ฟิ้ว! มีเสียงบางอย่างแหวงอากาศมาจากข้างทาง ทำให้ทุกความคิดของเจาหยางยุติลง มือหนาที่กรำศึกมานานคว้าจับสิ่งนั้นเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะพุ่งผ่านเขาไปยังรถม้าของผู้เป็นนาย
เพียงครู่เดียวเสียงอาวุธกระทบกันเกิดขึ้นจากรอบด้าน เจาหยางเหินกายงจากหลังม้า เพื่อคุ้มกันรถม้าเอาไว้ โดยมีผู้ติดตามกว่าห้าคนล้อมรถม้าเอาไว้
ชายชุดดำจำนวนหลายคน พยายามที่จะฝ่าเข้ามาให้ถึงรถม้า ทำให้ทหารคุ้มกันบาดเจ็บล้มตายบ้างแล้ว
“ฮูหยิน รอเสี่ยวเชี่ยนก่อนนะเจ้าคะ”
เสี่ยวเชี่ยนคว้าอาวุธ ซึ่งซ่อนอยู่ใต้ที่นั่งในรถม้าออกมาถือไว้ในมือ ก่อนที่ร่างงามจะก้าวออกจากรถม้า หญิงสาวดึงกระบี่ออกจากฝัก พร้อมกับพุ่งเข้าหาคนร้ายด้วยความดุดัน
เชร้ง! เสียงอาวุธกระทบกันจากทางด้านหลัง เรียกสายตาของเจาหยางในทันที ดวงตาของพ่อบ้านสูงวัยเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาในตอนนี้คือเสี่ยวเชี่ยน
ไม่มีคำพูดใดจากคนทั้งคู่ ด้วยเวลานี้คนร้ายเหมือนจะได้เปรียบพวกเขาอยู่ไม่น้อย เสี่ยวเชี่ยนคอยมองไปยังรถม้าอยู่บ่อยครั้ง นางรู้ดีว่าผู้เป็นนายนั้นจะปลอดภัย
แต่หากการต่อสู้ยังยืดเยื้ออยู่เช่นนี้ คงมิพ้นคนด้านในต้องออกมาช่วยเหลืออย่างแน่นอน และหากเป็นเช่นนั้นความลับของฮูหยินคงมิใช่ความลับอีกต่อไปเป็นแน่
จ้าวหลิวหลีกระชับแส้ในมือแน่น นางรู้ดีว่าการโจมตีครั้งนี้หวังผลเพียงอย่างเดียวคือลมหายใจของทุกคนในคณะ คนที่อยู่เบื้องหลังช่างลงทุนเหลือเกิน ส่งนักฆ่าชั้นสูงจำนวนไม่น้อย เพื่อมาปลิดชีพภรรยาแม่ทัพเช่นนาง
นี่ขนาดคนพวกนั้นไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง ยังใช้คนจำนวนมากโจมตี หากรู้ความจริงที่แอบซ่อนอยู่ของนางเล่า มิยกมาทั้งสำนักเลยหรืออย่างไร หญิงสาวคิดขบขันอยู่ภายในใจ ก่อนที่ร่างระหงจะก้าวออกไปยังด้านนอก
การต่อสู้ยังคงดุเดือด ความมืดที่ปกคลุมมิใช่อุปสรรคของทั้งสองฝ่ายเลย ขวับ! เสียงแส้แหวกอากาศกระทบเข้าร่างของชายชุดดำ เรียกสายตาจากใครหลายคนจากทั้งสองฝ่าย
จ้าวหลิวหลีหาได้สนใจสายตาเหล่านั้นไม่ หญิงสาวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จนเหล่าชายชุดดำตั้งรับแทบไม่ทัน
เจาหยางเก็บงำความตื่นตกใจเอาไว้ภายใต้ใบหน้าสงบนิ่ง หลังจากการโจมตีครั้งนี้ เขามั่นใจว่าคงต้องมีเรื่องราวอีกมากติดตามมาเป็นแน่
“ไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าท่านหญิงจ้าวจะมากด้วยสามารถเช่นนี้”
หนึ่งในชายชุดดำที่กำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับจ้าวหลิวหลี เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งเยาะหยัน ซึ่งภายใต้ความขบขันนั้นแฝงไปด้วยความตื่นตกใจอยู่มากทีเดียว
“หึ ๆ เป็นข้ามากกว่ากระมังที่ควรชื่นชมนายของพวกเจ้า ที่อุตส่าห์ส่งคนมาช่วงชิงลมหายใจของข้าเสียมากมายเช่นนี้ เหมือนนกรู้เลยเจ้าว่าไหม”
