จ้าวอ๋องรู้ดีว่าบุตรชายหญิงของตนนั้น ต้องการลมหายใจของจ้าวหลิวหลี แต่บุตรสาวอ่อนแอเช่นนางย่อมไม่มีทางทำอันตรายอันใดต่อลูก ๆ ของเขาได้ ยกเว้นหลี่จ้านที่อาจจ้างมือดีคอยปกป้องภรรยา
“เพราะมัน...เพราะมันคนเดียวนังหลิวหลี เอาลูกข้าคืนมา ฮือ ๆ”
จ้าวอ๋องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น หัวใจของเขาบีบคั้นจนเกินจะรับได้ ทายาทเพียงคนเดียวต้องจบชีวิตลง บุตรสาวที่เปรียบดังแก้วตาดวงใจก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เห็นทีเรื่องนี้เขาคงต้องเลือกข้างให้ถูกเสียที ไม่ว่ามันผู้ใดที่แตะต้องครอบครัวของเขาในวันนี้ จะต้องชดใช้ให้แก่เขาอย่างสาสม
ในมุมมืดร่างสูงของใครบางคน กำลังยืนมองเจ้าของจวนด้วยแววตาเฉยชา
‘ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังมิรู้จักสำนึกอีกหรือท่านอ๋อง นี่สินะที่เขาว่าผู้ที่รักต่ำช้าเพียงใดก็รัก ผู้ที่ชังความดีนับหมื่นก็ชิงชัง’
ร่างสูงหมุนกายจากไปอย่างเงียบ ๆ ภารกิจของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าจะเป็นเรื่องขัดใจเขาอยู่บางกับการนำร่างของอ๋องน้อยมาส่งคืน แต่นี่คือความประสงค์ของผู้เป็นนาย เขาจึงมิอาจ
เสียงร้องไห้ค่ำครวญอาจทำให้ผู้คนที่ไม่รู้ความจริงสงสาร แต่กับคนที่เพิ่งจากไปนั้น เขารู้สึกรังเกียจผู้ที่กำลังร่ำไห้ปานจะขาดใจอยู่ในตอนนี้ยิ่งนัก
ยามเช้าในวันถัดมา
แม่ทัพหลี่จ้านได้เดินทางกลับเข้าเมืองหลวง โดยมีชาวเมืองออกไปเฝ้าดูพร้อมกล่าวคำชื่นชมจนแน่นขนัด จ้าวหลิวหลีที่นั่งอยู่ภายในรถม้าเพียงลำพัง คอยมองออกไปด้านนอกอยู่บ่อยครั้ง
ความรู้สึกบางอย่างกำลังทำให้นางไม่ค่อยสงบ รถม้าของนางได้แยกออกจากขบวนทัพของสามี ที่กำลังมุ่งตรงไปวังวังหลวง เพื่อเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เสียก่อน แล้วจึงจะกลับจวนในช่วงบ่าย
“ประเดี๋ยวไปที่หลานผ้าหลีเค่อหน่อยนะ ข้าจะไปดูผ้ามาตัดชุดให้ท่านแม่ทัพ”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยกับเจาหยางที่มารับหน้าขับรถม้าให้แก่นาง หญิงสาวรู้สึกกังวลจนไม่อาจกลับไปนั่งรอสามียังจวนได้
“ขอรับฮูหยิน”
หลี่จ้านรู้สึกแปลกใจ เมื่อรถม้าของเขาที่ภรรยานั่งอยู่ แยกจากขบวนไปยังทิศทางที่มิใช่จวนหลี่ แต่เพราะตอนนี้เขาต้องเข้าเฝ้าจึงไม่อาจที่จะสอบถามหรือติดตามนางไปได้
เมื่อถึงหน้าร้านผ้า จ้าวหลิวหลีพร้อมเสี่ยวเชี่ยน ได้เดินเข้าไปด้านในเพียงสองคน ส่วนเจาหยางจำต้องนำรถม้าไปจอดรอยังอีกฝั่งของถนน
“หลีเค่อยินดีตอนรับหลี่ฮูหยิน”
จ้าวหลิวหลีพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะแจ้งความประสงค์ที่จะเลือกผ้าในชั้นพิเศษของทางร้าน สองนายบ่าวก้าวตรงไปยังชั้นบน โดยมีคนของทางร้านนับพับผ้าชั้นดีจำนวนมากติดตามขึ้นไป
