จางเค่อเข้าใจในอารมณ์ขอผู้เป็นนายดี เพราะตลอดสองปีที่ท่านแม่ทัพออกสู่ชายแดน นายหญิงของเขาต้องรับมือกับครอบครัวบิดาของนาง แล้วไหนจะผู้ที่คิดจะทำลายท่านแม่ทัพ ก็คอยจ้องเล่นงานผู้เป็นนายของเขามิเว้นวัน
จ้าวหลิวหลี ลุกขึ้นก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อยให้แก่จางเค่อ สำหรับนางแล้วหากไร้ชายผู้นี้คอยเป็นดั่งแขนขา คงไม่อาจยืนอยู่ตรงนี้ได้ แม้จะมีเงินหากไร้ความเคารพต่อผู้อื่น
ก็มิอาจที่จะซื้อใจผู้ใดได้เลย นางใช้ใจแลกกับความภักดี นางมองทุกคนเสมือนพี่น้อง สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในหลีเค่ออยู่ภายใต้อำนาจของนางโดยมิต้องบีบบังคับ
เมื่อออกมายังห้องชั้นนอกแล้ว เสี่ยวเชี่ยนได้เรียกคนของร้านมายกพับผ้าที่นางเลือก เพื่อนำไปส่งยังจวนหลี่ สองนายบ่าวออกจากร้านเดินไปยังรถม้าที่เจาหยางรออยู่อย่างใจเย็น
“ท่านลุงเจา เราไปนั่งกินขนมใกล้หน้าประตูวังกันดีกว่านะ ข้าจำได้ว่ามีร้านหนึ่งอร่อยมากเลย”
“ได้ขอรับ”
เจาหยางไม่คิดที่จะถามอะไรให้มากความ แค่นายหญิงของบ้านพยายามที่จะหาหนทางรอผู้เป็นนายของเขานั้น ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ฮูหยินเข้าไปในหลีเค่อเพื่อซื้อผ้าจริงหรือไม่นั้น เขาเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะซักถาม
ในวงสังคมชั้นสูงและเหล่าเศรษฐี ต่างรู้กันดีว่าหลีเค่อมิใช่แค่ร้านผ้าธรรมดา แต่คือร้านขายข่าวที่ดีที่สุด นายที่แท้จริงแห่งหลีเค่อนั้นถูกผู้เป็นใหญ่ทั้งหลายสืบหามานาน แต่จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีผู้ใดรู้ตัวตนแท้จริงของคนผู้นั้นเลย
ใครที่ได้หลีเค่อเข้าพวก นับว่าได้กองกำลังที่แข็งแกร่งและรอบรู้เอาไว้ในมือ เขาคิดว่าวันนี้ฮูหยินคงมิได้ซื้อเพียงผ้าไม่กี่พับ คงเป็นอย่างอื่นด้วย มิเช่นนั้นคงไม่คิดที่จะไปรอรับท่านแม่ทัพถึงหน้าประตูวังเป็นแน่
เวลาผ่านไปจนพระอาทิตย์ตก หลี่จ้านยังคงไม่กลับออกจากวังหลวง แม้จะร้อนใจแต่จ้าวหลิวหลียังคงสีหน้านิ่งเรียบไว้ได้เช่นเดิม ตามจริงแล้วสามีจะต้องกลับออกมาตั้งแต่บ่ายแล้ว
แต่จนปานนี้เขายังไม่ออกมาเสียที หากมีงานเลี้ยงต้อนรับก็ต้องกลับออกมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน หญิงสาวพยายามที่จะสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยออกมาช้า ๆ เพื่อปรับอารมณ์ให้คงที่
“เรียนฮูหยิน ท่านแม่ทัพออกมาแล้วขอรับ”
เจาหยางรีบมารายงานหญิงสาว ก่อนจะรีบกลับไปยืนรอผู้เป็นนายที่กำลังเดินออกมา จ้าวหลิวหลียิ้มกว้างอย่างลืมตัว ก่อนจะก้าวลงจากรถม้าตรงไปหาสามี
“ท่านพี่ไยจึงออกมาช้านักเล่าเจ้าคะ”
“พอดีฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ร่วมดื่มชายามบ่ายด้วย เจ้าเล่าไยจึงมาอยู่ที่นี่ได้ หิวหรือไม่กินอะไรรึยัง”
แม่ทัพหนุ่มอิ่มเอมใจจนลืมไปว่านางและเขานั้น เปรียบดังสามีภรรยาแต่ในนาม จึงรัวคำถามไปเสียมากมาย
“ยังเลยเจ้าค่ะ ข้ารอกินพร้อมท่านพี่”
จ้าวหลิวหลีเลี่ยงที่จะตอบคำถามอื่น นางดึงเข้าเรื่องการกินแทนเสีย เพื่อให้สามีใส่ใจปากท้องของนางก่อน นางยังไม่อยากที่จะตอบคำถามอื่นใดในตอนนี้
“เช่นนั้นเรารีบกลับจวนกันดีกว่า พี่เองก็หิวแล้วเช่นกัน”
จ้าวหลิวหลีก้าวเคียงข้างสามีอย่างว่าง่าย มือหนาประคองเอวคอดเอาไว้ ก่อนจะส่งภรรยาขึ้นรถม้า โดยที่ตัวเขาติดตามขึ้นไปนั่งลงข้าง ๆ ทุกการกระทำของสองสามีภรรยา ได้ตกอยู่ภายใต้สายตาของใครหลายคน แต่ทั้งคู่หาได้ใส่ใจกับสายตาของผู้ใด
เมื่อรถม้าเคลื่อนออกจากหน้าประตูวังมุ่งสู่จวนสกุลหลี่ ได้มีกลุ่มคนติดตามไปอย่างรวดเร็ว เจาหยางรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ จึงได้เร่งรถม้าให้เร็วขึ้นในช่วงจังหวะที่ต้องผ่านป่า
เสี่ยวเชี่ยนที่นั่งอยู่ด้านข้างพ่อบ้าน กระชับกระบี่ที่วางอยู่ด้านหลังเอาไว้แน่น นางเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับผู้ที่กำลังติดตามมา
“ฮูหยินเจ้าคะ”
“ว่าอย่างไรเสี่ยวเชี่ยน”
“จิ้งจอกออกหากินแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร นิ่งเอาไว้เด็กดี คืนนี้ทุกอย่างจะเรียบร้อย”
หลี่จ้านยกยิ้มมุมปาก เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าเมื่อนางเสือได้ลงมือ จะเด็ดขาดได้ถึงเพียงนี้
“เสี่ยวเชี่ยนก็โตมากแล้ว สมควรออกเรือนเจ้าเห็นเป็นเช่นไร”
จ้าวหลิวหลีหัวเราะร่า เมื่อนึกตามที่สามีได้เอ่ยเย้าสาวใช้ของนาง ทางด้านเสี่ยวเชี่ยนนั้นได้ปฏิเสธเสียงหลง เมื่อได้ยินท่านแม่ทัพเอ่ย เจาหยางเองก็อดขำเอาไว้ไม่ได้เช่นกัน
จากความกดดันในตอนแรก เวลานี้เสี่ยวเชี่ยนกำลังเว้าวอนมิให้นายหญิงของตนเห็นด้วยกับท่านแม่ทัพ นางไม่อยากออกเรือนกับผู้ใดนอกจากคนที่นางรัก
“เสี่ยวเชี่ยนจะแต่งให้ผู้ใดได้เล่าเจ้าคะ ในเมื่อใจนางนั้นมีผู้จับจองแล้ว”
“ใครกันถึงได้มาหลงรักเด็กแก่นกระโหลกเช่นนางได้”
“ฮูหยิน! เสี่ยวเชี่ยนยังมิได้รักผู้ใดเลยนะเจ้าคะ”
“ฮ่า ๆ”
เสียงหัวเราะของทุกคนดังประสานกัน โดยไม่คิดใส่ใจกับเสียงการต่อสู้ที่อยูด้านหลังเลยแม้แต่น้อย จ้าวหลิวหลียกยิ้มมุมปากภายในความมืด คนเช่นเกาสงไม่คู่ควรที่จะให้มือนางต้องแปดเปื้อน
ใช้เวลาเพียงไม่นานรถม้าได้จอดเทียบหน้าจวน หลี่จ้านก้าวลงจากรถม้า ก่อนจะยื่นมือไปให้ภรรยาจับเอาไว้เพื่อลงมาด้านล่าง ทุกการกระทำดูอ่อนโยน สร้างรอยยิ้มให้แก่บรรดาบ่าวไพร่ที่ออกมารอต้อนรับผู้เป็นนาย ทว่า...
