เพราะเหตุใดไม่รู้มันรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้ง ที่ร่างแกร่งขยับกายบดเบียดกับตัวนาง ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดข้างแก้มนางนั้น ทำให้หัวใจของนางเต้นมิเป็นส่ำตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว
“ท่านพี่ควรตื่นได้แล้วนะเจ้าคะ สาย...อ๊ะ...”
อุ๊บ! อื้อ! ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม เรียวปากงามก็ถูกปิดลงเสียก่อน สภาพของนางในตอนนี้ ยากที่จะขัดขืนอีกฝ่ายได้ เมื่อท่อนขาแกร่งทับขาของนางเอาไว้เสียก่อน
มือบางที่หมายจะผลักไสเขาออกให้พ้นกาย ได้ถูกรวบเอาไว้เหนือศีรษะ ริมฝีปากอวบอิ่มถูกขบเม้ม ก่อนจะใช้ลิ้นสากดันเรียวปากของนางให้เปิดออก เพื่อให้เขาได้ควานหาความหวานที่ซ่อนอยู่ภายใน
เมื่อถูกบดจูบอย่างหิวกระหายจากสามีผู้ช่ำชอง ความเคลิบเคลิ้มทำให้หญิงสาวค่อย ๆ เผยอริมฝีปากออกอย่างลืมตัว ทั้งที่ในใจนั้นนางคิดที่จะขัดขืนเขาอย่างเต็มที่
“อื้อ!”
เสียงครางเบา ๆ ดังลอดออกมา หลี่จ้านมิปล่อยโอกาสให้หลุดมือ ชายหนุ่มเกี่ยวกวัดปลายลิ้มเล็ก ก่อนจะดูดดึงลิ้นบางนั้นอย่างพึงพอใจ ท่อขาแข็งแกร่งขยับแทรกเรียวขางามให้แยกออก
ก่อนจะขยับบดเบียดอย่างเนิบช้าเพื่อปลุกเร้าภรรยา โดยที่ลิ้นสากของเขายังคงกวัดรัดดึงปลายลิ้นของนางอย่างดูดดื่ม มือหนาอีกข้างที่มิได้รวบของมือภรรยา ได้เลื่อนลงมายังเนินอกเต่งตึง
ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชุดนอนเนื้อนุ่ม ยิ่งถูกปลุกเร้ามากขึ้นเท่าใด ร่างบางที่ถูกตรึงเอาไว้กับที่นอน ยิ่งบิดเร้าด้วยความรู้สึกรัญจวนจนเผลอส่งเสียงครางเบา ๆ ออกมาถี่ขึ้นตามลำดับอารมณ์ในตอนนี้
มือหนาเลื่อนเข้าไปในเสื้อของหญิงสาว เพื่อสัมผัสกับผิวเนียนละเอียดของนาง เพียงมือสากลูบผ่านเนื้อนุ่ม ความรู้สึกซาบซ่านได้แล่นไปทั่วร่างงาม
มิต้องคิดถึงการถูกมือบุรุษสัมผัสกายเลย เพียงจูบสักครั้งนางยังไม่เคย แม้จะแต่งงานมานานนับปีแล้วก็ตามที หญิงสาวเผลอแอ่นอกตามแรงบีบของสามี
“อื้อ! ทะ...”
