“คิดจะเป็นใหญ่ เรื่องเพียงเท่านี้ยังขลาดกลัว เจ้าก็ไม่สมควรจะออกความคิดเห็นใด ๆ อีก”
ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าชาหนึบด้วยความอับอาย แม้ทุกคนจะไม่เอ่ยสิ่งใดต่อเขาอีก ทว่าสายตาที่มองมานั้น มันทิ่มแทงยิ่งกว่าดูถูกที่เอ่ยออกจากปากเสียอีก
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านลุงผิดหวังขอรับ”
เอ่ยจบร่างสูงได้ลุกขึ้น ประสานมือโค้งตัวให้แก่ทุกคนภายในห้อง ก่อนจะก้าวออกไปด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธ เขาจะเสียหน้าเพียงเพราะสังหารสตรีอ่อนแอผู้เดียวมิได้
เขาก็คงไม่สมควรที่จะก้าวสู่ตำแหน่งใหญ่โตในภายหน้า อย่างที่ผู้เป็นลุงได้พูดเมื่อครู่นี้จริง ๆ เขาไม่เชื่อว่าหลี่จ้านหายอดฝีมือมาไว้ข้างกายจ้าวหลิวหลีอย่างที่หลายคนคิด
“จะวางใจเขาได้หรือขอรับท่านผู้นำ”
หนึ่งในผู้ร่วมประชุมเอ่ยถามขึ้นในที่สุด เขารู้ดีว่าชายหนุ่มนั้นมุทะลุเพียงใด ไร้ประสบการณ์ในแทบทุกเรื่องเลยก็ว่าได้
“หึ ๆ หรือเจ้าจะเป็นผู้ทำแทนเขา”
“เอ่อ...คือว่า...”
“เจ้าควรจดจำเอาไว้บ้าง ว่านกจะบินได้ก็ต่อเมื่อเราฝึกฝนให้มันรู้จักกางปีก”
เมื่อถูกตำหนิตรง ๆ โดยมิอ้อมค้อมจากผู้นำ ขุนนางที่เอ่ยปากถามด้วยความสนุกปากในคราแรก จำต้องสงบคำด้วยความรู้สึกอับอายต่อสายตาของทุกคน
อารามหมิงเหล่ย
กว่าสิบวันแล้วที่จ้าวหลิวหลีพักอยู่ในอาราม ในทุกวันของนางไม่มีสิ่งใดแตกต่างจากวันแรกที่มา หญิงสาวสวดมนต์และช่วยเหลือเรื่องข้าวปลาอาหาร สำหรับชาวบ้านที่เข้ามาพึ่งพาอาศัยภายในอาราม
เจาหยางที่เฝ้าจับตานายหญิงของตน แทบจะมิให้คลาดสายนั้น ได้พยายามครุ่นคิดหาคำตอบที่เขายังคงคาใจอยู่ นับตั้งแต่วันที่เกิดการลอบโจมตี จนถึงวันนี้ความกระจ่างในเรื่องนี้ยังมิคลี่คลาย
“ท่านลุงเจา มีสิ่งใดอยากจะถามข้าหรือไม่”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยถามพ่อบ้านของสามี เมื่อเห็นสายตามีคำถามของอีกฝ่าย แม้เจาหยางผู้นี้จะคงสีหน้านิ่งเรียบ ทว่าดวงตาของเขานั้นมิอาจปิดบังความสงสัยที่มีต่อนางได้เลย
“ข้าน้อยมิอาจเอื้อมขอรับ”
เจ้าหยางยังคงสงวนท่าทีของตนเองเอาไว้ แม้เขาจะอยากรู้มากเท่าใด แต่หากคนตรงหน้ามิคิดที่จะบอกกล่าว เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวของนางได้
จ้าวหลิวหลียิ้มละมุน ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ เป็นการบอกให้อีกฝ่ายตามนางไป หญิงสาวเดินไปยังสวนดอกไม้ที่ตอนนี้มีเสี่ยวเชี่ยน กำลังจัดเตรียมน้ำชาเอาไว้รออยู่ก่อนแล้ว
เจาหยางเดินตามนายหญิงของตนไป พ่อบ้านสูงวัยนับถือในความเยือกเย็นของหญิงสาวยิ่งนัก มีสตรีเพียงไม่กี่นางที่เขาพบเจอ จะมีลักษณะนิสัยสุขุม ทั้งที่เพิ่งผ่านความเป็นความตายมาได้ไม่นาน
