แต่วันนี้เขาคงต้องตัดความคิดนั้นออกไปเสีย ใครจะไปคาดคิดว่าท่านหญิงกำพร้ามารดาเช่นนาง จะมีฝีมือมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งหลี่จ้านที่ควรจะอ่อนแรงด้วยพิษที่เขาให้ตูหลงใส่ในอาหารยาบำรุง
กลับไม่เป็นอะไรเลย ทั้งยังมายืนลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเขาอยู่ในตอนนี้
“เจ้าคงไม่คิดที่จะทำเรื่องสิ้นคิดหรอกนะ หลี่จ้าน”
“หากข้าปล่อยท่านราชครูกลับไปต่างหากเล่าขอรับ จึงจะถือว่าเป็นเรื่องสิ้นคิด”
“เจ้ากล้ารึ”
“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ท่านราชครูพ้นตำแหน่ง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ”
“โอหังนัก กล้าแอบอ้างพระบัญชาในองค์ฮ่องเต้เชียวรึ”
“ข้าว่าแอบอ้างหรือไม่ ท่านราชครูย่อมรู้ดีแก่ใจนะขอรับ”
“ท่านราชครู หลบไปก่อนขอรับทางนี้ข้าจัดการเอง”
อยู่ ๆ ได้มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้น หลี่จ้านมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อคนตรงหน้าเลย กระบี่ในมือของอีกฝ่ายเขาจำมันได้ดีว่าคือของผู้ใด
องค์ชายที่ผู้คนมองว่าหัวอ่อน ทว่าแท้จริงแล้วแอบซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้อย่างมิดชิด แสร้งทำทีไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่กลับเป็นผู้ชักใยผู้คนให้กำจัดกันเอง เพื่อให้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวคือตนเอง
“ทรงมาช่วยเหลือหรือกำจัดเขากันแน่พ่ะย่ะค่ะองค์ชายห้า”
เกาจิ้งมองชายชุดดำด้วยไม่อยากเชื่อ เขาไม่คิดว่าองค์ชายห้าที่เขาตั้งใจจักใช้เป็นหุ่นเชิด จะปรากฏตัวขึ้นในยามนี้
....
“หึ ๆ สมแล้วที่เสด็จพ่อทรงไว้วางพระทัย เพียงแค่นี้เจ้าก็มองทุกอย่างได้ทะลุปุโปร่ง”
ชายหนุ่มชุดดำดึงผ้าปิดหน้าลง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา ที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นยามอยู่ในวังหลวง
“องค์ชายห้า”
“ใช่ข้าเองท่านราชครู ท่านทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก ความใจร้อนของท่านทำให้ทุกอย่างพังลง”
ฉึก! อึก! ราชครูเกายังไม่ทันเอ่ยสิ่งใดออกมา กระบี่ในมือขององค์ชายห้าได้แทงเข้ายังช่องท้องของเขาก่อนแล้ว ใบหน้าเปื้อนยิ้มขององค์ชายห้า ยังคงไม่เปลี่ยนไป
“ทะ...ทำไมกัน”
ราชครูเกาได้แต่ตั้งคำถามกับคนตรงหน้า ก่อนจะทรุดลงกับพื้น เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริง ๆ ว่าชีวิตของเขาต้องมาจบสิ้นลงด้วยน้ำมือของคนที่เขาตั้งใจควบคุมเช่นนี้
“ข้าไม่ชื่นชอบความผิดพลาด และนี้คือรางวัลของเจ้าอย่างไรเล่าเกาจิ้ง”
เกาจิ้งได้แต่มองรอยยิ้มอำมหิตขององค์ชายห้า เขาคิดมาตลอดชีวิตว่าองค์ชายห้า เป็นเพียงลูกแกะที่เขาเอาไว้ล่อเหยื่อ แต่ไม่คิดว่าวันนี้คนที่เป็นเหยื่อแท้จริงคือตัวเขา