จ้าวหลิวหลีไม่อาจที่จะเอ่ยเรียกสามีออกมาได้ แม้ได้ริมฝีปากของนางได้รับอิสระแล้วก็ตามที เพราะสามีกำลังจูบซับตามลำคอเคลื่อนไปยังสองเต้างาม ที่ตอนนี้ได้ถูกเปิดออกสู่สายตาของชายหนุ่มแล้ว
ริมฝีปากหนาได้จูบเบา ๆ ยังเม็ดบัวสีหวานของภรรยา ก่อนจะใช้ปลายลิ้นตวัดผ่านเบา ๆ มือหนาได้บีบเค้นเต้างามเพื่อดันเม็ดบัวให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มขบเม้มลงไปสลับดูดดึงแรง ๆ ทำให้หญิงสาวบิดเราไปมาด้วยความเสียวซ่าน เสียงครางดังขึ้นโดยมิรู้สึกอายแล้วในตอนนี้ หลี่จ้านหัวเราะในลำคอก่อนจะปล่อยข้อมือของภรรยาให้เป็นอิสระ
ก่อนจะเลื่อนมือลงมากอบกุมเต้างามอีกข้าง จ้าวหลิวหลีแทบจะหวีดร้องออกมาเสียให้ได้ เมื่อถูกปลุกเร้าจากปากและลิ้นของสามี ที่กำลังใช้มันกับสองเต้าเต่งตึงของนางอย่างหิวกระหาย
หลี่จ้านมิปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ชายหนุ่มเลื่อนมือปลดเปลื้องชุดนอนของภรรยาออกอย่างรวดเร็ว โดยที่ปลายลิ้นร้ายยังคงทำหน้าที่มิได้หยุดลง ช้ำยังเพิ่มจังหวะเร่งเร้าให้หญิงสาวอีกนับเท่าตัว
ชายหนุ่มละจากเต้างามเลื่อนลงยังหน้าท้องแบนราบ ก่อนจะหยุดยังสะดือเล็กของภรรยา มิรอช้าปลายลิ้นสากตวัดวนหยอกเอิน โดยที่มือหนาลูบไล้ยังต้นขาเนียนอย่างเบามือ
ความหยาบกร้านของฝ่ามือ ทำให้คนที่ถูกสัมผัสรู้สึกซาบซ่านไปทั่วกาย หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว มือนิ้วเรียวของสามี เขี่ยวนยังเนินดอกไม้ของนางแล้วในตอนนี้
“อื้อ! อ๊ะ!”
จ้าวหลิวหลีใบหน้าแดงก่ำ เมื่อสามีเปลี่ยนจากนิ้วมือเป็นปลายลิ้น ที่กำลังตวัดโลมเลียทั่วเนินดอกไม้ของนางจนเปียกชุ่ม ก่อนจะใช้นิ้วกรีดลงตามร่องกลีบ เพื่อเผยให้เห็นเกสรด้านใน
“โอ้ว! ท่านพี่...อ่า!”
เพียงปลายลิ้นสัมผัสยังเกสรสอนสีแดงด้านใน หญิงสาวครางสลับเรียกสามีเสียงหลง สะโพกงอนงามขยับยกขึ้นตามปลายลิ้น มือบางขยุ้มผมดกดำ พร้อมทั้งออกแรงกดศีรษะของชายหนุ่มให้แนบชิดเนินเกสรให้มากขึ้น
สองมือหนาของชายหนุ่ม จับต้นขาสองข้างของภรรยาให้แยกออกกว้างกว่าเดิม ก่อนจะซุกใบหน้าให้แนบเนินเนื้อตามที่นางต้องการ ปลายลิ้นสากลากวนขึ้นลงตามกลีบร่อง
สลับการดูดเม้มแรง ๆ เพื่อเพิ่มความหฤหรรษ์ให้แก่คนที่กำลังบิดเร้าอยู่ใต้ร่างของเขาในตอนนี้ เสียงหวีดร้องดังขึ้นเป็นระยะสลับเสียงครวญครางด้วยความกระสันเสียวของหญิงสาว
เพียงไม่นานร่างบางได้กระตุกเกร็ง ก่อนจะปลดปล่อยน้ำหวานออกมา ชายหนุ่มมิรอช้าตวัดปลายลิ้นรองรับจนหมด ก่อนจะขยับลุกขึ้นจัดการกับเสื้อผ้าของตนเอง
เมื่อบนร่างกายไร้ซึ่งอาภรณ์ ร่างหนาได้ขยับร่างแทรกกลางหว่างขาของภรรยา ก่อนจะจับยังแท่งหยกที่กำลังแข็งชูชันชิดกับปากทางถ้ำน้ำหวานของภรรยา
“อ๊ะ! เจ็บ...ข้าเจ็บเจ้าค่ะท่านพี่”
จ้าวหลิวหลีขยับสะโพกหมายออกห่าง ทว่ามือหนาได้คว้าจับแบบคอดได้ทันก่อน
“เพียงแค่นิดเดียว สักครู่มันจะไม่เจ็บแล้ว พี่จะถนอมเจ้าหลิวหลี”