“นั่งดื่มชาเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยนะท่านลุง”
จ้าวหลิวหลีผายมือเชื้อเชิญพ่อบ้านของสามี เมื่อเจาหยางค้อมศีรษะเป็นการขอบคุณ หญิงสาวได้นั่งลงก่อนตามฐานะความเป็นนายของตนเอง เพื่อมิเป็นการสร้างความลำบากใจให้แก่เจาหยาง
“ฮูหยินมีสิ่งใดจะกล่าวแก่ข้าหรือขอรับ”
“หึ ๆ ข้านึกว่าท่านลุงมีเรื่องอยากถามข้าอยู่มิใช่หรือ เอาเป็นว่าข้าจะไม่อ้อมค้อมให้มากความก็แล้วกัน”
หญิงสาวสบเข้ากับดวงตามีคำถาม ของคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะน้ำชา จ้าวหลิวหลีไม่คิดที่จะปิดบังแต่ใช่ว่านางต้องบอกทุกเรื่องแก่เจาหยาง นางรู้ดีว่าอดีตขุนพลผู้นี้ หากมิกระจ่างใจเขาจะเฝ้ารอเวลาเพื่อค้นหาความจริงต่อไป
“ท่านลุงทราบดีว่าชีวิตข้านับตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา หาได้เป็นชีวิตที่ข้าลิขิตเองไม่ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ข้าย่อมต้องเติบใหญ่และรู้คิดว่าทำเช่นไรจึงจะมีชีวิตรอด นับตั้งแต่ท่านแม่ของข้าตาย ตัวข้าย่อมต้องฝึกฝนตนเองอย่างหนัก เพื่อต่อลมหายใจ”
จ้าวหลิวหลียังคงมองตรงไปที่เจาหยาง หญิงสาวยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อเห็นความสงสัยในแววตาของเจาหยางคลายลงบ้างแล้ว สมกับที่เป็นอดีตขุนพลผู้เกรียงไกร
นางไม่จำเป็นต้องบอกทุกรายละเอียดให้อีกฝ่ายได้ฟัง เพียงเท่านี้เจาหยางก็คาดเดาความเป็นไปของนางได้จนกระจ่างแล้ว แค่เรื่องการเอาชีวิตรอดจากคนในจวนจ้าว นางไม่ต้องอธิบายสิ่งใดอีก เจาหยางก็รู้แล้วถึงความสงสัยเรื่องวิชาการต่อสู้ของนาง
“ข้าน้อยต้องขอบคุณฮูหยิรขอรับ ที่ได้ให้ความกระจ่างแก่ข้าน้อย”
“ข้ารู้ว่าท่านลุงคงมีอีกหลายเรื่องที่สงสัยในตัวข้า แต่จำเอาไว้เพียงว่าข้ามิเคยคิดร้ายต่อท่านแม่ทัพ แม้เพียงเศษเสี้ยวเดียวของความรู้สึก และท่านลุงมั่นใจได้เลยว่าข้าจะไม่ยินยอมให้ผู้ใดแตะต้องเขาเป็นอันขาด ตราบใดที่ข้ายังคงหายใจอยู่”
เจาหยางทำเพียงค้อมศีรษะเป็นการรับคำของนายหญิง เขาเองก็อยากจะบอกนางเช่นเดียวกันว่าท่านแม่ทัพเอง ก็เคยเอ่ยคำนี้กับเขาก่อนที่จะจากเมืองหลวงไปชายแดน
ช่างเป็นสามีภรรยาที่มิเคยร่วมเตียง แต่กลับห่วงใยกันประหนึ่งรักใครกันมานานแสนนานก็ว่าได้ แม้เขาจะไม่อาจเข้าใจถึงเหตุผลที่ทั้งสองคนทำตัวเสมือนคนเกลียดชังกัน แต่เขายังคงหวังอยู่ลึก ๆ ว่าผู้เป็นนายทั้งสองจะลงเอยกันด้วยดี
จ้าวหลิวหลียังคงเพลิดเพลินกับการดื่มชายามบ่ายของนาง ก่อนจะส่งยิ้มละมุนให้แก่พ่อบ้านของสามี ที่ได้เอ่ยขอตัวไปทำหน้าที่ของเขาต่อ หญิงสาวบอกเพียงว่าบ่ายนี้นางต้องการนั่งชมดอกไม้เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าต่ออีกสักหน่อย
อีกด้านของสวนดอกไม้ มีสองร่างที่ยืนแอบมองหญิงสาวสองนางที่กำลังหัวเราะร่า ด้วยความสบายใจ ซึ่งแตกต่างจากคนมองที่กำลังคลั่งแค้นเป็นที่สุด
“ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้นางแพศยานั้นรอดไปได้ มันต้องชดใช้ต่อสิ่งที่ข้าได้รับ”
หญิงสาวในชุดสาวชาว แทบจะถลาเข้าไปหาคนที่อยู่ในสวน ดวงตากร้าวแทบจะลุกเป็นไฟ เมื่อเห็นรอยยิ้มงดงามที่นางแสนจะเกลียดชัง
“อย่าได้รีบร้อน คืนนี้เจ้าต้องใจเย็นให้มาก ปล่อยให้คนของเราลงมือ เจ้าต้องไม่ให้พวกนางเห็นเป็นอันขาด”
“ท่านพี่จะกลัวไปไย ต่อให้มันเห็นเราแล้วอย่างไร ในเมื่อชีวิตของพวกมันต้องจบสิ้นในคืนนี้”
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นจริง แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าหลี่จ้านไม่ได้ส่งใครจับตาดูหลิวหลีเอาไว้เล่า”
ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งผู้เป็นน้องสาว แค่ตัวเขาและนางมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็มิอาจปล่อยให้น้องสาวออกนอกเมืองมาเพียงลำพังเช่นเดียวกันชีวิตในราชสำนักมีหรือเขาจะไม่รู้ว่า เรื่องที่น้องสาวของเขาได้ก่อเอาไว้นั้น รู้ไปถึงหูของพระมารดาในองค์ชายสี่แล้ว แน่นอนว่าชีวิตของน้องสาวหาได้ปลอดภัยอีกต่อไปแต่เพราะนิสัยเอาแต่ใจของนาง ทำให้น้องสาวของเขามองข้ามเรื่องนี้ไป นางคิดแค่เพียงว่าองค์ชายสี่ต้องพึ่งพาบารมีของบิดาพวกเขา เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท แต่นางคงลืมไปแล้วว่ายังมีท่านหญิงจากอีกหลายตระกูลที่มีอำนาจมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“หลี่จ้านหลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้นถึงปานนั้น ท่านพี่คิดหรือว่าเขาจะใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ นังแพศยานั้นมิได้สำคัญต่อหลี่จ้าน หากมันตายเขาสิต้องขอบคุณข้า”“เอาเป็นว่าระวังไว้หน่อยก็ดี เรื่องที่เขารักเจ้านั้นมันผ่านมาหลายปี เวลาผ่านเลยใช่ว่าใจคนจะมิผันเปลี่ยนตาม”อ๋องน้อยสกุลจ้าว ทำได้เพียงทอดถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของน้องสาวเพียงคนเดียว เขาอยากให้นางใช้ความคิดในเรื่องนี้มากกว่าที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาจะไม่เป็นผลเอาเสีย
แก๊ก! ยังมิทันจบกันสนทนา เสียงกิ่งไม้แห้งหักได้ดังมาจากความมืด เจาหยางกระชับอาวุธในมือแน่น เมื่อรับรู้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมากดดันเขาและผู้เป็นนาย ถึงเขาจะพอประเมินฝีมือของผู้มาเยือนได้ ใช่ว่าเขาจะละเลยต่อหน้าที่ เก่งเพียงใดย่อมพลาดพลั้งได้เพียงเสี้ยวเวลาหากประมาทต่อศัตรู “มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่ ไยมิเข้ามาดื่มชากับพี่สาวสักถ้วยเล่าน้องพี่” จ้าวหลิวหลีพูดขึ้น พร้อมส่งยิ้มไปยังทิศทางของเสียงกิ่งไม้เมื่อครู่ ร่างงามนั่งรินชาที่อยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ถูกจัดวางอยู่ข้างกองไฟ ซึ่งได้ก่อเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว จ้าวหลิวหลีค่อย ๆ รินชาใส่ถ้วยอย่างใจเย็น เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้มุมปากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ สองร่างเดินเคียงกันออกจากเงามืด ทำให้เจาหยางดวงตาเบิกค้างชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าแขกที่ผู้เป็นนายหญิงเอ่ยถึง จะเป็นพี่น้องต่างมารดาของนางเอง และแน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นคงมิได้มาดีอย่างแน่นอน “พี่หญิงดูสำราญดีนะขอรับ” จ้าวลู่ถงเอ่ยทักทายพี่สาวต่างมารดา เขารู้สึกกดดันอย่างไรไม่รู้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากของพี่สาว
“เจ้าบีบบังคับข้าเองนะน้องรัก” “หุบปากเจ้าซะ! สิ่งเดียวที่เจ้ามีสิทธิ์พูด คือร้องขอความตายจากข้าหลิวหลี” เคร้ง! ยังไม่ทันที่ปลายกระบี่จะเฉียดผ่านกายจ้าวหลิวหลี กระบี่คมของเสี่ยวเชี่ยนก็ได้ต้านรับเอาไว้ได้ทัน จ้าวอี้เหมยสบเข้ากับดวงตาสุกใสของเสี่ยวเชี่ยน ที่กำลังยกยิ้มเย้ยหยันตัวนางอยู่ในตอนนี้ ความกรุ่นโกรธปะทุขึ้นกว่าเดิมนับเท่าตัว จ้าวลู่ถงดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าสาวใช้ข้างกายของพี่สาวนั้น มีฝีมือในการต่อสู้ ซึ่งตลอดเวลาที่เสี่ยวเชี่ยนอยู่ในจวน เขาไม่เคยเห็นนางฝึกฝนกระบี่เลยสักครั้ง จ้าวลู่ถงจำต้องพุ่งเข้าหาเสี่ยวเชี่ยนเพื่อช่วยน้องสาว แต่ทว่า... “ท่านอ๋องน้อยเป็นบุรุษ ไยถึงได้กล้าลงมือต่อสตรีบอบบางด้วยเล่าขอรับ” เป็นเจาหยางที่เข้ามาขัดขวางชายหนุ่มเอาไว้ ทางด้านจ้าวหลิวหลีนั้น ยังคงนั่งดื่มชาโดยไร้ร่องรอยของคามตื่นตระหนกใด ๆ หวี๊ด! จ้าวลู่ถงเป่าปากเป็นสัญญาณบางอย่าง เพียงครู่เดียวได้มีกลุ่มชายชุดดำจำนวนหลายคน ได้พุ่งออกจากราวป่า จ้าวหลิวหลีทำเพียงโยนท่อนฟืนเข้าไปในกองไฟอีกหลายท่อน เพื่อโหมไฟให้ลุก
จ้าวลู่ถงลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพี่สาว เขารู้แล้วในตอนนี้ว่าหนทางที่จะหลบเลี่ยงคงไม่อาจเป็นไปได้ ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้น อย่างน้อยยังพอที่จะมีโอกาสรอดชีวิตไปได้บ้าง “หึ ๆ ดูพี่หญิงจะมั่นใจเหลือเกินนะขอรับ” “ข้าว่าเจ้ารู้ดีกว่าผู้ใดน้องพี่ จะอย่างไรเสียข้าก็ต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเองก็คิดจะสังหารสามีของข้า” จ้าวลู่ถงหัวเราะในลำคอ เขาประเมินพี่สาวต่ำไปจริง ๆ นางมิเพียงมากด้วยฝีมือ แต่ยังเจ้าเล่ห์เสียจนไม่มีผู้ใดจับได้ ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกระหว่างสองพี่น้อง มีเพียงเสียงอาวุธกระทบกันอย่างดุเดือดเท่านั้น