“ค่ะ...หนูชื่อปิ่นงาม..ส่วนนี่พี่คำปันจะ”
“สวัสดีครับ”
หลังจากที่ปิ่นงามแนะนำตัวคำปันชายหนุ่มก็รีบยกมือสวัสดี
“คำปันเองเหรอลูกทิดปลั่งใช่ไหม”
ดอกแก้วจำได้ดีว่าเคยเจอคำปันเมื่อยังเล็กๆตอนไปเยี่ยมแสนคำที่ทางเหนือครั้งพวกตนยังไม่มีลูกมีเต้า
“ครับแม่เลี้ยง”
“ตอนนั้นที่เห็นกันยังเล็กๆอยู่เลยนะจำไม่ได้ล่ะสิ..ไปๆขึ้นเรือนพักผ่อนกันก่อน”
หลังจากทักทายกันเสร็จเจ้าบ้านก็ชวนแขกขึ้นเรือนเอาของไปเก็บแล้วจะได้พักผ่อนหลังจากเดินทางมาเหนื่อยๆวันนี้เลยได้แค่ทักทายไม่ได้คุยอะไรกันมากนักเพราะนี่ก็มืดค่ำแล้ว
“นึกว่าพ่อเลี้ยงจะมาพร้อมหนูปิ่นเสียอีก..ดันมาป่วยเอาเสียได้”
สองสามีภรรยามาคุยกันที่ห้องหลังจากจัดแจงที่พักให้ปิ่นงามและคำปันเรียบร้อยแล้วทั้งสองแอบเสียดายที่คิดว่าแสนคำจะมาพร้อมกับหลานสาวแต่กลับมารู้ว่าป่วยกะทันหันจากปากปิ่นงาม
“นั่นสิ..จะว่าไปหนูปิ่นกิริยาท่าทางเหมือนตองนวลไม่มีผิดเลย”
พ่อเลี้ยงอินอดนึกถึงเพื่อนตนในวันวานที่อยู่ที่ไร่แสนคำไม่ได้ยิ่งเห็นปิ่นงามก็ยิ่งนึกถึงตองนวล
“ก็คงจะเหมือนคนเลี้ยงนั่นแหละ”
ดอกแก้วเองก็คิดเช่นเดียวกับสามีเธอรู้มาว่าตองนวลมีลูกรุ่นราวคราวเดียวกับหลานของแสนคำและตองนวลก็เป็นคนเลี้ยงทั้งสองมาพร้อมกันเพราะพ่อแม่ของหลานสาวแสนคำเสียตั้งแต่ลูกพึ่งคลอดด้วยอุบัติเหตุตองนวลจึงต้องรับหน้าที่เป็นแม่ไปโดยปริยาย
“จริงสิ...เราไม่เคยเห็นลูกตองนวลเลยนะพ่อคงจะโตพอกับหนูปิ่น”
จะว่าไปหลังจากที่ตองนวลแต่งงานมีลูกพวกเธอก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนอีกเลยเพราะตอนนั้นลูกก็ยังเล็กแถมไร่ก็ยังยุ่งวุ่นวาย
“อืม..เรายุ่งอยู่กับไร่คงต้องไปเยี่ยมกันบ้างแล้วล่ะ”
พ่อเลี้ยงอินเห็นทีหลังงานแต่งคีรีกับปิ่นงามต้องหาเวลาว่างไปที่เหนือบ้างแล้วเพราะงานที่ไร่ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่คีรีควบคุมดูแลเกือบทั้งหมดไม่มีอะไรน่าห่วงมากนัก
เช้าวันต่อมา
ปิ่นงามทำตัวเป็นแขกที่ดีถึงคติว่าอยู่บ้านท่านอย่างนิ่งดูดายเธอตื่นมาพร้อมกับนภาลงมาช่วยกันทำกับข้าวตั้งแต่เช้ามืด
พอตะวันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าเธอก็เตรียมห่อข้าวเหนียวหมูทอดเอาไว้ให้คำปันสามห่อใหญ่เพื่อที่จะให้ชายหนุ่มเอาไว้กินกลางทางเวลาหิวขณะขับรถกลับ
“ข้าวเหนียวหมูทอดเอาไปกินระหว่างทางนะพี่คำปัน”
“ขอบใจนะปิ่นเอ็งก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะไม่ต้องเป็นห่วงน้านวลฉันจะดูแลให้”
คำปันให้คำมั่นกับปิ่นงามเพราะรู้ว่าเธอห่วงแม่ขนาดไหน
“ขอบใจจะ”
“เดินทางปลอดภัยนะคำปัน”
พ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงของไร่เห็นคำปันยืนร่ำลากับปิ่นงามอยู่ก็เดินเข้ามาอวยพรให้คำปันนั้นเดินทางปลอดภัย
“ครับผมลาล่ะครับ”
คำปันยกมือไหว้ลาทั้งสองก่อนจะขึ้นรถและขับออกไปปิ่นงามยืนมองรถที่แล่นออกไปไกลสุดลูกหูลูกตาตอนนี้เธอก็ต้องเผชิญเรื่องราวต่อไปด้วยตัวคนเดียวแล้วแม้นจะรู้ว่าการโกหกเป็นเรื่องที่ผิดแต่เธอก็จำเป็นต้องทำ
“พี่ปิ่นทำเองทั้งหมดเลยน้ะจ๊ะแม่”
เมื่อได้เวลาจัดสำรับอาหารเช้านภาก็เอ่ยปากอวดว่ากับข้าวทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของปิ่นงามทั้งหมดเธอเจอว่าที่พี่สะใภ้เธอวันแรกก็ถูกชะตาเสียแล้วด้วยเพราะรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งปิ่นงามกิริยามารยาทก็เรียบร้อยน่ารักกว่าเธอเยอะเลย
“หนูปิ่นมีฝีมือเหมือนกันนะ”
ดอกแก้วเห็นอาหารเรียงรายเธอก็ยิ้มกริ่มที่ลูกสะใภ้เธอเป็นแม่บ้านแม่เรือนแบบนี้ก็ไม่ต้องห่วงแล้วคราแรกคิดว่าคุณหนูอย่างหลานสาวพ่อเลี้ยงแสนคำจะทำงานบ้านงานครัวไม่เป็นเสียอีก
“ไหนลองชิมฝีมือว่าที่ลูกสะใภ้ซะหน่อยซิ...อืม”
พ่อเลี้ยงอินทร์เห็นอาหารก็รีบตักชิมถ้วยแรกเป็นต้มจืดฟักใส่ไก่หน้าตามันก็ดูปกติทั่วไปแต่รสชาติเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลยหอมหวานกลมกล่อมกำลังดีแถมไก่ที่ใช้แม้นจะเป็นไก่บ้านแต่ก็เปื่อยยุ่ยเคียวง่ายนับว่าปิ่นงามเป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียดการทำอาหารได้อย่างดีเลยทีเดียว
“อืม...กลมกล่อมกำลังดีเลย...เป็นไงพ่อ..”