ชายหนุ่มเอ่ยปลอบโยน ก่อนจะดันแท่งหยกในคราเดียวจนสุดเส้นทาง เสียงหวีดร้องของหญิงสาวได้หายไป เมื่อชายหนุ่มโน้มกายลงไปประกบเรียวปากอวบอิ่มเอาไว้เสียก่อน
ชายหนุ่มนิ่งค้างไว้เพียงครู่เดียว ก่อนจะเริ่มขยับสะโพกหนาอย่างเนิบช้า เพื่อให้คนใต้ร่างคุ้นชินเสียก่อน เมื่อได้รับการตอบสนองจากหญิงสาว ชายหนุ่มจึงได้ยันกายคุกเข่า พร้อมเร่งจังหวะสะโพกให้กระชั้นถี่ขึ้น
เสียงคำรามดังลอดออกมาจากร่างหนาเป็นระยะ เมื่อแท่งหยกของเขา ถูกเส้นทางรักบีบรัดจนแทบจะปลดปล่อยอยู่หลายครา มือบางของหญิงสาวได้กำผ้าปูที่นอนแน่นด้วยมิรู้จะปลดปล่อยความเสียวซ่านที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้อย่างไรดี
ยิ่งชายหนุ่มขยับสะโพกกระชั้นถี่ขึ้นมากเท่าใด ความรู้สึกเสียวซ่านก็มากขึ้นตามลำดับเช่นกัน เสียงคราวกระเส่าดังอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ชายหนุ่มจะคำรามออกมา เมื่อร่างบางที่บิดเร้าในอยู่ได้กระตุกเกร็งพร้อมเสียงหวีดร้องด้วยความสุขสม ทำให้เขามิอาจต้านทานการบีบรัดจากเส้นทางสวาท ที่กำลังดูดกลืนแท่งหยกของเขาได้อีก
หลี่จ้านยังคงมิได้ถอดถอนความเป็นบุรุษของตนเองออกจากกายของภรรยา แม่ทัพหนุ่มค่อย ๆ แนบร่างหนาลงทาบทับหญิงสาว โดยใช้แขนสองข้างเท้ายันเอาไว้ มิให้ตัวของเขาทิ้งน้ำหนักลงบนร่างบางมากจนเกินไป
“ต่อไปอย่าได้ดื้อรั้นต่อสามีอีก เข้าใจหรือไม่น้องหญิง”ชายหนุ่มกระซิบเย้าภรรยา ด้วยสายตากรุ่มกริ่ม จ้าวหลิวหลีวงหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี จะเก่งกาจปานใดย่อมต้องรู้สึกเขินอายเมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ของบุรุษ ช้ำเรือนร่างของนางยังไร้ซึ่งสิ่งปกปิด นางไม่คิดเลยว่าสามีผู้ไม่เคยเหลียวมองนางมาตลอด วันนี้จะเปลี่ยนไปเสียจนนางเองยังตั้งรับไม่ทัน“ข้ามิเคยดื้อสักหน่อย”จ้าวหลิวหลีเสหลบตาสามี พร้อมปฏิเสธสามีด้วยน้ำเสียกระเง้ากระงอด“เช่นนั้นนับแต่นี้ไปอย่าให้ต้องออกแรง เข้าใจหรือไม่”ปึก! กำปั้นของหญิงสาวทุบอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยความขัดเขิน เขาช่างกล้าพูดอย่างน่าไม่อาย เรื่องเช่นนี้มิจำเป็นต้องบอกก็ได้ “มิรู้จักอายบ้างหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ๆ อายทำไม ก็พี่อยากให้เจ้ามีความสุข”“คนบ้า! หน้ามิอายพูดอันใดออกมา....อื้อ!”ยังมิทันได้ต่อว่าสามีให้สาสมดังใจคิด ทว่าเรียวปากงามก็ถูกปิดลงอีกครั้ง และในครั้งนี้หญิงสาวมิได้ปฏิเสธ แต่กลับตอบสนองสามีด้วยความไร้เดียงสาในเรื่องเช่นนี้สองร่างกอดรัดกันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความเร้าร้อนขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มสอนบทรักให้แก่หญิงสา
