“แต่ว่า...ฮูหยินมิแปลกใจหรือเจ้าคะ ที่อยู่ ๆ เราก็ถูกคนจำนวนมากโจมตี อันที่จริงแล้วแค่คิดจะสังหารฮูหยิน ใช้คนเพียงหยิบมือก็ทำได้แล้วนะเจ้าคะ”
“ต่อให้ข้าเลี้ยงหนอนให้อิ่มหนำสำราญเพียงใด ก็ย่อมมีบางตัวชื่นชอบอาหารที่ผู้อื่นหยิบยื่นมาให้มันอยู่ดี”
จ้าวหลิวหลียังคงไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมาทางน้ำเสียง เป็นเรื่องยากที่เสี่ยวเชี่ยนจะเดาความรู้สึกของผู้เป็นนายออก
“มีคนทรยศเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
“จะว่าแบบนั้นก็ย่อมได้ แต่เรายังไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นที่คนของเรา หรือเป็นเพราะศัตรูล่วงรู้ด้วยตนเอง ฉะนั้นจงนิ่งเฉยเอาไว้ รอดูผลที่จะปารถกฎในมิช้าจะดีกว่า ไม่ต้องเร่งร้อนที่จะอยากรู้ เรายังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นให้ต้องทำ”
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวรับคำของผู้เป็นนาย แม้ว่านางจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งใดมากนัก นางก็ไม่คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือคำสั่ง ยกเว้นว่ามีอันตรายใดพุ่งตรงมาที่ผู้เป็นนาย สิ่งนั้นนางจะมิรั้งรอให้มันสายจนเกินแก้ไข
นางพร้อมที่จะลงมือต่อสิ่งเหล่านั้นในทันที ทว่าตราบใดที่นายของนางยังปลอดภัย ทุกคำสั่งที่นางได้รับจะไม่มีคำว่ากระทำการนอกเหนือเป็นอันขาด
สองนายบ่าวหยุดการสนทนาลง เมื่อจังหวะการขับเคลื่อนของรถม้าได้เพิ่มความเร็วขึ้นอีก แม้ว่าอยากที่จะบอกแก่เจาหยางว่ามิต้องเร่งร้อนไป
แต่คงไม่เป็นการดีที่จะเพิ่มความหนักใจให้แก่พ่อบ้านสูงวัยในตอนนี้ ความหวาดระแวงว่าจะถูกลอบโจมตีอีกครั้งของเจาหยาง คือสาเหตุที่เขาเร่งการเดินทางในยามค่ำคืน
ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร จ้าวหลิวหลีกล่าวขอโทษเจาหยางและผู้ติดตามอยู่ภายในใจ หากนางมิออกมาในเวลาเช่นนี้ การเดินทางก็คงไม่เพิ่มความเสี่ยง
ทว่าในความเป็นจริงอีกด้าน ที่นางไม่สามารถบอกทุกคนได้ตรง ๆ ก็สำคัญมิน้อยเช่นกัน ก่อนจะออกเดินทางนางเองก็ได้ชั่งน้ำหนักของความเสียหายเอาไว้แล้วเช่นกัน
หญิงสาวทำได้เพียงนิ่งเฉย และตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าคนร้ายที่หมายชีวิตนาง หาได้เป็นศัตรูของนางไม่ แต่มาจากทางด้านฝั่งของสามีเสียมากกว่า
จะมาจากทิศทางใด นางในตอนนี้ก็พร้อมที่จะรับมือ จ้าวหลิวหลีคนเดิมได้ตายไปแล้วนับตั้งแต่สิ้นมารดา นางคือคนใหม่อย่างแท้จริงหลังจากก้าวพ้นจวนสกุลจ้าวออกมา
จุดพักม้าเมืองเชี่ยหยาง
หลี่จ้านนั่งหลับตาแน่นอยู่บนเตียง เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า แม่ทัพหนุ่มกำลังโคจรพลังเพื่อมิให้พิษในกายกำเริบ สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือประคองตนเองให้กลับสู่เมืองหลวง