จ้าวหลิวหลีไร้ซึ่งความรักหรือเห็นใจในตัวน้องชาย เพราะจ้าวลู่ถงเกิดมา มารดาของนางจึงต้องจบชีวิต เพียงเพราะเกรงมารดาของนางจะกำเนิดบุตรชายอีกคน ความแค้นระหว่างนางกับสกุลจ้าวหาได้ใหญ่หลวงไม่ แต่ความแค้นของมารดานั้นไม่อาจนำสิ่งใดมาลบเลือนได้เป็นอันขาด ยิ่งเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่ จ้าวหลิวหลียิ่งลงมือหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่าตัว เวลานี้จ้าวลู่ถงร่ำร้องอยู่ภ
เสียงรายงานจากรองแม่ทัพคนสนิท ทำให้แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปมมากกว่าเดิมด้วยความสงสัย “สอบถามให้แน่ใจ ว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด” “เรียนท่านแม่ทัพ ท่านเจาหยางขอพบขอรับ” ยังไม่ทันที่รองแม่ทัพจะได้ไปยังหน้าขบวน ได้มีทหารวิ่งเข้ามาแจ้งความประสงค์จากคนอีกขบวนรถม้าเสียก่อน “เหตุใดตาเฒ่านั่นมาอยู่ที่นี่” แม่ทัพหนุ่มพึมพำเบา ๆ แต่ก็ส่งสัญญาณเป็นการอนุญาต เขาในตอนนี้ไม่อาจที่จะลงจากรถม้าได้ จำต้องนั่งรอพ่อบ้านของด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ด้วยห่วงใครอีกคนที่คงกำลังรอเขาอยู่ที่จวน “ท่านแม่ทัพ” “ตาเฒ่าไยจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วฮูหยินเล่าผู้ใดดูแล หากนางเป็นอันใดไป ข้าจะ...” “ท่านพี่” เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลังของเจาหยาง ทำให้คนในรถม้ารีบเปิดม่านออกทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาพยายามเก็บอาการยินดีเอาไว้ ภายใต้สีหน้านิ่งเรียบ “ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่อีกคนเล่า” หลี่จ้านเอ่ยถามภรรยาด้วยความสงสัย เขาไม่คิดว่านางจะออกมารอเขาถึงนอกเมืองเช่นนี้ “ข้าออกมาสวดมนต์ใ
จ้าวอ๋องรู้ดีว่าบุตรชายหญิงของตนนั้น ต้องการลมหายใจของจ้าวหลิวหลี แต่บุตรสาวอ่อนแอเช่นนางย่อมไม่มีทางทำอันตรายอันใดต่อลูก ๆ ของเขาได้ ยกเว้นหลี่จ้านที่อาจจ้างมือดีคอยปกป้องภรรยา “เพราะมัน...เพราะมันคนเดียวนังหลิวหลี เอาลูกข้าคืนมา ฮือ ๆ” จ้าวอ๋องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น หัวใจของเขาบีบคั้นจนเกินจะรับได้ ทายาทเพียงคนเดียวต้องจบชีวิตลง บุตรสาวที่เปรียบดังแก้วตาดวงใจก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นทีเรื่องนี้เขาคงต้องเลือกข้างให้ถูกเสียที ไม่ว่ามันผู้ใดที่แตะต้องครอบครัวของเขาในวันนี้ จะต้องชดใช้ให้แก่เขาอย่างสาสม ในมุมมืดร่างสูงของใครบางคน กำลังยืนมองเจ้าของจวนด้วยแววตาเฉยชา ‘ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังมิรู้จักสำนึกอีกหรือท่านอ๋อง นี่สินะที่เขาว่าผู้ที่รักต่ำช้าเพียงใดก็รัก ผู้ที่ชังความดีนับหมื่นก็ชิงชัง’ ร่างสูงหมุนกายจากไปอย่างเงียบ ๆ ภารกิจของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าจะเป็นเรื่องขัดใจเขาอยู่บางกับการนำร่างของอ๋องน้อยมาส่งคืน แต่นี่คือความประสงค์ของผู้เป็นนาย เขาจึงมิอาจ เสียงร้องไห้ค่ำครวญอาจทำใ