แม่ทัพหนุ่มเดินไปหาพ่อบ้าน ก่อนจะสั่งการอะไรบางอย่าง เจาหยางค้อมหัวเล็กน้อยก่อนจะถอยฉากออกไป หลี่จ้านยังคงเดินเสมือนคนป่วยอยู่ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป รถม้าจวนหลี่ได้เคลื่อนตัวออกไปยังทิศทางของจวนราชครู เกาจิ้งผู้นี้ชรามากแล้วแต่ยังฝักใฝ่ในอำนาจมิรู้จักพอ ชักใยอยู่เบื้องหลังองค์ชายห้าเพื่อให้ช่วงชิงราชตำแหน่งรัชทายาท โดยแสร้งร่วมมือกับพระนางหรู่เฟย เพื่อหาช่องทางกำจัดองค์ชายสี่ ความเป็นคนหัวอ่อนขององค์ชายห้าทำให้ง่ายต่อการควบคุมแม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาไม่เลือกที่จะยืนข้างองค์ชายคนไหนเลย เพราะตัวเขานั้นยืนเคียงข้างองค์ฮ่องเต้แต่ผู้เดียว หากมีการผลัดแผ่นดิน ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องมิใช่การช่วงชิงเขาหลี่จ้านก็จะภักดีจนลมหายใจสุดท้ายเช่นกัน แต่เพราะเขามิเลือกข้างจึงทำให้ต้องเหนื่อยใจอยู่อย่างนี้ หากภรรยาไม่ส่งคนไปช่วยเหลือ ป่านนี้มีหรือเขาจะยังมีลมหายใจฮี่ ๆ เสียงม้าร้องด้วยความแตกตื่น รถม้าโคลงไปมาอย่างแรง หลี่จ้านรีบคว้าตัวภรรยาเขามาสวมกอด เมื่อรถม้าหยุดลง เสียงการต่อสู้ด้านนอกเกิดในทันที“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินมีคนร้ายขอรับ”ตูหลงตะโกนบอกคนด้า
แต่วันนี้เขาคงต้องตัดความคิดนั้นออกไปเสีย ใครจะไปคาดคิดว่าท่านหญิงกำพร้ามารดาเช่นนาง จะมีฝีมือมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งหลี่จ้านที่ควรจะอ่อนแรงด้วยพิษที่เขาให้ตูหลงใส่ในอาหารยาบำรุงกลับไม่เป็นอะไรเลย ทั้งยังมายืนลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเขาอยู่ในตอนนี้“เจ้าคงไม่คิดที่จะทำเรื่องสิ้นคิดหรอกนะ หลี่จ้าน”“หากข้าปล่อยท่านราชครูกลับไปต่างหากเล่าขอรับ จึงจะถือว่าเป็นเรื่องสิ้นคิด”“เจ้ากล้ารึ”“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ท่านราชครูพ้นตำแหน่ง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ”“โอหังนัก กล้าแอบอ้างพระบัญชาในองค์ฮ่องเต้เชียวรึ”“ข้าว่าแอบอ้างหรือไม่ ท่านราชครูย่อมรู้ดีแก่ใจนะขอรับ”“ท่านราชครู หลบไปก่อนขอรับทางนี้ข้าจัดการเอง”อยู่ ๆ ได้มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้น หลี่จ้านมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อคนตรงหน้าเลย กระบี่ในมือของอีกฝ่ายเขาจำมันได้ดีว่าคือของผู้ใดองค์ชายที่ผู้คนมองว่าหัวอ่อน ทว่าแท้จริงแล้วแอบซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้อย่างมิดชิด แสร้งทำทีไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่กลับเป็นผู้ชักใยผู้คนให้กำจัดกันเอง เพื่อให้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวคือตนเอง“ทรงมาช่วยเหลือหรือกำจัดเขากันแน่พ่ะย่ะค่
