เอรอส และ ไอลีนเฝ้ามองเหตุการณ์ในอาคารเก่า จากทางด้านหน้าในระยะไกล เขาใช้กล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวที่ดูเก่าโทรม มันมีผ้าพันรอบตัวกล้อง และถูกทาสีทับในหลายชั้นจนพื้นผิวดูขรุขระ และ ซีดเก่า ดูราวกับเป็นของใช้มานาน แต่ไอลีนที่เคยเห็นกล้องแบบนี้มาก่อน กลับรู้ดีว่ากล้องตาเดียวทุกชิ้นต่างมีคุณภาพ และ มีราคาค่อนข้างสูง ไม่น่าจะถูกเจอในสภาพแบบนี้
เลนส์ของกล้องก็ดูแปลกตา คล้ายมีชั้นฟิล์มบางๆสีดำด้านเคลือบไว้ ทำให้มันไม่สะท้อนแสงออกมาจากภายในเหมือนกล้องทั่วไป เธออดคิดไม่ได้ว่ากล้องนี้อาจเคยเป็นของมีค่ามาก่อน แต่ด้วยสภาพที่เขาใช้ ผู้อื่นที่มองเห็น คงนึกว่าเป็นของเก่าๆไร้ค่า
ในขณะที่ทั้งคู่สังเกตสถานการณ์ในนั้น ไอลีนเห็นชายในชุดทหารรักษาการณ์นั่งดื่มกินร่วมกับพวกคนในนั้นอย่างสนุกสนาน ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวในใจของเธอ เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นแตกต่างจากที่บ้านเกิดของเธออย่างสิ้นเชิง
บ้านเกิดของไอลีนเป็นสถานที่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของเธอกับชาวบ้าน และ ผู้ใต้บังคับบัญชาผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น บรรยากาศที่นั่นอบอุ่น เปี่ยมไปด้วยความรัก ความใกล้ชิด ตระกูลของเธอไม่เคยแบ่งแยกชนชั้น หรือ ถือว่าตนสูงส่งกว่าใคร ไม่ว่าจะมีภัยพิบัติหรืออุปสรรคหนักหนาเพียงใด ตระกูลของไอลีนก็พร้อมยืนหยัดเคียงข้างประชาชน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอย่างจริงใจ
ที่นั่น แม้โจรจะบุกเข้ามาในดินแดนบ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่แล้วสาเหตุก็เกิดจากความขาดแคลนอาหาร หรือความจำเป็น แทบไม่มีการรุกรานที่เกิดจากความเห็นแก่ตัว ไอลีนเติบโตขึ้นมาในบรรยากาศเช่นนี้ เธอจึงเชื่อมั่นเสมอว่า เกียรติ และ ศักดิ์ศรี ควรใช้เพื่อปกป้องและยืนหยัดเคียงค้างประชาชนประชาชน
ไอลีนหรี่ตามองทหารพวกนั้นด้วยความขมขื่น ความรู้สึกนี้คือสิ่งที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน ทหารที่ควรเป็นผู้ปกป้องประชาชนนั้น กลับนั่งร่วมวงดื่มกินรวมกับอัธพาลที่รีดไถเงินชาวบ้าน หนำซ้ำยังทำตัวเป็นพวกเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนว่าเกียร และ ศักศรีดิ์ของตนเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความสนุกเหล่านั้น
"ก็อย่างที่เห็น ฉันถึงไม่คิดจะบอกอะไรเธอเลยไงหล่ะ เรืื่องมันใหญ่กว่าที่เธอคิดไว้มาก" เอรอสเอ่ยเสียงเบา แต่ในน้ำเสียงเย็นชานั้นเผยถึงความขมขื่นบางอย่างซ่อนอยู่
เพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูล โลกใบนี้ก็เผยความโหดร้ายให้เขาได้เห็น ความเป็นจริงในเมืองที่สังคมถูกครอบงำโดยอำนาจมืด และ การคอรัปชั่น ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า ที่แห่งนี้ไม่มีความยุติธรรมสำหรับ ผู้ไร้พลัง หรือ สถานะ หากไม่ใช่เพราะความทรงจำของเรย์นาร์คที่ถูกถ่ายทอดเข้ามาในตัวเขา ช่วยให้เขามีทักษะ และ ประสบการณ์ที่เพียงพอต่อการเอาตัวรอด เขาก็คงจะไม่ต่างจากเด็กกำพร้าอื่นๆที่ถูกกลืนหายไปในเงามืดของสังคมเมืองนี้แล้ว
แม้ว่า เรย์นาร์ค จะเข้ามาครอบงำตัวตน แถมทำลายสถานะในตระกูลที่เขาเคยถือครอง แต่ความทรงจำ และ ประสบการณ์ชีวิตจากเรย์นาร์คนั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงเขาไว้ ทำให้เขามีหนทางในการยืนหยัด หนีจากชะตากรรมอันโหดร้ายที่เกือบจะกลืนกินเขาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมัน
เอรอสส่งสัญญาณเงียบๆ ไปยังไอลีนด้วยการกระตุกแขนเบาๆ เป็นสัญญาณว่าต้องเริ่มเคลื่อนไหว ไอลีนพยักหน้า และ ตามเขาไปอย่างแผ่วเบา พวกเขาเลาะผ่านกำแพงปูนที่แตกร้าว เงาสะท้อนในช่องหน้าต่างบานเล็กทำให้เห็นเพียงเงาร่างของคนข้างในที่กำลังวุ่นอยู่กับกิจกรรมของตน
ไอลีนลอบสังเกตท่าทางของเอรอสที่แฝงไปด้วยความชำนาญ ท่าทีของเขาเรียบเฉยราวกับกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง การก้าวเท้าของเขาเบาจนแทบไร้เสียง คล้ายเป็นเงาที่แทรกซึมอยู่ในความมืดอย่างไร้ร่องรอย ราวกับเขาคิดคำนวณทุกย่างก้าวอย่างมีเป้าหมาย ไอลีนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งในความสามารถนี้ เธอถามเอรอสเบาๆด้วยความสงสัย
“ทำเรื่องแบบนี้บ่อยงั้นเหรอ?”
ไอลีนกระซิบถามด้วยความอยากรู้ เอรอสเหลือบมองเธอเล็กน้อยก่อนตอบสั้นๆ
“ก็เรียกได้ว่าเคยผ่านมันมาบ้าง”
การลอบเร้นผ่านแต่ละจุด ทำให้ไอลีนสังเกตเห็นว่าเขามีทักษะที่เหนือกว่า ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเหมือนจะอายุไม่ต่างจากเธอมากขนาดนั้น แม้เธอเองจะใช้ชีวิตในสุดขอบชายแดน แต่เธอก็ได้รับทักษะในการเดินป่า และ การซ่อนตัวจากสัตว์ป่ามาพอสมควร การขยับตัวของเธอเงียบพอจะไม่รบกวนสภาพแวดล้อมใดๆ แต่เมื่อเทียบกับเอรอสแล้ว ก็ยังคงแตกต่างกันพอสมควร มันทำให้เธอรู้สึกได้ว่าเขามีประสบการณ์มากกว่าที่เห็น
เอรอสทำสัญญาณมือให้หยุดเมื่อเห็นว่าทหารคนหนึ่งเริ่มหันกลับมา ทั้งคู่หลบอยู่หลังเสาอิฐที่ปกคลุมด้วยคราบฝุ่น และ ความมืด ไอลีนสังเกตว่าเขามองทุกการเคลื่อนไหวของคนในอาคารอย่างเงียบขรึม ความนิ่งของเขาก็ทำให้เธอมั่นใจว่าเขากำลังวางแผนอะไรบางอย่าง
เมื่อเสียงฝีเท้าลับหายไป ไอลีนกระซิบถามด้วยความสงสัย
“นี้….นายวางแผนจะทำอะไรที่นี้งั้นหรอ?”
