใด มีหรือคนเช่นข้าจะไปล่อลวงเจ้าได้” ชายหนุ่มขบกรามแน่น ตอนนี้นอกจากเขาจะหนีไม่ได้ ทหารได้เข้ามาคุมตัวของพระนางหรู่เฟยแล้วเช่นกัน “ปล่อยข้า” ชายหนุ่มพยายามที่จะให้ตนเองหลุดจากการควบคุม แต่ก็ไม่อาจทำได้แววตาโกรธแค้นมองไปยังชายสวมหน้ากาก “เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น” ชายสวมหน้ากากเอ่ยขึ้น ขณะก้าวผ่านองครักษ์หนุ่มเพื่อไปหาพระสนมคนงาม ที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “นายข้าแค่ส่งดาบคืนแก่ท่าน พระนางหรู่เฟย จุ๊ ๆ สิ่งที่ท่านรู้มันจะตายไปพร้อมตัวท่านเอง” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเบา ๆ ข้างหูของพระสนมที่ตอนนี้ได้แต่ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อฟังคำของชายสวมหน้ากากจบ “เป็นฝีมือนังแพศยาน
เพราะเหตุใดไม่รู้มันรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้ง ที่ร่างแกร่งขยับกายบดเบียดกับตัวนาง ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดข้างแก้มนางนั้น ทำให้หัวใจของนางเต้นมิเป็นส่ำตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว “ท่านพี่ควรตื่นได้แล้วนะเจ้าคะ สาย...อ๊ะ...” อุ๊บ! อื้อ! ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม เรียวปากงามก็ถูกปิดลงเสียก่อน สภาพของนางในตอนนี้ ยากที่จะขัดขืนอีกฝ่ายได้ เมื่อท่อนขาแกร่งทับขาของนางเอาไว้เสียก่อน มือบางที่หมายจะผลักไสเขาออกให้พ้นกาย ได้ถูกรวบเอาไว้เหนือศีรษะ ริมฝีปากอวบอิ่มถูกขบเม้ม ก่อนจะใช้ลิ้นสากดันเรียวปากของนางให้เปิดออก เพื่อให้เขาได้ควานหาความหวานที่ซ่อนอยู่ภายในเมื่อถูกบดจูบอย่างหิวกระหายจากสามีผู้ช่ำชอง ความเคลิบเคลิ้มทำให้หญิงสาวค่อย ๆ เผยอริมฝีปากออกอย่างลืมตัว ทั้งที่ในใจนั้นนางคิดที่จะขัดขืนเขาอย่างเต็มที่“อื้อ!”เสียงครางเบา ๆ ดังลอดออกมา หลี่จ้านมิปล่อยโอกาสให้หลุดมือ ชายหนุ่มเกี่ยวกวัดปลายลิ้มเล็ก ก่อนจะดูดดึงลิ้นบางนั้นอย่างพึงพอใจ ท่อขาแข็งแกร่งขยับแทรกเรียวขางามให้แยกออกก่อนจะขยับบดเบียดอย่างเนิบช้าเพื่อปลุกเร้าภรรยา โดยที่ลิ้นสากของเขายังคงกวัดรัดดึง
“ต่อไปอย่าได้ดื้อรั้นต่อสามีอีก เข้าใจหรือไม่น้องหญิง”ชายหนุ่มกระซิบเย้าภรรยา ด้วยสายตากรุ่มกริ่ม จ้าวหลิวหลีวงหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี จะเก่งกาจปานใดย่อมต้องรู้สึกเขินอายเมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ของบุรุษ ช้ำเรือนร่างของนางยังไร้ซึ่งสิ่งปกปิด นางไม่คิดเลยว่าสามีผู้ไม่เคยเหลียวมองนางมาตลอด วันนี้จะเปลี่ยนไปเสียจนนางเองยังตั้งรับไม่ทัน“ข้ามิเคยดื้อสักหน่อย”จ้าวหลิวหลีเสหลบตาสามี พร้อมปฏิเสธสามีด้วยน้ำเสียกระเง้ากระงอด“เช่นนั้นนับแต่นี้ไปอย่าให้ต้องออกแรง เข้าใจหรือไม่”ปึก! กำปั้นของหญิงสาวทุบอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยความขัดเขิน เขาช่างกล้าพูดอย่างน่าไม่อาย เรื่องเช่นนี้มิจำเป็นต้องบอกก็ได้ “มิรู้จักอายบ้างหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ๆ อายทำไม ก็พี่อยากให้เจ้ามีความสุข”“คนบ้า! หน้ามิอายพูดอันใดออกมา....อื้อ!”ยังมิทันได้ต่อว่าสามีให้สาสมดังใจคิด ทว่าเรียวปากงามก็ถูกปิดลงอีกครั้ง และในครั้งนี้หญิงสาวมิได้ปฏิเสธ แต่กลับตอบสนองสามีด้วยความไร้เดียงสาในเรื่องเช่นนี้สองร่างกอดรัดกันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความเร้าร้อนขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มสอนบทรักให้แก่หญิงสา