เพื่อได้เห็นหน้าของใครอีกคนที่เขาห่วงใย แต่เพราะอำนาจในมือที่เพิ่มขึ้นตามความสำเร็จของเขา ทำให้ต้องห่างสายตา ทั้งยังเพิ่มศัตรูที่มีมากอยู่แล้ว ให้มากกว่าเดิมอีกนับเท่าตัว
สองเดือนก่อนเขาได้รับพิษจากคนลึกลับ ในขณะที่เขานำกองทัพเข้าปราบโจรป่า ซึ่งแท้จริงแล้วคือกองกำลังลับของสายเลือดมังกรบางคนนั่นเอง
เพื่อมิให้เรื่องนี้รู้ถึงหูโอรสสวรรค์ ความตายของเขาเท่านั้นที่จะทำให้ความลับคงอยู่ต่อไป ใบหน้าของแม่ทัพหนุ่มแดงก่ำ ความเจ็บปวดไหลซ่านไปทั่วทุกรูขุมขนเลยทีเดียว
“ท่านแม่ทัพ”
เสียงเรียกของคนสนิท ทำให้คนที่หลับตานิ่งค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจอันหนักหน่วงออกมาด้วยความเหนื่อยล้า
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่”
“ข้าน้อยเกรงว่าคืนนี้ท่านแม่ทัพคงต้องรีบพักผ่อนเร็วหน่อยนะขอรับ คือข้าว่า...”
“หึ ๆ แมลงร้ายคงตามกลิ่นข้ามาจนทันแล้วสินะ”
“ขอรับ”
“เอาเถอะ...ข้าจะทำตามที่เจ้าบอกก็แล้วกัน เจ้าเองก็พักผ่อนเสียบ้าง มิใช่เอาแต่ห่วงข้าจนตนเองเจ็บป่วย”
“ท่านแม่ทัพอย่างแสร้งบ่นข้าอยู่เลยขอรับ รีบเข้านอนพักผ่อนให้มาก พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้า คืนนี้ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เองขอรับ”
หลี่จ้านยกยิ้มน้อย ๆ รองแม่ทัพคนสนิทของเขานั้น มิว่าเวลาจะล่วงเลยมานานเท่าไหร่ คนตรงหน้าก็ยังมองว่าเขาคือคนที่ต้องได้รับการปกป้องอยู่เสมอ
การกระทำของคนสนิท ทำให้เขานึกถึงใครอีกคน ที่มิว่าเขาจะเติบโตเพียงใดก็ยังคงเป็นเด็กในสายตาคนผู้นั้นอยู่เสมอ
“ลำบากเจ้าแล้ว”
หลี่จ้านรับผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามใบหน้าและร่างกายที่ชื้นเหงื่อ ก่อนจะส่งคืนคนสนิท ชายหนุ่มสวมเสื้อตัวใหม่ที่วางอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะเอนกายลงนอนอย่างว่าง่าย
เขารู้ดีว่าตอนนี้ร่างกายของตนเองมิได้แข็งแรงดังเดิม พิษที่ได้รับมานั้นทำให้เขาอ่อนแรงลงไปหลายส่วน แต่ถึงกระนั้นตัวเขาก็ไม่อาจแสดงความอ่อนแอหรือเจ็บปวดให้ทุกคนในกองทัพได้เห็น
เพื่อมิให้ทุกคนเสียขวัญ ต่อให้ยามนี้เขาสิ้นแรงเดินก็มิอาจล้มลงได้ รองแม่ทัพดับเทียนบางส่วนลง ก่อนจะก้าวออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ เพื่อให้คนด้านในพักผ่อน
“จะนอนจริงหรือขอรับท่านแม่ทัพ”
เสียงเอ่ยถามดังขึ้นอยู่ห่างไปไม่มากนัก ทำให้คนที่นอนอยู่ทำแค่เพียงถอนหายใจหนัก ๆ เจ้าของเสียงมิต่างจากปีศาจที่คอยสิงอยู่ข้างกายเขาเลยก็ว่าได้
“ข้าถูกพิษจนเจ็บป่วย จะให้ข้าลุกมาทำสิ่งใดเล่า”
“อ่อ...เป็นเช่นนั้นหรอกรึ ข้าคิดแค่ว่าท่านแม่ทัพกินเพียงยาบำรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น”
คนที่นั่งอยู่ในเงามืดเอ่ยเย้า พร้อมส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ชายหนุ่มจงใจยียวนเจ้าของห้องเพื่อความบันเทิงของเขาเท่านั้น
