หน้าหลัก / แฟนตาซี / พันธะสัญญาของผู้กลืนกิน / ตอนที่ 34 เผชิญหน้ากับความโหดร้าย

แชร์

ตอนที่ 34 เผชิญหน้ากับความโหดร้าย

เอรอส และ ไอลีนเฝ้ามองเหตุการณ์ในอาคารเก่า จากทางด้านหน้าในระยะไกล เขาใช้กล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวที่ดูเก่าโทรม มันมีผ้าพันรอบตัวกล้อง และถูกทาสีทับในหลายชั้นจนพื้นผิวดูขรุขระ และ ซีดเก่า ดูราวกับเป็นของใช้มานาน แต่ไอลีนที่เคยเห็นกล้องแบบนี้มาก่อน กลับรู้ดีว่ากล้องตาเดียวทุกชิ้นต่างมีคุณภาพ และ มีราคาค่อนข้างสูง ไม่น่าจะถูกเจอในสภาพแบบนี้

เลนส์ของกล้องก็ดูแปลกตา คล้ายมีชั้นฟิล์มบางๆสีดำด้านเคลือบไว้ ทำให้มันไม่สะท้อนแสงออกมาจากภายในเหมือนกล้องทั่วไป เธออดคิดไม่ได้ว่ากล้องนี้อาจเคยเป็นของมีค่ามาก่อน แต่ด้วยสภาพที่เขาใช้ ผู้อื่นที่มองเห็น คงนึกว่าเป็นของเก่าๆไร้ค่า

ในขณะที่ทั้งคู่สังเกตสถานการณ์ในนั้น ไอลีนเห็นชายในชุดทหารรักษาการณ์นั่งดื่มกินร่วมกับพวกคนในนั้นอย่างสนุกสนาน ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวในใจของเธอ เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นแตกต่างจากที่บ้านเกิดของเธออย่างสิ้นเชิง

บ้านเกิดของไอลีนเป็นสถานที่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของเธอกับชาวบ้าน และ ผู้ใต้บังคับบัญชาผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น บรรยากาศที่นั่นอบอุ่น เปี่ยมไปด้วยความรัก ความใกล้ชิด ตระกูลของเธอไม่เคยแบ่งแยกชนชั้น หรือ ถือว่าตนสูงส่งกว่าใคร ไม่ว่าจะมีภัยพิบัติหรืออุปสรรคหนักหนาเพียงใด ตระกูลของไอลีนก็พร้อมยืนหยัดเคียงข้างประชาชน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอย่างจริงใจ

ที่นั่น แม้โจรจะบุกเข้ามาในดินแดนบ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่แล้วสาเหตุก็เกิดจากความขาดแคลนอาหาร หรือความจำเป็น แทบไม่มีการรุกรานที่เกิดจากความเห็นแก่ตัว ไอลีนเติบโตขึ้นมาในบรรยากาศเช่นนี้ เธอจึงเชื่อมั่นเสมอว่า เกียรติ และ ศักดิ์ศรี ควรใช้เพื่อปกป้องและยืนหยัดเคียงค้างประชาชนประชาชน

ไอลีนหรี่ตามองทหารพวกนั้นด้วยความขมขื่น ความรู้สึกนี้คือสิ่งที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน ทหารที่ควรเป็นผู้ปกป้องประชาชนนั้น กลับนั่งร่วมวงดื่มกินรวมกับอัธพาลที่รีดไถเงินชาวบ้าน หนำซ้ำยังทำตัวเป็นพวกเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนว่าเกียร และ ศักศรีดิ์ของตนเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความสนุกเหล่านั้น

"ก็อย่างที่เห็น ฉันถึงไม่คิดจะบอกอะไรเธอเลยไงหล่ะ เรืื่องมันใหญ่กว่าที่เธอคิดไว้มาก" เอรอสเอ่ยเสียงเบา แต่ในน้ำเสียงเย็นชานั้นเผยถึงความขมขื่นบางอย่างซ่อนอยู่

เพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูล โลกใบนี้ก็เผยความโหดร้ายให้เขาได้เห็น ความเป็นจริงในเมืองที่สังคมถูกครอบงำโดยอำนาจมืด และ การคอรัปชั่น ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า ที่แห่งนี้ไม่มีความยุติธรรมสำหรับ ผู้ไร้พลัง หรือ สถานะ หากไม่ใช่เพราะความทรงจำของเรย์นาร์คที่ถูกถ่ายทอดเข้ามาในตัวเขา ช่วยให้เขามีทักษะ และ ประสบการณ์ที่เพียงพอต่อการเอาตัวรอด เขาก็คงจะไม่ต่างจากเด็กกำพร้าอื่นๆที่ถูกกลืนหายไปในเงามืดของสังคมเมืองนี้แล้ว

แม้ว่า เรย์นาร์ค จะเข้ามาครอบงำตัวตน แถมทำลายสถานะในตระกูลที่เขาเคยถือครอง แต่ความทรงจำ และ ประสบการณ์ชีวิตจากเรย์นาร์คนั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงเขาไว้ ทำให้เขามีหนทางในการยืนหยัด หนีจากชะตากรรมอันโหดร้ายที่เกือบจะกลืนกินเขาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมัน

เอรอสส่งสัญญาณเงียบๆ ไปยังไอลีนด้วยการกระตุกแขนเบาๆ เป็นสัญญาณว่าต้องเริ่มเคลื่อนไหว ไอลีนพยักหน้า และ ตามเขาไปอย่างแผ่วเบา พวกเขาเลาะผ่านกำแพงปูนที่แตกร้าว เงาสะท้อนในช่องหน้าต่างบานเล็กทำให้เห็นเพียงเงาร่างของคนข้างในที่กำลังวุ่นอยู่กับกิจกรรมของตน

ไอลีนลอบสังเกตท่าทางของเอรอสที่แฝงไปด้วยความชำนาญ ท่าทีของเขาเรียบเฉยราวกับกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง การก้าวเท้าของเขาเบาจนแทบไร้เสียง คล้ายเป็นเงาที่แทรกซึมอยู่ในความมืดอย่างไร้ร่องรอย ราวกับเขาคิดคำนวณทุกย่างก้าวอย่างมีเป้าหมาย ไอลีนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งในความสามารถนี้ เธอถามเอรอสเบาๆด้วยความสงสัย

“ทำเรื่องแบบนี้บ่อยงั้นเหรอ?”

ไอลีนกระซิบถามด้วยความอยากรู้ เอรอสเหลือบมองเธอเล็กน้อยก่อนตอบสั้นๆ

“ก็เรียกได้ว่าเคยผ่านมันมาบ้าง”

การลอบเร้นผ่านแต่ละจุด ทำให้ไอลีนสังเกตเห็นว่าเขามีทักษะที่เหนือกว่า ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเหมือนจะอายุไม่ต่างจากเธอมากขนาดนั้น แม้เธอเองจะใช้ชีวิตในสุดขอบชายแดน แต่เธอก็ได้รับทักษะในการเดินป่า และ การซ่อนตัวจากสัตว์ป่ามาพอสมควร การขยับตัวของเธอเงียบพอจะไม่รบกวนสภาพแวดล้อมใดๆ แต่เมื่อเทียบกับเอรอสแล้ว ก็ยังคงแตกต่างกันพอสมควร มันทำให้เธอรู้สึกได้ว่าเขามีประสบการณ์มากกว่าที่เห็น

เอรอสทำสัญญาณมือให้หยุดเมื่อเห็นว่าทหารคนหนึ่งเริ่มหันกลับมา ทั้งคู่หลบอยู่หลังเสาอิฐที่ปกคลุมด้วยคราบฝุ่น และ ความมืด ไอลีนสังเกตว่าเขามองทุกการเคลื่อนไหวของคนในอาคารอย่างเงียบขรึม ความนิ่งของเขาก็ทำให้เธอมั่นใจว่าเขากำลังวางแผนอะไรบางอย่าง

เมื่อเสียงฝีเท้าลับหายไป ไอลีนกระซิบถามด้วยความสงสัย

“นี้….นายวางแผนจะทำอะไรที่นี้งั้นหรอ?”

เมื่อไอลีนกระซิบถาม เอรอสเพียงนิ่งเงียบ ไม่ตอบกลับราวกับไม่สนใจคำถาม เขามองไปรอบๆ อย่างละเอียด ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง เหมือนกำลังสัมผัสอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่สามารถรับรู้ได้

ในตอนนั้นเอง เอรอสหยุดนิ่ง ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเมื่อสัมผัสได้ถึงมานาขนาดใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่ง พลังงานนั้นหนาแน่น ดุดัน ราวกับคอยกดดัน และ คุกคามทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบข้าง

ในขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ถึง มานาเล็กๆของผู้หญิงคนนึงที่อยู่ใกล้ๆกับมานานั้น มันสั่นไหว และ อ่อนแรงลงทีละน้อย คล้ายกับกำลังถูกบดขยี้จนไร้เรี่ยวแรง เหมือนเปลวเทียนที่ใกล้ดับ เขาจับความสิ้นหวัง และ ความพยายามอันลนลานของเธอได้ จนภาพในหัวเริ่มชัดเจนว่าสถานการณ์ในนั้นเกิดอะไรขึ้น

เอรอสถอนหายใจยาว สายตาเขาส่อแววเคร่งเครียด และ ลำบากใจ ก่อนหันไปมองไอลีนที่ยังนั่งชันเข่ารอเขาอย่างสงบ มือเขาขยับไปเล็กน้อยเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดค้างไว้ เขาเม้มริมฝีปากแน่นพลางชั่งใจ ครุ่นคิดว่าจะให้เธอเข้าไปพบกับภาพนั้นดีไหม

การตัดสินใจของเขาผิดแปลกไปจากความเยือกเย็นที่เคยแสดงออก สายตาของเขามองเธอด้วยความลังเลที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาลำบากใจที่จะพาเธอไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนั้น แต่หากเธอต้องการยืนหยัดในเส้นทางนี้จริงๆ การเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ตรงหน้าก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่ามันอาจจะทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว จนหันหลังให้กับอาชีพนี้เลยก็ตาม

ในความเงียบที่อึดอัดรอบตัว ความสับสนภายในใจของเขากลับยิ่งชัดเจนขึ้น เขาควรปกป้องเธอ หรือปล่อยให้เธอได้ลิ้มรสความโหดร้ายนี้ด้วยตัวเองดี?

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status