เมื่อประตูห้องปิดลงหลังจากคนของทางร้าน วางพับผ้าชุดสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเชี่ยนรีบก้าวไปยังชั้นหนังสือด้านหลังห้อง ก่อนจะทำบางอย่างกับเชิงเทียน
เพียงครู่เดียวชั้นหนังสือได้เลื่อนออก เผยให้เห็นอีกห้องในทันที จ้าวหลิวหลีได้เดินเข้าไปด้านใน โดยที่เสี่ยวเชี่ยนยังคงรั้งอยู่ภายในห้องด้านนอก
“จางเค่อคารวะนายหญิง”
จางเค่อรีบลุกขึ้นประสานมือให้แก่ผู้เป็นนาย ก่อนจะรีบจัดเตรียมชาให้แก่หญิงสาวที่ก้าวไปนั่งยังเก้าอี้ด้านใน
“ไยข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย ปกติแล้วข้ามิเคยเป็นแบบนี้มาก่อน”
“นายหญิงมีสิ่งใดเป็นกังวลหรือขอรับ”
“ข้าคิดว่าคนหลังกำแพง และเหล่าขุนนางกำลังจะเคลื่อนไหว และครั้งนี้จะรุกเพื่อหวังผล”
“มิแปลกขอรับ เพราะตอนนี้ท่านแม่ทัพกลับถึงเมืองหลวงแล้ว ทุกฝ่ายย่อมต้องเร่งลงมือ”
“ช่างเถอะ! เรื่องนี้เราแค่ป้องกันให้แน่นหนาขึ้น แต่ที่ข้าอยากรู้คือน้องสาวคนดีของข้าหายไปที่ใด”
“เป็นองครักษ์ในพระนางหรู่เฟยขอรับ”
“เจ้าแน่ใจนะ”
“ขอรับ”
“พระนางหรู่เฟยจงใจยื่นมีดใส่มือข้า เพื่อให้ข้าสังหารพี่น้องตนเอง ยามนั้นคงหมายจะใช้เรื่องนี้บีบบังคับข้าสินะ หึ ๆ เห็นที่ข้าคงต้องยื่นดาบคืนนางแล้วกระมัง”
จ้าวหลิวหลี ยกยิ้มหยันแม่สามีกับลูกสะใภ้สูงศักดิ์ที่มิเคยชอบหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างหวังเพียงความเป็นใหญ่ กำลังคิดที่จะพลิกหมากทั้งกระดาน
พระนางหรู่เฟยคิดว่าเดินหมากได้ดีแล้ว นางคงยังไม่รู้จักการถูกกลืนหมากทั้งกระดานกระมัง
“นายหญิงจะให้ข้าลงมือเลยหรือไม่”
“ทำให้นางไร้ที่ยืน ก่อนที่นางคิดจะทำลายสามีของข้า”
จ้าวหลิวหลีออกคำสั่งอย่างไม่ลังเลใด ๆ นางรู้แต่แรกแล้วว่าคนจากตำหนักหรู่เฟย ติดตามน้องสาวและน้องชายของนางมา มันคือสิ่งที่นางจงใจให้เป็นเช่นนั้น
เพราะเมื่อหลายปีก่อน ที่นางต้องติดตามสามีไปร่วมงานล่าสัตว์พระนางหรู่เฟยถูกลอบทำร้าย นางที่อยู่ด้วยจำต้องช่วยชีวิตพระนางเอาไว้ทำให้พระสนมผู้สูงส่ง คิดว่าตนเองกุมความลับของนางเอาไว้มาโดยตลอด
หมายจะใช้มันเป็นข้อต่อลองเรื่องสามีของนาง สตรีที่คิดว่าตนเองฉลาดล้ำไม่เคยรู้เลยว่ากำลังตกอยู่ในใยแมงมุมของผู้อื่น นางนิ่งเพื่อรอเวลาเท่านั้น วันนี้สามีของนางกลับถึงวังหลวงอย่างปลอดภัย
นางไม่จำเป็นต้องเก็บงูพิษเอาไว้ให้เป็นอันตรายอีก อันในจำเป็นต้องกำจัดก็ควรลงมือเสีย
“แล้วพระชายาสี่เล่าขอรับ จะให้ข้าจัดการไปเสียทีเดียวหรือไม่”
“ตีงูอย่าให้หลังหัก เพราะเมื่อไหร่ที่มันหายดี มันจะกลับมากัดเราเอาได้”
“ข้าน้อยจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยขอรับ”
“อ่อ! อย่างไรก็ส่งนางกลับบ้านด้วย พ่อแม่นางจะได้หมดห่วง ส่วนเกาจิ้งตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น อย่าได้ให้นั่งอยู่ได้นาน เอาให้สาสมกับสิ่งที่มันได้ร่วมมือกับสตรีต่ำช้าทำกับมารดาของข้า”
