จ้าวหลิวหลีหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่ออีกครั้ง นางอาจดูโง่เขลาเมื่อครั้งในอดีต แต่นั้นมันเมื่อก่อนมิใช่ปัจจุบัน ที่นางไม่มีคำว่ายินยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไป
“เพราะอี้เหมยเห็นแก่คำว่าพี่น้อง เรื่องนี้นางจึงยังมิได้ทูลให้องค์ชายสี่ได้ทรงทราบ”
เป็นชุ่ยเหนียงเฟย พระชายาเอกคนปัจจุบันในจ้าวอ๋องกล่าวแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นพระสวามีเริ่มจนในคำพูด
“ไม่มีความจำเป็นที่นางต้องทำเช่นนั้น เพราะการวางยาหมายกำจัดสายเลือดมังกร นับเป็นเรื่องใหญ่ที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้ มิเว้นแม้แต่สายเลือดเดียวกัน คำว่าพี่น้องมิใช่ข้ออ้างให้ท่านอ๋องกับพระชายา มากล่าวหาข้าโดยไร้มูลความจริงอยู่อย่างนี้”
“เอ่อ...”
สองสามีภรรยาจนในคำพูด เมื่อเจ้าของบ้านตอบกลับมาด้วยเหตุผลที่หนักแน่นกว่า จ้าวอ๋องมองไปยังภรรยาที่ตอนนี้เอาแต่หลบสายตาของบุตรสาว
แม้แต่เขาที่เป็นพ่อ ยังไม่หาญกล้าที่จะมองตาเอาเรื่องของบุตรสาวคนโตได้เลย คราแรกเขานับว่าถือหมากเหนือกว่า ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่ตกเป็นรองในคำพูด
“จะอย่างไรเรื่องนี้ ข้าก็ต้องหาความจริงให้จงได้”
“หึ ๆ อย่าลืมหาเผื่อข้าด้วยนะเจ้าคะ ท่านอ๋อง”
เอ่ยจบร่างระหงได้เดินจากคนทั้งคู่ โดยไม่คิดแยแสต่อความรู้สึกของผู้เป็นพ่อ ในวันที่นางซอกซ้ำทั้งร่างกายและจิตใจ สิ่งเดียวที่นางต้องการหาได้เป็นสิ่งของใดเลย มีเพียงอ้อมกอดของบิดาเท่านั้นที่นางโหยหา แต่ไม่เลยนางมิเคยได้รับมันแม้เพียงเศษเสี้ยว
วันนี้ยิ่งกระจ่างชัดถึงความรู้สึกของบิดา ว่าที่ผ่านมานั้นเขาคิดเช่นใดต่อนางกันแน่ ด้วยคำว่าพ่อลูกทำให้นางเพียรพยายามเข้าข้างตนเองว่าบิดาเพียงเลอะเลือน ไปชั่วขณะเท่านั้น
นางคิดผิดมาโดยตลอด นอกจากจะมิได้เลอะเลือนแล้ว บิดายังจงใจที่จะใช้นางเป็นเพียงบันไดส่งให้บุตรสาวอันเป็นที่รักของเขา ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่เหนือกว่าสตรีใดในแผ่นดิน
“ท่านพี่อย่าได้มีโทสะไปเลยนะเจ้าคะ เป็นข้าที่อบรมนางไม่ดีเอง จึงทำให้หลิวหลีคิดเสมอว่าข้าลำเอียงกับนางมาตลอด”
ชุ่ยเหนียงเฟยวางมือบนท่อนแขนของสามี พร้อมเอ่ยปลอบโยนพร้อมแสดงความสำนึกผิด
“เรื่องนี้เจ้าไม่ผิด แต่เพราะนางมิรักดีเอง ตัวนางเกิดมาพร้อมสรรพทุกสิ่งอย่าง แต่กลับริษยาน้องสาวแท้ ๆ จนทำให้ตัวเองและครอบครัวต้องอับอาย”
จ้าวหลิวหลีที่ยังเดินออกไปไม่ห่างมากนัก ยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นพ่อ หญิงสาวทำได้เพียงปล่อยความรู้สึกทั้งหมดทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง นับแต่วันนี้นางและสกุลจ้าว คงเป็นเพียงเส้นขนานเท่านั้น มิอาจเกื้อหนุนกันได้อย่างสนิทใจแล้ว
“ฮูหยินเจ้าคะ”