ดอกแก้วที่กำลังตักน้ำต้มจืดชิมเหมือนกันอยากจะรู้ว่าสามีเธอคิดเห็นแบบไหนแต่สำหรับเธอถือว่าอร่อยมากเลยทีเดียว
“อร่อยน่ะสิ...เอ..แต่ว่ารสชาติแบบนี้นี้คุ้นๆนะ”
พ่อเลี้ยงอินทำสีหน้าครุ่นคิดว่ารสชาติแบบนี้เขานั้นเคยกินที่ไหนมาก่อน
“อืม...นั่นสิพ่อ...อ่อ..ตองนวลเคยทำให้เรากินไงพ่อ”
ดอกแก้วร้องอ๋อขึ้นมากะทันหันรสชาติแบบนี้เห็นตองนวลเคยทำให้กินเมื่อครั้งอยู่ที่เหนือมิน่าล่ะคิดว่ามันทำไมคุ้นเคยกับรสชาติแบบนี้พอสมควร
“เออ..ใช่”
“แล้วตอนนี้ตองนวลเป็นยังไงบ้างล่ะหนูปิ่นยังทำงานอยู่ที่บ้านพ่อเลี้ยงแสนคำหรือเปล่า”
ดอกแก้วเห็นทีก็ถามเรื่องตองนวลกับปิ่นงามเอาเสียเลยเพราะไม่ไดติดต่อกันนานไม่รู้ว่าตอนนี้ตองนวลเป็นอย่างไรบ้าง
“เอ่อ..น้าตองนวลสบายดีค่ะ...อาหารที่ปิ่นทำเป็นก็เพราะน้าตองนวลสอนทั้งหมด”
“อาหารฝีมือตองนวลทำพ่อกับแม่อ้วนท้วนกันมาแล้วดีใจที่ได้กินอาหารรสชาตินี้อีกครั้ง”
“ถ้าพ่อกับแม่ชอบปิ่นจะทำให้บ่อยๆเลยค่ะ”
ปิ่นงามนั่งอมยิ้มอ่อนที่ทั้งสองยังจำรสชาติอาหารที่แม่เธอทำได้แต่ก็แอบหน่วงใจเล็กน้อยที่ต้องเรียกแม่เธอว่าน้า
“พี่คีนะพี่คี..ตื่นสายทุกวันเลยนะเดี๋ยวนี้”ช่วงสายนภาเข้ามาปลุกพี่ชายเธอในห้องนอนเพราะเดี่ญวนี้เห็นจะทำตัวเกเรเมามาทุกวันแถมยังตื่นไปทำงานสายทุกวันอีก“อืม..”“พี่ปิ่นมาถึงแล้วว่าที่เมียพี่น่ะไปทำความรู้จักกับเธอหน่อย”“ไม่..ไม่ได้อยากรู้จัก”เสียงเอะอะโวยวายภายในห้องทำให้ปิ่นงามที่นั่งอยู่ที่ชานเรือนด้านบนถึงกับทำใจไว้เลยว่าคีรีน่าจะไม่ใช่คนที่เป็นมิตรกับเธอแน่นอนก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะใครก็ไม่ได้อยากจะแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแต่ต้องแต่งเพราะเป็นข้อผูกมัดที่ผู้ใหญ่ทำขึ้นเอาไว้หลังจากนภาว่างงานจากสำนักงานของไร่แล้วบ่ายๆเกือบเย็นแดดร่มลมตกเธอก็เดินพาปิ่นงามปั่นจักรยานดูรอบๆไร่คร่าวๆว่าตรงไหนมีอะไรบ้างเพื่อสร้างความคุ้นเคย“ไร่นี้สวยเหมือนไร่แสนคำเลยภา”“พ่อบอกว่าทุกอย่างที่ไร่นี้เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะความช่วยเหลือของปู่แสนคำการทำไร่ก็ทำทุกอย่างแทบจะเหมือนกับที่ไร่โน้นแต่แค่ปลูกพืชเมืองหนาวไม่ค่อยได้เท่านั้นเองจะ”“เพื่อนคุณภาเหรอจ๊ะ...งามเหลือเกิน”ระหว่างที่สองสาวหยุดคุยกันก็มีคนงานผู้หญิงในไร่ที่กำลังนั่งถางหญ้ากลางร่องผักใกล้ๆเอ่ยชมหญิงสาวที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนแถม
วันต่อมาซ่า.....เสียงน้ำตกที่ไหลมาจากต้นทางในป่าลึกไหลผ่านมายังหลังเรือนเล็กท้ายไร่ของคีรีที่นี่ค่อนข้างเป็นที่เงียบสงบและเป็นพื้นที่ส่วนตัวของคีรีเฉพาะคนที่เขาอนุญาตให้เข้าเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้กระท่อมริมลำธารน้ำตกตอนนี้มีสองหนุ่มสาวอย่างคีรีและบุญตาสาวโสดที่หน้าตาดีที่สุดในไร่กำลังนั่งพลอดรักกันกระหนุงกระหนิงอย่างไม่คิดอายใครเพราะรู้ว่าไม่มีใครมาที่นี่ตอนนี้“นายจะแต่งงานแล้วบุญตาไม่อยากให้นายแต่งเลยจะ”บุญตาสาวสวยร่างผอมบางใบหน้าคมออดอ้อนคีรีเสียงอ่อนเสียงหวานเพราะรู้ตัวว่าคีรีกำลังจะแต่งงานไปในเร็ววันนี้และไม่รู้ว่าหลังจากนี้เธอจะสำคัญกับคีรีอยู่หรือเปล่าหากเขามีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้ว“เธอก็รู้ว่าฉันขัดพ่อฉันได้ที่ไหน”“แบบนี้บุญตาก็จะไม่ได้รับความรักจากนายอีกแล้วใช่หรือเปล่าจ๊ะ”บุญตารู้ดีว่าจะออดอ้อนคีรีอย่างไรเพราะคีรีมีนิสัยรักอิสระเธอจึงไม่เคยทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอยู่อย่างนี้เธอก็สบายดีแถมยังได้เงินจากคีรีอยู่เรื่อยๆเธอเคยเห็นผู้หญิงที่คิดจะจับคีรีแล้วแต่ก็ถูกเฉดหัวทิ้งทุกคนเลยขออยู่แบบนี้จะดีกว่าทั้งที่คราแรกที่ถูกคีรีจีบก็มีความคิดอยากเป็นเจ้าของเจ้านายหนุ่มเหมือนกัน“
“นั่นลูกวัวพึ่งคลอดก่อนหน้าที่พี่ปิ่นจะมาสองวันเอง”นภาชี้เจ้าลูกวัวตัวเมียที่เดินตามแม่กินหญ้าต้อยๆให้ปิ่นงามได้ดูขณะที่นั่งมองวิวทิวทัศน์กันอยู่ใต้ร่มต้นก้ามปูใหญ่“น่ารักดีนะดูสิตามแม่ต้อยๆเลย”“พี่ปิ่นนั่งเล่นตรงนี้ก่อนน้ะจ๊ะเดี๋ยวฉันไปเก็บชะอมริมรั้วสักหน่อยเอาไว้ทำกับข้าวเย็นนี้จะ”“เดี๋ยวพี่ไปช่วย”“ไม่ต้องหรอกจะแปปเดียวก็เสร็จแล้ว”“ก็ได้จะ”นภาอยากให้ปิ่นงามนั่งรับลมเล่นตรงนี้จะดีกว่าเพราะเธอก็ไม่ได้ไปนานเท่าไรนัก“เอ่อ..มีอะไรหรือเปล่า”ขณะที่ปิ่นงามนั่งเล่นเพลินๆจู่ๆก็มีหญิงสาวรูปร่างอวบอิ่มแต่งตัวแต่งหน้าสีสันฉูดฉาดเดินเข้ามายืนกอดอกมองหน้าเธออย่างไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก“คุณน่ะเหรอจะมาเป็นเมียนาย”“.....”