“คนเราเมื่อทำผิด ก็ต้องยอมรับผิด มิใช่หนีอย่างคนขี้ขลาด”
ชายสวมหน้ากากเอ่ยเสียงเรียบ มีเพียงดวงตาที่ฉายแววเยาะหยัน เสมือนการเพิ่มโทสะให้แก่องครักษ์หนุ่มนับเท่าทวีคูณ
“เจ้าหลอกข้า”
“เรื่องใดที่ข้าหลอกเจ้า ตำแหน่งของเจ้าเป็นถึงองครักษ์หลวง สติปัญญามิน่าจะดอยกว่าผู้ใด มีหรือคนเช่นข้าจะไปล่อลวงเจ้าได้”
ชายหนุ่มขบกรามแน่น ตอนนี้นอกจากเขาจะหนีไม่ได้ ทหารได้เข้ามาคุมตัวของพระนางหรู่เฟยแล้วเช่นกัน
“ปล่อยข้า”
ชายหนุ่มพยายามที่จะให้ตนเองหลุดจากการควบคุม แต่ก็ไม่อาจทำได้แววตาโกรธแค้นมองไปยังชายสวมหน้ากาก
“เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น”
ชายสวมหน้ากากเอ่ยขึ้น ขณะก้าวผ่านองครักษ์หนุ่มเพื่อไปหาพระสนมคนงาม ที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
“นายข้าแค่ส่งดาบคืนแก่ท่าน พระนางหรู่เฟย จุ๊ ๆ สิ่งที่ท่านรู้มันจะตายไปพร้อมตัวท่านเอง”
ชายสวมหน้ากากเอ่ยเบา ๆ ข้างหูของพระสนมที่ตอนนี้ได้แต่ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อฟังคำของชายสวมหน้ากากจบ
“เป็นฝีมือนังแพศยานั้นสินะ”
“สำรวมหน่อยพระนาง มิใช่ท่านหรอกรึที่เพียรลงมือต่อผู้อื่น มือท่านเองนะที่ล้มกระดานหมากของตนเอง ยังไม่ทันเดินหมากก็พ่ายแล้ว”
พระนางหรู่เฟยได้แต่กำหมัดแน่น นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะพลาดพลั้งให้แก่เด็กปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม เมื่อจ้าวหลิวหลีหมายทำลายนาง เช่นนั้นสิ่งที่นางเพิ่งรู้ก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป
“ข้าจะทำให้นางอยู่ไม่สุขอีกต่อไป”
“หากนายข้าอ่อนหัดถึงปานนั้น คงอยู่มาไม่ได้ถึงวันนี้ คิดจะลงมือต่อผู้ใด ทรงดูว่ามือเท้าของอีกฝ่ายมีสิ่งใดรองรับบ้าง มิใช่ดึงดันโดยมิเหลียวมองตนเองเสียก่อน”
ทุกถ้อยคำของชายสวมหน้ากาก เป็นการบอกถึงความเป็นจริงที่นางกำลังเผชิญอยู่ โทษของนางมิพ้นความตาย และแน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมิจำเป็นต้องไต่สวน เพราะผู้ที่พบเห็นคือพระสวามีของนางเอง
“ตู้กงกงข้ามิรบกวนแล้ว เชิญท่านทำตามหน้าที่เถิด”
ชายสวมหน้ากากหันไปเอ่ยกับตู้กงกง ที่ได้รับคำสั่งให้จัดการเรื่องนี้ เมื่อคำสั่งเด็ดขาดจากผู้เป็นนายได้ประกาศิตมาแล้ว ทุกอย่างต้องเสร็จสิ้นตามนั้น
มันคือความมักมากของพระนางหรู่เฟยและองครักษ์ผู้นี้ จะโทษผู้ใดได้ แค่เขาคอยทำให้ทุกอย่างสำหรับทั้งสองดูเป็นความลับมาตลอดเท่านั้นเอง มันก็แค่เพียงรอเวลาที่จะลงมือ มิใช่เห็นดีเห็นงามกับเรื่องต่ำช้าเช่นนี้
‘ยังเหลือเจ้าเกาจิ้ง ข้าจะตอบแทนความโอหังของเจ้าอย่างไรดีนะ’
ชายหนุ่มคิดพร้อมกับก้าวจากไปอย่างใจเย็น โดยไม่สนใจว่าด้านหลังนั้นจะเกิดสิ่งใดขึ้น หน้าที่ของเขาในวังหลวงสิ้นสุดลงเท่านี้
จวนจ้าวอ๋อง
เสียงวิ่งด้วยความร้อนใจดังขึ้นจากด้านหน้าเรือน จ้าวอ๋องขมวดคิ้วเป็นปม เขาไม่อยากที่จะรับรู้เรื่องใดอีกแล้วในตอนนี้ ทั้งใจของเขาเหนื่อยล้าเหลือเกิน ร่างกายแทบจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงเสียให้ได้
“เรียนท่านอ๋อง คือว่า...”