“หากเจ้าคิดว่าข้าเสแสร้ง ไยมิป่าวประกาศให้ผู้อื่นรู้เสียเลยเล่า”
“ช่างประชดประชันเช่นภรรยาของท่านไม่มีผิด”
คนในเงามืดยังคงจิกกัดคนบนเตียงอย่างรื่นเริง ชายหนุ่มรู้ดีว่าตอนนี้คนที่ยังเอนกายอยู่บนเตียง กำลังถูกไล่ล่าอย่างหนัก เขาที่ได้รับคำสั่งให้คุ้มกันแม่ทัพหลี่ จำต้องมาคอยนั่งเฝ้ามิให้เกิดสิ่งใดผิดพลาด
ทั้งคู่เงียบเสียงลง เมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติด้านนอก แน่นอนว่าคงมิใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปของจุดพักม้าแห่งนี้
อาวุธในมือถูกนำออกมาวางไว้ตรงหน้า เพื่อที่จะสะดวกต่อการใช้งาน หลี่จ้านเองก็หาได้นิ่งเฉย ชายหนุ่มหลับตาลงอีกครั้งทว่ามือหนาได้กระชับอาวุธที่วางอยู่ข้างกายเอาไว้แน่นเช่นกัน
“อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น ที่เหลือข้าจัดการเอง”
แม่ทัพหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบคนที่อยู่อีกด้านของห้องนอน เขาทำได้เพียงทอดถอนหายใจ เพราะสิ่งที่ศัตรูรับรู้คือเขาใกล้จะตายด้วยพิษร้าย แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ย่อมต้องมีคนอยู่เบื้องหลังการต่อสู้ด้านนอกดูเหมือนจะดุเดือดขึ้นทุกขณะ ทว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงทำได้เพียงนิ่งเงียบ ปัง! เสียงประตูถูกเปิดออกเสมือนจงใจให้คนที่หลับใหลอยู่ได้รู้สึกตัว“แค่ก ๆ พวกเจ้าเป็นใครกัน บังอาจบุกรุกห้องนอนของข้า”แม่ทัพหนุ่มแค่นเสียงอันแหบแห้ง เอ่ยถามผู้มาเยือนด้วยความอ่อนแรง ชายหนุ่มขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ ที่เขาต้องกลายเป็นเพียงคนป่วยใกล้ตาย ทั้งที่มันมิได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น“หึ ๆ ข้าก็แค่มาส่งท่านแม่ทัพลงนรกให้เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นขอรับ”เสียงหัวเราะอย่างหยามใจของผู้บุกรุก ไม่ได้ทำให้คนบนเตียงรู้สึกตื่นกลัวเลยสักนิด แต่ด้วยความสมจริงเขาต้องแสดงถึงความหวั่นเกรงอีกฝ่ายให้มาก“คิดว่าข้าจะยินยอมง่าย ๆ เช่นนั้นรึ”“ยินยอมหรือไม่ กระบี่ในมือของข้าคือผู้ที่ตอบได้”“หึ ๆ”ควับ! เมื่อได้ยินเสียงของใครอีกคนในอีกมุมของห้อง ชายชุดดำทั้งหมดต่างพากันตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครอื่นอยู่ร่วมห้องนี้ เพราะจากที่รู้มาคือ
“คิดจะเป็นใหญ่ เรื่องเพียงเท่านี้ยังขลาดกลัว เจ้าก็ไม่สมควรจะออกความคิดเห็นใด ๆ อีก” ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าชาหนึบด้วยความอับอาย แม้ทุกคนจะไม่เอ่ยสิ่งใดต่อเขาอีก ทว่าสายตาที่มองมานั้น มันทิ่มแทงยิ่งกว่าดูถูกที่เอ่ยออกจากปากเสียอีก “ข้าจะไม่ทำให้ท่านลุงผิดหวังขอรับ” เอ่ยจบร่างสูงได้ลุกขึ้น ประสานมือโค้งตัวให้แก่ทุกคนภายในห้อง