ปิ่นงามพยักหน้ารับทั้งยังคิดในใจว่าไม่พ้นผู้หญิงคนนี้จะเป็นผู้หญิงของคีรีอีกแน่“นายบอกกับฉันเองตอนที่นอนอยู่ด้วยกันว่าไม่ได้ต้องการคุณเลยสักนิดที่ต้องแต่งเพราะจำเป็น”“แค่นี้ใช่หรือเปล่าที่จะบอกฉัน”ปิ่นงามหลุบสายตาลงเล็กน้อยที่แท้ก็เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ“อีกอย่างคือ...นายเป็นของฉันคุณอย่าคิดว่าจะแย่งนายไปได้ไม่อย่างนั้นได้เจ็บตัวแน่..ฉันขอตัว”ผกามองค้อนปิ่นงามดวงตาแทบจ
“อื้ออๆๆ..”เสียงหวานของผการ้องเจือในลำคอเล็กน้อยเมื่อสะโพกแกร่งกระแทกจนแท่งร้อนเข้าลึกลงมาในคอของเธอซวบบบ..“อ่าสส..”ในส่วนของชายหนุ่มก็ตวัดฉกชิมน้ำรักของหญิงสาวเสียงซดมูมมามพักใหญ่จนหนำใจแล้วค่อยเปลี่ยนท่วงที่ให้หญิงสาวนอนหันหลังชันเข่าขึ้น“ฉ..ฉันไม่ไหว..”ผการีบแอ่นก้นให้ศักดิ์สิทธิ์ได้สอดใส่แท่งร้อนเพราะตอนนี้เธอรอมันไม่ได้อีกแล้วความเสียวมันซาบซ่านไปทั้งตัวจนลืมอายไปหมดแล้ว“ข้าก็เหมือนกัน”พลั่กกก“อ้ะ...อื้ออ”สิ้นเสียงชายหนุ่มเขาก็เสียบแท่งร้อนเข้าร่องสวาทที่เยิ้มฉ่ำแฉะจนมิดตับ ตับ ตับ เสียงเนื้อที่กระทบกันดังสนั่นขณะที่ชายหนุ่มรัวสะโพกเข้าออกร่องสวาทผสมกับเสียงครางแห่งความสุขของหญิงสาวที่ไม่ได้สุขแบบนี้มานานแล้ว“อืม..”ผกาชันตัวขึ้นให้หลังของเธอแนบกับอกแกร่งของชายหนุ่มก่อนจะดึงมือหนาของเขามากอบกุมเต้างามทั้งสองเอาไว้“อ้ะ...”หลังจากที่ชายหนุ่มกระแทกจากข้างหลังจนหนำใจร่างอวบอิ่มถูกพลิกให้นอนหงายเขาจับเรียวของทั้งสองแยกออกจากกันและจับอีกข้างพาดบ่าเอาไว้และเสียบแทงเท่งร้อนรัวสะโพกใส่หนักๆรัวๆอีกครั้งจนร่างของผกาหัวสั่นหัวครอนรวมไปถึงทรวงอกอิ่มก็เด้งตามจังหวะให้ศักดิ์สิทธิ
“พี่ปิ่นไม่ได้อยู่ที่นี่จะแม่”นภาส่ายหัวหงึกหงักตอบแทนคีรีว่าปิ่นงามไม่ได้อยู่ที่นี่พอเห็นแม่เธอถามถึงปิ่นงามเธอก็เริ่มเห็นถึงความผิดปกติแล้วเพราะถ้าพี่ชายเธอไปส่งปิ่นงามที่บ้านก่อนจะมาที่นี่แล้วแม่เธอจะมาตามปิ่นงามที่นี่ทำไม“อ้าว.. ที่บ้านก็ไม่อยู่”ดอกแก้วเท้าเอวสงสัยว่าตกลงปิ่นงามอยู่ที่ไหนกันแน่“ฉันขอตัวก่อนนะ”คีรีเห็นท่าจะไม่ดีจึงเห็นว่าต้องขอตัวจากแม่และน้องสาวตนไปข้างนอกเสียตอนนี้จะดีกว่าแต่ยังไม่ทันได้ก้าวสักก้าวนภาก็ดึงเขาเอาไว้ก่อนทั้งยังเค้นถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าคาดโทษ“เดี๋ยวพี่คี...