แปะ ๆ เสียงตบมือดังขึ้นจากด้านหลัง องค์ชายห้าดึงกระบี่ออกจากร่างของราชครูเกา ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับแม่ทัพหนุ่ม เมื่ออีกฝ่ายล่วงรู้ตัวตนของเขาแล้ว เขาก็มิอาจปล่อยแม่ทัพผู้นี้เอาไว้ได้อีกต่อไป
“มาจบเรื่องของพวกเราจะดีกว่า หลี่จ้าน”
สิ้นคำองค์ชายห้าได้พุ่งเข้าหาแม่ทัพหนุ่มในทันที การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บบ้างแล้ว แต่เมื่อยังมิรู้ผลทั้งคู่จึงไม่มีฝ่ายใดยอมถอย
“ฮูหยินจะมิยื่นมือช่วยท่านแม่ทัพสักหน่อยหรือขอรับ อย่างไรท่านแม่ทัพก็เสียเปรียบองค์ชายห้าอยู่ไม่น้อย”
จางเค่อเอ่ยกับผู้เป็นนาย ชายหนุ่มสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเอาไว้ แต่มันเพียงครึ่งบนจึงทำให้มองเห็นรอยยิ้ม ที่มีความนัยของชายหนุ่มได้อย่างชัดเจน
“อย่าทำเป็นรู้มาก ประเดี๋ยวเจ้าจะได้ไปเที่ยวต่างแคว้นเสียหรอก”
เสียงหัวเราะของจางเค่อ ทำให้ใบหน้าของจ้าวหลิวหลีแดงก่ำ ดูอย่างไรสามีของนางก็เหนือกว่าองค์ชายห้าอยู่หลายเท่าตัว แต่เพราะวันนี้นางกับสามีมิได้ออกจากเรือน จึงทำให้ถูกจางเค่อนำมาเย้าเอาได้
“หากนายหญิงเมตตาสู่ขอภรรยาให้ข้าสักคน เรื่องนี้จะหายไปจากสมองของทุกคนเลยทีเดียวนะขอรับ”
“มันใช่เวลาหรือไม่เล่า”
“เวลานี้เหมาะสมที่สุดแล้วขอรับ”
“นางคือผู้ใด”
“นายหญิงย่อมรู้จักนางเป็นอย่างดีขอรับ”
“หึ ๆ เจ้าน่าจะไปคุยกับนางก่อนมิดีกว่าหรือ”
“หากข้าคุยเป็น จะต้องมาร้องขอต่อนายหญิงหรือขอรับ”
“ฮ่า ๆ ได้ข้ารับปาก”
สองนายบ่าวหยุดการสนทนาลง เมื่อเห็นว่ามีเงาร่างสีดำ พุ่งเข้าหาแม่ทัพหนุ่ม จางเค่อพุ่งเข้าขัดขวางในทันที เขายืนอยู่ตรงนี้ผู้เป็นนายมิจำเป็นต้องลงมือ
การต่อสู้ดำเนินไปได้อีกเพียงหนึ่งก้านธูป ร่างสูงขององค์ชายห้าได้ทรุดลงกับพื้นอย่างแรง ดวงตาที่เคยเย้ยหยันผู้อื่น ตอนนี้แทบจะลืมไม่ขึ้น องค์ชายห้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่งกับความล้มเหลวทั้งหมด
เขาเฝ้าเพียรพยายามชักใยให้ทุกคนทำลายกันเอง เพื่อที่เขาจะเป็นคนที่เหลือรอดอยู่ และครอบครองบัลลังก์อย่างสง่างาม แต่ไม่คิดเลยว่าจะต้องสิ้นสุดลงเพียงแค่หลี่จ้าน รอดชีวิตกลับเข้าเมืองหลวง
“ฝ่าบาทครองบัลลังก์ด้วยความเที่ยงธรรม และทรงมีดวงตาที่กว้างไกล องค์ชายอย่ามองเพียงว่าฝ่าบาทเริ่มแก่ชรา แต่จงมองให้ขาดว่าก่อนที่จะทรงครอบครองบัลลังก์มังกรนี้ได้ ต้องทรงผ่านสิ่งใดมาบ้างสิพ่ะย่ะค่ะ เพราะหากทรงไร้เขี้ยวเล็บอย่างที่องค์ชายทรงคิด ฝ่าบาทคงไม่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จ้านเอ่ยกับคนที่กำลังดวงตาเหลือค้างด้วยความเจ็บปวด เสียงหัวเราะเริ่มขาดห้วง เขาทำตามหน้าที่จึงไม่อาจเมตตาต่อผู้ที่คิดกบฏได้ นับว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์พ่อลูก ฮ่องเต้จึงให้องค์ชายห้ารับโทษตายอย่างลับ ๆ เพื่อมิให้เสื่อมเกียติไปมากกว่านี้