ก่อนจะก้าวออกไปด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธ เขาจะเสียหน้าเพียงเพราะสังหารสตรีอ่อนแอผู้เดียวมิได้ เขาก็คงไม่สมควรที่จะก้าวสู่ตำแหน่งใหญ่โตในภายหน้า อย่างที่ผู้เป็นลุงได้พูดเมื่อครู่นี้จริง ๆ เขาไม่เชื่อว่าหลี่จ้านหายอดฝีมือมาไว้ข้างกายจ้าวหลิวหลีอย่างที่หลายคนคิด “จะวางใจเขาได้หรือขอรับท่านผู้นำ” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมเอ่ยถามขึ้นในที่สุด เขารู้ดีว่าชายหนุ่มนั้นมุทะลุเพียงใด ไร้ประสบการณ์ในแทบทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ “หึ ๆ หรือเจ้าจะเป็นผู้ทำแทนเขา” “เอ่อ...คือว่า...” “เจ้าควรจดจำเอาไว้บ้าง ว่านกจะบินได้ก็ต่อเมื่อเราฝึกฝนให้มันรู้จักกางปีก” เมื่อถูกต
ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งผู้เป็นน้องสาว แค่ตัวเขาและนางมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็มิอาจปล่อยให้น้องสาวออกนอกเมืองมาเพียงลำพังเช่นเดียวกันชีวิตในราชสำนักมีหรือเขาจะไม่รู้ว่า เรื่องที่น้องสาวของเขาได้ก่อเอาไว้นั้น รู้ไปถึงหูของพระมารดาในองค์ชายสี่แล้ว แน่นอนว่าชีวิตของน้องสาวหาได้ปลอดภัยอีกต่อไปแต่เพราะนิสัยเอาแต่ใจของนาง ทำให้น้องสาวของเขามองข้ามเรื่องนี้ไป นางคิดแค่เพียงว่าองค์ชายสี่ต้องพึ่งพาบารมีของบิดาพวกเขา เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท แต่นางคงลืมไปแล้วว่ายังมีท่านหญิงจากอีกหลายตระกูลที่มีอำนาจมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“หลี่จ้านหลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้นถึงปานนั้น ท่านพี่คิดหรือว่าเขาจะใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ นังแพศยานั้นมิได้สำคัญต่อหลี่จ้าน หากมันตายเขาสิต้องขอบคุณข้า”“เอาเป็นว่าระวังไว้หน่อยก็ดี เรื่องที่เขารักเจ้านั้นมันผ่านมาหลายปี เวลาผ่านเลยใช่ว่าใจคนจะมิผันเปลี่ยนตาม”อ๋องน้อยสกุลจ้าว ทำได้เพียงทอดถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของน้องสาวเพียงคนเดียว เขาอยากให้นางใช้ความคิดในเรื่องนี้มากกว่าที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาจะไม่เป็นผลเอาเสีย
แก๊ก! ยังมิทันจบกันสนทนา เสียงกิ่งไม้แห้งหักได้ดังมาจากความมืด เจาหยางกระชับอาวุธในมือแน่น เมื่อรับรู้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมากดดันเขาและผู้เป็นนาย ถึงเขาจะพอประเมินฝีมือของผู้มาเยือนได้ ใช่ว่าเขาจะละเลยต่อหน้าที่ เก่งเพียงใดย่อมพลาดพลั้งได้เพียงเสี้ยวเวลาหากประมาทต่อศัตรู “มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่ ไยมิเข้ามาดื่มชากับพี่สาวสักถ้วยเล่าน้องพี่” จ้าวหลิวหลีพูดขึ้น พร้อมส่งยิ้มไปยังทิศทางของเสียงกิ่งไม้เมื่อครู่ ร่างงามนั่งรินชาที่อยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ถูกจัดวางอยู่ข้างกองไฟ ซึ่งได้ก่อเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว จ้าวหลิวหลีค่อย ๆ รินชาใส่ถ้วยอย่างใจเย็น เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้มุมปากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ สองร่างเดินเคียงกันออกจากเงามืด ทำให้เจาหยางดวงตาเบิกค้างชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าแขกที่ผู้เป็นนายหญิงเอ่ยถึง จะเป็นพี่น้องต่างมารดาของนางเอง และแน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นคงมิได้มาดีอย่างแน่นอน “พี่หญิงดูสำราญดีนะขอรับ” จ้าวลู่ถงเอ่ยทักทายพี่สาวต่างมารดา เขารู้สึกกดดันอย่างไรไม่รู้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากของพี่สาว
“เจ้าบีบบังคับข้าเองนะน้องรัก” “หุบปากเจ้าซะ! สิ่งเดียวที่เจ้ามีสิทธิ์พูด คือร้องขอความตายจากข้าหลิวหลี” เคร้ง! ยังไม่ทันที่ปลายกระบี่จะเฉียดผ่านกายจ้าวหลิวหลี กระบี่คมของเสี่ยวเชี่ยนก็ได้ต้านรับเอาไว้ได้ทัน จ้าวอี้เหมยสบเข้ากับดวงตาสุกใสของเสี่ยวเชี่ยน ที่กำลังยกยิ้มเย้ยหยันตัวนางอยู่ในตอนนี้ ความกรุ่นโกรธปะทุขึ้นกว่าเดิมนับเท่าตัว จ้าวลู่ถงดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าสาวใช้ข้างกายของพี่สาวนั้น มีฝีมือในการต่อสู้ ซึ่งตลอดเวลาที่เสี่ยวเชี่ยนอยู่ในจวน เขาไม่เคยเห็นนางฝึกฝนกระบี่เลยสักครั้ง จ้าวลู่ถงจำต้องพุ่งเข้าหาเสี่ยวเชี่ยนเพื่อช่วยน้องสาว แต่ทว่า... “ท่านอ๋องน้อยเป็นบุรุษ ไยถึงได้กล้าลงมือต่อสตรีบอบบางด้วยเล่าขอรับ” เป็นเจาหยางที่เข้ามาขัดขวางชายหนุ่มเอาไว้ ทางด้านจ้าวหลิวหลีนั้น ยังคงนั่งดื่มชาโดยไร้ร่องรอยของคามตื่นตระหนกใด ๆ หวี๊ด! จ้าวลู่ถงเป่าปากเป็นสัญญาณบางอย่าง เพียงครู่เดียวได้มีกลุ่มชายชุดดำจำนวนหลายคน ได้พุ่งออกจากราวป่า จ้าวหลิวหลีทำเพียงโยนท่อนฟืนเข้าไปในกองไฟอีกหลายท่อน เพื่อโหมไฟให้ลุก
จ้าวลู่ถงลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพี่สาว เขารู้แล้วในตอนนี้ว่าหนทางที่จะหลบเลี่ยงคงไม่อาจเป็นไปได้ ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้น อย่างน้อยยังพอที่จะมีโอกาสรอดชีวิตไปได้บ้าง “หึ ๆ ดูพี่หญิงจะมั่นใจเหลือเกินนะขอรับ” “ข้าว่าเจ้ารู้ดีกว่าผู้ใดน้องพี่ จะอย่างไรเสียข้าก็ต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเองก็คิดจะสังหารสามีของข้า” จ้าวลู่ถงหัวเราะในลำคอ เขาประเมินพี่สาวต่ำไปจริง ๆ นางมิเพียงมากด้วยฝีมือ แต่ยังเจ้าเล่ห์เสียจนไม่มีผู้ใดจับได้ ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกระหว่างสองพี่น้อง มีเพียงเสียงอาวุธกระทบกันอย่างดุเดือดเท่านั้น จ้าวหลิวหลีไร้ซึ่งความรักหรือเห็นใจในตัวน้องชาย เพราะจ้าวลู่ถงเกิดมา มารดาของนางจึงต้องจบชีวิต เพียงเพราะเกรงมารดาของนางจะกำเนิดบุตรชายอีกคน ความแค้นระหว่างนางกับสกุลจ้าวหาได้ใหญ่หลวงไม่ แต่ความแค้นของมารดานั้นไม่อาจนำสิ่งใดมาลบเลือนได้เป็นอันขาด ยิ่งเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่ จ้าวหลิวหลียิ่งลงมือหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่าตัว เวลานี้จ้าวลู่ถงร่ำร้องอยู่ภ