เมื่อไอลีนกระซิบถาม เอรอสเพียงนิ่งเงียบ ไม่ตอบกลับราวกับไม่สนใจคำถาม เขามองไปรอบๆ อย่างละเอียด ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง เหมือนกำลังสัมผัสอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่สามารถรับรู้ได้
ในตอนนั้นเอง เอรอสหยุดนิ่ง ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเมื่อสัมผัสได้ถึงมานาขนาดใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่ง พลังงานนั้นหนาแน่น ดุดัน ราวกับคอยกดดัน และ คุกคามทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบข้าง
ในขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ถึง มานาเล็กๆของผู้หญิงคนนึงที่อยู่ใกล้ๆกับมานานั้น มันสั่นไหว และ อ่อนแรงลงทีละน้อย คล้ายกับกำลังถูกบดขยี้จนไร้เรี่ยวแรง เหมือนเปลวเทียนที่ใกล้ดับ เขาจับความสิ้นหวัง และ ความพยายามอันลนลานของเธอได้ จนภาพในหัวเริ่มชัดเจนว่าสถานการณ์ในนั้นเกิดอะไรขึ้น
เอรอสถอนหายใจยาว สายตาเขาส่อแววเคร่งเครียด และ ลำบากใจ ก่อนหันไปมองไอลีนที่ยังนั่งชันเข่ารอเขาอย่างสงบ มือเขาขยับไปเล็กน้อยเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดค้างไว้ เขาเม้มริมฝีปากแน่นพลางชั่งใจ ครุ่นคิดว่าจะให้เธอเข้าไปพบกับภาพนั้นดีไหม
การตัดสินใจของเขาผิดแปลกไปจากความเยือกเย็นที่เคยแสดงออก สายตาของเขามองเธอด้วยความลังเลที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาลำบากใจที่จะพาเธอไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนั้น แต่หากเธอต้องการยืนหยัดในเส้นทางนี้จริงๆ การเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ตรงหน้าก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่ามันอาจจะทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว จนหันหลังให้กับอาชีพนี้เลยก็ตาม
ในความเงียบที่อึดอัดรอบตัว ความสับสนภายในใจของเขากลับยิ่งชัดเจนขึ้น เขาควรปกป้องเธอ หรือปล่อยให้เธอได้ลิ้มรสความโหดร้ายนี้ด้วยตัวเองดี?
เอรอสและไอลีนซุ่มดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ จากจุดที่ถูกซุ่มดูอยู่ ใบหน้าไอลีนเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอเห็นบอสขององค์กรยืนอยู่กลางห้อง จ้องมองผู้หญิงที่คุกเข่าลงอย่างเย้ยหยัน พลังแผ่พลังกดดันหญิงสาวอย่างหนักหน่วง จนเธอต้องสร้างมานาเบาบางขึ้นมาปกป้องตัวเอง แม้จะใกล้หมดแรงเต็มที แต่เธอก็ยังดิ้นรมไม่ยอมจำนนอยู่แววตาโกรธพลุ่งพล่านในดวงตาของไอลีน เหมือนเธอพร้อมจะพุ่งเข้าไปจัดการในทันที แต่เอรอสที่ยืนอยู่ข้างๆจับสังเกตความเครียดของเธอได้ เขาหันไปมองเธออย่างนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเตือนด้วยเสียงเรียบ“นี่เธอกำลังคิดจะทำอะไร?”