พาพี่ปิ่นกลับมาหรือเปล่า”“อืม... น่าจะลืม”คีรีตอบอย่างลอยหน้าลอยตา“พี่คี....ไปรับพี่ปิ่นกับภาเดี๋ยวนี้เลยทำแบบนี้ได้ยังไง”นภาบ่นพี่ชายตนอุกไม่รู้ว่าตอนนี้ปิ่นงามจะเป็นอย่างไรบ้าง“นั่นสิ...มันน่านัก”คนเป็นแม่บิดหน้าท้องลูกชายเธอจนร้องลั่น“โอ้ยย..ๆๆแม่ผมเจ็บ”“รีบไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”ดอกแก้วรู้ว่าคีรีไม่ได้พอใจที่จะแต่งงานแต่ก็ไม่คิดว่าลูกชายเธอจะแกล้งปิ่นงามแบบนี้“ต้องแกล้งกันขนาดนี้เลยเหรอ”ปิ่นงามเดินถือของกลับด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์นักมือน้อยยังคงคอยปาดเหงื่อที่กำลังหยดมาเรื่อยๆห
“ลูกสะใภ้พ่อเลี้ยงนี่งามสมชื่อปิ่นงามเลยนะ”ผู้ใหญ่บ้านกำนันที่มาร่วมงานก็เอ่ยชมปิ่นงามกับพ่อเลี้ยงอินทร์เปราะเพาะเธอสวยน่ารักจนเป็นที่จับจ้องของผู้ชายแทบจะทุกคน“ไม่ใช่สวยอย่างเดียวนะงานบ้านงานเรือนเก่งเสียด้วย”พ่อเลี้ยงอินได้ยินเช่นนี้ตลอดเวลาที่อยู่ในงานทำให้เขาเองก็ยิ้มไม่หุบทั้งยังอวดด้วยว่าลุกสะใภ้ของเขาไม่ได้สวยอย่างเดียวเท่านั้นยังเรียบร้อยเป็นแม่บ้านแม่เรือนได้ดีอีกด้วย“แบบนี้พ่อคีรีไม่หลงแย่เลยเหรอ..ฮ่าๆๆ”“อยากจะให้หลงน่ะสิจะได้มีหลานให้อุ้มหัวปีท้ายปี”เสียงผู้ใหญ่คุยหัวเราะเฮฮากันดูจะครึกครื้นตื่นเต้นมากกว่าตัวบ่าวสาวในงานเสียอีกหลังจากพิธีสู่ขวัญรดน้ำสังข์ผูกข้อไม้ข้อมือเรียบร้อยแล้วตอนนี้ก็เป็นเวลาที่จะส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าหอที่เรือนเล็กท้ายไร่ผู้คนจากเรื่อนใหญ่ก็เดินตามมาส่งสองบ่าวสาวกันเป็นขบวน“นาย.. เมียนายสวยยังกะนางฟ้าผู้ชายในไร่มองตากันเป็นมัน...นายไม่สนใจเธอจริงๆเหรอ”สรวงได้จังหวะก็มาเอ่ยกระซิบกับคนเป็นนายไม่อยากจะคิดว่านายของเขาจะไม่สนใจปิ่นงามจริงๆ“จะสนไม่สนเอ็งยุ่งอะไรด้วยวะ”คราแรกคีรีก็ว่าจะไม่สนใจพอได้ยินผู้ชายคนอื่นเอ่ยชมป่นงามมากๆเข้าเขาก็รู้สึก