หมับ! หลี่จ้านคว้าข้อมือของใครบางคนเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะกระทบใบหน้างามของภรรยา แม่ทัพหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาแข็งกร้าว เขาไม่คิดที่จะหลบสายตาของผู้ประสงค์ร้ายต่อภรรยาเลยแม้แต่น้อย
“เป็นเจ้าใช่ไหมที่สังหารลูกชายของข้า”
เสียงหวีดร้องดังขึ้น จากด้านหลังของคนที่กำลังเผชิญหน้ากับแม่ทัพหนุ่ม หลี่จ้านมองดูมารดาเลี้ยงของภรรยาด้วยสายตารังเกียจ แสงไฟจากคบเพลิงหน้าจวน สะท้อนให้เห็นสีหน้าของชายหนุ่มได้อย่างชัดเจน
จ้าวอ๋องถึงกับผงะด้วยความตกใจ แต่ก็มิอาจถอยห่างบุตรเขยคนโตได้ เมื่อข้อมือของเขาถูกจับเอาไว้แน่น
“ท่านพ่อตาและพระชายามีเรื่องอันใด ไยจึงคิดลงมือต่อภรรยาของข้าเช่นนี้”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบตึง บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาไม่ได้ชื่นชอบการกระทำของทั้งคู่เท่าใดนัก
“หลี่จ้าน นังหลิวหลีมันทำร้ายอี้เหมย เจ้าเป็นคนรักของอี้เหมยมาก่อน เจ้าต้องแก้แค้นให้อี้เหมยนะ”
ชุ่ยเหนียงเฟยเสมือนคนสติไม่อยู่กับตัว ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้ดูแทบไม่ได้เลย คำพูดที่พรั่งพรูออกมา ล้วนหยาบคายมิสมฐานะที่เป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย “ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำพูดต่ำช้าจากปากพระชายาอ๋องเช่นท่าน และโปรดรู้เอาไว้ด้วยว่าข้าคือสามีของหลีเอ๋อร์ มิใช่คนรักของธิดาท่านอย่างที่กล่าวมา โปรดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนนะขอรับ จึงค่อยพูดสิ่งใดออกมา” หลี่จ้านไม่ได้หันมองภรรยา แต่ทุกถ้อยคำของเขานั้นหนักแน่น สิ่งที่มารดาเลี้ยงของภรรยาพูดมานั้น อาจเป็นฉนวนทำลายเขาได้ทั้งตระกูลเลยทีเดียว “อย่าบอกนะว่าเจ้าเสียท่าให้แก่นางแล้ว นางมันนังจิ้กจอก” ชุ่ยเหนียงเฟยชี้นิ้วไปยังจ้าวหลิวหลี ที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องสามี มุมบากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ นางไม่จำเป็นต้องเห็นใจผู้ที่ทำร้ายนางก่อน “พระชายาโปรดสำรวมคำพูด ข้าและนางเป็นสามีภรรยา เรื่องในห้องมิจำเป็นต้องประกาศให้ผู้อื่นรู้ หรือท่านชื่นชอบเล่าเรื่องเช่นนั้นให้สหายและชาวเมืองฟังขอรับ” “หยุดสามหาวได้แล้วนะหลี่จ้าน” ในที่สุดจ้าวอ๋องก็หาเสียงของตนเองเจอ เมื่อภรรยารักไม่ได้รับควา
กลางดึก ณ ตำหนักหรู่เฟยภายในห้องหนังสือกำลังมีสองร่างโอบกอดกันอยู่ ใบหน้าของชายหนุ่มที่เรือนร่างเปลือยเปล่า กำลังซุกไซ้ซอกคอขาวเนียนของฝ่ายหญิง เสียงครางเบา ๆ ดังออกมาจากเรียวปากอวบอิ่ม เมื่อมือหนาของชายหนุ่มเคล้นคลึงสองเต้างาม “อื้อ…ส่งสารถึงนางหรือยัง อ๊า...” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมครางเบา ๆ ความเสียวซ่านแล่นทั่วกาย เมื่อถูกชายหนุ่มรุกเร้ามิหยุดมือ “ข้าเคยทำให้พระนางผิดหวังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบจมูกคมได้กดลงยังแก้มเนียน ก่อนจะเลื่อนลงมายังซอกคอหอมกรุ่นอีกครั้ง ริมฝีปากหนาจูบซับความเย้ายวนอย่างอ่อนโยน มือหยาบบีบคลึงสะโพกงอนงามหนัก ๆ ก่อนจะดันให้แนบกับแก่นกายของตนเอง “ไม่ใช่เวลานี้” เสียงสั่นระริกเอ่ยห้ามชายหนุ่ม ทว่าร่างกายนั้นหาได้ทำตามอย่างที่ปากพูด ยิ่งเมื่อมืออีกข้างของชายหนุ่มเลื่อนลงไปยังเนินดอกไม้ ความร้อนรุ่มกลับระอุร้อนขึ้นเรื่อย ๆ “ดึกแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเราอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาไม่อาจทนรออีกต่อไปได้แล้ว แม้ว่าเวลานี้จะค่อยเ
“คนเราเมื่อทำผิด ก็ต้องยอมรับผิด มิใช่หนีอย่างคนขี้ขลาด” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเสียงเรียบ มีเพียงดวงตาที่ฉายแววเยาะหยัน เสมือนการเพิ่มโทสะให้แก่องครักษ์หนุ่มนับเท่าทวีคูณ “เจ้าหลอกข้า” “เรื่องใดที่ข้าหลอกเจ้า ตำแหน่งของเจ้าเป็นถึงองครักษ์หลวง สติปัญญามิน่าจะดอยกว่าผู้ใด มีหรือคนเช่นข้าจะไปล่อลวงเจ้าได้” ชายหนุ่มขบกรามแน่น ตอนนี้นอกจากเขาจะหนีไม่ได้ ทหารได้เข้ามาคุมตัวของพระนางหรู่เฟยแล้วเช่นกัน “ปล่อยข้า” ชายหนุ่มพยายามที่จะให้ตนเองหลุดจากการควบคุม แต่ก็ไม่อาจทำได้แววตาโกรธแค้นมองไปยังชายสวมหน้ากาก “เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น” ชายสวมหน้ากากเอ่ยขึ้น ขณะก้าวผ่านองครักษ์หนุ่มเพื่อไปหาพระสนมคนงาม ที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “นายข้าแค่ส่งดาบคืนแก่ท่าน พระนางหรู่เฟย จุ๊ ๆ สิ่งที่ท่านรู้มันจะตายไปพร้อมตัวท่านเอง” ชายสวมหน้ากากเอ่ยเบา ๆ ข้างหูของพระสนมที่ตอนนี้ได้แต่ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อฟังคำของชายสวมหน้ากากจบ “เป็นฝีมือนังแพศยาน
เพราะเหตุใดไม่รู้มันรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้ง ที่ร่างแกร่งขยับกายบดเบียดกับตัวนาง ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดข้างแก้มนางนั้น ทำให้หัวใจของนางเต้นมิเป็นส่ำตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว “ท่านพี่ควรตื่นได้แล้วนะเจ้าคะ สาย...อ๊ะ...” อุ๊บ! อื้อ! ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม เรียวปากงามก็ถูกปิดลงเสียก่อน สภาพของนางในตอนนี้ ยากที่จะขัดขืนอีกฝ่ายได้ เมื่อท่อนขาแกร่งทับขาของนางเอาไว้เสียก่อน มือบางที่หมายจะผลักไสเขาออกให้พ้นกาย ได้ถูกรวบเอาไว้เหนือศีรษะ ริมฝีปากอวบอิ่มถูกขบเม้ม ก่อนจะใช้ลิ้นสากดันเรียวปากของนางให้เปิดออก เพื่อให้เขาได้ควานหาความหวานที่ซ่อนอยู่ภายในเมื่อถูกบดจูบอย่างหิวกระหายจากสามีผู้ช่ำชอง ความเคลิบเคลิ้มทำให้หญิงสาวค่อย ๆ เผยอริมฝีปากออกอย่างลืมตัว ทั้งที่ในใจนั้นนางคิดที่จะขัดขืนเขาอย่างเต็มที่“อื้อ!”เสียงครางเบา ๆ ดังลอดออกมา หลี่จ้านมิปล่อยโอกาสให้หลุดมือ ชายหนุ่มเกี่ยวกวัดปลายลิ้มเล็ก ก่อนจะดูดดึงลิ้นบางนั้นอย่างพึงพอใจ ท่อขาแข็งแกร่งขยับแทรกเรียวขางามให้แยกออกก่อนจะขยับบดเบียดอย่างเนิบช้าเพื่อปลุกเร้าภรรยา โดยที่ลิ้นสากของเขายังคงกวัดรัดดึง