ไอลีนสบตาเขา แม้จะพยายามสะกดอารมณ์ แต่แววตามุ่งมั่นนั้นบอกชัดเจนว่าเธออยากจะช่วยหญิงสาวคนนั้นให้ได้ ไม่ว่าต้องเสี่ยงแค่ไหน เธอกระชับปืนในมือแน่น ตั้งใจจะลงมือเต็มที่ แต่ก่อนที่เธอจะเคลื่อนไหว เอรอสก็คว้าข้อมือเธอไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“อย่าไป ถ้าเธอพุ่งเข้าไปตอนนี้ เธอตายแน่ๆ” เขามองเข้าไปในดวงตาเธอเพื่อย้ำให้รู้ถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น“ผู้ชายคนนั้นมีถึงสามวงแหวน ระดับเธอที่มีแค่วงแหวนเดียวจะทำอะไรเขาได้?”ไอลีนสะบัดข้อมือออกด้วยท่าทางดื้อดึง แววตาเด็ดเดี่ยว “ถ้านายไ
หลังจากเอรอสจัดการลูกสมุนที่ตามล่าเขาจนหมดสิ้น เขาเก็บรวบรวมถุงเงินและของมีค่าทั้งหมดไปซ่อนไว้ในที่ปลอดภัย ก่อนจะย้อนกลับมาที่เดิม จัดแจงให้ร่างกายแนบชิดไปกับเงามืดของต้นไม้ใหญ่ ตาจับจ้องไปที่ไอลีนซึ่งกำลังต่อสู้กับบอสขององค์กรอย่างดุเดือด โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเขากำลังเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆเอรอสมองตามทุกการเคลื่อนไหวของเธออย่างเงียบงัน ขณะที่ไอลีนพยายามหลบหลีกและโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่แววตาของเธอกลับเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น ท่าทางการต่อสู้ที่ดุดันนั้นทำให้เอรอสรู้สึกทึ่ง รู้สึกถึงความกล้าหาญที่เขาไม่คาดคิดว่าจะพบในตัวเธอ ท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงปะทะ เขาแอบมองเธอในความมืด รู้สึกได้ถึงความพยายามอันเด็ดเดี่ยวที่หายากในตัวคนทั่วไปร่างกายของไอลีนดูอ่อนล้าลงเรื่อยๆ หายใจหอบแรง บาดแผลที่แขนและขาดูเหมือนจะทำให้เธอแทบยืนไม่ไหว แต่เธอก็ยังคงยืนหยัด และพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง จนกระทั่งเอรอสสังเกตเห็นบางสิ่งบนพื้นใกล้ๆโพชั่นมานาขวดหนึ่งที่ตกอยู่ไม่ไกลจากหญิงสาวที่ไอลีนตั้งใจจะไปช่วย เป็นโพชั่นเดียวที่เขาเอาไว้ให้เธอสามารถฟื้นฟูมานาของตัวเองใยการต่อสู้ แต่ไอลี
เอรอสพุ่งเข้าหามันสุดกำลัง พื้นดินสั่นสะเทือนภายใต้ฝีเท้าหนักของเขา เสียงคำรามต่ำของมันดังก้องราวสัตว์ร้ายที่เฝ้ารอจะเข่นฆ่า เงาดำก่อตัวจากร่างของมัน แผ่พลังเวทย์สีเขียวหม่นรุนแรง จนสั่นคลอนทุกสิ่งรอบข้าง ดิน และ เศษหิน กระจัดกระจายอย่างรุนแรงจนพื้นดินรอบๆแตกออกเป็นริ้วร้าวลึกกลิ่นฝุ่นดินคละคลุ้ง กลบอากาศจนรู้สึกอึดอัด บรรยากาศมืดครึ้มกดดันเหมือนทั้งโลกกำลังถูกกลืนด้วยพลังชั่วร้าย หินยักษ์ผุดขึ้นจากพื้นรอบตัวมันตามแรงเรียกของเวทมนตร์ บรรยากาศโดยรอบบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวจนราวกับว่าทั้งพื้นที่กำลังจะถล่มลงมามันเหวี่ยงแขนมหึมาขึ้น หินก้อนใหญ่ลอยขึ้นเหนือพื้น แสงเขียวหม่นเรืองรองห่อหุ้มก้อนหินที่หมุนวนรอบตัวมันอย่างเกรี้ยวกราด มันปล่อยเสียงคำรามเบาๆคล้ายหัวเราะอย่างเย้ยหยัน หินพุ่งตรงเข้าใส่เอรอสในพริบตา เอรอสกระโดดหลบอย่างฉิวเฉียด เศษดินและแรงลมจากหินที่พุ่งเฉียดหน้าทำให้เขาต้องหรี่ตา ปัดฝุ่นผงออกจากใบหน้าเอรอสสะบัดขวานทองในมือที่ส่องประกายแสงจันทร์ออกมาเหมือนดวงดาว ขณะฟาดฟันหินที่พุ่งเข้ามาแตกกระจายเป็นเศษเล็กๆ เสียงหินระเบิดดังสะท้อนรอบบริเวณ เศษหินกระเด็นเป็นฝุ่นผงลอยกระจายไปทั่วจนป