องค์ชายห้าได้แต่มองแม่ทัพหนุ่มด้วยสายตาเคียดแค้น เขามองหลี่จ้านผู้นี้เป็นเพียงคนหัวแข็งที่หยิ่งผยอง ไม่สนคำของผู้ใด แต่ไม่คิดเลยว่าหลี่จ้านจะเป็นคนของพระบิดา ที่คอยเป็นเสมือนเพชฌฆาตที่ใช้ประหารนักโทษชั้นสูง
“ท่านพี่เหนื่อยมากหรือไม่เจ้าคะ เรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ ข้าหิวแล้ว”
“หึ ๆ ไยภรรยาพี่จึงได้กินจุถึงเพียงนี้ หิวมากหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นคืนนี้พี่จะป้อนเจ้าให้อิ่ม”
สองสามีภรรยาหยอดคำหวานที่แฝงความนัยเอาไว้ ทำให้เสี่ยวเชี่ยนที่เพิ่งเดินมาถึงทำสีหน้างุนงง เมื่อเห็นจางเค่อกับพ่อบ้านเจา พากันเบือนหน้าไปทางอื่นกันหมด
“เด็กโง่! รีบกลับไปที่รถม้าเร็วเข้าเถอะ ประเดี๋ยวจะกลับถึงจวนดึก ท่านแม่ทัพกับฮูหยินจะได้พักผ่อน”
“เอ่อ...เจ้าค่ะ”
เสี่ยวเชี่ยนรีบก้าวตามเจาหยางกลับไปยังรถม้า โดยมีจางเค่อเดินตามมามิห่าง ชายหนุ่มมองร่างบางที่เดินนำไปเล็กน้อย ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นแต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
จางเค่อส่งผู้เป็นนายขึ้นรถม้า และหันกลับไปยังลานต่อสู้เมื่อครู่ เพื่อจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงศึกแรกของผู้เป็นนาย ยังมีคนที่คิดร้ายต่อฮ่องเต้และสกุลหลี่ หลบซ่อนอยู่อีกไม่น้อย คนเหล่านั้นรอเพียงหาจังหวะลงมือที่เหมาะสม
สิบวันถัดมา ข่าวการตายท่านอ๋องน้อยสกุลจ้าว และพระชายาในองค์ชายสี่ได้ถูกโจรปล้น ขณะที่ท่านอ๋องน้อยพาน้องสาวไปท่องเที่ยวยังอารามนอกเมือง ยังไม่ทันซา ข่าวการสิ้นพระชนขององค์ชายห้าก็แผ่ออกไปทั่วเมืองหลวง องค์ชายห้าเกิดล้มป่วยจนสิ้นพระชนนับเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย และข่าวที่ชาวเมืองโจษจันไม่แพ้กัน ที่อยู่ ๆ ทางด้านองค์ชายสี่ได้ออกเดินทางสู่ชายแดนเหนือ หลังสูญเสียพระชายา ชาวเมืองต่างแสดงความเห็นใจองค์ชาย ที่ทนทำใจกับการตายของพระชายาไม่ได้ จึงทรงเดินทางไปอยู่ชายแดนเพื่อรักษาบาดแผลทางใจ แม้ว่าชาวเมืองบางกลุ่มจะมีความคิดเห็นขัดแย้งอยู่บ้าง ส่วนเรื่องของพระนางหรู่เฟย ถูกปิดเป็นความลับ อย่างไรเสียงเรื่องสตรีวังหลังหายตัวไปนับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พระนางหรู่เฟยทำเรื่องเสื่อมเสีย ย่อมไม่ได้รับให้ฝังในสุสานหลวงอย่างแน่นอนส่วนจวนแม่ทัพนั้นดูจะหอมอบอวลไปด้วยความสุข เมื่อแม่ทัพหลี่นั้นได้สั่งให้ย้ายข้าวของทั้งหมดจากเรือนหลิวหลี ไปยังเรือนใหญ่ของท่านตนเอง เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังขึ้นเป็นระยะจากในสวนดอกไม้ คงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากเจ้าของจวนทั้งสองหย