“ข้าไม่เป็นไรเสี่ยวเชี่ยน เรื่องนี้มิใช่ปัญหาของข้าผู้เดียว อีกไม่กี่วันท่านแม่ทัพก็กลับมาแล้ว ต่อให้เขาชิงชังข้าเพียงใด ข้าก็มั่นใจว่าในฐานะสามีเขาจะปกป้องข้าจนถึงที่สุดเช่นกัน”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า มิว่าสีหน้าหรือความรู้สึกภายในของนางในตอนนี้นั้น หาได้แตกต่างกันสักนิด นางไม่คิดใส่ใจกับสิ่งที่บิดากล่าวหา
เมื่อน้องสาวและมารดาเลี้ยงชื่นชอบความยิ่งใหญ่ นางจะจัดให้อย่างสาแก่ใจเช่นกัน สองนายบ่าวก้าวออกจากเรือน ตรงไปยังหน้าจวนด้วยความเบิกบาน หาได้สนใจความกรุ่นโกรธที่อยู่เบื้องหลังไม่
จวนองค์ชายสี่ เสวี่ยเฟิง
ณ เรือนอี้เหมย เพร้ง! เสียงเครื่องกระเบื้องแตกอยู่ด้านในห้องโถง บรรดานางกำนัลต่างพากันก้มหน้านิ่งเงียบอยู่ด้านนอก แม้เสียงร้องไห้คร่ำครวญของพระชายาเอกจะดังออกมาเป็นระยะ ทว่าพวกนางไม่มีสิทธิ์จะก้าวเข้าไปด้านในได้เลย
“เจ้าสร้างเรื่องใส่ความผู้อื่น แล้วยังมีหน้ามาร้องขอความเมตตาจากข้าเช่นนั้นรึ”
ชายหนุ่มขบกรามแน่นมองไปยังภรรยา ที่ตอนนี้นั่งอยู่กับพื้นด้วยน้ำตานองหน้า สิ่งที่เขาได้รู้มาในวันนี้ มันช่างน่าขันนัก ทุกครั้งเขาหลับตาข้างหนึ่งเสมอต่อสิ่งที่ภรรยาได้กระทำ
แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่เช่นที่ผ่านมา มันมีหลายเรื่องที่พัวพันจนเขาอยากที่จะตัดสัมพันธ์สามีภรรยากับนางยิ่งนัก
“หม่อมฉันถูกใส่ความเพคะองค์ชาย หม่อมฉันไม่เคยที่จะกล่าวหาพี่หญิงเลยสักครั้งนะเพคะ”
“เจ้าเห็นข้าเป็นลาโง่เช่นนั้นรึ จึงได้คิดว่าข้าไม่เคยรู้เห็นในสิ่งที่เจ้าทำ คนภายนอกอาจไม่รู้ แต่ข้าคือผู้ใดกัน เจ้าก่อเรื่องภายใต้จมูกของข้ามานับครั้งมิถ้วน ข้าแสร้งมองไม่เห็นมาตลอด แต่ครั้งนี้ข้าไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อไปได้”
“หากสตรีผู้นั้นมิใช่พี่หญิง องค์ชายคงมิเป็นเดือดเป็นร้อนถึงปานนี้สินะเพคะ ไยจึงได้ปกป้องนางทั้งที่นางคือภรรยาของผู้อื่น แล้วข้าเล่าข้าที่เป็นภรรยาของพระองค์ ไยจึงมองข้ามข้าอยู่ร่ำไปเพคะ”
จ้าวอี้เหมยเอ่ยถามพระสวามีด้วยแววตาอันร้าวราน นางทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ ยินยอมแม้แต่ลงมือสังหารผู้คน เพื่อให้ได้เคียงข้างเขา เหตุใดในใจของเขาจึงได้มีเพียงพี่สาวผู้โง่เขลาของนางเท่านั้น
“ฮึ! จ้าวอี้เหมย เจ้ามันดวงตามืดบอด จิตใจเต็มไปด้วยความคิดริษยา จนมองไม่เห็นถึงความเป็นจริงในปัจจุบัน ถึงข้าไม่ได้รักเจ้าแต่ก็มิเคยทำลายน้ำใจของเจ้าสักครั้ง ถนอมเจ้าเสมือนหยกเนื้อบาง เจ้าเคยรู้บ้างหรือไม่ ว่าพี่สาวของเจ้ามิเคยอยากที่จะยืนในจุดที่เจ้าอยู่ในตอนนี้เลยสักครั้ง”
เสวี่ยเฟิง ข่มกลั้นโทสะเพื่อบอกถึงความเป็นจริง ที่ภรรยาของเขามองข้ามมันมาโดยตลอด เขาไม่มีสิทธิ์เลือกหัวใจตนเอง เพียงเพราะคำว่าองค์ชายที่ต้องช่วงชิงจุดยืนให้กับตนเองและพระมารดา
