“พี่ขอเวลาอีกนิดแล้วจะกลับไปกราบขอโทษพวกท่าน”
“พ่อกับแม่คงดีใจนะจ๊ะที่รู้ว่ามีหลานแล้ว”
หลังจากที่สองสาวคุยกันจนนภาเห็นว่าปิ่นงามเข้าใจทุกอย่างดีแล้วเธอก็อยู่เล่นทำความรู้จักกับอคิณพักใหญ่และอยู่ร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับทุกคนแล้วจึงกลับมาบอกข่าวดีกับคีรีว่าปิ่นงามนั้นเข้าใจทุกอย่างดีเพียงแค่ตอนนี้ขอเวลาทำใจที่จะเจอกับคีรีอีกสักหน่อยเท่านั้น
“แล้วพี่ต้องรอจนถึงเมื่อไรล่ะภา”
คีรีคิดว่านภากลับมาเขาจะได้เจอกับปิ่นงามเลยเสียอีกกลับต้องรอเวลาจึงหัวเสียไม่น้อย
“ให้เวลาพี่ปิ่นหน่อยสิพี่คี...ตอนนั้นพี่ก็ทำพี่ปิ่นเสียใจมากแถมพี่กับพี่ปิ่นก็ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีแล้ว”
“เฮ้อ..”
23.00 น.
คีรีรู้ที่อยู่ของปิ่นงามจากที่คุยกับนภาเมื่อช่วงเย็นและตอนนี้เขาก็จอดรถอยู่ที่หน้าบ้านที่ภรรยารักของเขาแล้วชายหนุ่มทนไม่ไหวที่จะรอให้ปิ่นงามพร้อมที่จะคุยกับเขาเพราะไม่รู้ว่าจะนานอีกเท่าไรถึงจะได้เจอหน้ากันเสียที
“ฉันคิดถึงเธอแทบบ้า..ใครจะทนรอไหว”
คีรีปีนรั้วเดินดุ่มๆพร้อมไฟฉายหนึ่งกระบอกมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
แกร๊กกก
เขาเดินมาข้างบ้านก่อนจะเริ่มงัดหน้าต่างจนเข้ามาด้านในได้คืนนี้ค่อนข้างเงียบเชียบแม้แต่เสียงลมก็ยังไม่มีทำให้คนที่นอนอยู่ในบ้านอย่างปิ่นงามสะดุ้งตื่นกับเสียงที่ดังขึ้น
“หืม.. เสียงอะไร”
เธอรีบเดินออกมาจากห้องนอนก่อนจะวิ่งเปิดไฟรอบบ้านเมื่อแสงสว่างขึ้นทำให้ปิ่นงามได้เห็นอะไรๆชัดเจนและคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของเธอคือคีรีเท่าที่เห็นตอนนี้เขาดูซูบผอมลงไปกว่าแต่ก่อนมาก
“ค..คุณคี”
หญิงสาวเห็นเช่นนั้นจึงรีบหันหลังกลับหมายจะหนีกลับเข้าห้องเพราะไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับเขาแต่ถูกคีรีนั้นรั้งกอดร่างเธอเอาไว้เสียก่อน
“ปิ่น...อย่าหนีฉัน”
ปิ่นงามยังคงยืนแน่นิ่งเพราะยังเดาความรู้สึกตัวเองไม่ออกว่าตอนนี้เธอนั้นรู้สึกอย่างไรกับคีรีกันแน่เคยคิดว่าเธอไม่ได้มีความรักความโกรธต่อเขาแล้วแต่ทำไมเมื่อเห็นหน้ากลับอยากจะร้องให้เสียอย่างนั้น
“..กลับไปก่อนนะคะปิ่นยังไม่พร้อมจะคุยกับคุณตอนนี้..”