จางเค่อรับรู้ได้ถึงความกรุ่นโกรธ ในน้ำเสียงของผู้เป็นนายได้เป็นอย่างดี ศึกครั้งนี้ผู้ที่ได้ประโยชน์สุดคงหนีไม่พ้นฮ่องเต้ และแน่นอนว่าผู้ที่นายหญิงของเขาหนุนหลัง จะก้าวสู่ตำแหน่งองค์รัชทายาทโดยไร้ผู้ขัดขวาง
“นายหญิงโปรดวางใจ ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว”
“คืนนี้เกาสงคิดที่จะลงมือต่อข้า เพื่อทำผลงานให้เจ้าจิ้งจอกเกาจิ้งสินะ ข้าจะไปรอท่านแม่ทัพหน้าประตูวัง เรื่องนี้ข้าฝากเจ้าจัดการด้วย”
“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ นายหญิงเองก็ระวังตัวสักหน่อยนะขอรับ จางเค่อมิอาจติดตามใกล้ชิดได้ ข้าเกรงว่าจะมีผู้คิดลงมือต่อท่านแม่ทัพและนายหญิงขอรับ”
“หลี่จ้านมิใช่คนเขลา เขาคงรู้แล้วว่าจิ้งจอกข้างตัวคือใคร”
“ขอรับ”
จางเค่อเข้าใจในอารมณ์ขอผู้เป็นนายดี เพราะตลอดสองปีที่ท่านแม่ทัพออกสู่ชายแดน นายหญิงของเขาต้องรับมือกับครอบครัวบิดาของนาง แล้วไหนจะผู้ที่คิดจะทำลายท่านแม่ทัพ ก็คอยจ้องเล่นงานผู้เป็นนายของเขามิเว้นวัน จ้าวหลิวหลี ลุกขึ้นก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อยให้แก่จางเค่อ สำหรับนางแล้วหากไร้ชายผู้นี้คอยเป็นดั่งแขนขา คงไม่อาจยืนอยู่ตรงนี้ได้ แม้จะมีเงินหากไร้ความเคารพต่อผู้อื่น ก็มิอาจที่จะซื้อใจผู้ใดได้เลย นางใช้ใจแลกกับความภักดี นางมองทุกคนเสมือนพี่น้อง สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในหลีเค่ออยู่ภายใต้อำนาจของนางโดยมิต้องบีบบังคับ เมื่อออกมายังห้องชั้นนอกแล้ว เสี่ยวเชี่ยนได้เรียกคนของร้านมายกพับผ้าที่นางเลือก เพื่อนำไปส่งยังจวนหลี่ สองนายบ่าวออกจากร้านเดินไปยังรถม้าที่เจาหยางรออยู่อย่างใจเย็น “ท่านลุงเจา เราไปนั่งกินขนมใกล้หน้าประตูวังกันดีกว่านะ ข้าจำได้ว่ามีร้านหนึ่งอร่อยมากเลย” “ได้ขอรับ” เจาหยางไม่คิดที่จะถามอะไรให้มากความ แค่นายหญิงของบ้านพยายามที่จะหาหนทางรอผู้เป็นนายของเขานั้น ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ฮูหยินเข้าไปในหลีเค่อ
ชุ่ยเหนียงเฟยเสมือนคนสติไม่อยู่กับตัว ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้ดูแทบไม่ได้เลย คำพูดที่พรั่งพรูออกมา ล้วนหยาบคายมิสมฐานะที่เป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย “ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดต่ำช้าจากปากพระชายาอ๋องเช่นท่าน และโปรดรู้เอาไว้ด้วยว่าข้าคือสามีของหลีเอ๋อร์ มิใช่คนรักของธิดาท่านอย่างที่กล่าวมา โปรดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนนะขอรับ จึงค่อยพูดสิ่งใดออกมา” หลี่จ้านไม่ได้หันมองภรรยา แต่ทุกถ้อยคำของเขานั้นหนักแน่น สิ่งที่มารดาเลี้ยงของภรรยาพูดมานั้น อาจเป็นฉนวนทำลายเขาได้ทั้งตระกูลเลยทีเดียว “อย่าบอกนะว่าเจ้าเสียท่าให้แก่นางแล้ว