นางไม่รู้ว่าเพราะความผิดพลาดที่ใด คนที่อยู่บนเตียงกับจ้าวหลิวหลี จึงได้กลายมาเป็นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ ทั้งที่นางหมายจะเก็บเขาเอาไว้ใช้งาน เพื่อเป็นบันไดให้แก่ลูก ๆ ของนาง แต่ก็นั้นแหละหลี่จ้านเป็นเพียงแม่ทัพ มิรู้ว่าอนาคตจะไปได้ไกลสักเท่าใดกัน จะมีเขาหรือไม่ในตอนนี้ก็หาได้สำคัญต่อนางแล้ว “ไม่จริง! ข้าไม่ได้คิดต่ำช้าเช่นนั้น ฮือ ๆ” จ้าวหลิวหลีกรีดร้องด้วยความเสียใจ หญิงสาวร้องไห้จนสิ้นสติลงในอ้อมแขนของแม่ทัพหนุ่ม “ปล่อยนางซะ! หลี่จ้าน” จ้าวอ๋องคำรามก้อง เมื่อเห็นบุตรสาวสิ้นสติอยู่ในอ้อมกอดของแม่ทัพหนุ่ม เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ “ข้าหลี่จ้านขอพูดเพียงครั้งเดียว และจะทำอย่างที่พูด ข้าจะแต่งท่านหญิงใหญ่จ้าวหลิวหลีเข้าจวน ในฐานนะภรรยาเพียงหนึ่งเดียว ข้าหวังว่าทุกท่านจะเป็นพยาน และข้าหลี่จ้านต้องขออภัยต่อท่านอ๋องในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะตลบผ้าห่มผืนใหญ่พันร่างของคนในอ้อมแขนเอาไว้ ก่อนจะขยับลุกโดยมีร่างของหญิงสาวอยู่แนบกาย ชายหนุ
จวนสกุลหลี่ เรือนหลิวหลี ร่างเย้ายวนนั่งมองกระดาษที่อยู่ในมือ ก่อนจะวางลงยังเตาเล็กบนโต๊ะน้ำชา “วันนี้เราจะออกไปร้านเครื่องหอมกัน ท่านพี่จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบกับสาวใช้ข้างกาย นางแต่งเข้าจวนมาหลายปี ทว่าสามีนั้นแทบจะมิเคยย่างกรายมายังเรือนของนางเลย เรื่องการเสพสุขระหว่างสามีภรรยาหาได้เคยเกิดขึ้นแม้เพียงครั้ง ‘ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก เกิดมาชาติตระกูลดีสูงส่ง ทว่ากลับถูกสามีรังเกียจ บทนิยายน้ำเน่าสิ้นดี ยามนั้นข้ายังเยาว์ มิใช่ตอนนี้ที่ข้าพร้อมจะเปลี่ยนมันด้วยมือของข้าเอง ชะตาย่อมอยู่ในมือผู้กล้าที่จะเปลี่ยนเสมอ’ จ้าวหลิวหลีคิดอยู่ในใจก่อนจะลุกขึ้น หญิงสาวเดินไปนั่งลงยังกระจกทองเหลือง ร่างงามมองใบหน้าหมดจดของตนเอง ก่อนจะเริ่มแต่งแต้มสีสันให้เข้ากับใบหน้าอย่างใจเย็น สามีเป็นแม่ทัพใหญ่ บุรุษที่สตรีทั่วแผ่นดินหมายปอง และเป็นอดีตคนรักของน้องสาวต่างมารดา ส่วนนางคือท่านหญิงใหญ่แห่งจวนจ้าวสตรีที่เขามองว่าไร้ค่า ซ้ำยังหาญกล้าปีนป่ายเตียงของเขาเมื่อหลายปีก่อน นับแต่นั้นเป็นต้นมา นางเฝ้าเปลี
“หลิวหลีคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” จ้าวหลิหลีย่อกายให้แก่ผู้เป็นบิดา ที่ดูเหมือนกำลังมีโทสะ และนางมิจำเป็นต้องคาดเดา ว่าผู้ใดคือต้นเหตุของความกรุ่นโกรธในครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นนางบุตรสาวผู้น่าชังอย่างแน่นอน “ฮึ ! ยังมีหน้าเรียกข้าว่าพ่ออยู่เช่นนั้นรึ” จ้าวอ๋องตอบกลับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ถึงแม้จะแสดงออกถึงความโกรธกริ้วมากเพียงใด ทว่าคนตรงหน้ากลับยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย ยิ่งเป็นการเพิ่มไฟโทสะให้แก่จ้าวอ๋อง