“ไม่ปิ่น...ฉันรอไม่ไหวแล้วฉันคิดถึงเธอใจจะขาดขอโทษที่ตอนนั้นฉันทำร้ายเธอ..ขอโทษจริงๆ... ฉันไม่เคยโกรธที่เธอโกหกฉันรู้ว่าเธอทำเพราะจำเป็น..ส่วนที่ฉันพูดไม่ดีและทำกับเธอก็เพราะตอนนั้นมันไม่ใช่ตัวฉันพอฉันรู้ว่าเธอหนีไป...ฉันเฝ้าตามหาเธอไปทั่วไปตามที่หมู่บ้านใกล้เคียงแทบทุกที่และที่ไร่แสนคำรอจ้างคนโน้นคนนี้ให้ช่วยออกตามหาแทบพลิกแผ่นดิน..จนยัยภามาเจอเธอ...เหมือนฉันได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งแล้วก็ดีใจมากๆที่รู้ว่าเรามีลูกด้วยกัน..เรื่องทุกอย่างที่ผ่านมาฉันขอโทษ..ขอโทษจริงๆ...ฉันเสียเธอไปไม่ได้กลับบ้านเราเถอะนะ...ฉันรักเธอมากปิ่นงามกลับไปเป็นดวงใจของฉัน..ขอร้องล่ะ”
คีรีดีใจที่ได้กอดร่างบางอันเป็นที่รักนี้อีกครั้งเธอยังสวยน่ารักเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเขาพรั่งพรูความรู้สึกในใจออกมาพร้อมน้ำตาลูกผู้ชายหวังว่าเธอจะเห็นใจและยอมกลับไปอยู่กับเขาแต่โดยดี
“..ปิ่นไม่รู้...ว่าตอนนี้ปิ่นยังรักคุณอยู่หรือเปล่า..”
เสียงแผ่วเบาของหญิงสาวที่ออกมาจากปากเธอในตอนนี้ทำคีรีเข่าทรุดน้ำตาที่ไหลอยู่แล้วก็ยิ่งไหลพรากดั่งธารน้ำไหล
“ปิ่น...ห...ให้โอกาสฉันได้ดูแลเธอกับลูกก่อนได้หรือเปล่าแล้วค่อยดูให้แน่ใจอีกทีก็ได้..นะ..ฉันขอล่ะให้ฉันกราบเธอฉันก็ยอมกลับบ้านกับฉันเถอะนะฉันขาดเธอไม่ได้จริงๆ”
ตอนนี้คีรีไม่สนใจศักดิ์ศรีอะไรอีกต่อไปแล้วเขานั่งกอดขาร่างบางแน่นหากเธอยังไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองตอนนี้เขาไม่คิดจะว่าแค่ขอให้เขาได้ดูแลเธอกับลูกและไม่แยกจากกันอีกเท่านั้นเขาขอแค่นี้
“คุณคีรี..อย่าค่ะ...”
ปิ่นงามรีบนั่งลงจับมือของคีรีที่กำลังจะก้มลงกราบเธอ
“กลับไร่กับฉันนะปิ่น..พาลูกกลับบ้านเรากันนะ”
คีรีรีบโผกอดปิ่นงามแน่น
“ค่ะ...ปิ่นจะกลับ”
ปิ่นงามคิดเอาไว้แล้วว่ายังไงเธอก็ต้องกลับเพราะนภารู้ว่าเธออยู่ที่นี่หากเธอไม่ไปทุกคนก็จะต้องมาหาจะวุ่นวายกันไปใหญ่อีกอย่างเธอตั้งใจไว้ว่ายังไงก็ต้องไปกราบขอโทษผู้ใหญ่ที่เธอทำให้ทุกคนเป็นห่วง
“จริงนะ..”
“ค่ะ”
“ไป...เรากลับกันคืนนี้เลย”
“ไม่ได้ค่ะปิ่นต้องบอกคุณหมอก่อนอีกอย่างข้าวของก็ไม่ใช่น้อยๆ”
“ไม่ต้องเอาอะไรไปฉันจะซื้อให้เธอกับลูกใหม่หมดเลย”
“ยังไงปิ่นก็ต้องรอบอกคุณหมออยู่ดีค่ะ”
“ก็ได้..”