นางมันนังจิ้กจอก” ชุ่ยเหนียงเฟยชี้นิ้วไปยังจ้าวหลิวหลี ที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องสามี มุมบากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ นางไม่จำเป็นต้องเห็นใจผู้ที่ทำร้ายนางก่อน “พระชายาโปรดสำรวมคำพูด ข้าและนางเป็นสามีภรรยา เรื่องในห้องมิจำเป็นต้องประกาศให้ผู้อื่นรู้ หรือท่านชื่นชอบเล่าเรื่องเช่นนั้นให้สหายและชาวเมืองฟังขอรับ” “หยุดสามหาวได้แล้วนะหลี่จ้าน” ในที่สุดจ้าวอ๋องก็หาเสียงของตนเองเจอ เมื่อภรรยารักไม่ได้รับควา
กลางดึก ณ ตำหนักหรู่เฟยภายในห้องหนังสือกำลังมีสองร่างโอบกอดกันอยู่ ใบหน้าของชายหนุ่มที่เรือนร่างเปลือยเปล่า กำลังซุกไซ้ซอกคอขาวเนียนของฝ่ายหญิง เสียงครางเบา ๆ ดังออกมาจากเรียวปากอวบอิ่ม เมื่อมือหนาของชายหนุ่มเคล้นคลึงสองเต้างาม “อื้อ…ส่งสารถึงนางหรือยัง อ๊า...” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมครางเบา ๆ ความเสียวซ่านแล่นทั่วกาย เมื่อถูกชายหนุ่มรุกเร้ามิหยุดมือ “ข้าเคยทำให้พระนางผิดหวังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบจมูกคมได้กดลงยังแก้มเนียน ก่อนจะเลื่อนลงมายังซอกคอหอมกรุ่นอีกครั้ง ริมฝีปากหนาจูบซับความเย้ายวนอย่างอ่อนโยน มือหยาบบีบคลึงสะโพกงอนงามหนัก ๆ ก่อนจะดันให้แนบกับแก่นกายของตนเอง “ไม่ใช่เวลานี้” เสียงสั่นระริกเอ่ยห้ามชายหนุ่ม ทว่าร่างกายนั้นหาได้ทำตามอย่างที่ปากพูด ยิ่งเมื่อมืออีกข้างของชายหนุ่มเลื่อนลงไปยังเนินดอกไม้ ความร้อนรุ่มกลับระอุร้อนขึ้นเรื่อย ๆ “ดึกแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเราอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาไม่อาจทนรออีกต่อไปได้แล้ว แม้ว่าเวลานี้จะค่อยเ
“คนเราเมื่อทำผิด ก็ต้องยอมรับผิด มิใช่หนีอย่างคนขี้ขลาด” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเสียงเรียบ มีเพียงดวงตาที่ฉายแววเยาะหยัน เสมือนการเพิ่มโทสะให้แก่องครักษ์หนุ่มนับเท่าทวีคูณ “เจ้าหลอกข้า” “เรื่องใดที่ข้าหลอกเจ้า ตำแหน่งของเจ้าเป็นถึงองครักษ์หลวง สติปัญญามิน่าจะดอยกว่าผู้ใด มีหรือคนเช่นข้าจะไปล่อลวงเจ้าได้” ชายหนุ่มขบกรามแน่น ตอนนี้นอกจากเขาจะหนีไม่ได้ ทหารได้เข้ามาคุมตัวของพระนางหรู่เฟยแล้วเช่นกัน “ปล่อยข้า” ชายหนุ่มพยายามที่จะให้ตนเองหลุดจากการควบคุม แต่ก็ไม่อาจทำได้แววตาโกรธแค้นมองไปยังชายสวมหน้ากาก “เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น” ชายสวมหน้ากากเอ่ยขึ้น ขณะก้าวผ่านองครักษ์หนุ่มเพื่อไปหาพระสนมคนงาม ที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “นายข้าแค่ส่งดาบคืนแก่ท่าน พระนางหรู่เฟย จุ๊ ๆ สิ่งที่ท่านรู้มันจะตายไปพร้อมตัวท่านเอง” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเบา ๆ ข้างหูของพระสนมที่ตอนนี้ได้แต่ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อฟังคำของชายสวมหน้ากากจบ “เป็นฝีมือนังแพศยาน