สตรีที่เหมาะสมเท่านั้นจึงจะส่งเสริมเขา จ้าวอี้เหมยนั้นตามความเป็นจริง นางไม่มีสิทธิ์ที่จะยืนในตำแหน่งพระชายาเอกเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะจ้าวหลิวหลีอดีตคู่หมายของเขา กลายเป็นภรรยาของหลี่จ้าน
เขาที่ต้องการผู้หนุนอำนาจเพื่อช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท จำต้องมีสกุลจ้าวคอยเป็นฐาน เขาจึงเลือกจ้าวอี้เหมยมาทดแทนจ้าวหลิวหลี
เขาไม่ปฏิเสธว่ารักในตัวของอดีตคู่หมาย สตรีที่หัวอ่อนเช่นจ้าวหลิวหลี เหมาะที่จะเป็นสตรีเคียงข้างเขา ตั้งแต่เล็กจนโตนางจะอ่อนโยน เห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ ความงามหาได้เป็นรองผู้ใด
ทว่ารอยยิ้มที่เขาเคยเห็นได้หายไปทีละน้อย นับตั้งแต่อดีตพระชายาเอกในจ้าวอ๋องตายไป ทุกอย่างเริ่มแปรเปลี่ยนแต่จ้าวหลิวหลียังคงเป็นหนึ่งดวงใจของเขาเช่นเดิม แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ พระมารดาของเขาจึงได้ทำการสู่ขอจ้าวอี้เหมยเข้าจวนแทน พระมารดาคอยย้ำให้เขามองถึงจุดมุ่งหมายมากกว่าเรื่องความรัก ดังนั้นเขาจึงต้องปิดหูปิดตากับสิ่งที่จ้าวอี้เหมยทำมาโดยตลอด “ยังทรงเชื่อความเสแสร้งของนางอยู่อีกหรือเพคะ หม่อมฉันมีตรงไหนสู้นางมิได้บ้างเพคะ” จ้าวอี้เหมยเหมือนจะเริ่มควบคุมตนเองเอาไว้ไม่ได้บ้างแล้ว หญิงสาวหาญกล้าที่จะเอ่ยถามพระสวามี ที่เอาแต่โทษนางว่าทำเพียงเรื่องเลวร้าย โดยที่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ที่ผ่านมาเขาเองก็ใช้นางเป็นเพียงสะพานมุ่งสู่อำนาจเดียวเช่นกัน “เจ้าคิดเช่นนั้นหรืออี้เหมย หากเจ้ามิเพียบพร้อมข้าจะเลือกเจ้ามายืนในฐานะพระชายาเอกของข้าจนถึงทุกวันนี้หรือ” เสวี่ยเฟิงพยายามลดโทสะของตนเองลง เขายังไม่อยากให้เกิดความแตกหักขึ้นในตอนนี้ แต่ดูเหมือนจ้าวอี้เหมยจะรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน นางจึงใช้สิ่งนี้บีบบังคับเขาอยู่กลาย ๆ
“ลูกรักเจ้าต้องมั่นใจในตนเองให้มาก ความงามและสติปัญญาของเจ้าเหนือกว่านางมากนัก อย่าได้แยแสต่อบุรุษที่มิเห็นค่าของเจ้า แต่จงยืนให้เหนือผู้ที่ทำร้ายเจ้าเท่านั้น” “แต่ข้ารักเขา” “ความรักย่อมต้องมิทำให้เกิดความทุกข์ หากมันไร้ซึ่งความสุขมันย่อมมิใช่ความรัก นับจากนี้จงฟังแม่เจ้าต้องใส่ใจเพียงอำนาจในมือ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เจ้าอยู่รอด” “แต่ว่า...” ชุ่ยเหนียงเฟยยกนิ้วทาบริมฝีปากบุตรสาว ความรักทำให้จ้าวอี้เหมยมองไม่เห็นความเป็นจริง นางผู้เป็นมารดามีหน้าที่ปกป้องลูก ดังนั้นนางจำต้องสอนให้บุตรสาว ยืนอยู่บนความจริงมากกว่าความรู้สึกอันเลื่อนลอย เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ใกล้เข้ามา ทำให้สองแม่หยุดการสนทนาลงในทันที เพราะหากเดาไม่ผิดก็คงเป็นจ้าวอ๋องอย่างแน่นอน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นลูกพ่อ” คำถามจากคนด้านหน้าประตูดังขึ้น ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวเข้ามาด้านใน จ้าวอี้เหมยผละออกจากอ้อมกอดของมารดา วิ่งเข้าสวมกอดผู้เป็นพ่อ พร้อมสะอื้อไห้ปานจะขาดใจ “น้องหญิงเจ้าเป็นอันใดไป” เสียงทุ้มลึกดังมาจากด้านหลังจ้
ฟิ้ว! มีเสียงบางอย่างแหวงอากาศมาจากข้างทาง ทำให้ทุกความคิดของเจาหยางยุติลง มือหนาที่กรำศึกมานานคว้าจับสิ่งนั้นเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะพุ่งผ่านเขาไปยังรถม้าของผู้เป็นนาย เพียงครู่เดียวเสียงอาวุธกระทบกันเกิดขึ้นจากรอบด้าน เจาหยางเหินกายงจากหลังม้า เพื่อคุ้มกันรถม้าเอาไว้ โดยมีผู้ติดตามกว่าห้าคนล้อมรถม้าเอาไว้ ชายชุดดำจำนวนหลายคน พยายามที่จะฝ่าเข้ามาให้ถึงรถม้า ทำให้ทหารคุ้มกันบาดเจ็บล้มตายบ้างแล้ว “ฮูหยิน รอเสี่ยวเชี่ยนก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวเชี่ยนคว้าอาวุธ ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ที่นั่งในรถม้าออกมาถือไว้ในมือ ก่อนที่ร่างงามจะก้าวออกจากรถม้า หญิงสาวดึงกระบี่ออกจากฝัก พร้อมกับพุ่งเข้าหาคนร้ายด้วยความดุดัน เชร้ง! เสียงอาวุธกระทบกันจากทางด้านหลัง เรียกสายตาของเจาหยางในทันที ดวงตาของพ่อบ้านสูงวัยเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาในตอนนี้คือเสี่ยวเชี่ยน ไม่มีคำพูดใดจากคนทั้งคู่ ด้วยเวลานี้คนร้ายเหมือนจะได้เปรียบพวกเขาอยู่ไม่น้อย เสี่ยวเชี่ยนคอยมองไปยังรถม้าอยู่บ่อยครั้ง นางรู้ดีว่าผู้เป็นนายนั้นจะปลอดภ
“แต่ว่า...ฮูหยินมิแปลกใจหรือเจ้าคะ ที่อยู่ ๆ เราก็ถูกคนจำนวนมากโจมตี อันที่จริงแล้วแค่คิดจะสังหารฮูหยิน ใช้คนเพียงหยิบมือก็ทำได้แล้วนะเจ้าคะ” “ต่อให้ข้าเลี้ยงหนอนให้อิ่มหนำสำราญเพียงใด ก็ย่อมมีบางตัวชื่นชอบอาหารที่ผู้อื่นหยิบยื่นมาให้มันอยู่ดี” จ้าวหลิวหลียังคงไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมาทางน้ำเสียง เป็นเรื่องยากที่เสี่ยวเชี่ยนจะเดาความรู้สึกของผู้เป็นนายออก “มีคนทรยศเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “จะว่าแบบนั้นก็ย่อมได้ แต่เรายังไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นที่คนของเรา หรือเป็นเพราะศัตรูล่วงรู้ด้วยตนเอง ฉะนั้นจงนิ่งเฉยเอาไว้ รอดูผลที่จะปารถกฎในมิช้าจะดีกว่า ไม่ต้องเร่งร้อนที่จะอยากรู้ เรายังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นให้ต้องทำ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำของผู้เป็นนาย แม้ว่านางจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งใดมากนัก นางก็ไม่คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือคำสั่ง ยกเว้นว่ามีอันตรายใดพุ่งตรงมาที่ผู้เป็นนาย สิ่งนั้นนางจะมิรั้งรอให้มันสายจนเกินแก้ไข นางพร้อมที่จะลงมือต่อสิ่งเหล่านั้นในทันที ทว่าตราบใดที่นายของนางยังปลอดภัย ทุกคำสั่งที่นางได้รับจะไม