และแล้วคีรีก็ต้องยอมให้ปิ่นงามอยู่ที่นี่ก่อนส่วนเขาก็อยู่เฝ้าเธอไม่ยอมไปไหนเพราะไม่อยากห่างกายจากปิ่นงามแม้แต่วินาทีเดียว
และแล้วคีรีก็พาปิ่นงามกลับมาที่ไร่จนได้ตอนนี้หมอหนุ่มอย่างชาวีก็กลับมาด้วยเพราะอยากมาส่งหญิงสาวให้ถึงที่หมายอยากดูให้แน่ใจว่าเธออยู่ที่นี่แล้วจะมีความสุขจริงๆ
“ปิ่นต้องกราบขอโทษพ่อกับแม่ด้วยนะคะที่ตัดสินใจจากไปโดยไม่ได้ลา”
ปิ่นงามมาถึงไร่ได้เธอก็รีบเข้ามากราบขอโทษพ่อแม่สามีของเธอที่ทำให้ทั้งสองนั้นเป็นห่วง
“พ่อกับแม่เข้าใจไม่ได้โกรธอะไรเลยลูกแค่เป็นห่วงเท่านั้นรู้ว่าหนูสบายดีแม่กับพ่อก็ดีใจ”
“ใช่แล้ว..พ่อดีใจที่รู้ว่ามีหลานกะเค้าแล้ว”
ดอกแก้วและอินไม่เคยคิดโกรธเคืองอะไรปิ่นงามแม้นแต่น้อยซ้ำตอนนี้ยังดีใจที่ได้เป็นปู่เป็นย่ากับเค้าแล้ว
“อยู่ที่นี่ไม่ต้องไปไหนแล้วนะลูก”
“ค่ะแม่”
ปิ่นงามรับปากดอกแก้วเพราะรู้ดีว่าหากเธอจะไปคีรีก็คงไม่ยอมปล่อยเธอกับลูกไปอยู่ดี
“แม่ค้าบ..ผมหิว”
เด็กชายวิ่งตั้งป้อมมาหาคนเป็นแม่เพราะเริ่มหิวแล้ว
“มาไหว้ปู่กับย่าสิครับอคิณ”
ปิ่นงามรีบเรียกอคิณเข้ามาสวัสดีทำความรู้จักกับปู่และย่า
“สวัสดีครับ”
ดอกแก้วและอินนั่งยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นหลานชายตัวกลมวิ่งเข้ามาไหว้หน้าตาของอคิณละม้ายคล้ายคีรีพอสมควรแต่ตาจะหวานไปทางแม่เสียมากกว่า
“ชอบกินอะไรล่ะเรา”
พ่อเลี้ยงอินเห็นว่าเมื่อครู่หลานบ่นหิวจึงรีบถามเรื่องของกินที่ชอบเพื่อสร้างสร้างสัมพันธ์
“ช็อกโกแลตครับ”
“ช็อกโกแลตงั้นเรอะ...ที่บ้านปู่ไม่มีด้วยสิ..ไปๆเดี๋ยวปู่พาไปซื้อในหมู่บ้านไปกับปู่หรือเปล่า”
“ผมไปได้หรือเปล่าครับแม่”
เด็กชายหันมาถามคนเป็นแม่เพราะตอนนี้ยังเห็นปู่กับย่าตนเป็นคนแปลกหน้าอยู่
“ไปสิลูกแม่อนุญาต”
“ไปครับปู่..ไปซื้อช็อกโกแลตกัน”
เมื่อคนเป็นแม่เอ่ยปากอนุญาตได้อคิณก็รีบวิ่งไปจูงมือคนเป็นปู่หมายจะให้พาไปซื้อขนมของโปรดแต่ก็ถูกดอกแก้วรวบดึงมากอดเสียก่อน
“มาให้ปู่กับย่าหอมให้ชื่นใจหน่อยสิลูก”
ฟอดดด
“อื้มม...ย่าชื่นใจจังเลย”
“มาปู่หอมมั่ง”
ฟอดดด
“อคิณหอมคืนบ้างครับ”
ฟอดด...ฟอดดด
“จะไม่ให้หลงได้ยังไงล่ะเนี่ย..ไปซื้อขนมกัน”
ทั้งสามกอดหอมกันอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งจนพอใจแล้วพ่อเลี้ยงอินจึงจูงหลานออกจากเรือนไปขึ้นรถเพื่อที่จะไปซื้อขนมได้