แม่ทัพหนุ่มเดินไปหาพ่อบ้าน ก่อนจะสั่งการอะไรบางอย่าง เจาหยางค้อมหัวเล็กน้อยก่อนจะถอยฉากออกไป หลี่จ้านยังคงเดินเสมือนคนป่วยอยู่ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป รถม้าจวนหลี่ได้เคลื่อนตัวออกไปยังทิศทางของจวนราชครู เกาจิ้งผู้นี้ชรามากแล้วแต่ยังฝักใฝ่ในอำนาจมิรู้จักพอ ชักใยอยู่เบื้องหลังองค์ชายห้าเพื่อให้ช่วงชิงราชตำแหน่งรัชทายาท โดยแสร้งร่วมมือกับพระนางหรู่เฟย เพื่อหาช่องทางกำจัดองค์ชายสี่ ความเป็นคนหัวอ่อนขององค์ชายห้าทำให้ง่ายต่อการควบคุมแม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาไม่เลือกที่จะยืนข้างองค์ชายคนไหนเลย เพราะตัวเขานั้นยืนเคียงข้างองค์ฮ่องเต้แต่ผู้เดียว หากมีการผลัดแผ่นดิน ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องมิใช่การช่วงชิงเขาหลี่จ้านก็จะภักดีจนลมหายใจสุดท้ายเช่นกัน แต่เพราะเขามิเลือกข้างจึงทำให้ต้องเหนื่อยใจอยู่อย่างนี้ หากภรรยาไม่ส่งคนไปช่วยเหลือ ป่านนี้มีหรือเขาจะยังมีลมหายใจฮี่ ๆ เสียงม้าร้องด้วยความแตกตื่น รถม้าโคลงไปมาอย่างแรง หลี่จ้านรีบคว้าตัวภรรยาเขามาสวมกอด เมื่อรถม้าหยุดลง เสียงการต่อสู้ด้านนอกเกิดในทันที“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินมีคนร้ายขอรับ”ตูหลงตะโกนบอกคนด้า
แต่วันนี้เขาคงต้องตัดความคิดนั้นออกไปเสีย ใครจะไปคาดคิดว่าท่านหญิงกำพร้ามารดาเช่นนาง จะมีฝีมือมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งหลี่จ้านที่ควรจะอ่อนแรงด้วยพิษที่เขาให้ตูหลงใส่ในอาหารยาบำรุงกลับไม่เป็นอะไรเลย ทั้งยังมายืนลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเขาอยู่ในตอนนี้“เจ้าคงไม่คิดที่จะทำเรื่องสิ้นคิดหรอกนะ หลี่จ้าน”“หากข้าปล่อยท่านราชครูกลับไปต่างหากเล่าขอรับ จึงจะถือว่าเป็นเรื่องสิ้นคิด”“เจ้ากล้ารึ”“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ท่านราชครูพ้นตำแหน่ง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ”“โอหังนัก กล้าแอบอ้างพระบัญชาในองค์ฮ่องเต้เชียวรึ”“ข้าว่าแอบอ้างหรือไม่ ท่านราชครูย่อมรู้ดีแก่ใจนะขอรับ”“ท่านราชครู หลบไปก่อนขอรับทางนี้ข้าจัดการเอง”อยู่ ๆ ได้มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้น หลี่จ้านมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อคนตรงหน้าเลย กระบี่ในมือของอีกฝ่ายเขาจำมันได้ดีว่าคือของผู้ใดองค์ชายที่ผู้คนมองว่าหัวอ่อน ทว่าแท้จริงแล้วแอบซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้อย่างมิดชิด แสร้งทำทีไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่กลับเป็นผู้ชักใยผู้คนให้กำจัดกันเอง เพื่อให้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวคือตนเอง“ทรงมาช่วยเหลือหรือกำจัดเขากันแน่พ่ะย่ะค่