ชายชุดดำหรี่ตามองไปยังหญิงสาวตรงหน้า เขาไม่แน่ใจเท่าใดนักว่าสิ่งที่นางพูดมานั้นเป็นสิ่งที่นางรู้จริง ๆ หรือเพียงหลอกล่อให้เขาหลงกลเท่านั้น
“ดูเหมือนท่านหญิงใหญ่ จะชื่นชอบการล่อลวงนะขอรับ”
“ขอบใจเจ้ามากที่ชม”
เคร้ง! ชายชุดดำถึงกับถอยหลังไปหลายก้าว เมื่ออาวุธของเขาถูกต้านรับเอาไว้ได้ทัน เขาหวังฉวยโอกาสตอนที่หญิงสาวเผลอลงมือ แต่ไม่คิดว่านอกจากอีกฝ่ายจะตั้งรับได้อย่างรวดเร็วแล้ว แส้ที่อยู่ในมือนางหาได้เป็นเพียงเชือกธรรมดา ทว่ามันกลับเป็นเหล็กกล้าชั้นดีที่ได้ถักทอมาอย่างประณีตและแข็งแรง
การต่อสู้ของทั้งคู่หาได้ออมมือต่อกันอีก จ้าวหลิวหลีมิคิดเป็นฝ่ายตั้งรับเพียงอย่างเดียว การรุกไล่ศัตรูเป็นไปอย่างมีชั้นเชิง จนในที่สุดชายชุดดำก็ได้พลาดพลั้งเป็นฝ่ายที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้
“ไม่ธรรมดาจริง ๆ ท่านหญิงใหญ่ อึก!”
ชายชุดดำกระอักเลือดสีเข้มออกมา เขาไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ พ่ายให้แก่ยอดฝีมือนั้นจะมิรู้สึกอับอายเท่ากับพ่ายแก่สตรีในหอห้อง ซ้ำยังเป็นหญิงที่ถูกกล่าวขานว่าไร้ยางอาย
“จำเอาไว้ว่าอย่าได้เชื่อเพียงสิ่งที่ดวงตาของเจ้ามองเห็น แต่จงเชื่อเมื่อได้สัมผัสถึงความเป็นจริงเท่านั้น”
ฉึก! สิ้นคำพูดลมหายใจของชายชุดดำได้หายไปด้วยเช่นกัน จ้าวหลิวหลีสะบัดแส้ในมือไปยังคนร้ายที่ยังเหลืออยู่ คนของสามีมีล้มตายกันไปบ้างแล้ว ถึงแม้นางจะรู้สึกผิดที่พาพวกเขามาสู่อันตราย
แต่หากนางรับมืออยู่ภายในจวน ย่อมเกิดการสูญเสียมากกว่านี้อีกหลายเท่าตัว หญิงสาวสลัดทุกความคิดออกจากหัว ก่อนจะเร่งลงมือต่อศัตรูอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งก้านธูป การต่อสู้จึงได้จบลง จ้าวหลิวหลีก้าวตรงไปยังพ่อบ้านของจวน
“ฮูหยินบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ขอรับ”
เจาหยางพยายามเพ่งสายตาฝ่าความมืดสลัวในยามพลบค่ำ เพื่อมองสำรวจผู้เป็นนายหญิง เขาต้องแน่ใจว่านางปลอดภัยดีแล้วเท่านั้นจึงจะวางใจได้
“ท่านลุงเจาอย่าได้เป็นกังวล ข้าปลอดภัยดี ท่านลุงเร่งจัดการทุกอย่างเสียก่อนเถิด ที่เหลือค่อยคุยกันเมื่อถึงอารามแล้ว”
“ขอรับฮูหยิน”
เจาหยางรีบจัดการทุกอย่างตามที่ผู้เป็นนายบอก เขาใช้เวลาเพียงไม่นาน ขบวนรถม้าก็ได้ออกเดินทางต่อ เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าเอาไว้ข้างหลัง
เจาหยางยังคงนิ่งสงบเช่นเดิม แม้มีหลายสิ่งที่เขาต้องการจะรู้ แต่ในเวลานี้คงไม่เหมาะเท่าใดนักที่จะเอ่ยปากถามคนในรถม้า
“ฮูหยิน เราจะทำยังไงกับท่านลุงเจาและทหารที่เหลือเจ้าคะ”
เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกเป็นกังวล ที่ความลับของผู้เป็นนายถูกพบเจอ นานหลายปีที่นางและนายสาวปกปิดตัวตนอีกด้านเอาไว้ ทว่าวันนี้เหตุใดกันผู้เป็นนายจึงยินยอมให้เจาหยางและทหารจวนสกุลหลี่ได้ล่วงรู้