“ดูท่าอคิณจะกินเก่งนะหนูปิ่นจ้ำม่ำเชียว”
“ค่ะแม่...กินข้าวเก่งเป็นคนโตเลยค่ะ”
“ดีแล้วล่ะจะได้โตไวๆ”
หลังจากพ่อเลี้ยงอินพาหลานชายออกไปแล้วดอกแก้วก็นั่งคุยไถ่ถามสารทุกข์กันพักใหญ่จวบจนได้เวลาเย็นจึงช่วยกันไปทำอาหารในครัว
ตอนนี้ทุกคนร่วมโต๊ะอาหารเย็นกันเป็นวงใหญ่ส่วนอคิณก็นั่งอยู่บนตักของปู่กินข้าวขยำปลาหมอย่างตุ้ยๆจนพ่อเลี้ยงอินนั้นแกะเนื้อปลาให้แทบไม่ทัน
“ดูท่าหลานปู่จะชอบปลาย่างเหมือนพ่อละมั้งเนี่ย”
“นั่นสิเคี้ยวไม่หยุดปากเลย”
นภาเอ่ยเสริมก่อนจะยื่นมือหยิบปลาหมอย่างช่วยพ่อเธอแกะอีกแรง
คีรีที่เห็นว่าลูกชายตนมีส่วนที่เหมือนกันกับตัวเองก็นั่งอมยิ้มอ่อนเอ็นดูเจ้าตัวกลมที่กำลังเคี้ยวข้าวไม่หยุดปาก
“อาหารถูกปากหรือเปล่าล่ะหมอ”
ดอกแก้วหันไปถามหมอหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ครับ..ฝีมือแม่แก้วอร่อยไม่แพ้ฝีมือคุณปิ่นเลยครับ”
“ช่างเอาใจคนแก่นะหมอ”
“ผัดเผ็ดไก่บ้านคุณหมอลองสิคะ”
นภาตักผัดเผ็ดไก่ใส่จานหมอหนุ่มเห็นว่าเขาเป็นคนกรุงเทพคงจะไม่ค่อยได้กินอาหารบ้านๆแบบนี้เท่าไรนัก
“ขอบคุณครับ..เอ่อ..อืม”
อาหารในช้อนเข้าปากได้ไม่ถึงสามวินาทีหมอหนุ่มก็เริ่มหันมองหาแก้วน้ำเสียแล้วเพราะรสสัมผัสแรกที่เนื้อไก่เข้ามาในปากเขารับรู้แค่ว่ามันเผ็ดมากจนอยากจะคายออกแต่ก็เกรงใจผู้ใหญ่จึงทำใจกลืนมันลงไปเร็วๆ
“น้ำค่ะคุณหมอ...ปิ่นถือรอไว้แล้ว”ปิ่นงามกลั้นหัวเราะเล็กน้อยทั้งรีบยื่นแก้วน้ำให้หมอหนุ่มได้ดื่ม“คุณปิ่นไม่บอกผมล่ะครับว่ามันเผ็ด”หน้าหมอหนุ่มตอนนี้แดงเป็นลูกตำลึงจนคนในวงกินข้าวต่างก็มองกันด้วยความตกใจเว้นคีรีที่มองแต่ปิ่นงามด้วยสายตาที่น้อยอกน้อยใจที่เห็นหญิงสาวดูใส่ใจชาวีมากกว่าตัวเองในตอนนี้“อีกแก้วค่ะ..คุณหมอกินเผ็ดไม่ได้เหรอคะ”นภารีบยื่นน้ำอีกแก้วให้ชาวีเพราะเห็นว่าในมือของเขากำลังจะหมด“ค่ะ..เผ็ดนิดหน่อยก็หน้าแดงทันทีเลยล่ะ”“อ่อ...ภาไม่รู้ว่าคุณหมอกินเผ็ดไม่ได้โทษทีค่ะ”นับว่าเป็นที่ตกอกตกใจกันไปกับสีหน้าของชาวีแต่ดีที่หายเผ็ดได้หน้าของเขาจึงหายแดงนภาตอนนี้จึงไม่กล้าตักอะไรให้หมอหนุ่มอีกจนสิ้นสุดมื้อเย็นวันนี้หลังจากทุกคนกินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้วคีรีก็พาลูกกับเมียกลับเรือนเล็กส่วนหมอหนุ่มก็พักอยู่ที่เรื่อนใหญ่