“ต่อไปอย่าได้ดื้อรั้นต่อสามีอีก เข้าใจหรือไม่น้องหญิง”ชายหนุ่มกระซิบเย้าภรรยา ด้วยสายตากรุ่มกริ่ม จ้าวหลิวหลีวงหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี จะเก่งกาจปานใดย่อมต้องรู้สึกเขินอายเมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ของบุรุษ ช้ำเรือนร่างของนางยังไร้ซึ่งสิ่งปกปิด นางไม่คิดเลยว่าสามีผู้ไม่เคยเหลียวมองนางมาตลอด วันนี้จะเปลี่ยนไปเสียจนนางเองยังตั้งรับไม่ทัน“ข้ามิเคยดื้อสักหน่อย”จ้าวหลิวหลีเสหลบตาสามี พร้อมปฏิเสธสามีด้วยน้ำเสียกระเง้ากระงอด“เช่นนั้นนับแต่นี้ไปอย่าให้ต้องออกแรง เข้าใจหรือไม่”ปึก! กำปั้นของหญิงสาวทุบอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยความขัดเขิน เขาช่างกล้าพูดอย่างน่าไม่อาย เรื่องเช่นนี้มิจำเป็นต้องบอกก็ได้ “มิรู้จักอายบ้างหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ๆ อายทำไม ก็พี่อยากให้เจ้ามีความสุข”“คนบ้า! หน้ามิอายพูดอันใดออกมา....อื้อ!”ยังมิทันได้ต่อว่าสามีให้สาสมดังใจคิด ทว่าเรียวปากงามก็ถูกปิดลงอีกครั้ง และในครั้งนี้หญิงสาวมิได้ปฏิเสธ แต่กลับตอบสนองสามีด้วยความไร้เดียงสาในเรื่องเช่นนี้สองร่างกอดรัดกันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความเร้าร้อนขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มสอนบทรักให้แก่หญิงสา
แม่ทัพหนุ่มเดินไปหาพ่อบ้าน ก่อนจะสั่งการอะไรบางอย่าง เจาหยางค้อมหัวเล็กน้อยก่อนจะถอยฉากออกไป หลี่จ้านยังคงเดินเสมือนคนป่วยอยู่ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป รถม้าจวนหลี่ได้เคลื่อนตัวออกไปยังทิศทางของจวนราชครู เกาจิ้งผู้นี้ชรามากแล้วแต่ยังฝักใฝ่ในอำนาจมิรู้จักพอ ชักใยอยู่เบื้องหลังองค์ชายห้าเพื่อให้ช่วงชิงราชตำแหน่งรัชทายาท โดยแสร้งร่วมมือกับพระนางหรู่เฟย เพื่อหาช่องทางกำจัดองค์ชายสี่ ความเป็นคนหัวอ่อนขององค์ชายห้าทำให้ง่ายต่อการควบคุมแม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาไม่เลือกที่จะยืนข้างองค์ชายคนไหนเลย เพราะตัวเขานั้นยืนเคียงข้างองค์ฮ่องเต้แต่ผู้เดียว หากมีการผลัดแผ่นดิน ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องมิใช่การช่วงชิงเขาหลี่จ้านก็จะภักดีจนลมหายใจสุดท้ายเช่นกัน แต่เพราะเขามิเลือกข้างจึงทำให้ต้องเหนื่อยใจอยู่อย่างนี้ หากภรรยาไม่ส่งคนไปช่วยเหลือ ป่านนี้มีหรือเขาจะยังมีลมหายใจฮี่ ๆ เสียงม้าร้องด้วยความแตกตื่น รถม้าโคลงไปมาอย่างแรง หลี่จ้านรีบคว้าตัวภรรยาเขามาสวมกอด เมื่อรถม้าหยุดลง เสียงการต่อสู้ด้านนอกเกิดในทันที“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินมีคนร้ายขอรับ”ตูหลงตะโกนบอกคนด้า