“นิ่งเสียเสี่ยวเชี่ยน เจาหยางจะไม่ทำสิ่งใดหรือปล่อยให้เรื่องนี้หลุดรอดออกไปอย่างแน่นอน ตราบใดที่ข้ายังเป็นนายหญิงของจวนสกุลหลี่ ทุกอย่างจะเงียบหายเสมือนสายน้ำที่มิไหลย้อนคืน”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยกับเสี่ยวเชี่ยนด้วยความมั่นใจ นางรู้ดีว่าเหตุใดเจาหยางจึงกล้าทิ้งจวน เพื่อติดตามนางออกมายังนอกเมือง ซึ่งในทุกปีเขาจะมาส่งนางยังหน้าประตูเมือง
อดีตขุนพลที่กรำศึกมานานเช่นเจาหยาง ย่อมต้องรับรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่ที่นางประสงค์จะออกเดินทางในยามบ่ายแล้วนั้นเอง
“แต่ว่า...ฮูหยินมิแปลกใจหรือเจ้าคะ ที่อยู่ ๆ เราก็ถูกคนจำนวนมากโจมตี อันที่จริงแล้วแค่คิดจะสังหารฮูหยิน ใช้คนเพียงหยิบมือก็ทำได้แล้วนะเจ้าคะ” “ต่อให้ข้าเลี้ยงหนอนให้อิ่มหนำสำราญเพียงใด ก็ย่อมมีบางตัวชื่นชอบอาหารที่ผู้อื่นหยิบยื่นมาให้มันอยู่ดี” จ้าวหลิวหลียังคงไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมาทางน้ำเสียง เป็นเรื่องยากที่เสี่ยวเชี่ยนจะเดาความรู้สึกของผู้เป็นนายออก “มีคนทรยศเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “จะว่าแบบนั้นก็ย่อมได้ แต่เรายังไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นที่คนของเรา หรือเป็นเพราะศัตรูล่วงรู้ด้วยตนเอง ฉะนั้นจงนิ่งเฉยเอาไว้ รอดูผลที่จะปารถกฎในมิช้าจะดีกว่า ไม่ต้องเร่งร้อนที่จะอยากรู้ เรายังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นให้ต้องทำ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำของผู้เป็นนาย แม้ว่านางจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งใดมากนัก นางก็ไม่คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือคำสั่ง ยกเว้นว่ามีอันตรายใดพุ่งตรงมาที่ผู้เป็นนาย สิ่งนั้นนางจะมิรั้งรอให้มันสายจนเกินแก้ไข นางพร้อมที่จะลงมือต่อสิ่งเหล่านั้นในทันที ทว่าตราบใดที่นายของนางยังปลอดภัย ทุกคำสั่งที่นางได้รับจะไม
แม่ทัพหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบคนที่อยู่อีกด้านของห้องนอน เขาทำได้เพียงทอดถอนหายใจ เพราะสิ่งที่ศัตรูรับรู้คือเขาใกล้จะตายด้วยพิษร้าย แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ย่อมต้องมีคนอยู่เบื้องหลังการต่อสู้ด้านนอกดูเหมือนจะดุเดือดขึ้นทุกขณะ ทว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงทำได้เพียงนิ่งเงียบ ปัง! เสียงประตูถูกเปิดออกเสมือนจงใจให้คนที่หลับใหลอยู่ได้รู้สึกตัว“แค่ก ๆ พวกเจ้าเป็นใครกัน บังอาจบุกรุกห้องนอนของข้า”แม่ทัพหนุ่มแค่นเสียงอันแหบแห้ง เอ่ยถามผู้มาเยือนด้วยความอ่อนแรง ชายหนุ่มขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ ที่เขาต้องกลายเป็นเพียงคนป่วยใกล้ตาย ทั้งที่มันมิได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น“หึ ๆ ข้าก็แค่มาส่งท่านแม่ทัพลงนรกให้เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นขอรับ”เสียงหัวเราะอย่างหยามใจของผู้บุกรุก ไม่ได้ทำให้คนบนเตียงรู้สึกตื่นกลัวเลยสักนิด แต่ด้วยความสมจริงเขาต้องแสดงถึงความหวั่นเกรงอีกฝ่ายให้มาก“คิดว่าข้าจะยินยอมง่าย ๆ เช่นนั้นรึ”“ยินยอมหรือไม่ กระบี่ในมือของข้าคือผู้ที่ตอบได้”“หึ ๆ”ควับ! เมื่อได้ยินเสียงของใครอีกคนในอีกมุมของห้อง ชายชุดดำทั้งหมดต่างพากันตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครอื่นอยู่ร่วมห้องนี้ เพราะจากที่รู้มาคือ
“คิดจะเป็นใหญ่ เรื่องเพียงเท่านี้ยังขลาดกลัว เจ้าก็ไม่สมควรจะออกความคิดเห็นใด ๆ อีก” ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าชาหนึบด้วยความอับอาย แม้ทุกคนจะไม่เอ่ยสิ่งใดต่อเขาอีก ทว่าสายตาที่มองมานั้น มันทิ่มแทงยิ่งกว่าดูถูกที่เอ่ยออกจากปากเสียอีก “ข้าจะไม่ทำให้ท่านลุงผิดหวังขอรับ” เอ่ยจบร่างสูงได้ลุกขึ้น ประสานมือโค้งตัวให้แก่ทุกคนภายในห้อง ก่อนจะก้าวออกไปด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธ เขาจะเสียหน้าเพียงเพราะสังหารสตรีอ่อนแอผู้เดียวมิได้ เขาก็คงไม่สมควรที่จะก้าวสู่ตำแหน่งใหญ่โตในภายหน้า อย่างที่ผู้เป็นลุงได้พูดเมื่อครู่นี้จริง ๆ เขาไม่เชื่อว่าหลี่จ้านหายอดฝีมือมาไว้ข้างกายจ้าวหลิวหลีอย่างที่หลายคนคิด “จะวางใจเขาได้หรือขอรับท่านผู้นำ” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมเอ่ยถามขึ้นในที่สุด เขารู้ดีว่าชายหนุ่มนั้นมุทะลุเพียงใด ไร้ประสบการณ์ในแทบทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ “หึ ๆ หรือเจ้าจะเป็นผู้ทำแทนเขา” “เอ่อ...คือว่า...” “เจ้าควรจดจำเอาไว้บ้าง ว่านกจะบินได้ก็ต่อเมื่อเราฝึกฝนให้มันรู้จักกางปีก” เมื่อถูกต
ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งผู้เป็นน้องสาว แค่ตัวเขาและนางมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็มิอาจปล่อยให้น้องสาวออกนอกเมืองมาเพียงลำพังเช่นเดียวกันชีวิตในราชสำนักมีหรือเขาจะไม่รู้ว่า เรื่องที่น้องสาวของเขาได้ก่อเอาไว้นั้น รู้ไปถึงหูของพระมารดาในองค์ชายสี่แล้ว แน่นอนว่าชีวิตของน้องสาวหาได้ปลอดภัยอีกต่อไปแต่เพราะนิสัยเอาแต่ใจของนาง ทำให้น้องสาวของเขามองข้ามเรื่องนี้ไป นางคิดแค่เพียงว่าองค์ชายสี่ต้องพึ่งพาบารมีของบิดาพวกเขา เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาท แต่นางคงลืมไปแล้วว่ายังมีท่านหญิงจากอีกหลายตระกูลที่มีอำนาจมิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“หลี่จ้านหลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้นถึงปานนั้น