สิบวันถัดมา ข่าวการตายท่านอ๋องน้อยสกุลจ้าว และพระชายาในองค์ชายสี่ได้ถูกโจรปล้น ขณะที่ท่านอ๋องน้อยพาน้องสาวไปท่องเที่ยวยังอารามนอกเมือง ยังไม่ทันซา ข่าวการสิ้นพระชนขององค์ชายห้าก็แผ่ออกไปทั่วเมืองหลวง องค์ชายห้าเกิดล้มป่วยจนสิ้นพระชนนับเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย และข่าวที่ชาวเมืองโจษจันไม่แพ้กัน ที่อยู่ ๆ ทางด้านองค์ชายสี่ได้ออกเดินทางสู่ชายแดนเหนือ หลังสูญเสียพระชายา ชาวเมืองต่างแสดงความเห็นใจองค์ชาย ที่ทนทำใจกับการตายของพระชายาไม่ได้ จึงทรงเดินทางไปอยู่ชายแดนเพื่อรักษาบาดแผลทางใจ แม้ว่าชาวเมืองบางกลุ่มจะมีความคิดเห็นขัดแย้งอยู่บ้าง ส่วนเรื่องของพระนางหรู่เฟย ถูกปิดเป็นความลับ อย่างไรเสียงเรื่องสตรีวังหลังหายตัวไปนับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พระนางหรู่เฟยทำเรื่องเสื่อมเสีย ย่อมไม่ได้รับให้ฝังในสุสานหลวงอย่างแน่นอนส่วนจวนแม่ทัพนั้นดูจะหอมอบอวลไปด้วยความสุข เมื่อแม่ทัพหลี่นั้นได้สั่งให้ย้ายข้าวของทั้งหมดจากเรือนหลิวหลี ไปยังเรือนใหญ่ของท่านตนเอง เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังขึ้นเป็นระยะจากในสวนดอกไม้ คงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากเจ้าของจวนทั้งสองหย
นางไม่รู้ว่าเพราะความผิดพลาดที่ใด คนที่อยู่บนเตียงกับจ้าวหลิวหลี จึงได้กลายมาเป็นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ ทั้งที่นางหมายจะเก็บเขาเอาไว้ใช้งาน เพื่อเป็นบันไดให้แก่ลูก ๆ ของนาง แต่ก็นั้นแหละหลี่จ้านเป็นเพียงแม่ทัพ มิรู้ว่าอนาคตจะไปได้ไกลสักเท่าใดกัน จะมีเขาหรือไม่ในตอนนี้ก็หาได้สำคัญต่อนางแล้ว “ไม่จริง! ข้าไม่ได้คิดต่ำช้าเช่นนั้น ฮือ ๆ” จ้าวหลิวหลีกรีดร้องด้วยความเสียใจ หญิงสาวร้องไห้จนสิ้นสติลงในอ้อมแขนของแม่ทัพหนุ่ม “ปล่อยนางซะ! หลี่จ้าน” จ้าวอ๋องคำรามก้อง เมื่อเห็นบุตรสาวสิ้นสติอยู่ในอ้อมกอดของแม่ทัพหนุ่ม เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ “ข้าหลี่จ้านขอพูดเพียงครั้งเดียว และจะทำอย่างที่พูด ข้าจะแต่งท่านหญิงใหญ่จ้าวหลิวหลีเข้าจวน ในฐานนะภรรยาเพียงหนึ่งเดียว ข้าหวังว่าทุกท่านจะเป็นพยาน และข้าหลี่จ้านต้องขออภัยต่อท่านอ๋องในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะตลบผ้าห่มผืนใหญ่พันร่างของคนในอ้อมแขนเอาไว้ ก่อนจะขยับลุกโดยมีร่างของหญิงสาวอยู่แนบกาย ชายหนุ
จวนสกุลหลี่ เรือนหลิวหลี ร่างเย้ายวนนั่งมองกระดาษที่อยู่ในมือ ก่อนจะวางลงยังเตาเล็กบนโต๊ะน้ำชา “วันนี้เราจะออกไปร้านเครื่องหอมกัน ท่านพี่จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบกับสาวใช้ข้างกาย นางแต่งเข้าจวนมาหลายปี ทว่าสามีนั้นแทบจะมิเคยย่างกรายมายังเรือนของนางเลย เรื่องการเสพสุขระหว่างสามีภรรยาหาได้เคยเกิดขึ้นแม้เพียงครั้ง ‘ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก เกิดมาชาติตระกูลดีสูงส่ง ทว่ากลับถูกสามีรังเกียจ บทนิยายน้ำเน่าสิ้นดี ยามนั้นข้ายังเยาว์ มิใช่ตอนนี้ที่ข้าพร้อมจะเปลี่ยนมันด้วยมือของข้าเอง ชะตาย่อมอยู่ในมือผู้กล้าที่จะเปลี่ยนเสมอ’ จ้าวหลิวหลีคิดอยู่ในใจก่อนจะลุกขึ้น หญิงสาวเดินไปนั่งลงยังกระจกทองเหลือง ร่างงามมองใบหน้าหมดจดของตนเอง ก่อนจะเริ่มแต่งแต้มสีสันให้เข้ากับใบหน้าอย่างใจเย็น สามีเป็นแม่ทัพใหญ่ บุรุษที่สตรีทั่วแผ่นดินหมายปอง และเป็นอดีตคนรักของน้องสาวต่างมารดา ส่วนนางคือท่านหญิงใหญ่แห่งจวนจ้าวสตรีที่เขามองว่าไร้ค่า ซ้ำยังหาญกล้าปีนป่ายเตียงของเขาเมื่อหลายปีก่อน นับแต่นั้นเป็นต้นมา นางเฝ้าเปลี