“มีเรื่องอะไรก็ว่ามาสิ แค่นี้ยังไม่มากพออีกหรืออย่างไร”
“ที่เรือนท่านหญิงรองขอรับ”
ได้ยินเท่านั้นร่างที่อ่อนแรงพลันลุกขึ้นในทันที ไม่เว้นแม้แต่พระชายาจ้าวที่นอนสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ ก็ได้ผุดลุกขึ้นจากเตียงเช่นกัน สองสามีภรรยาก้าวออกจากห้อง ตรงไปยังเรือนของบุตรสาว
ใจของทั้งคู่นั้นเต้นระส่ำด้วยความรู้สึกหลากหลาย ชุ่ยเหนียงเฟยถลาไปยังเตียงนอนของบุตรสาว สิ่งที่เห็นทำให้ร่างงามสั่นเทิ้มจนไม่อาจควบคุมได้ ก่อนที่สติทั้งหมดของนางจะดับวูบลง
จ้าวอ๋องรับร่างของภรรยาเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะมองยังเตียงของบุตรสาว
“อ๊ากก ทำไมเป็นแบบนี้ ข้าทำผิดอันใดไยสวรรค์จึงมิเห็นใจ”
จ้าวอ๋องโทษเทพเซียนที่พรากลูก ๆ ของเขาให้ตายจาก เวลานี้ไม่ใช่เพียงเสียทายาท แม้แต่อำนาจที่พึงมีก็กำลังจะสูญหายไปด้วยเช่นกัน
สิ้นบุตรสาวอันเป็นที่รัก บารมีที่เขาได้จากตำแหน่งของนาง ก็หายไปด้วยเช่นกัน เวลานี้เขาไม่อาจที่จะเอ่ยได้ว่าตนเองมีพร้อมทุกสิ่ง อนาคตนับจากนี้คงหมดสิ้นแล้วจริง ๆ
ภาพในอดีตย้อนวนเข้ามาในหัว ทุกคำพูดของบุตรสาวคนโต ทำให้เขาได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว เป็นนางที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง และเป็นนางที่ทำลายเขาเพื่อแก้แค้นแทนแม่ของนาง
‘หึ ๆ เจ้าฉลาดเกินไปแล้วหลิวหลี เจ้าปิดทุกเส้นทางของชีวิตข้า เพราะต่อให้ข้ากล่าวหาเจ้าตอนนี้ก็ไร้ผู้รับฟัง ด้วยสิ้นแล้วซึ่งอำนาจในมือ’
จ้าวอ๋องทำได้เพียงขบขันในโชคชะตาของตนเอง ท่อนแขนที่สิ้นเรี่ยวแรงพยายามที่จะพยุงร่างของภรรยาเอาไว้ในอ้อมแขน เขาผิดที่ทำร้ายอดีตพระชายา ผิดที่มิให้ความเท่าเทียมต่อจ้าวหลิวหลี แต่เขาก็ไม่ผิดที่มิเคยรักมารดาของนางและไม่ต้องการบุตรสาวเช่นนางด้วย
เสียงคำรามประหนึ่งพยัคฆ์บาดเจ็บของจ้าวอ๋อง ทำให้ใครอีกคนที่ยืนอยู่ภายในความมืดยกยิ้มสาแก่ใจ ร่างสูงก้าวจากไปเมื่อทำอีกหน้าที่ได้สำเร็จแล้ว
คนพวกนี้มิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตา ถึงปานนั้นก็ยังมิรู้จักสำนึกใด ๆ เลย เพียรพยายามคิดว่าตนเองนั้นไม่เคยทำผิดต่อผู้อื่น โยนทุกความเลวร้ายออกจากตนเองทั้งที่ผู้ก่อคือตนเองทั้งสิ้น
บทลงโทษใดจะทรมานเท่าการสูญเสีย นายหญิงของเขาเมตตาต่อคนพวกนี้มิน้อย ที่มอบความเจ็บปวดตลอดชีวิตให้แทนการพรากลมหายใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น
จ้าวหลิวหลี มองดูคนที่ยังแสร้งหลับอยู่ข้างกาย ท่อนแขนแกร่งยังคงพาดทับตัวนางเอาไว้มิให้ลุกไปไหนได้ เมื่อคืนสามีของนางหาข้ออ้างมากมาย เพื่อที่จะได้นอนร่วมห้องกับนาง ด้วยข้ออ้างว่าเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