ท่านพี่คิดหรือว่าเขาจะใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ นังแพศยานั้นมิได้สำคัญต่อหลี่จ้าน หากมันตายเขาสิต้องขอบคุณข้า”“เอาเป็นว่าระวังไว้หน่อยก็ดี เรื่องที่เขารักเจ้านั้นมันผ่านมาหลายปี เวลาผ่านเลยใช่ว่าใจคนจะมิผันเปลี่ยนตาม”อ๋องน้อยสกุลจ้าว ทำได้เพียงทอดถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของน้องสาวเพียงคนเดียว เขาอยากให้นางใช้ความคิดในเรื่องนี้มากกว่าที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาจะไม่เป็นผลเอาเสีย
แก๊ก! ยังมิทันจบกันสนทนา เสียงกิ่งไม้แห้งหักได้ดังมาจากความมืด เจาหยางกระชับอาวุธในมือแน่น เมื่อรับรู้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมากดดันเขาและผู้เป็นนาย ถึงเขาจะพอประเมินฝีมือของผู้มาเยือนได้ ใช่ว่าเขาจะละเลยต่อหน้าที่ เก่งเพียงใดย่อมพลาดพลั้งได้เพียงเสี้ยวเวลาหากประมาทต่อศัตรู “มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่ ไยมิเข้ามาดื่มชากับพี่สาวสักถ้วยเล่าน้องพี่” จ้าวหลิวหลีพูดขึ้น พร้อมส่งยิ้มไปยังทิศทางของเสียงกิ่งไม้เมื่อครู่ ร่างงามนั่งรินชาที่อยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ถูกจัดวางอยู่ข้างกองไฟ ซึ่งได้ก่อเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว จ้าวหลิวหลีค่อย ๆ รินชาใส่ถ้วยอย่างใจเย็น เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้มุมปากอวบอิ่มยกขึ้นน้อย ๆ สองร่างเดินเคียงกันออกจากเงามืด ทำให้เจาหยางดวงตาเบิกค้างชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าแขกที่ผู้เป็นนายหญิงเอ่ยถึง จะเป็นพี่น้องต่างมารดาของนางเอง และแน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นคงมิได้มาดีอย่างแน่นอน “พี่หญิงดูสำราญดีนะขอรับ” จ้าวลู่ถงเอ่ยทักทายพี่สาวต่างมารดา เขารู้สึกกดดันอย่างไรไม่รู้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากของพี่สาว
“เจ้าบีบบังคับข้าเองนะน้องรัก” “หุบปากเจ้าซะ! สิ่งเดียวที่เจ้ามีสิทธิ์พูด คือร้องขอความตายจากข้าหลิวหลี” เคร้ง! ยังไม่ทันที่ปลายกระบี่จะเฉียดผ่านกายจ้าวหลิวหลี กระบี่คมของเสี่ยวเชี่ยนก็ได้ต้านรับเอาไว้ได้ทัน จ้าวอี้เหมยสบเข้ากับดวงตาสุกใสของเสี่ยวเชี่ยน ที่กำลังยกยิ้มเย้ยหยันตัวนางอยู่ในตอนนี้ ความกรุ่นโกรธปะทุขึ้นกว่าเดิมนับเท่าตัว จ้าวลู่ถงดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าสาวใช้ข้างกายของพี่สาวนั้น มีฝีมือในการต่อสู้ ซึ่งตลอดเวลาที่เสี่ยวเชี่ยนอยู่ในจวน เขาไม่เคยเห็นนางฝึกฝนกระบี่เลยสักครั้ง จ้าวลู่ถงจำต้องพุ่งเข้าหาเสี่ยวเชี่ยนเพื่อช่วยน้องสาว แต่ทว่า... “ท่านอ๋องน้อยเป็นบุรุษ ไยถึงได้กล้าลงมือต่อสตรีบอบบางด้วยเล่าขอรับ” เป็นเจาหยางที่เข้ามาขัดขวางชายหนุ่มเอาไว้ ทางด้านจ้าวหลิวหลีนั้น ยังคงนั่งดื่มชาโดยไร้ร่องรอยของคามตื่นตระหนกใด ๆ หวี๊ด! จ้าวลู่ถงเป่าปากเป็นสัญญาณบางอย่าง เพียงครู่เดียวได้มีกลุ่มชายชุดดำจำนวนหลายคน ได้พุ่งออกจากราวป่า จ้าวหลิวหลีทำเพียงโยนท่อนฟืนเข้าไปในกองไฟอีกหลายท่อน เพื่อโหมไฟให้ลุก