แม่ทัพหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบคนที่อยู่อีกด้านของห้องนอน เขาทำได้เพียงทอดถอนหายใจ เพราะสิ่งที่ศัตรูรับรู้คือเขาใกล้จะตายด้วยพิษร้าย แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ย่อมต้องมีคนอยู่เบื้องหลังการต่อสู้ด้านนอกดูเหมือนจะดุเดือดขึ้นทุกขณะ ทว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงทำได้เพียงนิ่งเงียบ ปัง! เสียงประตูถูกเปิดออกเสมือนจงใจให้คนที่หลับใหลอยู่ได้รู้สึกตัว“แค่ก ๆ พวกเจ้าเป็นใครกัน บังอาจบุกรุกห้องนอนของข้า”แม่ทัพหนุ่มแค่นเสียงอันแหบแห้ง เอ่ยถามผู้มาเยือนด้วยความอ่อนแรง ชายหนุ่มขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ ที่เขาต้องกลายเป็นเพียงคนป่วยใกล้ตาย ทั้งที่มันมิได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น“หึ ๆ ข้าก็แค่มาส่งท่านแม่ทัพลงนรกให้เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นขอรับ”เสียงหัวเราะอย่างหยามใจของผู้บุกรุก ไม่ได้ทำให้คนบนเตียงรู้สึกตื่นกลัวเลยสักนิด แต่ด้วยความสมจริงเขาต้องแสดงถึงความหวั่นเกรงอีกฝ่ายให้มาก“คิดว่าข้าจะยินยอมง่าย ๆ เช่นนั้นรึ”“ยินยอมหรือไม่ กระบี่ในมือของข้าคือผู้ที่ตอบได้”“หึ ๆ”ควับ! เมื่อได้ยินเสียงของใครอีกคนในอีกมุมของห้อง ชายชุดดำทั้งหมดต่างพากันตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครอื่นอยู่ร่วมห้องนี้ เพราะจากที่รู้มาคือ
“คิดจะเป็นใหญ่ เรื่องเพียงเท่านี้ยังขลาดกลัว เจ้าก็ไม่สมควรจะออกความคิดเห็นใด ๆ อีก” ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าชาหนึบด้วยความอับอาย แม้ทุกคนจะไม่เอ่ยสิ่งใดต่อเขาอีก ทว่าสายตาที่มองมานั้น มันทิ่มแทงยิ่งกว่าดูถูกที่เอ่ยออกจากปากเสียอีก “ข้าจะไม่ทำให้ท่านลุงผิดหวังขอรับ” เอ่ยจบร่างสูงได้ลุกขึ้น ประสานมือโค้งตัวให้แก่ทุกคนภายในห้อง ก่อนจะก้าวออกไปด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธ เขาจะเสียหน้าเพียงเพราะสังหารสตรีอ่อนแอผู้เดียวมิได้ เขาก็คงไม่สมควรที่จะก้าวสู่ตำแหน่งใหญ่โตในภายหน้า อย่างที่ผู้เป็นลุงได้พูดเมื่อครู่นี้จริง ๆ เขาไม่เชื่อว่าหลี่จ้านหายอดฝีมือมาไว้ข้างกายจ้าวหลิวหลีอย่างที่หลายคนคิด “จะวางใจเขาได้หรือขอรับท่านผู้นำ” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมเอ่ยถามขึ้นในที่สุด เขารู้ดีว่าชายหนุ่มนั้นมุทะลุเพียงใด ไร้ประสบการณ์ในแทบทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ “หึ ๆ หรือเจ้าจะเป็นผู้ทำแทนเขา” “เอ่อ...คือว่า...” “เจ้าควรจดจำเอาไว้บ้าง ว่านกจะบินได้ก็ต่อเมื่อเราฝึกฝนให้มันรู้จักกางปีก” เมื่อถูกต
ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งผู้เป็นน้องสาว แค่ตัวเขาและนางมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็มิอาจปล่อยให้น้องสาวออกนอกเมืองมาเพียงลำพังเช่นเดียวกันชีวิตในราชสำนักมีหรือเขาจะไม่รู้ว่า เรื่องที่น้องสาวของเขาได้ก่อเอาไว้นั้น รู้ไปถึงหูของพระมารดาในองค์ชายสี่แล้ว แน่นอนว่าชีวิตของน้องสาวหาได้ปลอดภัยอีกต่อไปแต่เพราะนิสัยเอาแต่ใจของนาง ทำให้น้องสาวของเขามองข้ามเรื่องนี้ไป นางคิดแค่เพียงว่าองค์ชายสี่ต้องพึ่งพาบารมีของบิดาพวกเขา เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท แต่นางคงลืมไปแล้วว่ายังมีท่านหญิงจากอีกหลายตระกูลที่มีอำนาจมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“หลี่จ้านหลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้นถึงปานนั้น ท่านพี่คิดหรือว่าเขาจะใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ นังแพศยานั้นมิได้สำคัญต่อหลี่จ้าน หากมันตายเขาสิต้องขอบคุณข้า”“เอาเป็นว่าระวังไว้หน่อยก็ดี เรื่องที่เขารักเจ้านั้นมันผ่านมาหลายปี เวลาผ่านเลยใช่ว่าใจคนจะมิผันเปลี่ยนตาม”อ๋องน้อยสกุลจ้าว ทำได้เพียงทอดถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของน้องสาวเพียงคนเดียว เขาอยากให้นางใช้ความคิดในเรื่องนี้มากกว่าที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาจะไม่เป็นผลเอาเสีย
แก๊ก! ยังมิทันจบกันสนทนา เสียงกิ่งไม้แห้งหักได้ดังมาจากความมืด เจาหยางกระชับอาวุธในมือแน่น เมื่อรับรู้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมากดดันเขาและผู้เป็นนาย ถึงเขาจะพอประเมินฝีมือของผู้มาเยือนได้ ใช่ว่าเขาจะละเลยต่อหน้าที่ เก่งเพียงใดย่อมพลาดพลั้งได้เพียงเสี้ยวเวลาหากประมาทต่อศัตรู “มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่ ไยมิเข้ามาดื่มชากับพี่สาวสักถ้วยเล่าน้องพี่” จ้าวหลิวหลีพูดขึ้น พร้อมส่งยิ้มไปยังทิศทางของเสียงกิ่งไม้เมื่อครู่ ร่างงามนั่งรินชาที่อยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ถูกจัดวางอยู่ข้างกองไฟ ซึ่งได้ก่อเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว จ้าวหลิวหลีค่อย ๆ รินชาใส่ถ้วยอย่างใจเย็น เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้มุมปากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ สองร่างเดินเคียงกันออกจากเงามืด ทำให้เจาหยางดวงตาเบิกค้างชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าแขกที่ผู้เป็นนายหญิงเอ่ยถึง จะเป็นพี่น้องต่างมารดาของนางเอง และแน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นคงมิได้มาดีอย่างแน่นอน “พี่หญิงดูสำราญดีนะขอรับ” จ้าวลู่ถงเอ่ยทักทายพี่สาวต่างมารดา เขารู้สึกกดดันอย่างไรไม่รู้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากของพี่สาว