อีกทั้งอาการป่วยที่เป็นมานานหลายเดือน แน่นอนว่านางไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ ด้วยฐานะภรรยาจำต้องคอยปรนนิบัติสามียามเจ็บป่วย
ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงข้ออ้าง ซึ่งก็รู้ดีแก่ใจว่าเขานั้นแข็งแรงดี แต่ความรู้สึกลึก ๆ ของนางนั้นไยกับรู้สึกอิ่มเอมมากมายด้วยเล่า ตลอดคืนที่ผ่านมานั้นนางแทบมิได้หลับเลย
ด้วยสามีโอบกอดนางเอาไว้แนบกายทั้งคืน จนตอนนี้เขายังคง
เพราะเหตุใดไม่รู้มันรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้ง ที่ร่างแกร่งขยับกายบดเบียดกับตัวนาง ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดข้างแก้มนางนั้น ทำให้หัวใจของนางเต้นมิเป็นส่ำตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว “ท่านพี่ควรตื่นได้แล้วนะเจ้าคะ สาย...อ๊ะ...” อุ๊บ! อื้อ! ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม เรียวปากงามก็ถูกปิดลงเสียก่อน สภาพของนางในตอนนี้ ยากที่จะขัดขืนอีกฝ่ายได้ เมื่อท่อนขาแกร่งทับขาของนางเอาไว้เสียก่อน มือบางที่หมายจะผลักไสเขาออกให้พ้นกาย ได้ถูกรวบเอาไว้เหนือศีรษะ ริมฝีปากอวบอิ่มถูกขบเม้ม ก่อนจะใช้ลิ้นสากดันเรียวปากของนางให้เปิดออก เพื่อให้เขาได้ควานหาความหวานที่ซ่อนอยู่ภายในเมื่อถูกบดจูบอย่างหิวกระหายจากสามีผู้ช่ำชอง ความเคลิบเคลิ้มทำให้หญิงสาวค่อย ๆ เผยอริมฝีปากออกอย่างลืมตัว ทั้งที่ในใจนั้นนางคิดที่จะขัดขืนเขาอย่างเต็มที่“อื้อ!”เสียงครางเบา ๆ ดังลอดออกมา หลี่จ้านมิปล่อยโอกาสให้หลุดมือ ชายหนุ่มเกี่ยวกวัดปลายลิ้มเล็ก ก่อนจะดูดดึงลิ้นบางนั้นอย่างพึงพอใจ ท่อขาแข็งแกร่งขยับแทรกเรียวขางามให้แยกออกก่อนจะขยับบดเบียดอย่างเนิบช้าเพื่อปลุกเร้าภรรยา โดยที่ลิ้นสากของเขายังคงกวัดรัดดึง
“ต่อไปอย่าได้ดื้อรั้นต่อสามีอีก เข้าใจหรือไม่น้องหญิง”ชายหนุ่มกระซิบเย้าภรรยา ด้วยสายตากรุ่มกริ่ม จ้าวหลิวหลีวงหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี จะเก่งกาจปานใดย่อมต้องรู้สึกเขินอายเมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ของบุรุษ ช้ำเรือนร่างของนางยังไร้ซึ่งสิ่งปกปิด นางไม่คิดเลยว่าสามีผู้ไม่เคยเหลียวมองนางมาตลอด วันนี้จะเปลี่ยนไปเสียจนนางเองยังตั้งรับไม่ทัน“ข้ามิเคยดื้อสักหน่อย”จ้าวหลิวหลีเสหลบตาสามี พร้อมปฏิเสธสามีด้วยน้ำเสียกระเง้ากระงอด“เช่นนั้นนับแต่นี้ไปอย่าให้ต้องออกแรง เข้าใจหรือไม่”ปึก! กำปั้นของหญิงสาวทุบอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยความขัดเขิน เขาช่างกล้าพูดอย่างน่าไม่อาย เรื่องเช่นนี้มิจำเป็นต้องบอกก็ได้ “มิรู้จักอายบ้างหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ๆ อายทำไม ก็พี่อยากให้เจ้ามีความสุข”“คนบ้า! หน้ามิอายพูดอันใดออกมา....