จ้าวลู่ถงลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพี่สาว เขารู้แล้วในตอนนี้ว่าหนทางที่จะหลบเลี่ยงคงไม่อาจเป็นไปได้ ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้น อย่างน้อยยังพอที่จะมีโอกาสรอดชีวิตไปได้บ้าง “หึ ๆ ดูพี่หญิงจะมั่นใจเหลือเกินนะขอรับ” “ข้าว่าเจ้ารู้ดีกว่าผู้ใดน้องพี่ จะอย่างไรเสียข้าก็ต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเองก็คิดจะสังหารสามีของข้า” จ้าวลู่ถงหัวเราะในลำคอ เขาประเมินพี่สาวต่ำไปจริง ๆ นางมิเพียงมากด้วยฝีมือ แต่ยังเจ้าเล่ห์เสียจนไม่มีผู้ใดจับได้ ถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกระหว่างสองพี่น้อง มีเพียงเสียงอาวุธกระทบกันอย่างดุเดือดเท่านั้น จ้าวหลิวหลีไร้ซึ่งความรักหรือเห็นใจในตัวน้องชาย เพราะจ้าวลู่ถงเกิดมา มารดาของนางจึงต้องจบชีวิต เพียงเพราะเกรงมารดาของนางจะกำเนิดบุตรชายอีกคน ความแค้นระหว่างนางกับสกุลจ้าวหาได้ใหญ่หลวงไม่ แต่ความแค้นของมารดานั้นไม่อาจนำสิ่งใดมาลบเลือนได้เป็นอันขาด ยิ่งเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่ จ้าวหลิวหลียิ่งลงมือหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่าตัว เวลานี้จ้าวลู่ถงร่ำร้องอยู่ภ
เสียงรายงานจากรองแม่ทัพคนสนิท ทำให้แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปมมากกว่าเดิมด้วยความสงสัย “สอบถามให้แน่ใจ ว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด” “เรียนท่านแม่ทัพ ท่านเจาหยางขอพบขอรับ” ยังไม่ทันที่รองแม่ทัพจะได้ไปยังหน้าขบวน ได้มีทหารวิ่งเข้ามาแจ้งความประสงค์จากคนอีกขบวนรถม้าเสียก่อน “เหตุใดตาเฒ่านั่นมาอยู่ที่นี่” แม่ทัพหนุ่มพึมพำเบา ๆ แต่ก็ส่งสัญญาณเป็นการอนุญาต เขาในตอนนี้ไม่อาจที่จะลงจากรถม้าได้ จำต้องนั่งรอพ่อบ้านของด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ด้วยห่วงใครอีกคนที่คงกำลังรอเขาอยู่ที่จวน “ท่านแม่ทัพ” “ตาเฒ่าไยจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วฮูหยินเล่าผู้ใดดูแล หากนางเป็นอันใดไป ข้าจะ...” “ท่านพี่” เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลังของเจาหยาง ทำให้คนในรถม้ารีบเปิดม่านออกทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาพยายามเก็บอาการยินดีเอาไว้ ภายใต้สีหน้านิ่งเรียบ “ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่อีกคนเล่า” หลี่จ้านเอ่ยถามภรรยาด้วยความสงสัย เขาไม่คิดว่านางจะออกมารอเขาถึงนอกเมืองเช่นนี้ “ข้าออกมาสวดมนต์ใ