“เดี๋ยวพ่ออาบน้ำให้นะครับอคิณ”พอคีรีพาทั้งสองมาถึงบ้านเขาก็รีบที่จะทำหน้าที่สามีโดยการจะช่วยภรรยาอาบน้ำให้ลูกชายแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ทำหน้าที่อาบน้ำให้ลูกในวันนี้เสียแล้วเพราะอคิณเดินหนีเขาหน้าตาเฉยขณะที่จะถอดเสื้อผ้าให้“ให้แม่อาบให้ครับ”อคิณแม้จะคุ้นเคยกั
ไร่คีรีรักษ์เป็นไร่ของพ่อเลี้ยงอินและดวงแก้วเป็นไร่ที่มีอาณาเขตกว้างขวางปลูกพืชไร่พืชสวนหลายชนิดมีคนงานในไร่มากมายทั้งสองช่วยกันบุกเบิกมาตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวจนตอนนี้มีโซ่ทองคล้องใจถึงสองคนและอายุก็เข้าสู่ช่วงวัยหนุ่มสาวที่จะต้องมีครอบครัวแล้วด้วยพ่อเลี้ยงอินจึงให้ลูกชายคนโตอย่างคีรีหนุ่มรูปงามวัย26ที่เป็นที่หมายปองของสาวๆทั้งในไร่และในระแวกหมู่บ้านนี้เป็นคนดูแลควบคุมทุกอย่างต่อส่วนลูกสาวคนเล็กอย่างนภาหญิงสาววัย22ก็เป็นคนทำบัญชีและดูแลเรื่องโรงครัวของทางไร่แม้นพวกเขาทั้งสองจะละมือจากการควบคุมดูแลไร่แล้วก็ยังออกช่วยคนงานทำไร่ทำสวนเป็นการออกกำลังไปในตัวยามเย็นโพล้เพล้พระอาทิตย์จะตกไม่ตกแหล่เหล่าคนงานในไร่คีรีรักษ์ต่างก็เก็บอุปกรณ์การเกษตรที่เอามาจากโรงนาเก็บเข้าที่ก่อนจะเตรียมตัวกลับที่พักกลุ่มผู้หญิงโสดก็เดินเป็นกลุ่มพูดคุยไถ่ถามเรื่องทั่วไปทั้งงานและเรื่องสารทุกข์สุขดิบในระหว่างเดินทางกลับส่วนผู้หญิงที่มีผัวแล้วก็เร่งรีบที่จะต้องกลับไปทำกับข้าวกับปลาไว้ให้ลูกผัวพวกผู้ชายที่มีเมียแล้วรักดีหน่อยก็กลับบ้านพร้อมเมียแต่บางคนก็รวมกลุ่มตั้งวงกินเหล้ากินยากันตามประสาผู้ชายที่ชอบสังสรรห
“ข้าไม่รู้ไม่เคยเห็นไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำ...แต่ถึงจะแต่งข้าก็จะทำให้แม่ผู้ดีนั่นอยู่ไม่ได้เตลิดไปในไม่ช้า...เพราะข้าไม่ได้อยากมีครอบครัวแล้วก็ไม่ชอบการคลุมถุงชนแบบนี้ด้วย”คีรีไม่ใช่เพียงแค่พูดไปเรื่องเพราะฤทธิ์น้ำเมาแต่เขาคิดแผนการเอาไว้จริงๆ“ไม่แน่นะ...นายอาจจะรักผู้หญิงคนนี้จริงๆก็ได้”สรวงเอ่ยหยอกคนเป็นนายให้หายเครียด“จริงสินาย...ผู้หญิงคนนั้นอาจจะสวยหยาดเยิ้มจนนายหลงหัวปลักหัวปลำก็ได้..ฮ่าๆๆๆ”“ฮ่าๆๆ..”คนในวงสังสรรค์ตอนนี้ก็เช่นกันเพราะเห็นมานักต่อนักแล้วคนที่ไม่อยากแต่งงานพอได้แต่งแล้วแทบจะไม่อยากห่างเมียตนไปไหนกันเลย“ตลกอะไรนักหนาวะ..”