นับเท่าทวีคูณเลยก็ว่าได้ ที่บุตรสาวหาได้ยำเกรงต่อตนเองไม่ “มิทราบว่าท่านอ๋อง มีเรื่องอันใดกับข้าน้อยเช่นนั้นรึเจ้าคะ” จ้าวหลิวหลีเปลี่ยนคำเรียกขานบิดาในทันที นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้เป็นพ่อที่เคยมีความฉลาดรอบรู้ มีความเที่ยงธรรมจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แม้แต่ตอนที่นางถูกใส่ความ จนต้องแต่งแก่แม่ทัพหลี่จ้าน บิดาไม่แม้แต่จะคิดสืบหาความจริง ซ้ำยังมิเคยเหลียวแลนางแม้แต่หางตา ทุกคำของมารดาเลี้ยงและน้องสาวคือความถูกต้อง ส่วนคำของนางนั้น เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลของบุตรสาวผู้ไม่รักดีไปเสียหมด ทุกอย่างเป
จ้าวหลิวหลีหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่ออีกครั้ง นางอาจดูโง่เขลาเมื่อครั้งในอดีต แต่นั้นมันเมื่อก่อนมิใช่ปัจจุบัน ที่นางไม่มีคำว่ายินยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไป “เพราะอี้เหมยเห็นแก่คำว่าพี่น้อง เรื่องนี้นางจึงยังมิได้ทูลให้องค์ชายสี่ได้ทรงทราบ” เป็นชุ่ยเหนียงเฟย พระชายาเอกคนปัจจุบันในจ้าวอ๋องกล่าวแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นพระสวามีเริ่มจนในคำพูด “ไม่มีความจำเป็นที่นางต้องทำเช่นนั้น เพราะการวางยาหมายกำจัดสายเลือดมังกร นับเป็นเรื่องใหญ่ที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้ มิเว้นแม้แต่สายเลือดเดียวกัน คำว่าพี่น้องมิใช่ข้ออ้างให้ท่านอ๋องกับพระชายา มากล่าวหาข้าโดยไร้มูลความจริงอยู่อย่างนี้” “เอ่อ...” สองสามีภรรยาจนในคำพูด เมื่อเจ้าของบ้านตอบกลับมาด้วยเหตุผลที่หนักแน่นกว่า จ้าวอ๋องมองไปยังภรรยาที่ตอนนี้เอาแต่หลบสายตาของบุตรสาว แม้แต่เขาที่เป็นพ่อ ยังไม่หาญกล้าที่จะมองตาเอาเรื่องของบุตรสาวคนโตได้เลย คราแรกเขานับว่าถือหมากเหนือกว่า ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่ตกเป็นรองในคำพูด “จะอย่างไรเรื่องนี้ ข้าก็ต้องหาความจริงให้จงได้”
ทว่ารอยยิ้มที่เขาเคยเห็นได้หายไปทีละน้อย นับตั้งแต่อดีตพระชายาเอกในจ้าวอ๋องตายไป ทุกอย่างเริ่มแปรเปลี่ยนแต่จ้าวหลิวหลียังคงเป็นหนึ่งดวงใจของเขาเช่นเดิม แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ พระมารดาของเขาจึงได้ทำการสู่ขอจ้าวอี้เหมยเข้าจวนแทน พระมารดาคอยย้ำให้เขามองถึงจุดมุ่งหมายมากกว่าเรื่องความรัก ดังนั้นเขาจึงต้องปิดหูปิดตากับสิ่งที่จ้าวอี้เหมยทำมาโดยตลอด “ยังทรงเชื่อความเสแสร้งของนางอยู่อีกหรือเพคะ หม่อมฉันมีตรงไหนสู้นางมิได้บ้างเพคะ” จ้าวอี้เหมยเหมือนจะเริ่มควบคุมตนเองเอาไว้ไม่ได้บ้างแล้ว หญิงสาวหาญกล้าที่จะเอ่ยถามพระสวามี ที่เอาแต่โทษนางว่าทำเพียงเรื่องเลวร้าย โดยที่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ที่ผ่านมาเขาเองก็ใช้นางเป็นเพียงสะพานมุ่งสู่อำนาจเดียวเช่นกัน “เจ้าคิดเช่นนั้นหรืออี้เหมย หากเจ้ามิเพียบพร้อมข้าจะเลือกเจ้ามายืนในฐานะพระชายาเอกของข้าจนถึงทุกวันนี้หรือ” เสวี่ยเฟิงพยายามลดโทสะของตนเองลง เขายังไม่อยากให้เกิดความแตกหักขึ้นในตอนนี้ แต่ดูเหมือนจ้าวอี้เหมยจะรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน นางจึงใช้สิ่งนี้บีบบังคับเขาอยู่กลาย ๆ