สิบวันถัดมา ข่าวการตายท่านอ๋องน้อยสกุลจ้าว และพระชายาในองค์ชายสี่ได้ถูกโจรปล้น ขณะที่ท่านอ๋องน้อยพาน้องสาวไปท่องเที่ยวยังอารามนอกเมือง ยังไม่ทันซา ข่าวการสิ้นพระชนขององค์ชายห้าก็แผ่ออกไปทั่วเมืองหลวง องค์ชายห้าเกิดล้มป่วยจนสิ้นพระชนนับเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย และข่าวที่ชาวเมืองโจษจันไม่แพ้กัน ที่อยู่ ๆ ทางด้านองค์ชายสี่ได้ออกเดินทางสู่ชายแดนเหนือ หลังสูญเสียพระชายา ชาวเมืองต่างแสดงความเห็นใจองค์ชาย ที่ทนทำใจกับการตายของพระชายาไม่ได้ จึงทรงเดินทางไปอยู่ชายแดนเพื่อรักษาบาดแผลทางใจ แม้ว่าชาวเมืองบางกลุ่มจะมีความคิดเห็นขัดแย้งอยู่บ้าง ส่วนเรื่องของพระนางหรู่เฟย ถูกปิดเป็นความลับ อย่างไรเสียงเรื่องสตรีวังหลังหายตัวไปนับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พระนางหรู่เฟยทำเรื่องเสื่อมเสีย ย่อมไม่ได้รับให้ฝังในสุสานหลวงอย่างแน่นอนส่วนจวนแม่ทัพนั้นดูจะหอมอบอวลไปด้วยความสุข เมื่อแม่ทัพหลี่นั้นได้สั่งให้ย้ายข้าวของทั้งหมดจากเรือนหลิวหลี ไปยังเรือนใหญ่ของท่านตนเอง เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังขึ้นเป็นระยะจากในสวนดอกไม้ คงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากเจ้าของจวนทั้งสองหย
นางไม่รู้ว่าเพราะความผิดพลาดที่ใด คนที่อยู่บนเตียงกับจ้าวหลิวหลี จึงได้กลายมาเป็นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ ทั้งที่นางหมายจะเก็บเขาเอาไว้ใช้งาน เพื่อเป็นบันไดให้แก่ลูก ๆ ของนาง แต่ก็นั้นแหละหลี่จ้านเป็นเพียงแม่ทัพ มิรู้ว่าอนาคตจะไปได้ไกลสักเท่าใดกัน จะมีเขาหรือไม่ในตอนนี้ก็หาได้สำคัญต่อนางแล้ว “ไม่จริง! ข้าไม่ได้คิดต่ำช้าเช่นนั้น ฮือ ๆ” จ้าวหลิวหลีกรีดร้องด้วยความเสียใจ หญิงสาวร้องไห้จนสิ้นสติลงในอ้อมแขนของแม่ทัพหนุ่ม “ปล่อยนางซะ! หลี่จ้าน” จ้าวอ๋องคำรามก้อง เมื่อเห็นบุตรสาวสิ้นสติอยู่ในอ้อมกอดของแม่ทัพหนุ่ม เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ “ข้าหลี่จ้านขอพูดเพียงครั้งเดียว และจะทำอย่างที่พูด ข้าจะแต่งท่านหญิงใหญ่จ้าวหลิวหลีเข้าจวน ในฐานนะภรรยาเพียงหนึ่งเดียว ข้าหวังว่าทุกท่านจะเป็นพยาน และข้าหลี่จ้านต้องขออภัยต่อท่านอ๋องในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะตลบผ้าห่มผืนใหญ่พันร่างของคนในอ้อมแขนเอาไว้ ก่อนจะขยับลุกโดยมีร่างของหญิงสาวอยู่แนบกาย ชายหนุ
จวนสกุลหลี่ เรือนหลิวหลี ร่างเย้ายวนนั่งมองกระดาษที่อยู่ในมือ ก่อนจะวางลงยังเตาเล็กบนโต๊ะน้ำชา “วันนี้เราจะออกไปร้านเครื่องหอมกัน ท่านพี่จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบกับสาวใช้ข้างกาย นางแต่งเข้าจวนมาหลายปี ทว่าสามีนั้นแทบจะมิเคยย่างกรายมายังเรือนของนางเลย เรื่องการเสพสุขระหว่างสามีภรรยาหาได้เคยเกิดขึ้นแม้เพียงครั้ง ‘ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก เกิดมาชาติตระกูลดีสูงส่ง ทว่ากลับถูกสามีรังเกียจ บทนิยายน้ำเน่าสิ้นดี ยามนั้นข้ายังเยาว์ มิใช่ตอนนี้ที่ข้าพร้อมจะเปลี่ยนมันด้วยมือของข้าเอง ชะตาย่อมอยู่ในมือผู้กล้าที่จะเปลี่ยนเสมอ’ จ้าวหลิวหลีคิดอยู่ในใจก่อนจะลุกขึ้น หญิงสาวเดินไปนั่งลงยังกระจกทองเหลือง ร่างงามมองใบหน้าหมดจดของตนเอง ก่อนจะเริ่มแต่งแต้มสีสันให้เข้ากับใบหน้าอย่างใจเย็น สามีเป็นแม่ทัพใหญ่ บุรุษที่สตรีทั่วแผ่นดินหมายปอง และเป็นอดีตคนรักของน้องสาวต่างมารดา ส่วนนางคือท่านหญิงใหญ่แห่งจวนจ้าวสตรีที่เขามองว่าไร้ค่า ซ้ำยังหาญกล้าปีนป่ายเตียงของเขาเมื่อหลายปีก่อน นับแต่นั้นเป็นต้นมา นางเฝ้าเปลี
“หลิวหลีคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” จ้าวหลิหลีย่อกายให้แก่ผู้เป็นบิดา ที่ดูเหมือนกำลังมีโทสะ และนางมิจำเป็นต้องคาดเดา ว่าผู้ใดคือต้นเหตุของความกรุ่นโกรธในครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นนางบุตรสาวผู้น่าชังอย่างแน่นอน “ฮึ ! ยังมีหน้าเรียกข้าว่าพ่ออยู่เช่นนั้นรึ” จ้าวอ๋องตอบกลับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ถึงแม้จะแสดงออกถึงความโกรธกริ้วมากเพียงใด ทว่าคนตรงหน้ากลับยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย ยิ่งเป็นการเพิ่มไฟโทสะให้แก่จ้าวอ๋อง นับเท่าทวีคูณเลยก็ว่าได้ ที่บุตรสาวหาได้ยำเกรงต่อตนเองไม่ “มิทราบว่าท่านอ๋อง มีเรื่องอันใดกับข้าน้อยเช่นนั้นรึเจ้าคะ” จ้าวหลิวหลีเปลี่ยนคำเรียกขานบิดาในทันที นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้เป็นพ่อที่เคยมีความฉลาดรอบรู้ มีความเที่ยงธรรมจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แม้แต่ตอนที่นางถูกใส่ความ จนต้องแต่งแก่แม่ทัพหลี่จ้าน บิดาไม่แม้แต่จะคิดสืบหาความจริง ซ้ำยังมิเคยเหลียวแลนางแม้แต่หางตา ทุกคำของมารดาเลี้ยงและน้องสาวคือความถูกต้อง ส่วนคำของนางนั้น เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลของบุตรสาวผู้ไม่รักดีไปเสียหมด ทุกอย่างเป
จ้าวหลิวหลีหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่ออีกครั้ง นางอาจดูโง่เขลาเมื่อครั้งในอดีต แต่นั้นมันเมื่อก่อนมิใช่ปัจจุบัน ที่นางไม่มีคำว่ายินยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่อไป “เพราะอี้เหมยเห็นแก่คำว่าพี่น้อง เรื่องนี้นางจึงยังมิได้ทูลให้องค์ชายสี่ได้ทรงทราบ” เป็นชุ่ยเหนียงเฟย พระชายาเอกคนปัจจุบันในจ้าวอ๋องกล่าวแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นพระสวามีเริ่มจนในคำพูด “ไม่มีความจำเป็นที่นางต้องทำเช่นนั้น เพราะการวางยาหมายกำจัดสายเลือดมังกร นับเป็นเรื่องใหญ่ที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้ มิเว้นแม้แต่สายเลือดเดียวกัน คำว่าพี่น้องมิใช่ข้ออ้างให้ท่านอ๋องกับพระชายา มากล่าวหาข้าโดยไร้มูลความจริงอยู่อย่างนี้” “เอ่อ...” สองสามีภรรยาจนในคำพูด เมื่อเจ้าของบ้านตอบกลับมาด้วยเหตุผลที่หนักแน่นกว่า จ้าวอ๋องมองไปยังภรรยาที่ตอนนี้เอาแต่หลบสายตาของบุตรสาว แม้แต่เขาที่เป็นพ่อ ยังไม่หาญกล้าที่จะมองตาเอาเรื่องของบุตรสาวคนโตได้เลย คราแรกเขานับว่าถือหมากเหนือกว่า ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่ตกเป็นรองในคำพูด “จะอย่างไรเรื่องนี้ ข้าก็ต้องหาความจริงให้จงได้”