คีรีเริ่มเสียงแข็งคนในวงตอนนี้เลยเริ่มหัวเราะไม่ออก“ข้าจะกลับแล้วไอ้สรวงพาข้าไปหาผกา”สิ้นเสียงไม่พอใจคีรีก็สั่งให้สรวงพาเขาไปหาผกาแม่ค้าขนมหวานที่ตลาดในหมู่บ้านเพราะรู้ตัวว่าตอนนี้ขับรถไปไม่ไหวแน่“นายจะไปทำไม”สรวงขมวดคิ้วจนผูกโบว์เขาไม่เคยเห็นนายของเขาไปหาใครตอนดึกดื่นเลยสักครั้งยิ่งครั้งนี้นายตนใกล้จะเข้าพิธีแต่งงานแล้วด้วยเขายิ่งไม่อยากตามใจนายตนนักเพราะพ่อเลี้ยงอินอาจจะหมายหัวเขาเอาได้หากปล่อยให้คีรีเถลไถล“บอกให้พาไปก็พาไปสิวะรึจะให้ข้
“ผกา..”คีรีพยายามหักห้ามใจแต่ทั้งความเมาและเนื้อหนังเต่งตึงอกตูมของผกากำลังทำให้สติของเขาควบคุมไม่อยู่สิ้นเสียงเรียกชื่อหญิงสาวอย่างแหบพร่าคีรีก็กดเธอลงกับฟูกนอนรีบตะกุมตะกามดูดดึงยอกประทุมถันฟัดเล่นให้สาแก่ใจ“อ้ะ...”ชายหนุ่มใช้มือหนาถลกผ้าถุงสีหวานของหญิงสาวขึ้นมากองที่เอวก่อนจะใช้มือล้วงเข้าไปในกางเกงในตัวจิ๋วลูบไล้ร่องสวาทที่กำลังฉ่ำแฉะ“คีรี..”และแล้วกิจกรรมสวาทที่ได้สิ้นลงเมื่อคีรีได้ยินเสียงพ่อตนมาตะโกนที่หน้าบ้านของผกาสติของเขาจึงกลับคืนมาได้“พ่อ..”“ถ้าเอ็งไม่ออกมาเอ็งไม่ต้องกลับไปที่ไร่อีก”“ฉันไปก่อนนะผกา”คีรีรีบใส่กางเกงลุกหนีร่างอวบอึ๋มที่นอนโชว์ของสงวนอยู่บนฟูกออกไปอย่างรวดเร็วเขามีสติรู้ตัวเพราะเสียงของพ่อไม่อย่างนั้นเกือบมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผกาไปแล้ว“โถ่เอ้ย..”ผกานั่งกัดฟันกรอดกำมือแน่นอีกแค่นิดเดียวเธอก็จะทำให้สิ่งที่หวังได้สำเร็จแล้วแต่ดันมีคนมาขัดเสียก่อนยิ่งคิดเธอก็ยิ่งโมโหปึกก“ดึกดื่นไม่กลับบ้านกลับช่องเอ็งจะไปค้างอ้างแรมบ้านผกามันได้ยังไง”พ่อเลี้ยงอินลากลูกชายคนโตมาเหวี่ยงกองตรงกลางบ้านกลางดึกก่อนจะตวาดเสียงสั่นด้วยความโมโหดีที่สรวงมาบอกให้เขาไปตามคี
“ค่ะ...หนูชื่อปิ่นงาม..ส่วนนี่พี่คำปันจะ”“สวัสดีครับ”หลังจากที่ปิ่นงามแนะนำตัวคำปันชายหนุ่มก็รีบยกมือสวัสดี“คำปันเองเหรอลูกทิดปลั่งใช่ไหม”ดอกแก้วจำได้ดีว่าเคยเจอคำปันเมื่อยังเล็กๆตอนไปเยี่ยมแสนคำที่ทางเหนือครั้งพวกตนยังไม่มีลูกมีเต้า“ครับแม่เลี้ยง”“ตอนนั้นที่เห็นกันยังเล็กๆอยู่เลยนะจำไม่ได้ล่ะสิ..ไปๆขึ้นเรือนพักผ่อนกันก่อน”หลังจากทักทายกันเสร็จเจ้าบ้านก็ชวนแขกขึ้นเรือนเอาของไปเก็บแล้วจะได้พักผ่อนหลังจากเดินทางมาเหนื่อยๆวันนี้เลยได้แค่ทักทายไม่ได้คุยอะไรกันมากนักเพราะนี่ก็มืดค่ำแล้ว“นึกว่าพ่อเลี้ยงจะมาพร้อมหนูปิ่นเสียอีก..