จางเค่อเข้าใจในอารมณ์ขอผู้เป็นนายดี เพราะตลอดสองปีที่ท่านแม่ทัพออกสู่ชายแดน นายหญิงของเขาต้องรับมือกับครอบครัวบิดาของนาง แล้วไหนจะผู้ที่คิดจะทำลายท่านแม่ทัพ ก็คอยจ้องเล่นงานผู้เป็นนายของเขามิเว้นวัน จ้าวหลิวหลี ลุกขึ้นก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อยให้แก่จางเค่อ สำหรับนางแล้วหากไร้ชายผู้นี้คอยเป็นดั่งแขนขา คงไม่อาจยืนอยู่ตรงนี้ได้ แม้จะมีเงินหากไร้ความเคารพต่อผู้อื่น ก็มิอาจที่จะซื้อใจผู้ใดได้เลย นางใช้ใจแลกกับความภักดี นางมองทุกคนเสมือนพี่น้อง สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในหลีเค่ออยู่ภายใต้อำนาจของนางโดยมิต้องบีบบังคับ เมื่อออกมายังห้องชั้นนอกแล้ว เสี่ยวเชี่ยนได้เรียกคนของร้านมายกพับผ้าที่นางเลือก เพื่อนำไปส่งยังจวนหลี่ สองนายบ่าวออกจากร้านเดินไปยังรถม้าที่เจาหยางรออยู่อย่างใจเย็น “ท่านลุงเจา เราไปนั่งกินขนมใกล้หน้าประตูวังกันดีกว่านะ ข้าจำได้ว่ามีร้านหนึ่งอร่อยมากเลย” “ได้ขอรับ” เจาหยางไม่คิดที่จะถามอะไรให้มากความ แค่นายหญิงของบ้านพยายามที่จะหาหนทางรอผู้เป็นนายของเขานั้น ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ฮูหยินเข้าไปในหลีเค่อ
ชุ่ยเหนียงเฟยเสมือนคนสติไม่อยู่กับตัว ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้ดูแทบไม่ได้เลย คำพูดที่พรั่งพรูออกมา ล้วนหยาบคายมิสมฐานะที่เป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย “ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดต่ำช้าจากปากพระชายาอ๋องเช่นท่าน และโปรดรู้เอาไว้ด้วยว่าข้าคือสามีของหลีเอ๋อร์ มิใช่คนรักของธิดาท่านอย่างที่กล่าวมา โปรดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนนะขอรับ จึงค่อยพูดสิ่งใดออกมา” หลี่จ้านไม่ได้หันมองภรรยา แต่ทุกถ้อยคำของเขานั้นหนักแน่น สิ่งที่มารดาเลี้ยงของภรรยาพูดมานั้น อาจเป็นฉนวนทำลายเขาได้ทั้งตระกูลเลยทีเดียว “อย่าบอกนะว่าเจ้าเสียท่าให้แก่นางแล้ว นางมันนังจิ้กจอก” ชุ่ยเหนียงเฟยชี้นิ้วไปยังจ้าวหลิวหลี ที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องสามี มุมบากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ นางไม่จำเป็นต้องเห็นใจผู้ที่ทำร้ายนางก่อน “พระชายาโปรดสำรวมคำพูด ข้าและนางเป็นสามีภรรยา เรื่องในห้องมิจำเป็นต้องประกาศให้ผู้อื่นรู้ หรือท่านชื่นชอบเล่าเรื่องเช่นนั้นให้สหายและชาวเมืองฟังขอรับ” “หยุดสามหาวได้แล้วนะหลี่จ้าน” ในที่สุดจ้าวอ๋องก็หาเสียงของตนเองเจอ เมื่อภรรยารักไม่ได้รับควา