เสียงรายงานจากรองแม่ทัพคนสนิท ทำให้แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปมมากกว่าเดิมด้วยความสงสัย “สอบถามให้แน่ใจ ว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด” “เรียนท่านแม่ทัพ ท่านเจาหยางขอพบขอรับ” ยังไม่ทันที่รองแม่ทัพจะได้ไปยังหน้าขบวน ได้มีทหารวิ่งเข้ามาแจ้งความประสงค์จากคนอีกขบวนรถม้าเสียก่อน “เหตุใดตาเฒ่านั่นมาอยู่ที่นี่” แม่ทัพหนุ่มพึมพำเบา ๆ แต่ก็ส่งสัญญาณเป็นการอนุญาต เขาในตอนนี้ไม่อาจที่จะลงจากรถม้าได้ จำต้องนั่งรอพ่อบ้านของด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ด้วยห่วงใครอีกคนที่คงกำลังรอเขาอยู่ที่จวน “ท่านแม่ทัพ” “ตาเฒ่าไยจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วฮูหยินเล่าผู้ใดดูแล หากนางเป็นอันใดไป ข้าจะ...” “ท่านพี่” เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลังของเจาหยาง ทำให้คนในรถม้ารีบเปิดม่านออกทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาพยายามเก็บอาการยินดีเอาไว้ ภายใต้สีหน้านิ่งเรียบ “ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่อีกคนเล่า” หลี่จ้านเอ่ยถามภรรยาด้วยความสงสัย เขาไม่คิดว่านางจะออกมารอเขาถึงนอกเมืองเช่นนี้ “ข้าออกมาสวดมนต์ใ
จ้าวอ๋องรู้ดีว่าบุตรชายหญิงของตนนั้น ต้องการลมหายใจของจ้าวหลิวหลี แต่บุตรสาวอ่อนแอเช่นนางย่อมไม่มีทางทำอันตรายอันใดต่อลูก ๆ ของเขาได้ ยกเว้นหลี่จ้านที่อาจจ้างมือดีคอยปกป้องภรรยา “เพราะมัน...เพราะมันคนเดียวนังหลิวหลี เอาลูกข้าคืนมา ฮือ ๆ” จ้าวอ๋องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น หัวใจของเขาบีบคั้นจนเกินจะรับได้ ทายาทเพียงคนเดียวต้องจบชีวิตลง บุตรสาวที่เปรียบดังแก้วตาดวงใจก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นทีเรื่องนี้เขาคงต้องเลือกข้างให้ถูกเสียที ไม่ว่ามันผู้ใดที่แตะต้องครอบครัวของเขาในวันนี้ จะต้องชดใช้ให้แก่เขาอย่างสาสม ในมุมมืดร่างสูงของใครบางคน กำลังยืนมองเจ้าของจวนด้วยแววตาเฉยชา ‘ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังมิรู้จักสำนึกอีกหรือท่านอ๋อง นี่สินะที่เขาว่าผู้ที่รักต่ำช้าเพียงใดก็รัก ผู้ที่ชังความดีนับหมื่นก็ชิงชัง’ ร่างสูงหมุนกายจากไปอย่างเงียบ ๆ ภารกิจของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าจะเป็นเรื่องขัดใจเขาอยู่บางกับการนำร่างของอ๋องน้อยมาส่งคืน แต่นี่คือความประสงค์ของผู้เป็นนาย เขาจึงมิอาจ เสียงร้องไห้ค่ำครวญอาจทำใ