“ลูกรักเจ้าต้องมั่นใจในตนเองให้มาก ความงามและสติปัญญาของเจ้าเหนือกว่านางมากนัก อย่าได้แยแสต่อบุรุษที่มิเห็นค่าของเจ้า แต่จงยืนให้เหนือผู้ที่ทำร้ายเจ้าเท่านั้น” “แต่ข้ารักเขา” “ความรักย่อมต้องมิทำให้เกิดความทุกข์ หากมันไร้ซึ่งความสุขมันย่อมมิใช่ความรัก นับจากนี้จงฟังแม่เจ้าต้องใส่ใจเพียงอำนาจในมือ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เจ้าอยู่รอด” “แต่ว่า...” ชุ่ยเหนียงเฟยยกนิ้วทาบริมฝีปากบุตรสาว ความรักทำให้จ้าวอี้เหมยมองไม่เห็นความเป็นจริง นางผู้เป็นมารดามีหน้าที่ปกป้องลูก ดังนั้นนางจำต้องสอนให้บุตรสาว ยืนอยู่บนความจริงมากกว่าความรู้สึกอันเลื่อนลอย เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ใกล้เข้ามา ทำให้สองแม่หยุดการสนทนาลงในทันที เพราะหากเดาไม่ผิดก็คงเป็นจ้าวอ๋องอย่างแน่นอน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นลูกพ่อ” คำถามจากคนด้านหน้าประตูดังขึ้น ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวเข้ามาด้านใน จ้าวอี้เหมยผละออกจากอ้อมกอดของมารดา วิ่งเข้าสวมกอดผู้เป็นพ่อ พร้อมสะอื้อไห้ปานจะขาดใจ “น้องหญิงเจ้าเป็นอันใดไป” เสียงทุ้มลึกดังมาจากด้านหลังจ้
ฟิ้ว! มีเสียงบางอย่างแหวงอากาศมาจากข้างทาง ทำให้ทุกความคิดของเจาหยางยุติลง มือหนาที่กรำศึกมานานคว้าจับสิ่งนั้นเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะพุ่งผ่านเขาไปยังรถม้าของผู้เป็นนาย เพียงครู่เดียวเสียงอาวุธกระทบกันเกิดขึ้นจากรอบด้าน เจาหยางเหินกายงจากหลังม้า เพื่อคุ้มกันรถม้าเอาไว้ โดยมีผู้ติดตามกว่าห้าคนล้อมรถม้าเอาไว้ ชายชุดดำจำนวนหลายคน พยายามที่จะฝ่าเข้ามาให้ถึงรถม้า ทำให้ทหารคุ้มกันบาดเจ็บล้มตายบ้างแล้ว “ฮูหยิน รอเสี่ยวเชี่ยนก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวเชี่ยนคว้าอาวุธ ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ที่นั่งในรถม้าออกมาถือไว้ในมือ ก่อนที่ร่างงามจะก้าวออกจากรถม้า หญิงสาวดึงกระบี่ออกจากฝัก พร้อมกับพุ่งเข้าหาคนร้ายด้วยความดุดัน เชร้ง! เสียงอาวุธกระทบกันจากทางด้านหลัง เรียกสายตาของเจาหยางในทันที ดวงตาของพ่อบ้านสูงวัยเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาในตอนนี้คือเสี่ยวเชี่ยน ไม่มีคำพูดใดจากคนทั้งคู่ ด้วยเวลานี้คนร้ายเหมือนจะได้เปรียบพวกเขาอยู่ไม่น้อย เสี่ยวเชี่ยนคอยมองไปยังรถม้าอยู่บ่อยครั้ง นางรู้ดีว่าผู้เป็นนายนั้นจะปลอดภ