เสียงหอบของเอรอสกลืนไปกับเสียงลั่นของหิน และ ฝุ่นที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ เขายืนหยัดอยู่กลางพื้นที่ของอาคารที่ถูกทำลายจากการโจมตีของทั้งสองฝั่ง ผิวดินที่แตกออกเป็นริ้วรอย และ เศษหินเกลื่อนกลาดรอบตัวเป็นพยานถึงการโจมตีที่รุนแรง ขวานสีทองในมือยังคงส่องแสงท่ามกลางหมอกฝุ่นรอบตัว หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำในอก แต่อย่างไรเขาก็ต้องยืนหยัดต่อไป ไม่ให้ศัตรูเบื้องหน้ามองเห็นความอ่อนแอมิโนทอร์ร่างยักษ์ตรงหน้า ผิวหนังสีคล้ำประหนึ่งแผ่นหิน ถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะหนาทึบ เงามืดและพลังเวทย์สีเขียวหม่นแผ่กระจายออกจากร่างของมันอย่างน่ากลัว มันกวัดแกว่งขวานหินขนาดใหญ่ในมือเหมือนกับมันเป็นเพียงแค่ของเล่น ก่อนที่มันจะย่างสามขุมเข้ามาหาเอรอส ใบหน้าหนากร้าวคล้ายสัตว์ร้าย ดวงตาสีแดงเรืองวาวอย่างดุดัน คำรามต่ำในลำคอ ราวกับต้องการบดขยี้เขาให้กลายเป็นเศษซากใต้เท้าของมันขวานหินนั้นฟาดลงมาอีกครั้ง พื้นดินระเบิดแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ด้วยพลังดุจแผ่นดินไหว เอรอสรีบกระโดดถอยหลัง พลางปัดป้องอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะตวัดขวานของเขาฟาดฟันใส่ขาของมัน แต่แสงสะท้อนของเกราะหินบนร่างมันทำให้คมขวานของเอรอสเบี่ยงไป ขวานทองกระแทกเข้ากับเกราะ
ออร่าสีทองค่อยๆปกคลุมร่างไอลีน ราวกับกระแสธารแห่งชีวิตที่ค่อยๆไหลซึมเข้าสู่ร่างของเธอ เสียงหายใจที่แผ่วเบากลับมาสม่ำเสมออีกครั้ง ร่องรอยบาดแผลและความอ่อนล้าที่เกาะกินค่อยๆถูกชะล้างออกจากตัวของเธอ ผิวของไอลีนเปล่งประกายดูมีชีวิตชีวาขึ้นราวกับเธอฟื้นคืนพลังที่สูญเสียไปเอรอสที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก จ้องมองภาพนั้นด้วยความสับสน "นั้นมันอะไรกัน?" พลังแห่งการฟื้นฟูนี้ไม่เคยปรากฏกับเจ้าของร่างเดิมมาก่อน เขาครุ่นคิด ไม่เห็นจำได้เลยว่าเจ้าของร่างนี้จะมีพลังแบบนี้ แม้นี้จะเป็นครั้งที่สองที่เขาเขาใช้ แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งนั้นมันเป็นผลจากเขตแดนแห่งเจตจำนงนี้แน่นอน ไม่ผิดเป็นอย่างอื่นในขณะเดียวกัน มิโนทอร์ที่เผชิญหน้ากับแขนขนาดมหึมาสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นเหนือร่างเอรอส รู้สึกถึงแรงกดดันจากพลังทำลายล้างมหาศาลของสิ่งนั้น ความใหญ่โตของมันราวกับภูเขาที่ทาบทับเหนือหัว เส้นเลือดปูดโปนล้อมรอบแขนขนาดมหึมานั้นราวกับรากไม้เก่าแก่นั้น พลังที่แฝงอยู่ในมือขนาดมหึมานั้น กระจายออกมาทุกทิศทาง โลหะสีทองที่อยู่ในมือ เปล่งประกายราวกับถูกหลอมขึ้นมาใหม่ด้วยพลังอันเข้มข้น ขณะที่มันเงื้อขึ้นสูงเหนือร่างของมิโนทอร์ กระแสพลังอันน่าเ