เพราะเหตุใดไม่รู้มันรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้ง ที่ร่างแกร่งขยับกายบดเบียดกับตัวนาง ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดข้างแก้มนางนั้น ทำให้หัวใจของนางเต้นมิเป็นส่ำตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว “ท่านพี่ควรตื่นได้แล้วนะเจ้าคะ สาย...อ๊ะ...” อุ๊บ! อื้อ! ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม เรียวปากงามก็ถูกปิดลงเสียก่อน สภาพของนางในตอนนี้ ยากที่จะขัดขืนอีกฝ่ายได้ เมื่อท่อนขาแกร่งทับขาของนางเอาไว้เสียก่อน มือบางที่หมายจะผลักไสเขาออกให้พ้นกาย ได้ถูกรวบเอาไว้เหนือศีรษะ ริมฝีปากอวบอิ่มถูกขบเม้ม ก่อนจะใช้ลิ้นสากดันเรียวปากของนางให้เปิดออก เพื่อให้เขาได้ควานหาความหวานที่ซ่อนอยู่ภายในเมื่อถูกบดจูบอย่างหิวกระหายจากสามีผู้ช่ำชอง ความเคลิบเคลิ้มทำให้หญิงสาวค่อย ๆ เผยอริมฝีปากออกอย่างลืมตัว ทั้งที่ในใจนั้นนางคิดที่จะขัดขืนเขาอย่างเต็มที่“อื้อ!”เสียงครางเบา ๆ ดังลอดออกมา หลี่จ้านมิปล่อยโอกาสให้หลุดมือ ชายหนุ่มเกี่ยวกวัดปลายลิ้มเล็ก ก่อนจะดูดดึงลิ้นบางนั้นอย่างพึงพอใจ ท่อขาแข็งแกร่งขยับแทรกเรียวขางามให้แยกออกก่อนจะขยับบดเบียดอย่างเนิบช้าเพื่อปลุกเร้าภรรยา โดยที่ลิ้นสากของเขายังคงกวัดรัดดึง
“ต่อไปอย่าได้ดื้อรั้นต่อสามีอีก เข้าใจหรือไม่น้องหญิง”ชายหนุ่มกระซิบเย้าภรรยา ด้วยสายตากรุ่มกริ่ม จ้าวหลิวหลีวงหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี จะเก่งกาจปานใดย่อมต้องรู้สึกเขินอายเมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ของบุรุษ ช้ำเรือนร่างของนางยังไร้ซึ่งสิ่งปกปิด นางไม่คิดเลยว่าสามีผู้ไม่เคยเหลียวมองนางมาตลอด วันนี้จะเปลี่ยนไปเสียจนนางเองยังตั้งรับไม่ทัน“ข้ามิเคยดื้อสักหน่อย”จ้าวหลิวหลีเสหลบตาสามี พร้อมปฏิเสธสามีด้วยน้ำเสียกระเง้ากระงอด“เช่นนั้นนับแต่นี้ไปอย่าให้ต้องออกแรง เข้าใจหรือไม่”ปึก! กำปั้นของหญิงสาวทุบอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยความขัดเขิน เขาช่างกล้าพูดอย่างน่าไม่อาย เรื่องเช่นนี้มิจำเป็นต้องบอกก็ได้ “มิรู้จักอายบ้างหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ๆ อายทำไม ก็พี่อยากให้เจ้ามีความสุข”“คนบ้า! หน้ามิอายพูดอันใดออกมา....อื้อ!”ยังมิทันได้ต่อว่าสามีให้สาสมดังใจคิด ทว่าเรียวปากงามก็ถูกปิดลงอีกครั้ง และในครั้งนี้หญิงสาวมิได้ปฏิเสธ แต่กลับตอบสนองสามีด้วยความไร้เดียงสาในเรื่องเช่นนี้สองร่างกอดรัดกันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความเร้าร้อนขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มสอนบทรักให้แก่หญิงสา