“โถ่.. โว้ยย..”คีรีตวาดใส่หญิงสาวก่อนจะเดินออกจากห้องไปทิ้งให้หญิงสาวนอนหายใจหอบถี่ด้วยอาการตกใจเพียงคนเดียว“เฮ้อ...”ปิ่นงามรีบวิ่งไปล็อคประตูเอาไว้เพราะกลัวว่าคีรีจะกลับมากระทำสิ่งที่เธอไม่ต้องการอีก22.00 น.“ไม่เห็นเอ็งไปงานแต่งไอ้คีรี...เมียมันสวยเหมือนกันนี่หว่า”ศักดิ์สิทธิํทาหาผกาช่วงกลางดึกตั้งแต่คืนนั้นทั้งสองก็นัดกันเล่นบทสวาทเรื่อยมาโดยที่ไม่มีใครรู้“อย่ามาพูดให้ฉันได้ยินฉันไม่อยากฟัง”คำพูดของศักดิ์สิทธิ์ทำสาวร่างอวบอิ่มที่นุ่งผ้าถุงกระโจมอกอยู่บนตักชายหนุ่มหงุดหงิดขึ้นมากะทันหัน“เออ... ข้าไม่พูดเรื่องคนอื่นแล้วก็ได้..”ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้คิดจะมาเย้ยอะไรผกาเขาก็พูดตามที่คิดเพราะปิ่นงามนั้นงามสมชื่อจริงๆ“มาคุยเรื่องของเรากันดีกว่า”ว่าจบก็ถกผ้าถุงหญิงสาวที่นั่งอยู่บนตักขึ้นก่อนจะล้วงมือซ้ายไปที่กลีบกุหลาบงามส่งนิ้วแกร่งทั้งสองสอดใส่ไปในร่องสวาทชักเข้าออกช้าๆมือขวาก็ไม่ได้ปล่อยให้ว่างคว้าหมับบีบเค้นเต้างามทั้งขยี้ยอดปทุมถันที่แข็งตั้งชูชันเรียกอารมณ์สวาทให้หญิงสาวนั้นพร้อมกับกิจกรรมสวาทที่กำลังจะเกิดขึ้น“พ..พี่ศักดิ์”สองขาเรียวขอผกายกแยกชันขึ้นอัตโนมัติร่างบางแอ่นบิดเ
เย็นของวัน“ปิ่นทำแผลให้ค่ะ”ปิ่นงามเห็นคีรีอาบน้ำอาบท่าหลังจากกลับมาจากทำงานแล้วเธอจึงถือกล่องพยาบาลมานั่งตรงหน้าเขารู้สึกผิดที่ทำเขาเจ็บเหมือนกันแต่หากเขาไม่มาขัดใจเธอก่อนคงไม่เป็นแบบนี้“......”คีรีนั่งไม่พูดไม่จาเขาไม่ได้ตอบรับหรือพูดปฏิเสธเพราะนี่มันก็เป็นหน้าที่เธอต้องจัดการให้เขาอยู่แล้วเพราะเธอมาทำเขาเจ็บเอง“ก่อนทำแผลเมื่อวานล้างก่อนหรือยังคะ”ปิ่นงามแกะผ้าแปะแผลออกก็เห็นรอยเลือดเกรอะกรัง เมื่อวานที่เขาเจ็บเธอก็ไม่ได้ทำแผลให้ด้วยไม่รู้ว่าเขาล้างสะอาดดีหรือเปล่า“แค่เช็ดแล้วก็ใส่ยา”คีรีส่ายหัวเขาแค่ใช้ผ้าเช็ดเลือดเสร็จแล้วก็ใส่ยาแปะผ้าแปะแผลแล้วก็นอนอยู่อีกห้องข้างๆ“คราวหลังต้องเช็ดให้สะอาดไม่อย่างนั้นแผลจะอักเสบนะคะ”“เธอจะทำฉันเจ็บอีกเหรอ”คีรีจ้องหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังยื่นหน้ามาใกล้ๆเขม็งที่เธอพูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าคิดที่จะทำเขาเจ็บอีกหรอกหรือ“คือปิ่นหมายถึง...คุณบาดเจ็บด้วยอย่างอื่น”ปิ่นงามต้องรีบอธิบายทันควันกลัวว่าเขาจะหาว่าเธอหัวรุนแรง“กับข้าวฝีมือปิ่นพอจะกินได้หรือเปล่าคะ”หลังจากทำแผลเสร็จทั้งสองก็มานั่งกินข้าวเย็นกันในครัวหญิงสาวเห็นคีรีเอาแต่นั่งกินข้าวไม่พูดไม่จาเล