ดันมาป่วยเอาเสียได้”สองสามีภรรยามาคุยกันที่ห้องหลังจากจัดแจงที่พักให้ปิ่นงามและคำปันเรียบร้อยแล้วทั้งสองแอบเสียดายที่คิดว่าแสนคำจะมาพร้อมกับหลานสาวแต่กลับมารู้ว่าป่วยกะทันหันจากปากปิ่นงาม“นั่นสิ..จะว่าไปหนูปิ่นกิริยาท่าทางเหมือนตองนวลไม่มีผิดเลย”พ่อเลี้ยงอินอดนึกถึงเพื่อนตนในวันวานที่อยู่ที่ไร่แสนคำไม่ได้ยิ่งเห็นปิ่นงามก็ยิ่งนึกถึงตองนวล“ก็คงจะเหมือนคนเลี้ยงนั่นแหละ”ดอกแก้วเองก็คิดเช่นเดียวกับสามีเธอรู้มาว่าตองนวลมีลูกรุ่นราวคราวเดียวกับหลานของแสนคำและตอง
“พี่คีนะพี่คี..ตื่นสายทุกวันเลยนะเดี๋ยวนี้”ช่วงสายนภาเข้ามาปลุกพี่ชายเธอในห้องนอนเพราะเดี่ญวนี้เห็นจะทำตัวเกเรเมามาทุกวันแถมยังตื่นไปทำงานสายทุกวันอีก“อืม..”“พี่ปิ่นมาถึงแล้วว่าที่เมียพี่น่ะไปทำความรู้จักกับเธอหน่อย”“ไม่..ไม่ได้อยากรู้จัก”เสียงเอะอะโวยวายภายในห้องทำให้ปิ่นงามที่นั่งอยู่ที่ชานเรือนด้านบนถึงกับทำใจไว้เลยว่าคีรีน่าจะไม่ใช่คนที่เป็นมิตรกับเธอแน่นอนก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะใครก็ไม่ได้อยากจะแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแต่ต้องแต่งเพราะเป็นข้อผูกมัดที่ผู้ใหญ่ทำขึ้นเอาไว้หลังจากนภาว่างงานจากสำนักงานของไร่แล้วบ่ายๆเกือบเย็นแดดร่มลมตกเธอก็เดินพาปิ่นงามปั่นจักรยานดูรอบๆไร่คร่าวๆว่าตรงไหนมีอะไรบ้างเพื่อสร้างความคุ้นเคย“ไร่นี้สวยเหมือนไร่แสนคำเลยภา”“พ่อบอกว่าทุกอย่างที่ไร่นี้เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะความช่วยเหลือของปู่แสนคำการทำไร่ก็ทำทุกอย่างแทบจะเหมือนกับที่ไร่โน้นแต่แค่ปลูกพืชเมืองหนาวไม่ค่อยได้เท่านั้นเองจะ”“เพื่อนคุณภาเหรอจ๊ะ...งามเหลือเกิน”ระหว่างที่สองสาวหยุดคุยกันก็มีคนงานผู้หญิงในไร่ที่กำลังนั่งถางหญ้ากลางร่องผักใกล้ๆเอ่ยชมหญิงสาวที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนแถม
วันต่อมาซ่า.....เสียงน้ำตกที่ไหลมาจากต้นทางในป่าลึกไหลผ่านมายังหลังเรือนเล็กท้ายไร่ของคีรีที่นี่ค่อนข้างเป็นที่เงียบสงบและเป็นพื้นที่ส่วนตัวของคีรีเฉพาะคนที่เขาอนุญาตให้เข้าเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้กระท่อมริมลำธารน้ำตกตอนนี้มีสองหนุ่มสาวอย่างคีรีและบุญตาสาวโสดที่หน้าตาดีที่สุดในไร่กำลังนั่งพลอดรักกันกระหนุงกระหนิงอย่างไม่คิดอายใครเพราะรู้ว่าไม่มีใครมาที่นี่ตอนนี้“นายจะแต่งงานแล้วบุญตาไม่อยากให้นายแต่งเลยจะ”บุญตาสาวสวยร่างผอมบางใบหน้าคมออดอ้อนคีรีเสียงอ่อนเสียงหวานเพราะรู้ตัวว่าคีรีกำลังจะแต่งงานไปในเร็ววันนี้และไม่รู้ว่าหลังจากนี้เธอจะสำคัญกับคีรีอยู่หรือเปล่าหากเขามีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้ว“เธอก็รู้ว่าฉันขัดพ่อฉันได้ที่ไหน”“แบบนี้บุญตาก็จะไม่ได้รับความรักจากนายอีกแล้วใช่หรือเปล่าจ๊ะ”บุญตารู้ดีว่าจะออดอ้อนคีรีอย่างไรเพราะคีรีมีนิสัยรักอิสระเธอจึงไม่เคยทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอยู่อย่างนี้เธอก็สบายดีแถมยังได้เงินจากคีรีอยู่เรื่อยๆเธอเคยเห็นผู้หญิงที่คิดจะจับคีรีแล้วแต่ก็ถูกเฉดหัวทิ้งทุกคนเลยขออยู่แบบนี้จะดีกว่าทั้งที่คราแรกที่ถูกคีรีจีบก็มีความคิดอยากเป็นเจ้าของเจ้านายหนุ่มเหมือนกัน“
“นั่นลูกวัวพึ่งคลอดก่อนหน้าที่พี่ปิ่นจะมาสองวันเอง”นภาชี้เจ้าลูกวัวตัวเมียที่เดินตามแม่กินหญ้าต้อยๆให้ปิ่นงามได้ดูขณะที่นั่งมองวิวทิวทัศน์กันอยู่ใต้ร่มต้นก้ามปูใหญ่“น่ารักดีนะดูสิตามแม่ต้อยๆเลย”“พี่ปิ่นนั่งเล่นตรงนี้ก่อนน้ะจ๊ะเดี๋ยวฉันไปเก็บชะอมริมรั้วสักหน่อยเอาไว้ทำกับข้าวเย็นนี้จะ”“เดี๋ยวพี่ไปช่วย”“ไม่ต้องหรอกจะแปปเดียวก็เสร็จแล้ว”“ก็ได้จะ”นภาอยากให้ปิ่นงามนั่งรับลมเล่นตรงนี้จะดีกว่าเพราะเธอก็ไม่ได้ไปนานเท่าไรนัก“เอ่อ..มีอะไรหรือเปล่า”ขณะที่ปิ่นงามนั่งเล่นเพลินๆจู่ๆก็มีหญิงสาวรูปร่างอวบอิ่มแต่งตัวแต่งหน้าสีสันฉูดฉาดเดินเข้ามายืนกอดอกมองหน้าเธออย่างไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก“คุณน่ะเหรอจะมาเป็นเมียนาย”“.....”ปิ่นงามพยักหน้ารับทั้งยังคิดในใจว่าไม่พ้นผู้หญิงคนนี้จะเป็นผู้หญิงของคีรีอีกแน่“นายบอกกับฉันเองตอนที่นอนอยู่ด้วยกันว่าไม่ได้ต้องการคุณเลยสักนิดที่ต้องแต่งเพราะจำเป็น”“แค่นี้ใช่หรือเปล่าที่จะบอกฉัน”ปิ่นงามหลุบสายตาลงเล็กน้อยที่แท้ก็เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ“อีกอย่างคือ...นายเป็นของฉันคุณอย่าคิดว่าจะแย่งนายไปได้ไม่อย่างนั้นได้เจ็บตัวแน่..ฉันขอตัว”ผกามองค้อนปิ่นงามดวงตาแทบจ