แม่ทัพหนุ่มเดินไปหาพ่อบ้าน ก่อนจะสั่งการอะไรบางอย่าง เจาหยางค้อมหัวเล็กน้อยก่อนจะถอยฉากออกไป หลี่จ้านยังคงเดินเสมือนคนป่วยอยู่ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป รถม้าจวนหลี่ได้เคลื่อนตัวออกไปยังทิศทางของจวนราชครู เกาจิ้งผู้นี้ชรามากแล้วแต่ยังฝักใฝ่ในอำนาจมิรู้จักพอ ชักใยอยู่เบื้องหลังองค์ชายห้าเพื่อให้ช่วงชิงราชตำแหน่งรัชทายาท โดยแสร้งร่วมมือกับพระนางหรู่เฟย เพื่อหาช่องทางกำจัดองค์ชายสี่ ความเป็นคนหัวอ่อนขององค์ชายห้าทำให้ง่ายต่อการควบคุมแม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาไม่เลือกที่จะยืนข้างองค์ชายคนไหนเลย เพราะตัวเขานั้นยืนเคียงข้างองค์ฮ่องเต้แต่ผู้เดียว หากมีการผลัดแผ่นดิน ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องมิใช่การช่วงชิงเขาหลี่จ้านก็จะภักดีจนลมหายใจสุดท้ายเช่นกัน แต่เพราะเขามิเลือกข้างจึงทำให้ต้องเหนื่อยใจอยู่อย่างนี้ หากภรรยาไม่ส่งคนไปช่วยเหลือ ป่านนี้มีหรือเขาจะยังมีลมหายใจฮี่ ๆ เสียงม้าร้องด้วยความแตกตื่น รถม้าโคลงไปมาอย่างแรง หลี่จ้านรีบคว้าตัวภรรยาเขามาสวมกอด เมื่อรถม้าหยุดลง เสียงการต่อสู้ด้านนอกเกิดในทันที“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินมีคนร้ายขอรับ”ตูหลงตะโกนบอกคนด้า
แต่วันนี้เขาคงต้องตัดความคิดนั้นออกไปเสีย ใครจะไปคาดคิดว่าท่านหญิงกำพร้ามารดาเช่นนาง จะมีฝีมือมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งหลี่จ้านที่ควรจะอ่อนแรงด้วยพิษที่เขาให้ตูหลงใส่ในอาหารยาบำรุงกลับไม่เป็นอะไรเลย ทั้งยังมายืนลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเขาอยู่ในตอนนี้“เจ้าคงไม่คิดที่จะทำเรื่องสิ้นคิดหรอกนะ หลี่จ้าน”“หากข้าปล่อยท่านราชครูกลับไปต่างหากเล่าขอรับ จึงจะถือว่าเป็นเรื่องสิ้นคิด”“เจ้ากล้ารึ”“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ท่านราชครูพ้นตำแหน่ง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ”“โอหังนัก กล้าแอบอ้างพระบัญชาในองค์ฮ่องเต้เชียวรึ”“ข้าว่าแอบอ้างหรือไม่ ท่านราชครูย่อมรู้ดีแก่ใจนะขอรับ”“ท่านราชครู หลบไปก่อนขอรับทางนี้ข้าจัดการเอง”อยู่ ๆ ได้มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้น หลี่จ้านมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อคนตรงหน้าเลย กระบี่ในมือของอีกฝ่ายเขาจำมันได้ดีว่าคือของผู้ใดองค์ชายที่ผู้คนมองว่าหัวอ่อน ทว่าแท้จริงแล้วแอบซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้อย่างมิดชิด แสร้งทำทีไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่กลับเป็นผู้ชักใยผู้คนให้กำจัดกันเอง เพื่อให้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวคือตนเอง“ทรงมาช่วยเหลือหรือกำจัดเขากันแน่พ่ะย่ะค่