อื้อ!”ยังมิทันได้ต่อว่าสามีให้สาสมดังใจคิด ทว่าเรียวปากงามก็ถูกปิดลงอีกครั้ง และในครั้งนี้หญิงสาวมิได้ปฏิเสธ แต่กลับตอบสนองสามีด้วยความไร้เดียงสาในเรื่องเช่นนี้สองร่างกอดรัดกันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความเร้าร้อนขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มสอนบทรักให้แก่หญิงสา
แม่ทัพหนุ่มเดินไปหาพ่อบ้าน ก่อนจะสั่งการอะไรบางอย่าง เจาหยางค้อมหัวเล็กน้อยก่อนจะถอยฉากออกไป หลี่จ้านยังคงเดินเสมือนคนป่วยอยู่ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป รถม้าจวนหลี่ได้เคลื่อนตัวออกไปยังทิศทางของจวนราชครู เกาจิ้งผู้นี้ชรามากแล้วแต่ยังฝักใฝ่ในอำนาจมิรู้จักพอ ชักใยอยู่เบื้องหลังองค์ชายห้าเพื่อให้ช่วงชิงราชตำแหน่งรัชทายาท โดยแสร้งร่วมมือกับพระนางหรู่เฟย เพื่อหาช่องทางกำจัดองค์ชายสี่ ความเป็นคนหัวอ่อนขององค์ชายห้าทำให้ง่ายต่อการควบคุมแม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาไม่เลือกที่จะยืนข้างองค์ชายคนไหนเลย เพราะตัวเขานั้นยืนเคียงข้างองค์ฮ่องเต้แต่ผู้เดียว หากมีการผลัดแผ่นดิน ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องมิใช่การช่วงชิงเขาหลี่จ้านก็จะภักดีจนลมหายใจสุดท้ายเช่นกัน แต่เพราะเขามิเลือกข้างจึงทำให้ต้องเหนื่อยใจอยู่อย่างนี้ หากภรรยาไม่ส่งคนไปช่วยเหลือ ป่านนี้มีหรือเขาจะยังมีลมหายใจฮี่ ๆ เสียงม้าร้องด้วยความแตกตื่น รถม้าโคลงไปมาอย่างแรง หลี่จ้านรีบคว้าตัวภรรยาเขามาสวมกอด เมื่อรถม้าหยุดลง เสียงการต่อสู้ด้านนอกเกิดในทันที“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินมีคนร้ายขอรับ”ตูหลงตะโกนบอกคนด้า
แต่วันนี้เขาคงต้องตัดความคิดนั้นออกไปเสีย ใครจะไปคาดคิดว่าท่านหญิงกำพร้ามารดาเช่นนาง จะมีฝีมือมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งหลี่จ้านที่ควรจะอ่อนแรงด้วยพิษที่เขาให้ตูหลงใส่ในอาหารยาบำรุงกลับไม่เป็นอะไรเลย ทั้งยังมายืนลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเขาอยู่ในตอนนี้“เจ้าคงไม่คิดที่จะทำเรื่องสิ้นคิดหรอกนะ หลี่จ้าน”“หากข้าปล่อยท่านราชครูกลับไปต่างหากเล่าขอรับ จึงจะถือว่าเป็นเรื่องสิ้นคิด”“เจ้ากล้ารึ”“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ท่านราชครูพ้นตำแหน่ง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ”“โอหังนัก กล้าแอบอ้างพระบัญชาในองค์ฮ่องเต้เชียวรึ”“ข้าว่าแอบอ้างหรือไม่ ท่านราชครูย่อมรู้ดีแก่ใจนะขอรับ”“ท่านราชครู หลบไปก่อนขอรับทางนี้ข้าจัดการเอง”อยู่ ๆ ได้มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้น