แต่วันนี้เขาคงต้องตัดความคิดนั้นออกไปเสีย ใครจะไปคาดคิดว่าท่านหญิงกำพร้ามารดาเช่นนาง จะมีฝีมือมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งหลี่จ้านที่ควรจะอ่อนแรงด้วยพิษที่เขาให้ตูหลงใส่ในอาหารยาบำรุงกลับไม่เป็นอะไรเลย ทั้งยังมายืนลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเขาอยู่ในตอนนี้“เจ้าคงไม่คิดที่จะทำเรื่องสิ้นคิดหรอกนะ หลี่จ้าน”“หากข้าปล่อยท่านราชครูกลับไปต่างหากเล่าขอรับ จึงจะถือว่าเป็นเรื่องสิ้นคิด”“เจ้ากล้ารึ”“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ท่านราชครูพ้นตำแหน่ง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ”“โอหังนัก กล้าแอบอ้างพระบัญชาในองค์ฮ่องเต้เชียวรึ”“ข้าว่าแอบอ้างหรือไม่ ท่านราชครูย่อมรู้ดีแก่ใจนะขอรับ”“ท่านราชครู หลบไปก่อนขอรับทางนี้ข้าจัดการเอง”อยู่ ๆ ได้มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้น หลี่จ้านมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อคนตรงหน้าเลย กระบี่ในมือของอีกฝ่ายเขาจำมันได้ดีว่าคือของผู้ใดองค์ชายที่ผู้คนมองว่าหัวอ่อน ทว่าแท้จริงแล้วแอบซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้อย่างมิดชิด แสร้งทำทีไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่กลับเป็นผู้ชักใยผู้คนให้กำจัดกันเอง เพื่อให้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวคือตนเอง“ทรงมาช่วยเหลือหรือกำจัดเขากันแน่พ่ะย่ะค่
สิบวันถัดมา ข่าวการตายท่านอ๋องน้อยสกุลจ้าว และพระชายาในองค์ชายสี่ได้ถูกโจรปล้น ขณะที่ท่านอ๋องน้อยพาน้องสาวไปท่องเที่ยวยังอารามนอกเมือง ยังไม่ทันซา ข่าวการสิ้นพระชนขององค์ชายห้าก็แผ่ออกไปทั่วเมืองหลวง องค์ชายห้าเกิดล้มป่วยจนสิ้นพระชนนับเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย และข่าวที่ชาวเมืองโจษจันไม่แพ้กัน ที่อยู่ ๆ ทางด้านองค์ชายสี่ได้ออกเดินทางสู่ชายแดนเหนือ หลังสูญเสียพระชายา ชาวเมืองต่างแสดงความเห็นใจองค์ชาย ที่ทนทำใจกับการตายของพระชายาไม่ได้ จึงทรงเดินทางไปอยู่ชายแดนเพื่อรักษาบาดแผลทางใจ แม้ว่าชาวเมืองบางกลุ่มจะมีความคิดเห็นขัดแย้งอยู่บ้าง ส่วนเรื่องของพระนางหรู่เฟย ถูกปิดเป็นความลับ อย่างไรเสียงเรื่องสตรีวังหลังหายตัวไปนับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พระนางหรู่เฟยทำเรื่องเสื่อมเสีย ย่อมไม่ได้รับให้ฝังในสุสานหลวงอย่างแน่นอนส่วนจวนแม่ทัพนั้นดูจะหอมอบอวลไปด้วยความสุข เมื่อแม่ทัพหลี่นั้นได้สั่งให้ย้ายข้าวของทั้งหมดจากเรือนหลิวหลี ไปยังเรือนใหญ่ของท่านตนเอง เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังขึ้นเป็นระยะจากในสวนดอกไม้ คงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากเจ้าของจวนทั้งสองหย