กลางคืนเงียบงันจนน่าขนลุก เงามืดจากซากอาคารที่พังทลายทอดยาวไปทุกทิศทาง ไอลีนพยายามกลั้นหายใจในขณะที่ลากเอรอสเข้าไปในมุมอับใต้คานไม้ที่ทรุดตัวลง เศษซากกำแพงที่แตกกระจายมีร่องรอยการปะทะอย่างรุนแรง บางส่วนยังเปื้อนเขม่าดำและกลิ่นไหม้อ่อนๆ ที่ลอยวนอยู่ในอากาศพื้นดินใต้เท้าเย็นชื้น ราวกับสะท้อนความหนาวเหน็บที่กัดกร่อนหัวใจของเธอ เธอพยายามหาที่กำบังที่ปลอดภัยที่สุดในบริเวณนั้น มือทั้งสองข้างที่จับแขนของเอรอสสั่นเทาด้วยแรงจากทั้งความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว“พวกเราเข้ามาหลบ... ตรงนี้ก่อน” ไอลีนกระซิบ ขณะที่พวกเขาแทรกตัวเข้าไปใต้กองเศษซากไม้เอรอสไม่ได้ตอบ เขานั่งนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าเรียบเฉย แต่ลมหายใจหนักหน่วงผิดปกติ และดวงตาสีแดงเรืองรองในความมืดนั้น กำลังสะท้อนถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ“เงียบไว้...” เธอกระซิบเสียงเบา ลมหายใจของเธอเร่งรัวจนแทบจะควบคุมไม่ได้ดวงตาสีฟ้าของเธอจับจ้องไปยังรอยแตกเล็กๆในกำแพงที่เปิดออกสู่ด้านนอก ช่องเล็กพอที่จะมองเห็นเงาของกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าหนักๆ บนเศษหินดังก้องในความเงียบ“พวกเขามาแล้ว” ไอลีนกระซิบแผ่ว ดวงตาเบิกกว้างเสียงสนท
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น
ในห้องทำงานของกิลด์นักผจญภัย บรรยากาศเงียบงันอย่างกดดัน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย กลิ่นไม้เก่าและหมึกเขียนหนังสืออบอวลอยู่ในอากาศ บนโต๊ะมีเอกสารกองระเกะระกะ สะท้อนถึงความสับสนวุ่นวายในงานที่ค้างคา เสียงก้าวเท้าหนัก ๆ ของชายร่างใหญ่ดังก้องในห้อง ราวกับเขากำลังทุ่มความโกรธทั้งหมดลงในทุกย่างก้าว“พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่!!”เสียงของขุนนางร่างใหญ่ดังก้องทั่วห้อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ใบหน้าแดงก่ำ ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิด ชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวนก้มศีรษะต่ำ มือสั่นไหวเล็กน้อยจากแรงกดดันที่ได้รับ“ผมขอโทษจริงๆครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด” เขาเอ่ยเสียงสั่น เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลในแววตา“พยายาม? พวกแกยังกล้ามาพูดคำนี้อีกงั้นเหรอ? พวกแกทำอะไรอยู่ตั้งหลายวัน! แต่ก็ยังหาเขาไม่เจอ!!” เสียงของขุนนางเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง เขายืนอยู่ตรงหน้าผู้จัดการ ราวกับจะกลืนกินเขาเข้าไปชายผู้จัดการขบกรามแน่น เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงอารมณ์โกรธห