หลี่จ้านมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อคนตรงหน้าเลย กระบี่ในมือของอีกฝ่ายเขาจำมันได้ดีว่าคือของผู้ใดองค์ชายที่ผู้คนมองว่าหัวอ่อน ทว่าแท้จริงแล้วแอบซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้อย่างมิดชิด แสร้งทำทีไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่กลับเป็นผู้ชักใยผู้คนให้กำจัดกันเอง เพื่อให้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวคือตนเอง“ทรงมาช่วยเหลือหรือกำจัดเขากันแน่พ่ะย่ะค่
สิบวันถัดมา ข่าวการตายท่านอ๋องน้อยสกุลจ้าว และพระชายาในองค์ชายสี่ได้ถูกโจรปล้น ขณะที่ท่านอ๋องน้อยพาน้องสาวไปท่องเที่ยวยังอารามนอกเมือง ยังไม่ทันซา ข่าวการสิ้นพระชนขององค์ชายห้าก็แผ่ออกไปทั่วเมืองหลวง องค์ชายห้าเกิดล้มป่วยจนสิ้นพระชนนับเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย และข่าวที่ชาวเมืองโจษจันไม่แพ้กัน ที่อยู่ ๆ ทางด้านองค์ชายสี่ได้ออกเดินทางสู่ชายแดนเหนือ หลังสูญเสียพระชายา ชาวเมืองต่างแสดงความเห็นใจองค์ชาย ที่ทนทำใจกับการตายของพระชายาไม่ได้ จึงทรงเดินทางไปอยู่ชายแดนเพื่อรักษาบาดแผลทางใจ แม้ว่าชาวเมืองบางกลุ่มจะมีความคิดเห็นขัดแย้งอยู่บ้าง ส่วนเรื่องของพระนางหรู่เฟย ถูกปิดเป็นความลับ อย่างไรเสียงเรื่องสตรีวังหลังหายตัวไปนับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พระนางหรู่เฟยทำเรื่องเสื่อมเสีย ย่อมไม่ได้รับให้ฝังในสุสานหลวงอย่างแน่นอนส่วนจวนแม่ทัพนั้นดูจะหอมอบอวลไปด้วยความสุข เมื่อแม่ทัพหลี่นั้นได้สั่งให้ย้ายข้าวของทั้งหมดจากเรือนหลิวหลี ไปยังเรือนใหญ่ของท่านตนเอง เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังขึ้นเป็นระยะจากในสวนดอกไม้ คงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากเจ้าของจวนทั้งสองหย
นางไม่รู้ว่าเพราะความผิดพลาดที่ใด คนที่อยู่บนเตียงกับจ้าวหลิวหลี จึงได้กลายมาเป็นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ ทั้งที่นางหมายจะเก็บเขาเอาไว้ใช้งาน เพื่อเป็นบันไดให้แก่ลูก ๆ ของนาง แต่ก็นั้นแหละหลี่จ้านเป็นเพียงแม่ทัพ มิรู้ว่าอนาคตจะไปได้ไกลสักเท่าใดกัน จะมีเขาหรือไม่ในตอนนี้ก็หาได้สำคัญต่อนางแล้ว “ไม่จริง! ข้าไม่ได้คิดต่ำช้าเช่นนั้น ฮือ ๆ” จ้าวหลิวหลีกรีดร้องด้วยความเสียใจ หญิงสาวร้องไห้จนสิ้นสติลงในอ้อมแขนของแม่ทัพหนุ่ม “ปล่อยนางซะ! หลี่จ้าน” จ้าวอ๋องคำรามก้อง เมื่อเห็นบุตรสาวสิ้นสติอยู่ในอ้อมกอดของแม่ทัพหนุ่ม เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ “ข้าหลี่จ้านขอพูดเพียงครั้งเดียว และจะทำอย่างที่พูด ข้าจะแต่งท่านหญิงใหญ่จ้าวหลิวหลีเข้าจวน ในฐานนะภรรยาเพียงหนึ่งเดียว ข้าหวังว่าทุกท่านจะเป็นพยาน และข้าหลี่จ้านต้องขออภัยต่อท่านอ๋องในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะตลบผ้าห่มผืนใหญ่พันร่างของคนในอ้อมแขนเอาไว้ ก่อนจะขยับลุกโดยมีร่างของหญิงสาวอยู่แนบกาย ชายหนุ
จวนสกุลหลี่ เรือนหลิวหลี ร่างเย้ายวนนั่งมองกระดาษที่อยู่ในมือ ก่อนจะวางลงยังเตาเล็กบนโต๊ะน้ำชา “วันนี้เราจะออกไปร้านเครื่องหอมกัน ท่านพี่จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบกับสาวใช้ข้างกาย นางแต่งเข้าจวนมาหลายปี ทว่าสามีนั้นแทบจะมิเคยย่างกรายมายังเรือนของนางเลย เรื่องการเสพสุขระหว่างสามีภรรยาหาได้เคยเกิดขึ้นแม้เพียงครั้ง ‘ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก เกิดมาชาติตระกูลดีสูงส่ง ทว่ากลับถูกสามีรังเกียจ บทนิยายน้ำเน่าสิ้นดี ยามนั้นข้ายังเยาว์ มิใช่ตอนนี้ที่ข้าพร้อมจะเปลี่ยนมันด้วยมือของข้าเอง ชะตาย่อมอยู่ในมือผู้กล้าที่จะเปลี่ยนเสมอ’ จ้าวหลิวหลีคิดอยู่ในใจก่อนจะลุกขึ้น หญิงสาวเดินไปนั่งลงยังกระจกทองเหลือง ร่างงามมองใบหน้าหมดจดของตนเอง ก่อนจะเริ่มแต่งแต้มสีสันให้เข้ากับใบหน้าอย่างใจเย็น สามีเป็นแม่ทัพใหญ่ บุรุษที่สตรีทั่วแผ่นดินหมายปอง และเป็นอดีตคนรักของน้องสาวต่างมารดา ส่วนนางคือท่านหญิงใหญ่แห่งจวนจ้าวสตรีที่เขามองว่าไร้ค่า ซ้ำยังหาญกล้าปีนป่ายเตียงของเขาเมื่อหลายปีก่อน นับแต่นั้นเป็นต้นมา นางเฝ้าเปลี
“หลิวหลีคารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” จ้าวหลิหลีย่อกายให้แก่ผู้เป็นบิดา ที่ดูเหมือนกำลังมีโทสะ และนางมิจำเป็นต้องคาดเดา ว่าผู้ใดคือต้นเหตุของความกรุ่นโกรธในครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นนางบุตรสาวผู้น่าชังอย่างแน่นอน “ฮึ ! ยังมีหน้าเรียกข้าว่าพ่ออยู่เช่นนั้นรึ” จ้าวอ๋องตอบกลับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ถึงแม้จะแสดงออกถึงความโกรธกริ้วมากเพียงใด ทว่าคนตรงหน้ากลับยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย ยิ่งเป็นการเพิ่มไฟโทสะให้แก่จ้าวอ๋อง นับเท่าทวีคูณเลยก็ว่าได้ ที่บุตรสาวหาได้ยำเกรงต่อตนเองไม่ “มิทราบว่าท่านอ๋อง มีเรื่องอันใดกับข้าน้อยเช่นนั้นรึเจ้าคะ” จ้าวหลิวหลีเปลี่ยนคำเรียกขานบิดาในทันที นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้เป็นพ่อที่เคยมีความฉลาดรอบรู้ มีความเที่ยงธรรมจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แม้แต่ตอนที่นางถูกใส่ความ จนต้องแต่งแก่แม่ทัพหลี่จ้าน บิดาไม่แม้แต่จะคิดสืบหาความจริง ซ้ำยังมิเคยเหลียวแลนางแม้แต่หางตา ทุกคำของมารดาเลี้ยงและน้องสาวคือความถูกต้อง ส่วนคำของนางนั้น เป็นเพียงเรื่องเหลวไหลของบุตรสาวผู้ไม่รักดีไปเสียหมด ทุกอย่างเป